อัปสรา

>> ม.ล. กุลรัตน์ เทวกุล

อัปสรา

บทที่ 12

หลวงอาเปรมนั่งขัดสมาธิอยู่บนพรมหนาหน้าองค์พระพุทธรูป แวดล้อมด้วยแมวเหมียวหลายตัวเดินไปเดินมา ถือโอกาส “สี” สาวๆ หน้าตาเฉย ศรุตาเพิ่งรู้ว่าทำไมคุณหนูปรายจึงบ่นว่า “เวลามาหาหลวงพ่อต้องนั่งพับเพียบจนขาเป็นเหน็บซ้ำยังต้องดมขี้แมวอีกต่างหาก”

นายคนตัวโตพับขาเก้กัง สีหน้าบอกให้รู้ว่าไม่สบายเท่าไรนัก

หลวงอาเปรมเป็นพระที่สมถะถือสันโดษ แม้มีญาติโยมเคารพนับถือ พากันมากราบไหว้ทำบุญกับท่าน ท่านก็ไม่เก็บสะสมอะไรไว้เป็นส่วนตัว พอแขกกลับท่านก็ให้เด็กขนอรรถบริขารที่ได้รับถวายไปที่กุฏิท่านเจ้าอาวาสเพื่อบริจาคให้วัดเล็กๆ ที่ห่างไกลความเจริญ

ผู้คนกราบไหว้ท่านด้วยความเคารพศรัทธาจริงใจ ศรุตา มารู้จักเมื่อท่านบวชแล้ว ยิ่งนานก็ยิ่งรักเคารพโดยท่านไม่ได้เรียกร้อง

ในวันนี้ สีหน้าเธอซีดเซียวเจื่อนจาง พระสูงวัยได้แต่ปลอบด้วยความเมตตา

“มีปัญหาไม่สบายใจก็ตั้งสติไว้ให้ดี ค่อยๆ คิดค่อยๆ แก้ บางทีพอพิจารณามากๆ ก็จะเห็นว่ามันก็ไม่ได้ร้ายแรงเท่าที่เรานึก อย่าวิตกกังวลให้มากไปเลย”

เธอจะหลุดปากหลายครั้งแต่ก็ยั้งไว้ จะบอกท่านหรือ ไม่ได้กระมัง ก็คุณลุงเปี่ยมเป็นพี่ชายแท้ๆ ของท่านเอง

“ไม่รู้ว่าต้ามีปัญหาอะไร ปรายถามก็ไม่ยอมเล่าครับพ่อ”

“ถ้าเขาสะดวกใจจะเล่าก็คงเล่าออกมาแล้ว ปรายอย่ารบเร้าเซ้าซี้เลย น้องจะยิ่งไม่สบายใจไปเปล่าๆ……มา โยมต้า หลวงอาจะพรมน้ำมนต์ให้ จะได้เย็นๆ สงบใจลงบ้าง”

“สงสัยแค่พรมจะไม่พอมั้งครับ อาการหนักอย่างนี้ต้องสาดให้โชกทั้งตัวถึงจะช่วยได้”

เธอค้อนขวับทำหน้าง้ำ …เค้ากลุ้มใจจะแย่ยังคอยยั่วอยู่ได้…

เป็นหลวงอา ที่แนะนำวัดโบราณที่จังหวัดชายแดน แล้วปรายเปรมก็ขับรถคันเก่าพาเธอมุ่งไปอย่างไม่เกี่ยงงอน

‘…ถ้าว่างก็ไปเที่ยวกันซิ เขาเล่ากันว่าพระประธานศักดิ์สิทธิ์นัก คนไปอธิษฐานขอให้ท่านช่วยได้ผลกันเยอะ อ้อ ที่นั่นมีพระวิหารเก่าที่ทางการสงวนไว้รอการซ่อมแซมบูรณะเลยไม่มีใครเข้าออก หลวงอาเคยเข้าไปนั่งสงบจิตใจภาวนาแล้วรู้สึกนิ่งลึกปลอดโปร่งดี ลองเข้าไปดูซิ แล้วมาเล่าให้ฟังบ้าง…’

ศรุตาเหมือนคนใกล้จมน้ำ เห็นอะไรก็รีบคว้า กราบลาพระแล้ว พอปรายเปรมถามว่า “จะไปวัดที่พ่อบอกกันไหม” เธอก็พยักหน้า

“ถ้าคุณปรายว่าง ขับรถไปเที่ยวกันก็น่าจะดีนะ”

“เพื่อต้า ปรายว่างเสมอละ เดี๋ยวดูแผนที่ก่อนว่าจะไปเส้นทางไหนดี”

