อัปสรา

>> ม.ล. กุลรัตน์ เทวกุล

อัปสรา

บทที่ 14

รถยนต์สองคันแล่นตามกันเข้าจอด ณ ลานจอดรถของภัตตาคารทันสมัยที่มีชื่อทั้งเรื่องอาหารและดนตรีสำหรับหนุ่มสาว    ปรายเปรมไม่รังเกียจที่จะมาร่วมวงสังสรรค์กับมรุตและรุ่งแสง    แต่สีหน้าและท่าทีที่มรุตชักชวนเหมือนอยากให้ศรุตาร่วมทางด้วย   และเจ้าตัวก็ปิติยินดีจนซ่อนไม่มิด ทำให้เขารู้สึกบาดใจ

แล้วก็เป็นรุ่งแสง   ที่เจ้ากี้เจ้าการ จัดการให้โศภิตและศรุตาไปนั่งรถของมรุต ขณะที่ตัวเองตามมาเปิดประตูรถของเขา

“คุณปรายจะได้ไม่หลงทาง”

“แล้วทำไมไม่กลัวพี่มรุตหลงทาง   ขานั้นเพิ่งกลับจากอเมริกาแท้ๆ”

“พี่มรุตเค้าฉลาด ไม่หลงง่ายๆ หรอก”    เธอเย้า    หากอีกฝ่ายทำหน้าบอกบุญไม่รับจนเธอต้องแก้    “ก็รุ่งสงสารรถของคุณปราย    ยัยโศตัวเบ้อเริ่ม    รถพี่มรุตเค้าใหญ่ใหม่กว่า    กำลังดีกว่ารถคุณปรายแยะ”

“ผมเคยไปด้วยกันแล้วไม่มีปัญหาอะไรเลย”

“เหอะน่า….. แหม   จะให้พูดตรงๆ ใช่ไหมว่ารุ่งอยากนั่งรถกับคุณปรายสองต่อสอง…”

ชายหนุ่มเลยต้องนิ่ง   อดใจอ่อนไม่ได้

“ต้าชวนไปไหน คุณปรายไม่เคยปฏิเสธเลย    เรียกปุ๊บมาปั๊บ   ทีกับรุ่งละก็เล่นตัวเหลือเกิน    น้อยใจจนไม่รู้จะน้อยใจยังไงแล้ว”

“คุณรุ่งแสงคนสวยจะมาใยดีปรายทำไม    ปรายคนกระจอกหาเช้ากินค่ำ ไม่มีปัญญาพาไปเที่ยวหรูๆ หรอก”

“ไม่ต้องเที่ยวหรูก็ได้”

“ปรายไม่กล้าหรอก…..”

“กล้าหน่อยซิ    ทุกอย่างมันอยู่ที่ใจน่า…..”   เธอหยอกเย้า

ชายหนุ่มรับรู้ความนัยแต่ทำเฉย

“ต้าเครซี่พี่มรุต    ให้เค้ามีโอกาสใกล้ชิดกันหน่อยจะเป็นอะไรไป”    คำพูดนั้นทำให้เขาอารมณ์บูด

รถเก๋งคันหรูของมรุตจอดอย่างสง่าผ่าเผย    ปรายเปรมเทียบรถเก่าของเขาเข้าจอดข้างๆ อย่างไม่ขัดเขิน    สีหน้าเบิกบานของสองสาวที่ตามมรุตต้อยๆ ทำให้เขาต้องมองเมินหนีอย่างขุ่นเคือง

ดูศรุตากับมรุตสนิทสนมกันมากขึ้นเพราะฝ่ายชายเองก็ปูทางให้    หลังไหล่ตั้งตรง ก้มน้อยๆ ลงมาพูดด้วย   รับฟังและตอบโต้    ทำให้คนที่คอยแอบมองรู้สึกบาดตา    หญิงสาวเองก็ไม่เคยจะยิ้มกระจ่างมองเขาอย่างนิยมชมชื่นเช่นที่มอง “พี่ชาย” คนใหม่คนนี้

