อัปสรา

>> ม.ล. กุลรัตน์ เทวกุล

อัปสรา

บทที่ 20

คืนนั้นสองสาวพร้อมใจกันเปิดไฟนอน   มีสาวใช้อาสาเข้ามานอนเฝ้าที่หน้าเตียง “อยากเห็นผีของคุณต้าจะได้ขอหวยซะเลย”

“อือ    ได้เลขอะไรมาบอกกันบ้างนะ”    คนอื่นๆ ตั้งความหวัง

เธอนอนไม่ค่อยหลับ    แต่ก็ฝันเห็นสาวสวยคนเดียวกันอีกหลายครั้ง   ความหวาดกลัวค่อยๆ หายไป

แต่เมื่อเธอเข้าไปหาคุณย่า   ใบหน้าอ่อนๆ ยังเจื่อนจางซูบซีด

“เป็นไงต้า    ได้ยินว่าเห็นผีเหรอ”    คุณย่าเย้ายิ้มๆ

“แหม    ข่าวล่ามาเร็วจริงๆ   ใครนะช่างมาเล่าให้คุณย่าฟัง”

“พอย่าลืมตาตื่น   นังแจ๋วก็เล่าทันที”

“เค้าบอกรึเปล่าคะว่าเข้าไปนอนรอขอหวยด้วย”

“บอกซิ    ย่าเลยบอกมันว่าถ้าอยากได้จริงๆ ย่าตายไปแล้วจะมาหามันทุกคืน”

“คุณย่าอ่ะ…..”

เธอเข้าไปบีบนวดลูบไล้โลชั่นให้    ยังเช้าอยู่ลูกเลี้ยงและลูกสะใภ้จึงยังไม่ได้เข้ามาสังสรรค์ด้วย    เมื่อก่อนนี้คุณสมฉวีดูแลเรื่องอาหารการกินของคุณย่า แต่ว่าตั้งแต่คุณประไพย้ายเข้ามา   เธอก็ถอยออกไปให้คนอื่นแสดงบทบาทบ้าง    หากไม่ใช่คุณประไพ   ก็เป็นหน้าที่ของสาวใช้และคุณนกนางพยาบาลที่จะคิดเมนูอาหารที่เหมาะสมให้คุณย่า

“คุณย่าขา… เอ่อ…    แล้วคุณย่าเคยเห็นผีไหมคะ”

“ย่าหรือ    อือ   ย่าเกิดมาตั้งนานป่านนี้ก็น่าจะเคยเห็นบ้างหรอกนะ   อาจจะเห็นโดยไม่รู้ตัวหลายครั้งแล้วก็ได้”

“งั้นคุณย่าก็เชื่อว่าผีมีจริงสิคะ”

“เชื่อซิ    แหม    ความจริงย่าว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์นะลูก    วิญญาณก็เป็นคลื่นความถี่ทางวิทยาศาสตร์อย่างหนึ่งใช่ไหม    กระแสความคิดของคนก็เป็นคลื่น    การที่เราเห็นผีก็เพราะว่าขณะนั้นๆ บังเอิญคลื่นมันรับกันได้    แต่เพราะว่าต่างสถานะต่างมิติกันถึงไม่ได้เห็นหรือสื่อสารกันนานๆ เหมือนอย่างเราๆ ที่เป็นคนด้วยกัน”

“โห    คุณย่าทันสมัยจริงๆ…..”

“ว่ากันว่าถ้าเห็นผีแปลว่าเขามาขอส่วนบุญ    พอเราทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ เขาก็พอใจไม่มาอีก”

“เอ่อ    แล้วพวกนางฟ้ากับเทวดาเล่าคะ    ชอบมาให้เห็นเหมือนกันหรือเปล่า    แล้วเขาจะเอาอะไรถึงมาคะ”

“ต้าเคยได้ยินไหมว่า    มนุษย์ขี้เหม็นเคี่ยวเข็นเทวดา    เทวดาท่านเบื่อมนุษย์ที่เหม็นแล้วยังคอยเคี่ยวเข็นจะเอาโน่นเอานี่ เลยหนีไปซะไกลๆ ดีกว่า    เทวดาท่านอิ่มทิพย์ไม่หิวไม่โหยไม่หวังส่วนบุญใคร    ถ้าท่านมาให้เห็นก็เพราะว่าท่านจะมาช่วยนะลูก”

หญิงสาวนิ่งเงียบไป    คุณย่าชำเลืองมองถามยิ้มๆ ว่า

“ตกลงต้าเห็นผีหรือว่าเห็นเทวดากันแน่ฮึลูก”