ชายหนุ่มหยิบสมุดแผนที่ทางหลวงที่ติดรถ มาคลี่พลิกหาหน้าที่ต้องการ หญิงสาวเมินหนีเจ้าเส้นสายยุ่งเหยิงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของอีกฝ่าย ที่สุดเขาก็พารถมุ่งหน้าไปตามทิศทางที่เลือก

แสงแดดอบอุ่น คนนั่งข้างๆ ส่งเสียงร้องเพลงครึกครื้น

กว่าสามชั่วโมงจึงถึงวัดซึ่งอยู่ไกลจากชุมชน แม้กระนั้นรถราที่จอดเรียงรายและผู้คนที่เดินพลุกพล่านบริเวณโบสถ์ใหญ่ก็บอกให้รู้ถึงความเลื่องลือในกิติศัพท์ขององค์พระประธานตามที่หลวงอากล่าวขาน ศรุตาตามร่างใหญ่เข้าไปจุดธูปไหว้พระ แล้วนั่งหลับตาพึมพำอธิษฐานอยู่นาน

พอลืมตา หญิงหนึ่งในกลุ่มคนที่นั่งอยู่ด้วยกันและคงจะมองดูเธออยู่นานแล้วก็กระซิบถามว่า “มาขอลูกกับท่านหรือจ๊ะหนู”

หญิงสาวสะดุ้งเฮือก ปรายเปรมกลั้นหัวเราะ ตีหน้าซื่อตอบโต้ “ทำไมคุณน้าทราบละครับ”

เธอพูดด้วยท่าทีเป็นจริงเป็นจัง “ก็เห็นจูงกันเข้ามาท่าทางรักกันเหลือเกิน ท่าจะเพิ่งแต่งงานละมัง เอ๊ะ หรือว่ายังไม่ได้แต่งแล้วมาอ้อนวอนขอให้หลวงพ่อท่านช่วย พ่อแม่ไม่เห็นด้วยหรือไงจ๊ะ”

ศรุตาขยับจะคลานถอยห่าง พลันมือใหญ่ก็คล้องแขนเธออย่างถือวิสาสะ ดึงกลับแล้วยังแกล้งยึดไว้อย่างจงใจยั่วเย้า “ครับ ผู้ใหญ่ขัดขวางผมเลยต้องพาเธอหนีแล้วไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไป”

ถ้าไม่เกรงใจคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่รอบๆ หลับตาพนมมืออธิษฐานบ้าง มองพวกเธอกันอยู่บ้าง เธอคงถล่มนายคนรับสมอ้างยับเยินไปแล้ว

สตรีที่นั่งข้างๆ ทำท่าทีเห็นใจ “โถ วัยรุ่นก็อย่างนี้ ค่อยๆ คิดนะคะ ถึงยังไงพ่อแม่ก็รักเรา พยายามหาจังหวะเข้าไปขอขมาลาโทษท่านซะ ยังไงๆ ก็ได้กันแล้วใครคงแยกหนูจากกันไม่ได้หรอกค่ะ”

“ครับ ผมก็คิดว่า…..โอ๊ย…..” เสียงอุทานดังขึ้นเสียก่อนเมื่อปลายเล็บอีกฝ่ายกดหมับลงที่ท่อนแขนอย่างอดรนทนไม่ได้ ศรุตาตีสีหน้าอ่อนซื่อเมื่อสตรีทั้งสองหันมามองอย่างแปลกใจ

“ขอบพระคุณคุณน้าที่แนะนำค่ะ แต่ที่พ่อแม่ของหนูกีดกัน ก็เป็นเพราะท่านฉลาดมองคนออกต่างหากคะ หนูเพิ่งรู้ว่าไม่น่าดื้อเลย ท่านอาบน้ำร้อนมาก่อนแท้ๆ”

“อ้าว เอ๊ะ…..” สายตาที่เบนมามองชายหนุ่มเปลี่ยนจากเอ็นดูและเห็นอกเห็นใจเป็นข้องใจเต็มที่ เธอหันกลับมาถาม

“ทำไมหลานสาวพูดอย่างนั้นจ๊ะ”

หญิงสาวตีหน้าเศร้า “ก็แต่ก่อนหนูไม่เคยต้องทุกข์ทรมานใจอย่างนี้เลยค่ะ”

“อ้าว ตายจริง… นี่หลานชายเกเรหรอกหรือ ไม่น่าเลยรูปร่างหน้าตาออกจะดีอย่างนี้”

“ฮึ สมัยนี้ดูคนที่รูปร่างหน้าตาไม่ได้จริงๆ นะเนี่ย”