ร้านใหญ่จัดแบ่งเป็นหลายๆ ส่วนตามใจลูกค้า    มรุตถามเมื่อพากันเดินเข้ามาถึงข้างใน    “อยากนั่งตรงไหน   ตอนนี้ลูกค้ายังไม่มากพอเลือกที่ได้   ถ้าชอบร้องเพลงหรือเต้นรำก็นั่งใกล้ฟลอร์ในห้องใหญ่    แต่ว่าคงหนวกหูหน่อย”

“เต้นรำคงไม่เอาหรอกค่ะ   แต่เรื่องร้องเพลงนี่ยัยโศเค้าชอบ”    ศรุตาแหย่เพื่อน

“โห ไม่เอานะ ไม่ร้องเด็ดขาด    วันนั้นเพราะคุณปรายหรอก โศถึงยอมร้องด้วย”

“อะไร คุณปรายร้องเพลงด้วยหรือ”    รุ่งแสงอุทานแปลกใจ

“ร้องเพราะด้วยค่ะ”    โศภิตรับรองแข็งขัน

“ร้องคู่กับโศน่ะหรือ    นึกยังไงขึ้นมา”    น้ำเสียงถามขบขัน

ปรายเปรมยังทำหน้าบอกบุญไม่รับ   เหลือบมองคนที่มีสีหน้าทุกข์ร้อนเมื่อคืนก่อน    ก็เพราะอยากให้เธอสบายใจเขาจึงร้องเพลงกับโศภิต    ในวันนี้สีหน้าเธอเบิกบานไม่สนใจเขาด้วยซ้ำ

รุ่งแสงแกล้งเว้นที่ข้างๆ มรุตให้ศรุตานั่ง   “จะได้คุยกันถนัดๆ”

สายตาของชายหนุ่มจึงหนีไม่พ้นใบหน้าใสๆ เบิกบาน    โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเจ้าหล่อนหันไปหัวเราะกับคนร่างสูงข้างๆ

“ปวดท้องเหรอคุณปราย   ทำหน้ายังกะเต้าหู้บูด”    เจ้าหล่อนยังมีหน้ามาถาม

อาหารและเครื่องดื่มถูกสั่งมาวางตรงหน้า

มรุตพูดข้ามโต๊ะคุยกับเขา    บอกให้คนอื่นๆ ได้รับรู้ว่าทั้งสองเคยพบกันมาก่อนเมื่อปรายเปรมยังเป็นเด็กเล็กๆ  ก่อนคุณฉัตรจะพาครอบครัวย้ายไปอยู่เมืองนอก

“เวลาผ่านไปเร็วมาก    อืม…ร่วมยี่สิบปีแล้วนะนี่    พ่อพี่ไม่ได้อยู่บ้านคุณย่า   นานๆ จึงจะได้เจอญาติๆ สักครั้ง    จำได้ว่าตอนนั้นอาเปรมยังไม่ได้แต่งงานใหม่กับอาฉวี    ดูสมถะ  ยิ้มง่ายใจดีแต่ก็ไม่นึกว่าท่านจะไปบวชเป็นพระ    ส่วนอาเปี่ยมก็ยังเป็นโสด    ต้ากับรุ่งยังอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้…..”    เขาหัวเราะ    “ตลกดีนะ    เราสี่คนมาจากคนละที่ละทางแต่ว่ากลายมาเป็นญาติกันได้”

“นั่นซิคะ   พวกเราคนละเหล่าคนละกอแท้ๆ เลย    แล้วรุ่ง ปรายกับต้าก็มาอยู่บ้านเดียวกัน    ส่วนพี่มรุตก็กำลังจะย้ายเข้าม   า นี่เค้าเรียกว่าพรหมลิขิตบันดาลชักพาใช่ไหมคะ”

“เอ    สาวสวยทันสมัยอย่างรุ่งเชื่อเรื่องพรหมลิขิตด้วยหรือ”