“ต้าเห็น…เอ่อ… นางฟ้าค่ะ    เป็นองค์อัปสราในรูปของคุณย่าไม่ใช่ใครที่ไหนหรอกค่ะ”

“อ้อ…”    คุณย่าหัวเราะ    ตั้งแต่เด็กศรุตาฝักใฝ่ใคร่รู้เรื่องราวขององค์อัปสราในภาพวาดจนท่านต้องปั้นเรื่องขึ้นมาเล่าบ่อยๆ    คุณย่าเดาว่าคงเพราะเหตุนั้นเธอถึงได้เก็บเอามาคิดมาฝันจนเป็นเรื่องเป็นราว

“องค์อัปสราเป็นเทพใจดี    ท่านให้แต่คุณไม่มีให้โทษ”

“แล้วคุณย่าเคยเห็นท่านไหมคะ”

คุณย่านิ่งคิด    สีหน้าลังเล    “เอ ไม่รู้ซิ… บางครั้งย่าคิดว่าเคยเห็นเคยพูดด้วย    แต่พอคิดอีกทีก็คล้ายๆ กับจะเป็นแค่ฝันไป คงจะฝันนั่นแหละ แต่ว่าเป็นฝันที่ฝังใจเพราะว่าย่าเองก็รักท่านมาก”

ถ้าอย่างนั้นศรุตาเห็นจริงหรือว่าฝันไปกันแน่

โศภิตแต่งตัวเสร็จแล้วเตรียมจะไปทำงานเดินมาตามหา   ศรุตา กลับพูดว่า    “วันนี้ต้าไม่อยากไปทำงาน    โศติดรถไปกับรุ่งเถอะนะ”

“อ้าว    แล้วต้าจะอยู่คนเดียวยังไงในห้องผีสิงนั่น”

“ต้าจะอยู่กับคุณย่า”

เพื่อนสาวยื่นหน้าเข้ามากระซิบกระซาบ    “แล้วไม่ไปทำความเข้าใจกับพี่มรุตหรือ วันนี้เขาอาจจะกลับมาหวานชื่นอย่างเก่าก็ได้”

“แล้วถ้าคุณเจนมาเขาก็ต้องเป็นแบบนั้นอีก    ยังไงๆ คุณเจนก็เป็นตัวจริงไม่ใช่ต้าสักหน่อย”    เธอพูดเศร้าๆ

“อ๋อ    โศรู้แล้ว    ความจริงไม่ใช่ผีสางที่ไหนหรอก    ต้าวิปลาสไปเพราะผิดหวังพี่มรุตนี่เอง”    อีกฝ่ายลงความเห็น

ศรุตาค้อนวาบ

เธอขลุกอยู่ในห้องคุณย่า    พอสายคุณประไพและคุณสมฉวีก็ผลัดกันเข้ามาพูดคุย    ยิ้มหวานเข้าใส่กันทั้งคำพูดก็ประจบประแจงเอาใจทั้งยังเยินยอกันเองอีกด้วย    หากศรุตาไม่ได้เคยแอบได้ยินทั้งสองฝ่ายพูดลับหลังกันมาก่อนคงนึกปลื้ม

“คุณฉวีนี่ดีจังเลยตื่นเช้าเสมอ    ฉันนึกว่าตัวเองตื่นเช้าแล้ว    แต่ออกจากห้องทีไรก็เห็นคุณฉวีทำนั่นทำนี่อยู่แล้วทุกที”

“หวีไม่ค่อยได้ทำอะไรนักหนาหรอกค่ะ    แค่คอยดูแลเด็กรับใช้ให้เขาทำงาน    ที่นี่มีคนไปมาหาสู่แยะเลยต้องให้เรียบร้อยอยู่เสมอ”

“ถ้าจะให้ช่วยอะไรก็บอกนะคะ   ฉันยินดี    จะได้มีอะไรทำบ้าง”

“เห็นคุณประไพคอยดูแลคุณแม่ หวีก็ดีใจแล้วค่ะ    คุณแม่เจอหน้าหวีทุกวันมาหลายปีคงเบื่อเต็มทีแล้ว    ใช่ไหมคะคุณแม่…..”

