โศภิตกระโจนเข้ากอด และมรุตก็ถึงกับเข้ามาประคองแขนแตะต้องเนื้อตัวซักถามเรื่องราวเมื่อหญิงสาวกลับมาถึงบ้านพัก คุณสมฉวีได้ยินเสียง พอออกมาเห็นก็ร้องลั่น
“ต้า…! มาได้ยังไงนี่”
“พวกมันปล่อยต้ามาค่ะ” เธอพูดฉาดฉาน ใบหน้าแจ่มใส เพราะนอกจากพ้นจาก มหันตภัยหยกๆ แล้วยังได้รับการต้อนรับอบอุ่น
สีหน้าคุณสมฉวีเผือดสีแต่ไม่มีใครเห็นผิดสังเกต “แล้วตำรวจจับพวกมันหรือเปล่า มันพูดยังไงกันบ้าง”
“ไม่ได้จับหรอกค่ะ มันปล่อยพวกผู้หญิงแล้วก็หนีไป”
“มันไม่ได้บอกว่าใครบงการเลยหรือ”
“ไม่ได้บอกค่ะ มันพูดแต่ว่าจะไม่ทำความชั่วอีกแล้ว”
“เฮ้อ โล่งใจไปที…..”
สีหน้างุนงงของคนอื่นๆ ทำให้คุณสมฉวีรีบปั้นยิ้มกล่าวแก้
“เอ้อ… คือว่าอาหวีโล่งใจที่ต้าไม่เป็นอะไรปลอดภัยกลับมาน่ะซิ แหม ตกอกตกใจกันไปหมด นี่เมื่อวานอาก็โทรศัพท์ไปบอกคุณเปี่ยม ประเดี๋ยวต้องรีบแก้ข่าวแล้ว ไม่อย่างนั้นจะเป็นห่วงกันไปใหญ่”
หญิงสาวนึกได้รีบพูดว่า “จริงซิ ต้าต้องรีบบอกให้แม่กับคุณย่าทราบก่อน ยิ่งหัวใจอ่อนกันอยู่ทั้งคู่ประเดี๋ยวจะไม่สบายกันไปใหญ่”
“โทรบอกคุณปรายด้วยนะ เห็นหน้าดำคร่ำเครียดขับรถตามหาทั้งวันทั้งคืน” คำบอกกล่าวของโศภิตทำให้อีกฝ่ายชะงักหันมาทันที ดวงตาใสๆ ทอประกายวูบ ทวนถามว่า
“คุณปรายน่ะหรือ ขับรถตามหาต้าทั้งวันทั้งคืน”
“ก็ใช่น่ะซิ เมื่อคืนกว่าจะกลับก็ดึก พอเช้าก็รีบออกไปอีก”
“โห…” น้ำเสียงรับรู้เจือหัวเราะ
มรุตเห็นประกายอบอุ่นฉาบดวงตาใสๆ ที่วาววาบ มุมปากบางสีอ่อนระบายยิ้ม สีหน้าเธอกระจ่างขึ้นกับความรู้สึกนึกคิดบางอย่าง
เขากลับพูดยิ้มๆ จงใจทำสีหน้ามีนัย
“ไปกับรุ่งแสง”
หญิงสาวหันมามอง คำพูดของเขาทำให้เธอผิดหวังวาบ
เธอเชิดปลายจมูก บอกโศภิตว่า “ที่แท้ตาปรายเค้าไปกับรุ่งก็เลยกลับดึกๆ ดื่นๆ เอาเรื่องออกไปตามหาต้าขึ้นมาบังหน้าต่างหาก”
ชายหนุ่มยิ้มรับเหมือนกับว่าเขาก็คิดอย่างนั้น
คุณสมฉวี พูดเสียงระรัว “เรากลับกรุงเทพฯ กันวันนี้เลยดีกว่า คุณมรุตขับรถของอาหวีไปก็ได้ ให้ปรายกับรุ่งเค้าไปด้วยกัน”
“แล้วคุณอาต้องไปเคลียเรื่องกับตำรวจก่อนหรือเปล่าครับ”
“โอย อาไม่ไปแล้วละ ทำเรื่องที่สถานีตำรวจยุ่งยากจะตาย”
ชายหนุ่มหันมาถามศรุตาว่า “ต้าจะแจ้งความหรือเปล่า”
คุณสมฉวีรีบแย้งว่า “อย่าแจ้งความเลยต้า ยุ่งยากเปล่าๆ ถ้าต้าเอาเรื่องพวกมันละก็ มีหวังต้องย้ายจากกรุงเทพฯ มาอยู่ที่นี่แน่ๆ”
“ความจริงต้าก็ไม่อยากเอาเรื่องหรอกค่ะ ไหนๆ พวกเขาก็สำนึกผิดแล้ว อีกอย่างหนึ่ง เขาหนีผลกรรม ที่ทำไว้ไม่พ้นหรอกค่ะ” เธอพูดอย่างเชื่อมั่น
ไม่มีใครหนีพ้นผลกรรมที่ทำไว้…..!