“คนที่มีปริญญาพีเอชดี คงไม่เชื่อใช่ไหมคะ”    รุ่งแสงแกล้งทำตาแพรวพราย

“เชื่อซิ    ทำไมผมจะไม่เชื่อ”

“ถ้างั้นในที่นี้คนที่ผ่าเหล่าผ่ากอคงมีโศคนเดียว”    โศภิตเสียงใส

“ไม่แน่นะ    ในอนาคตโศอาจจะเข้ามาเกี่ยวเป็นกอเดียวกันก็ได้” ศรุตาเห็น “คู่ซี้” บูดไม่เลิกก็เลยแหย่บ้าง    “ใช่ไหมคุณปราย”

“ไม่รู้ซิ    ต้ามาถามปรายทำไม”

“ก็วันก่อนต้าเห็นใครก็ไม่รู้จูงมือกันขึ้นเวทีร้องเพลงคู่กันเหมาะซ้มเหมาะสม   อีกหน่อยอาจได้ร้องคู่ในวันวิวาห์ก็ได้    แบบว่า…พรหมลิขิตบันดาลชักพา…..”    เธอร้องประโยคหลังเป็นเพลง

รุ่งแสงหัวเราะกิ๊ก    โศภิตม้วนตัวมาซัดคนพูดปั้บด้วยท่าทีเขินอาย    “ต้าเนี่ย…..”

ปรายเปรมหน้ามุ่ย

“งั้นดื่มอวยพรล่วงหน้าให้คู่บ่าวสาวกันเลยดีกว่า”    รุ่งแสงยื่นแก้วเครื่องดื่มออกมา   แก้วอีกสี่ใบถูกยกตาม   เสียงกระทบดังคลิกๆ ก่อนจะจรดขอบแก้วกับริมฝีปากยิ้มชื่นบาน   มีแต่ปรายเปรมคนเดียวที่ทำหน้าบอกบุญไม่รับ

จู่ๆ ศรุตาก็พูดขึ้นว่า    “โศย้ายไปอยู่กับต้าสักพักหนึ่งมั้ย”

“อะไรนะ…..”    เสียงถามหลายเสียงดังพร้อม

กัน   คนที่ไม่ได้ถามออกมาก็ถามอยู่ในใจ    จ้องมองหน้าเธอ

“อะไรนะ…..”    ศรุตาถามบ้าง

“ทำไมต้าชวนโศไปอยู่ด้วย”

“ต้าชวนเหรอ…..”    สีหน้าเธองุนงง

“ใช่    ต้าชวน    ทุกคนได้ยิน”    รุ่งแสงยืนยัน

เธอทำท่านึก  พูดงงๆ    “จริงซิ    ต้าคงชวนจริงๆ แหละ”

¬¬“อือ    ที่จริงคุณโศไปอยู่กับต้าก็ดีนะ”    ปรายเปรมเห็นด้วย

สีหน้าโศภิตกระตือรือร้น    “คุณปรายว่าดีหรือคะ…”    เธอหันไปหาศรุตา   “โศไปอยู่กับต้าได้จริงๆ เหรอ แล้วจะอยู่ยังไงคนออกเยอะแยะเต็มบ้าน”

“ก็นอนกับต้าไง”    ปรายเปรมว่า

“เออ    จริงด้วย”    ศรุตาเพิ่งจะเห็นด้วยทั้งๆ ที่เธอเป็นฝ่ายออกปากชวนแท้ๆ    แล้วเธอเองกลับต้องทบทวนว่าเธอชักชวนออกไปได้ยังไงโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว    “โศนอนกับต้าก็ได้จะได้เป็นเพื่อนกัน”