คุณประไพยิ้มหวาน   “ฉันก็อยากปรนนิบัติคุณแม่เหมือนคุณฉวีค่ะ    ห่างกันไปหลายปีเลยต้องขอชดเชยหน่อย    เออ   แล้วคุณนงนิตย์ล่ะคะ    มาคอยดูแลคุณแม่ทุกวันหรือเปล่า    ทำไมไม่ค่อยเห็น”

คุณสมฉวีขยับจะพูด    แต่เพราะว่าศรุตานั่งอยู่ด้วยเลยยั้งปากไว้

แม่มักอ่อนเพลียไร้เรี่ยวแรงจนต้องนอนพักอยู่ในห้อง    ไม่ได้มาประจบประแจงคอยปรนนิบัติเอาใจคุณย่า    เพราะอย่างนั้นก็มีบ้าง เหมือนกันที่คุณย่าน้อยใจขุ่นเคืองโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อลูกสะใภ้อีกสองคนเกทับลับหลัง

คุณย่าถามศรุตาว่า    “แม่เราเป็นอะไรกันแน่ สามวันดีสี่วันไข้ ไปหาหมอแล้วเขาว่ายังไงเมื่อไหร่จะหายสักที”

“ต้าก็ไม่ทราบค่ะ”

“ถ้าหมอรักษาไม่ได้ก็เปลี่ยนหมอเถอะ”

“นั่นสิคะ”    คุณประไพสนับสนุน


หญิงสาวอึดอัดใจจึงปลีกตัวออกมา   ย่องมาดูแม่    เห็นนั่งหลับอยู่กับเก้าอี้ที่ริมหน้าต่าง    คนสุขภาพดีคงไม่อ่อนเปลี้ยเพลียแรงเช่นนี้

เมื่อก่อนแม่ก็แจ่มใสแข็งแรง    ไม่กี่ปีมานี้จึงเริ่มอ่อนเปลี้ยเพลียแรงอย่างหาสาเหตุไม่พบ    เพราะเหตุนั้นกระมังจึงยอมจำนน ฝากเนื้อฝากตัวกับคุณเปี่ยม ไม่คิดจะไปไหนไม่ว่าอีกฝ่ายจะทำให้เจ็บช้ำระกำใจอย่างไรก็ตาม    คุณเปี่ยมมีความสัมพันธ์กับคุณสมฉวี ขนาดปรายเปรมยังรู้มาแต่ไหนแต่ไร    แม่ก็ต้องรู้เช่นกัน

…..แค่ได้อยู่กับลูกๆ เห็นลูกๆ สุขสบายแม่ก็พอใจ    ไม่ได้คิดหวังอะไรอีก…..

ศรุตากลับมาห้องของตัว ลังเลเมื่อจะก้าวเข้าประตู    เธอต้องนำเสียงคุณย่ามาช่วยปลุกปลอบใจ    …..เทวดาท่านอิ่มทิพย์ไม่หิวไม่โหยไม่หวังส่วนบุญใคร   ถ้าท่านมาให้เห็นก็เพราะว่าท่านจะมาช่วย…..    เธอนิ่งมองภาพวาดอัปสราแล้วก็รวบรวมกำลังใจเดินเข้าไปหา    เอาเถอะ    เป็นยังไงก็เป็นกัน    รู้สึกเหมือนแต่ละย่างก้าวยากเย็นจนเดินไปหยุด หลับตาแตะที่ภาพวาด

“องค์อัปสราเจ้าขา    ถ้าท่านจะมาช่วยต้าก็ขอให้แสดงองค์ชัดๆ ด้วยเถิดค่ะ…..”

ยังอธิษฐานไม่จบ    มือใครไม่รู้ก็มาแตะบ่า    ศรุตาหันมาแล้วก็สะดุ้งร้องลั่น

“ว้าย…..!”

สาวน้อยนางหนึ่งยืนยิ้มอยู่ตรงหน้า    ร่างกึ่งทึบกึ่งโปร่งแสงอยู่ในเครื่องทรงแปลกตาเหมือนออกมาจากละครรำไม่มีผิด

“อย่าร้องสิ    ไม่ต้องตกใจ    เธอเป็นคนเรียกให้เราแสดงตัวเองนะ”

เหมือนเสียงนั้นจะทำให้ความตกใจหายไป    ฉับพลันศรุตาก็รู้สึกคล้ายกำลังฝัน

“ต้ากำลังฝันใช่ไหมคะ”

“ถ้าเธอหายตกใจเมื่อไหร่เธอก็ตื่นได้เลย”

“ต้าอยากตื่นค่ะ”

“ตกลง   เอ้า    ตื่น”

หญิงสาวกระพริบตา    พอสติกลับคืนมาก็….    “ว้าย…!!”