ปรายเปรมคงจะออกไปนอกพื้นที่ของสัญญาณโทรศัพท์ จึงติดต่อกันไม่ได้ คนที่บ้านเก็บของเสร็จแล้วได้แต่รอคอยอย่างกระสับ กระส่าย “ไปถึงไหนกันก็ไม่รู้ ติดต่อก็ไม่ได้”
สีหน้าศรุตาฉายความน้อยใจ
“คุณปรายนะ คุณปราย ทำแบบนี้ได้ยังไง”
“งั้นเรากลับกันก่อนก็ได้ครับ ทิ้งโน๊ตและสั่งคนดูแลไว้ พอพวกเขากลับมาก็รู้เอง”
ทุกคนตกลงทำตาม
ดังนั้น พอปรายเปรมขับรถพารุ่งแสงกลับมาในเวลาค่ำจึงพบแต่กระดาษโน๊ตและคำบอกเล่าของคนเฝ้าบ้าน ใบหน้าคร้ามที่มีสีหน้าเครียดขรึมกลับกระจ่างขึ้นในทันที
“ต้าปลอดภัยกลับมาแล้ว…!.”
“แหม แล้วก็ไม่รอ กลับกรุงเทพฯ ไปก่อนเฉยเลย ไปถึงไหนเป็นยังไงมาบ้างก็ไม่รู้ ไอ้เรารึเป็นห่วงแทบแย่ เที่ยวเดินถามหากับชาวบ้านจนรองเท้าขาดเลย” รุ่งแสงว่า
“เอาเถอะ งั้นเรากลับกันบ้างก็แล้วกัน”
“แหมปราย นี่ค่ำแล้ว และเราก็เหนื่อยด้วยกันทั้งคู่ พักอีกซักคืนจะเป็นไรไปนะ”
เขาลังเล “แต่ไม่มีใครอยู่ที่นี่แล้วนี่”
“แล้วเป็นไงล่ะ หรือว่าปรายกลัวผี”
“เราอยู่กันแค่สองคน ปรายกลัวว่ารุ่งจะเสียหาย”
“อย่าบ้าไปหน่อยเลย ปรายเหนื่อยมาทั้งวันขับรถกลับไม่ไหวหรอกเชื่อรุ่งเถอะ” เธอแกล้งพูดขึงขัง ชำเลืองมองใบหน้าคมที่คร้ามแดดจนเป็นสีเข้ม “แต่ถ้าปรายยืนยันจะไปก็ไปคนเดียวเถอะ แต่รุ่งจะนอนที่นี่อีกคืนหนึ่ง”
ชายหนุ่มจึงไม่มีทางเลือก เขาจะต่อโทรศัพท์ก็ปรากฏว่าไม่มีแบตเตอรี่
ศรุตาอดนึกถึงไม่ได้ แต่พอเธอต่อโทรศัพท์ถึงก็ได้ยินแต่เสียงตอบรับอัตโนมัติ เธอจึงโทรไปที่บ้านพักของคนดูแล
“กลับมานานแล้วขรับ แต่ตอนนี้บ้านปิดไฟมืด คงเข้านอนกันแล้วขรับ”
เธอหน้ามุ่ยกับคำตอบที่ได้รับ……
รุ่งแสงนอนกระสับกระส่าย ห้องกว้างและมืด มีเพียงเสียงน้ำทะเลและเกลียวคลื่นวิ่งกระทบชายฝั่งดังเป็นระยะ บรรยากาศวังเวงจนเธอฟุ้งซ่าน ไม่ใช่ว่าเธอกลัว แต่เธอถูกความรู้สึกนึกคิดบางอย่างรบกวนอย่างรุนแรงเมื่อนึกถึงชายหนุ่มที่นอนอยู่ในห้องข้างๆ
เธอพอใจเขามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ตั้งแต่ยังไม่เป็นหนุ่มเป็นสาวกันเสียด้วยซ้ำ จากเด็กชายหน้าคมขรึมที่มีประกายตาช่างคิดและจริงจัง จนมาเป็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ล่ำสันในทุกวันนี้ ความรู้สึกของเธอไม่เคยจืดจางลงเลย กลับนับวันยิ่งเพิ่มทวี
รุ่งแสงไม่ได้พักประจำอยู่ในบ้านเดียวกัน มีบ้างที่ห่างกันไปเป็นระยะเวลานานๆ ตั้งแต่โตเป็นสาวเธอก็มีเพื่อนชายที่ใกล้ชิดสนิทสนมหลายคน รักแล้วก็ร้างกันไปคนแล้วคนเล่า แต่ว่าเธอไม่เคยเสียใจหรือเสียดายใครจริงๆ จังๆ เธอกลับเจ็บปวดต่อท่าทีของชายหนุ่มที่มีต่อศรุตาที่แสนจะกะโปโลไม่มีความเป็นผู้หญิง และเจ็บปวดที่เขาไม่เคยสนใจใยดีเธอเลย