“อะไร    ต้าโตป่านนี้แล้วยังต้องการคนนอนเป็นเพื่อนอีกหรือครับ”    มรุตถามยิ้มๆ

“สงสัยต้าคงกลัวผีมั้ง    มิน่าถึงชวนให้น้องสาลี่มานอนด้วย” รุ่งแสงเย้า

ใช่แล้ว   ศรุตาเพิ่งนึกได้ว่านับตั้งแต่แอบได้ยินคุณเปี่ยมและคุณสมฉวีในวันนั้น แล้วต่อมาก็ถูกทั้งคุณเปี่ยมและคุณสมฉวีจับตามองเหมือนรู้    เธอก็เลยเริ่มเพี้ยน    ฝันแปลกๆ    ตาฝาดเห็นภาพแปลกๆ แล้วยังเห็นเงาวูบวาบ    ความวิตกคงทำให้เธอฟั่นเฟือนไปเป็นแน่

ถ้าโศภิตมาอยู่ด้วย เธอคงอาการดีขึ้น

สีหน้าโศภิตไม่มั่นใจขึ้นมาทันที    ถามระแวงๆ    “ที่บ้านมีผีด้วยเหรอ”

“มีซิ ดุด้วย”    รุ่งแสงแกล้งขู่

สีหน้าของศรุตากลับคล้อยตามรุ่งแสง    ทำให้โศภิตหน้าเจื่อน    “เอ… ถ้าอย่างนั้น…..”

“คนร้ายกว่าผียังทำอะไรคุณโศไม่ได้แล้วจะกลัวผีทำไมครับ”

“ที่พูดนี่แปลว่ามีหรือไม่มีคะ คุณปราย”    เสียงถามยังหวาดๆ

“ก็ผมไม่เคยเห็น แล้วจะตอบว่ามีได้ยังไงล่ะฮะ”

“แล้วทำไมปรายไม่อยู่ที่บ้าน”    มรุตถาม จับสังเกตอยู่เงียบๆ

“ผมอยู่หอพักตอนเรียน    แล้วพอทำงานก็ต้องเช่าคอนโดฯ อยู่เพราะต้องการความสะดวกคล่องตัวครับ”

“คล่องตัวเรื่องสาวๆ ด้วยหรือเปล่า”    รุ่งแสงดักคอ

“สาวๆ เป็นเรื่องหลัก”    ศรุตาแหย่

ปรายเปรมไม่สนใจ    “ถ้าคุณโศมาอยู่กับต้า    ผมอาจกลับมาอยู่บ้านก็ได้นะ”

“จริงหรือ…!”    อีกสี่เสียงถามพร้อมๆ กัน

“ทำไมล่ะ”    ทุกคนสงสัยว่าเหตุใดชายหนุ่มจึงต้องการอย่างนั้นจริงๆ จังๆ    รุ่งแสงพูดเจือหัวเราะว่า    “ไม่ต้องกลัวพี่อัสเข้าผิดห้องหรอกน่า   ก็เขาขนของออกไปแล้ว”

“หรือว่ากลัวผม”    มรุตถามยิ้มๆ

ผู้คนมากขึ้นทุกที    นอกจากนักร้องประจำแล้ว นักร้องสมัครเล่นและสมัครใจส่วนหนึ่งคือผู้ที่มาทานอาหารนั่นเอง    ศรุตาเห็นเพื่อนรักวนเวียนมองเวทีทั้งยังเผลอตัวฮัมเพลงตามหลายครั้งก็เดาใจได้   รบเร้าว่า    “เมื่อไหร่โศจะแสดงซักที    ต้าเขียนชื่อส่งไปนะ”

“ไม่เอา คนเยอะแยะ โศไม่กล้า”

“ร้องคู่กับคุณปรายไง”

“ไม่เอาหรอก    ให้คุณปรายไปร้องคนเดียวเถอะ”

ศรุตารู้ใจเพื่อนสาวว่าอยากขึ้นเวทีจับไมค์จะแย่ แต่ยังขาดความมั่นใจจึงช่วยหากำลังสนับสนุน    “คุณปราย    ร้องกับโศนะ”