สายตาหลายคู่หันมาจ้องมองชายหนุ่ม

“ที่รักจ๋า กลิ่นธูปทำให้คุณเวียนหัวแล้ว ออกไปข้างนอกกันดีกว่า” ร่างใหญ่ขยับตัวดึงแขนเธอให้คลานตาม เดินเข่าคล่องแคล่วเป็นพิเศษ พอพ้นระยะก็ลากแขนเดินอ้าวก่อนจะหันมาต่อว่าต่อขาน

“โห คุณหนูต้าแน่มาก ปรายเกือบโดนประชาทัณฑ์ตรงนั้นแล้วไหมล่ะ”

“อ๊าว ต้าก็เล่นตามน้ำไปเรื่อยๆ นึกว่าคุณปรายชอบซะอีก โห… หนีตาม… ทำไมเค้าถึงเชื่อกันนะ เค้าดูถูกสายตาชั้นกันขนาดนั้นเทียวหรือนี่”

“ทำไม ปรายเป็นยังไง” เสียงถามชักเข้ม

“ไม่เป็นยังไงหรอกค่ะ หล่อมาก…… หล่อจนใครเห็นก็ต้องอึ้งเลยแหละ”

“เมื่อกี้นี้เค้ายังพูดกันเลยว่าปรายรูปร่างหน้าตาออกจะดี”

“เฮ้อ….. เอาเถอะ ดีก็ดี” ไหนๆ เขาก็ขับรถพามาตั้งไกล เธอเลยยอมให้

เสียงถามห้วน ใบหน้าคมเข้มบูดบึ้ง “ต้องเป็นพี่มรุตใช่ไหม ถึงจะหล่อถูกใจต้า”

“ใช่” เธอพูดตรงกับใจ สีหน้ากระจ่างบาดใจอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว ไม่รู้ว่าเขากังวลเต็มที่อยู่แล้วที่มรุตกำลังจะย้ายเข้าไปอยู่ใต้หลังคาเดียวกับเธอ “ต้าว่าพี่มรุตหล่อที่สุด”

“หล่อแล้วดีตรงไหน”

“ก๊อดีตรงที่หล่อไง”

ชายหนุ่มอารมณ์บูดจนลืมนึกถึงพระวิหารเก่าที่พระหลวงพ่อกล่าวถึง พาเดินลิ่วไปที่รถเปิดประตูให้เธอขึ้นนั่ง บ่นพึมพำ

“เพิ่งรู้ว่าต้าหลงรูปขนาดนี้”

พอรู้ตัวว่าทำให้คู่ซี้อารมณ์เสียเกินขนาดเธอก็เลยเงียบ

พอออกรถ อาการเคลื่อนไหวผิดแปลกทำให้ชายหนุ่มต้องจอด “เวรกรรม…!” เขาอุทานเสียงดัง

“อะไรเหรอ”

ร่างสูงเปิดประตูไปก้มดูยางล้อรถ ส่ายหน้าดิกทำเสียงจึ๊กจั๊กในปาก เขาเดินกลับมาบอกเธอ “ยางรั่ว”

เธอรีบเปิดประตูตามออกมาสำรวจ “ก็เปลี่ยนซิ”

“ผมเพิ่งถอดยางอะไหล่ให้เพื่อนยืมไป ก็ขับรถกี่ปีๆ ไม่เคยมีปัญหา เพิ่งจะคุณหนูต้านี่แหละนำโชคดีมาให้”

“โอ๊ย มาทางไกลไม่มียางอะไหล่ได้ยังไงฮึ ถ้าชั้นรู้ ชั้นไม่มาด้วยหรอก”

“นั่นซิ ตอนต้าชวน ปรายถึงไม่บอกไง”

เธอฮึดฮัด “ทีหลังถ้าจะชวนใครไปไหนชั้นคงต้องถามก่อนแล้วละว่ามียางรถมาด้วยหรือเปล่า อะไรจะประมาทขนาดนี้”

“อ่ะ ถามให้ดีๆ นะ ประเดี๋ยวคนอื่นเข้าใจผิดจะตีความหมายอย่างอื่น”

ทีแรกเธองง ชายหนุ่มแกล้งทำตาวาวลูบเลียริมฝีปากแผล็บๆ เธอนึกออกทุบตุ้บเข้าให้

“อีตาบ้าคิดไม่ดี”

“แหม ก็ปรายเตือนด้วยความหวังดีนะ กลัวต้าจะเที่ยวไปถามหนุ่มๆ ว่า…..” เขาลอยหน้าทำสุ้มทำเสียง “พก…ยาง… มาด้วยรึเปล่าคะ ประมาทอย่างคุณปรายไม่ได้น๊า…..”