ฯ ล ฯ


“ฉันถูกกักขัง    องค์เทวตาขังฉันไว้ที่วิหารเก่าในวัดนั้น…..”    นางเทพถ่ายทอดเรื่องราวความเป็นมาด้วยสีหน้ากึ่งเศร้า    “วันๆ หนึ่งผ่านไปอย่างเงียบเหงา    ฉันเห็นผู้คนมากมาย เหมือนๆ กับที่เห็นเธอ    แล้วไม่รู้ว่าทำไม    เหมือนมีสะพานเชื่อมเราฉันเลยตามเธอมาได้”

“สะพาน    เอ๋    ยังไงกันคะ…..”

“อธิบายง่ายๆ ก็คือ    คลื่นเรารับกันได้”

“คลื่นอีกแล้ว”    หญิงสาวพึมพำ    นึกทึ่งคุณย่าครามครัน

“คลื่นความถี่ยังไงล่ะ”

“เรื่องนี้คุณย่าเข้าใจดีค่ะ    เอ่อ   ท่านรู้จักคุณย่าหรือเปล่าคะ”

“ไม่รู้จัก”

“อ้าว    งั้นท่านก็ไม่ใช่องค์อัปสราของคุณย่าสิคะ”

“ไม่ใช่    ฉันไม่เคยติดต่อกับมนุษย์เลย    พอมีสะพานเชื่อมถึงศรุตา ฉันก็เลยตามมา    ทีแรกก็ไม่ได้ตั้งใจจะตามมาไกลถึงที่นี่ เพราะหากองค์เทวตาทรงทราบว่าฉันหนีมาคงโกรธและทำโทษรุนแรงแน่ๆ”

“แล้วทำไมท่านไม่รีบกลับไปล่ะคะ”

“ฉันกลับไม่ถูก…..”    เสียงตอบอับจน

“กลับไม่ถูก…!”    อีกฝ่ายส่งเสียงดังเพราะฉงนสงสัย “ท่านเป็นนางฟ้าทำไมถึงจะกลับไม่ถูกล่ะคะ”    เธอนึกค่อนในใจว่า    หรืออัปสรานางนี้จะเป็นนางฟ้าไร้ความสามารถ    มิน่าซิ เราอธิษฐานขออะไรก็เพี้ยนไปหมดเลย

น้ำเสียงไพเราะอ่อนละห้อย    “โลกข้างนอกไม่เหมือนที่ที่ฉันอยู่    ฉันไม่รู้มาก่อนว่าที่นี่จะวุ่นวายขนาดนี้    นอกอาณาเขตที่องค์เทวตาทรงกำกับไว้ เต็มไปด้วยวิญญาณและพวกเทพไร้ระดับที่คอยตอแยจะรังแก    เวลาตามเธอไปไหนๆ ฉันต้องหนีเข้าไปหลบในร่างมนุษย์บ่อยๆ”

“ทำไมท่านต้องเข้าไปหลบในร่างมนุษย์ล่ะคะ    ท่านเข้าไปได้ยังไง”

“มนุษย์บางคนจิตอ่อน    บางคนคลื่นตรงกัน    ฉันถึงเข้าไปได้    ร่างมนุษย์นี่แหละเป็นที่ซ่อนอย่างดีเพราะไม่มีผีหรือเทวดาจะกล้ามาทำร้าย    มนุษย์เท่านั้นที่ทำร้ายกันเอง”

หญิงสาวทำตาปริบๆ นิ่งฟัง    “แล้วที่เค้าว่าผีมาบีบคอคนจนตาเหลือกหายใจไม่ออกตายล่ะคะ”

“มีอย่างนั้นด้วยหรือ”    เสียงถามแปลกใจ    “คงเป็นเรื่องเล่าไร้สาระมากกว่ากระมัง    ชีวิตเป็นพลังธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่    ใครก็ตามที่ทำร้ายมนุษย์แม้เพียงนิดก็ถือเป็นบาป    หากเทวดาทำร้ายมนุษย์จะยิ่งบาปหนักต้องชำระมลทินนานเท่านาน”

“อืม    ต้าเพิ่งรู้    ดีจริง    ต่อไปนี้ต้าจะไม่กลัวผีอีกแล้ว”

“แต่ฉันกลัวนะ    ภูตผีบางตนอันธพาลร้ายกาจน่ากลัวมาก    พบฉันทีไรเป็นต้องรี่เข้ามาหา    เขากลัวมนุษย์เลยหันมารังแกเทพที่อ่อนแอ    ฉันเลยต้องเป็นฝ่ายหนีเพราะคงสู้เขาไม่ได้”

“เทพสู้ผีไม่ได้    เอ๋    ยังไงกัน…..    ขอโทษนะคะ    เอ่อ   ท่านเป็นนางฟ้ามานานเท่าไหร่แล้วคะ”    เธออดแคลงใจไม่ได้

“ไม่นานหรอก”    เสียงตอบอ่อน    “ถ้านับเวลา   ฉันก็เพิ่งจุติไม่นาน    ยังไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวอะไร    เพราะอย่างนั้นถึงได้…..”