อีกฝ่ายทำเป็นไม่สนใจ

“คุณปราย    แฟนเรียกร้องใหญ่แล้ว”    รุ่งแสงช่วยรบเร้า ความสนใจพุ่งอยู่แต่เพียงที่ชายหนุ่มผู้มีท่าทีคล้าย ‘เต้าหู้บูด’ อยู่นั่นแล้ว

“วันนี้ผมไม่อยากร้อง”

“งั้นเดี๋ยวไปเต้นรำกัน    ใกล้ถึงเวลาเปิดฟลอร์แล้ว”

“โน    แต๊งส์”

“รอให้ถึงจังหวะช้าๆ ซึ้งๆ ก่อนไง”

“ผมไม่เคยเต้นรำกับใคร”

“โธ่เอ๋ย    ชายหนุ่มถ้าไม่เต้นรำก็ขาดทุนแย่ซิ    รู้ไหมว่าการเต้นรำเป็นการปูทางความสัมพันธ์ที่โรแมนติกที่สุด    ถึงแม้จะเต้นกับคนมาเป็นร้อยแล้ว แต่คนที่กลายมาเป็นเนื้อคู่ก็ยังจะพูดเสมอจนแก่จนเฒ่าว่า   จำได้ไหมคะ    ที่เราเต้นรำกันเป็นครั้งแรก…..”

“จำไม่ได้ค่ะ    ก็ถ้าแก่แล้วจะจำได้ยังไงล่ะคะ”    ศรุตาขัดคอ

รุ่งแสงค้อนขวับ    “ยัยต้าคงจำไม่ได้หรอก เพราะไม่มีใครขอเต้นรำซึ้งๆ ด้วย”

คนถูกเยาะหยันไม่รู้สึกเดือดร้อน    “ต้าก็ไม่เคยนึกอยากเต้นซึ้งๆ กับใครเหมือนกัน    เนอะโศ เนอะ”

โศภิตไม่ได้ฟังเพราะมัวแต่จ้องมองนักร้องในชุดเสื้อสายเดี่ยวกระโปรงสั้นกุดที่ร้องเพลงพลางโยกย้ายอยู่บนเวที    รุ่งแสงที่นึกเยาะหยันทรวดทรงของสาวอ้วนเย้าว่า

“โศภิตก็คงต้องเห็นด้วยซิ”

“แต่ถ้าเป็น ‘คนสำคัญ’    ยังไงๆ ก็คงปฏิเสธไม่ได้ใช่ไหมฮะ” มรุตหันมาถามศรุตาขณะที่สาวตุ้ยนุ้ยหน้าหวานขยับลุกออกไปจากโต๊ะ    สีหน้าคล้ายไม่ใช่โศภิตคนเดิม   คนอื่นๆ มองตามแล้วก็ละความสนใจหันมาคุยกันต่อ

“ถ้าพี่มรุตขอ   ต้าจะเต้นไหม”    รุ่งแสงถามอย่างจงใจยั่วยุ

มรุตจ้องมองเหมือนอยากได้คำตอบ    “นั่นซิ    ถ้าพี่ขอ    ต้าจะตอบ เยส ออร์ โน…    ถามไว้ก่อนต่อไปจะได้ทำตัวถูก”

ประกายตาในใบหน้ายิ้มเปล่งปิติแกมประหม่าของศรุตา ทำให้คนที่นั่งตรงข้ามหน้าบึ้ง แต่เธอก็ไม่ได้เอามาใส่ใจ

“คงต้องแล้วแต่อารมณ์มั้งคะ”

“แหม ขอคำตอบแค่ เยส ออร์ โน คำเดียว    ทำไมต้องตอบยาวขนาดนั้นฮึต้า”    ญาติสาวรุกไล่    หันไปให้ท้ายมรุต    “งั้นถ้าจะให้แน่ใจ    พี่มรุตก็ลองขอดูเลยแล้วกัน”

“ตกลงครับ    ประเดี๋ยวพอถึงช่วงเต้นรำพี่จะขอ”