เธอลุกขึ้นเดินมาที่ประตูห้องชายหนุ่ม ขยับจะเคาะแล้วก็เปลี่ยนใจเดินกลับ หากแล้วก็เดินกลับมา จะเคาะแล้วก็ลังเลอีก
“กลัวอะไร ไม่ลองก็ไม่รู้” เธอปลุกปลอบตัวเอง
ปรายเปรมพลิกตัวเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู แล้วหญิงสาวซึ่งเป็นเสมือนญาติก็เปิดประตูเข้ามา
“คุณปรายหลับหรือยัง”
“อะไรหรือ”
“มีอะไรอยู่ในห้องรุ่งก็ไม่รู้ เสียงดังกุกๆ กักๆ”
“หนู กระมัง”
“อาจจะไม่ใช่หนูก็ได้ คุณปรายช่วยไปดูให้หน่อยซี” เธอทำน้ำเสียงวิตก ร่างสูงจึงลุกขึ้นเดินตาม
ชายหนุ่มเปิดดูตู้เตียงแล้วก็หันมาส่ายหน้า “ไม่เห็นมีอะไรเลย”
“แหม บ้านเก่าหลังเบ้อเริ่มอยู่กันแค่สองคน ไม่รู้ว่าเคยมีใครเจ็บใครตายหรือเปล่า”
“อ้าว นึกว่าเก่ง”
“ขอนอนด้วยคนได้มั้ย”
ชายหนุ่มนิ่งไป เริ่มระแวงว่าเธอมีแผนการณ์หรืออย่างน้อยก็ลองใจเขา “กล้านอนหรือ อันตรายกว่าผีนะ”
“ได้มั้ยล่ะ… ตอนเล็กๆ เราก็เคยนอนด้วยกันนี่นา” น้ำเสียงเธอออดอ้อน
“ได้ซิ” เขานึกว่าเธอจะไม่กล้า
ร่างเล็กๆ ที่เดินตามร่างใหญ่มีอาการกระหยิ่มยิ้มย่อง ชายหนุ่มเดินกลับห้อง ทิ้งตัวนอนที่ริมเตียงอย่างไม่อิดออด
“อย่าแตะต้องตัวปรายนะ ไม่งั้นมีเรื่อง”
เธอหัวเราะ
“ค่อยอุ่นใจหน่อย” เธอพูดเมื่อเอนกายลงนอนข้างๆ
แล้วชายหนุ่มก็หลับสนิท ทิ้งให้คนที่บอกว่ารู้สึกอุ่นใจ นอนลืมตาโพลงอยู่ทั้งคืน……
เพราะถูกรบกวนอย่างหนัก ด้วยภาพความใกล้ชิดของหนุ่มสาวที่เป็นเสมือนญาติ ที่ศรุตาทั้งเห็นด้วยตาและยังคิดสร้างเพิ่มเติมขึ้นเอง พอปรายเปรมโทรศัพท์มาหาในวันรุ่งขึ้น จึงได้ยินแต่น้ำเสียงเย็นชาและคำพูดที่ตัดรอน
“ต้าไม่เป็นอะไรหรอก คุณปรายไม่ต้องแกล้งมาทำเป็นห่วง”
“อ้าว ทำไมต้าพูดอย่างนั้น ปรายอุตส่าห์เป็นห่วงแทบแย่”
น้ำเสียงเธอประชดประชันแง่งอน จู่ๆ ก็กลายเป็นคนแสนงอนที่ไร้เหตุผลไปเสียเฉยๆ “คุณปรายไม่ต้องพูดหรอก ต้ารู้แล้วละ ว่าคุณปรายเป็นห่วงต้าแค่ไหน” เธอเน้นสุ้มทำเสียงได้อย่างน่าเกลียดน่าชัง
อีกฝ่ายไม่ถือสา “ต้าโกรธอะไร” ครั้นเห็นสายตาของรุ่งแสงเขาก็พูดว่า “เอาอย่างนี้ดีกว่า ประเดี๋ยวปรายถึงกรุงเทพฯ แล้วค่อยคุยกันนะ”
“ต้าไม่มีอะไรจะคุย ประเดี๋ยวต้าจะไปบริษัทกับพี่มรุต คุณปรายจะไปไหนก็ไปเถอะ วันหลังค่อยคุยกันก็ได้”
พอได้ยินชื่อ พี่มรุต อารมณ์โกรธก็พุ่งวาบ “งั้นก็ตามใจ” เขาพูดห้วนๆ แล้วตัดการติดต่อ
ศรุตาไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจตัดสาย เลยได้แต่ถือหูโทรศัพท์ค้าง แล้วก็เกิดอาการขุ่นเคืองปานกัน “ตาพี่ปรายบ้า ทำเป็นมาพูดดี ที่แท้ก็ไม่จริงใจ” เธอกระแทกโทรศัพท์กับหมอน
รุ่งแสงอดสะเทือนใจไม่ได้ แต่ก็ยังฝืนหัวเราะ “อะไรจะง้องอนกันขนาดนี้ สาวๆ มีตั้งแยะ มองคนอื่นซะบ้างซิ คุณปราย”
ชายหนุ่มได้แต่ทำหน้าบึ้งตอบสนอง…….