“ถึงได้…..”   คนฟังนิ่งคอยอยู่นานจึงต้องทวนถาม

“เอ่อ…”    สำเนียงนั้นเลียนแบบนางมนุษย์สาวที่ตาแป๋วจ้องมองเธออย่างคาดคั้น    นางฟ้าก็รู้จักหลบตาคนเหมือนกัน    “ฉันทำอะไรผิดบางอย่าง    องค์เทวตาถึงได้ทำโทษกักขังไว้”

ศรุตาไม่ได้ถามว่าทรงทำผิดอะไร    “องค์เทวตาคงจะดุมาก”

เธอพยักหน้า    “หากทรงรู้ว่าฉันหนีมาท่านคงมาตามหา แล้วฉันคงโดนทำโทษแน่ๆ”

“องค์เทวตาไม่มีญาณทิพย์หยั่งรู้หรือคะว่าท่านอยู่ที่ไหน”

“องค์เทวตามีเรื่องต้องทำมากมายแล้วยังต้องบำเพ็ญภาวนาอีกด้วย    และหากท่านอยู่ใน วิมุติฌานก็จะละวางเรื่องทั้งหมดลง    อีกอย่างหนึ่งฉันกำบังกายซ่อนตัวไว้    อืม..    ฉันจะพูดเปรียบเทียบให้เธอเข้าใจนะ…    จากมุมมองเหนือโลกขององค์เทวตา    ตอนนี้ฉันก็คล้ายเศษผงที่ท่านมองหาไม่เห็น    หากฉันไม่แสดงสมบัติอิทธิฤิทธิ์แห่งเทพ   ท่านก็ตามหาฉันทางญาณทิพย์ไม่ได้ ทางเดียวที่จะพบก็คือลงมาในโลกมนุษย์ซึ่งท่านก็คงจะไม่ทำหรอก”

“ทำไมล่ะคะ”

“อย่างที่บอกแล้วว่าทรงมีเรื่องต้องทำมากมาย    นอกจากนี้ฉันได้ยินมาว่ากิเลสของมนุษย์ทำให้เทพมัวหมอง    เทพบางองค์ตบะยังไม่กล้าแข็ง    พอพบเห็นใกล้ชิดมนุษย์ก็ร่ำร้องใคร่กลับมาเกิดแทนที่จะบำเพ็ญเพียรสั่งสมบุญบารมี”

ศรุตาไม่เข้าใจจึงได้แต่พยักหน้าหงึกๆ

“จากวัดเก่าแห่งนั้นมาถึงที่นี่ต้องผ่านด่านภูตผีและเทพเทวดามากมาย    แต่ฉันก็ผ่านมาได้โดยไม่ถูกรบกวนเพราะว่าอะไรรู้ไหม”

“เพราะว่าท่านกำบังกายซ่อนอยู่ในตัวต้าใช่ไหมคะ”

“ไม่ใช่    ฉันตามมาเฉยๆ ไม่ได้หลบซ่อน    แต่ที่ไม่มีใครมาตอแยเลยเป็นเพราะเพื่อนของเธอ…..”

“เพื่อนของต้า…..”

“คนที่พามาจากวัด”

“อ๋อ    คุณปราย    ท่านซ่อนอยู่ในร่างคุณปรายหรือคะ”

องค์อรดีส่ายหน้า    “พลังจิตของเขากล้าแข็ง    ฉันครอบงำจิตใจเข้าอาศัยร่างเขาไม่ได้    เขาคล้ายเป็นเกราะคุ้มกันไม่ให้ใครกล้ามาทำร้าย    หากจะกลับ    ฉันจะปลอดภัยถ้าเขาพากลับไป”

“อืม    หลวงอาเปรมคงให้พระดีคุณปรายห้อยคอไว้กระมัง”

“คนๆ นี้ไม่ต้องห้อยพระหรอกศรุตา    เขามีพระในใจ    อืม    หรือบางทีเขาอาจจะเป็นเทพบริวารของพระผู้เป็นใหญ่รับบัญชามาจุติเพื่อช่วยเหลือมนุษย์ก็เป็นได้”

“โห    จะเป็นไปได้ยังไงกัน”    เธอร้องออกมา

หากจะมีเทพมาจุติจริง    ศรุตาคิดว่าน่าจะเป็นมรุตมากกว่า

มาดอย่างนั้นถึงจะน่าเชื่อว่ามีเชื้อเทพ…….



จบบทที่ 20