เพลงจบ และคงมีการเปลี่ยนตัวนักร้อง    ความเคลื่อนไหวบนเวทีทำให้เกิดเสียงพึมเบาๆ    หากแล้วพอดนตรีทำทำนองตามด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจของนักร้องสาวมาดมั่น…    I will survive…..    เพลงสากลยอดนิยมทำนองครึกครื้นและร้องยากอย่างยิ่ง    เสียงปรบมือและเป่าปากเชียร์ก็ดังเกรียวกราว

สมาชิกในโต๊ะอดหันมองตามไม่ได้    แล้วทุกคนก็ต้องแปลกใจ ศรุตาไม่อยากจะเชื่อ    ที่ถือไมค์วาดลวดลายอยู่หน้าเครื่องดนตรี    ร่างอวบตุ้ยนุ้ยเคลื่อนไหวอย่างเชื่อมั่นเฉิดฉายอยู่ท่ามกลางแสงไฟสาดส่อง

ไม่มีใครตาฝาด    เธอคือโศภิต…!

ทุกคนในโต๊ะมองตาค้างอย่างคาดไม่ถึง    แม้รู้มาก่อนว่าโศภิตมีพรสวรรค์ซ่อนเร้นเรื่องร้องเพลงแต่ใครจะเชื่อว่าสาวคนนี้ที่ไม่มีความมั่นใจในตัวเองจะกล้าแสดงออกราวกับนักร้องอาชีพ…    คนอื่นๆ ที่ไม่รู้ กลับนึกว่าโศภิต กำลังแสดงออกเป็นปรกติที่เคยทำสม่ำเสมอ เพราะไม่มีความขัดเขินอยู่ในท่าทีเลยแม้แต่น้อย

รุ่งแสงถึงกับอ้าปากค้าง   ศรุตาหัวเราะออกมาอย่างชื่นบาน

จบเพลงแรก เพลงที่สองก็ตามติด    เพลงยากจังหวะเร็วและไม่ทิ้งลีลาการเคลื่อนไหว   ผู้ชมขยับตัวตาม    บ้างตบมือตามจังหวะอย่างมีอารมณ์ร่วม

“โศเก่งไหม”    หญิงสาวหันมาพยักพเยิด

“เก่งมาก”    ปรายเปรมเพิ่งจะหัวเราะร่าเริงจริงๆ เป็นครั้งแรก

“คุณปรายเป็นคนสร้างความเชื่อมั่นให้โศ”    เธอชูนิ้วโป้งให้

ชายหนุ่มหลิ่วตาตอบสนอง

เสียงปรบมือดังเกรียวกราวเมื่อจบเพลง เรียกร้องให้ร้องต่อ   แต่นักร้องจำเป็นคล้ายลานหมด    รีบส่งไมค์คืนแล้วก้าวลงจากเวทีด้วยสีหน้าซีดเผือด    ตัวสั่นก้มงุดๆ หลบสายตาคนที่ปรบมือมองตามเป็นแถวขณะเดินกลับมาโต๊ะ

“เก่งมาก    ยอดเลยโศ”    ทุกคนชมเป็นเสียงเดียว

หน้าเธอกลับเผือดสี    “กลับกันเถอะ”

“อ้าว    เกิดอะไรขึ้นหรือ”

“โศไม่ค่อยสบายค่ะ”

“เป็นอะไรไป”

“คุณปราย    ไปส่งโศหน่อยได้ไหมคะ”

ชายหนุ่มไม่ปฏิเสธ

ศรุตาเดินมาส่งซักถามเหตุผล    โศภิตมือเย็นตัวสั่น

“ก็เราไม่รู้ว่าเราขึ้นไปอยู่บนเวทีได้ยังไง    และที่ร้องทั้งสองเพลงนั่นก็ไม่ใช่เราซักหน่อย    แต่ว่าเป็นใครก็ไม่รู้…..”



จบบทที่ 14