แต่ถึงอย่างไรความปลอดภัยขององค์อัปสราก็เป็นสิ่งที่ศรุตาเป็นห่วงกังวลที่สุด นึกโมโหตัวเอง ที่เลือกไปเที่ยวชายทะเลแทนที่จะให้ปรายเปรมพาไปวัดให้เสร็จๆ เรื่อง เธอต้องยอมรับว่าเป็นเพราะอยากไปเที่ยวกับมรุต แล้วอัปสราเองก็วางใจว่าคงจะไม่มีเรื่องทั้งยังทรงอยากเที่ยว
องค์อรดีฝืนจรรยาเทพทำเรื่องเหนือธรรมชาติให้เป็นที่จับตามองของบรรดาเทพหลายเรื่อง บางเรื่องเธอก็ทรงทำทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่ควร แต่บางครั้งก็ทำโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
“ตอนนี้ฉันต้องคอยกำบังกายไว้ ไม่รู้ว่าเทพอสูรสงสัยหรือยังและจะมาตามหาเมื่อไหร่” เธอพูดด้วยสีหน้าเป็นทุกข์ “ถ้าถูกจับได้ ท่านต้องเอาฉันถึงตายแน่ๆ”
“ต้าจะให้คุณปรายพาท่านกลับให้เร็วที่สุดเลยค่ะ”
เธอต่อโทรศัพท์หาชายหนุ่ม
หมายเลขโทรเข้าที่ปรากฏทำให้เขาแง่งอนเมินเฉย มิใยที่เธอจะโทรซ้ำเพื่อทิ้งข้อความไว้ “โทรกลับด้วยนะคุณปราย มีเรื่องสำคัญมาก”
ที่สุดเขาก็โทรกลับมา น้ำเสียงประชดประชัน
“มีอะไรจะให้รับใช้ขอรับกระผม”
“หมั่นไส้…! โทรหาตั้งหลายครั้งไม่ยอมโทรกลับ”
“ผมมีงานต้องทำนะ ผมเป็นลูกจ้างเขาไม่ใช่ลูกเศรษฐีเจ้าของบริษัทเหมือนคนบางคน”
“ประชดอีกแล้ว แล้วไปแขวะพี่มรุตเค้าทำไม”
“ผมยังไม่ได้แขวะใครเลย” น้ำเสียงตอบกลับขุ่นเคือง
ร่างงามของนางเทพมายืนอยู่ข้างๆ ศรุตา “ถ้าไม่ยอมกันอย่างนี้ฉันคงตายที่นี่แน่ๆ”
หญิงสาวจึงหยุดคำพูดที่กำลังจะพร่างพรูตอบโต้ไว้
“คุณปราย ต้ามีเรื่องคอขาดบาดตายนะ”
อีกฝ่ายนิ่งไปอึดใจ “มีเรื่องอะไร”
“เราต้องพาองค์อัปสราไปส่งที่วัด”
“เฮ้อ…..” เขาส่งเสียง
“นี่คุณปรายไม่เชื่อหรือ ฟังกันสักครั้งได้ไหม พอเสร็จเรื่องนี้แล้วต้าจะไม่ขออะไรอีกเลย”
ชายหนุ่มถามว่า “แล้วต้าจะเอายังไงล่ะ”
“พรุ่งนี้ก็แล้วกัน ช่วยพาต้าไปที่วัดนั้นที”
“พรุ่งนี้ผมไม่ว่าง ถ้าโดดงานอีกเจ้านายต้องโกรธแน่ๆ”
“งั้นมะรืนเอ้า”
“ตกลง มะรืนก็มะรืน” เขายอมเธอตามเคย
หากแล้วข่าวเรื่องคุณเปี่ยมที่คุณสมฉวีหน้าตาตื่นมาแจ้งให้ทุกคนได้ทราบ ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลง
คุณเปี่ยมโดนลักพาตัว…!