เธอทุบให้อีกตุ้บแหวใส่ “เลิกพูดได้แล้ว….. ฮึ… แล้วคืนนี้ต้องนอนเฝ้าวัดมั้ยเนี่ย”

“ปรายจะจ้างรถเอายางไปปะ คงไม่นานหรอก”

ขณะที่ร่างใหญ่กุลีกุจอถอดล้อยางอย่างขันแข็ง เธอก็เดินไปเดินมามองไปรอบๆ พอนึกได้ก็พูดว่า “คุณปราย ต้าจะไปรอที่พระวิหารเก่าที่หลวงอาพูดถึงนะ ไหนๆ ก็มาแล้ว”

“ตามใจ ไปถูกไหม”

“น่าจะเป็นตรงนั้นนะ”

ชายหนุ่มมองตามแล้วพยักหน้า “เสร็จแล้วปรายจะตามไป”


ทางเดินที่ทอดไปยังพระวิหาร ปูด้วยหินมีตะใคร่และหญ้าขึ้นมากกว่าบริเวณอื่น ต้นไม้ร่มครึ้มเป็นระยะช่วยบังแดดจ้ายามบ่ายไว้ได้บ้าง พอเข้าสู่ภายในก็ยิ่งเงียบและเย็นเยียบ เธออุ่นใจที่พบว่าภายในไม่ถึงกับร้างผู้คน เจ้าหน้าที่ของทางการกำลังทำงานบูรณะซ่อมแซมงานศิลปกรรมตามผนังหินกันเงียบๆ

น้ำเสียงเย็นๆ ของหลวงอาที่เธอนับถือศรัทธาก่อให้เกิดความรู้สึกที่ดี ‘…..หลวงอาเคยเข้าไปนั่งสงบจิตใจภาวนาแล้วรู้สึกนิ่งลึกปลอดโปร่ง…..’ เธอยกมือไหว้กราดไปทั่วอย่างขออนุญาตตามที่ผู้ใหญ่สั่งสอนมา ‘…..ไปที่ไหนต้องยกมือไหว้แสดงคารวะไว้ก่อน หากมีเทวดาอารักษ์ เจ้าที่เจ้าทาง ท่านจะได้ยินดีต้อนรับ…..’

งานศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมโบราณบอกระยะเวลายืนยงยาวนาน สภาพดินหินแปรเปลี่ยนสึกหรอ แต่โครงสร้างก็ยังแข็งแรงอย่างน่าทึ่ง รูปสลักเทพยดาที่ข้างฝาแม้มีแตกหักไม่สมบูรณ์ แต่ก็คงความงดงามคงขลัง เธอเพลินเดินชมไม่รู้เบื่อหน่าย รู้สึกวางใจจนพอพบที่สงบก็ลงนั่งหลับตาพนมมืออธิษฐาน

…..เจ้าประคุ๊ณ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายโปรดช่วยลูกด้วย ขอช่วยให้เรื่องร้ายทั้งหลายกลับกลายเป็นดี ขอให้คุณย่าพ้นจากการถูกปองร้ายหายป่วยหายไข้ ขอให้ลุงเปี่ยมกลายเป็นคนใหม่ที่ทำร้ายใครไม่ได้ ขอให้คนไม่ดีหายไปจากครอบครัวของเรา…..

เธอรู้สึกดีขึ้นเมื่อลืมตา

ได้กลิ่นหอมเย็นแปลกๆ พร้อมๆ กับเงาใครก็ไม่รู้เคลื่อนผ่านหายไป เป็นผู้ชายตัวสูงที่คล้ายสว่างใสอยู่ในความมัวสลัวของสถานที่

คุณปรายมาตามกระมัง

หญิงสาวเดินตามออกมาไม่เห็นจึงย้อนกลับเข้าไปดู เข้าห้องโน้นออกห้องนี้ก็ไม่เห็นว่าจะมีใครนอกจากเจ้าหน้าที่จากกรมศิลปากรที่ทำงานกันเงียบๆ หันมายิ้มทักทายให้เธอ

“เห็นผู้ชายตัวสูงๆ ผ่านไปหรือเปล่าคะ”

“ไม่เห็นมีใครนี่ครับ”

เอ๋ ยังไงกัน ก็เธอเห็นจริงๆ นี่นา หรือว่าตาปรายแกล้งหลบให้เธอร้อนใจเล่น ‘...ฮึ แกล้งก็แกล้งกัน ดีละจะให้หาซะให้เข็ดโทษฐานที่แกล้งเราก่อน…’ คิดอย่างกระหยิ่มยิ้มย่องแล้วเธอก็ซอกซอนเข้าช่องโน้นออกช่องนี้ไปเรื่อย

ตรงนี้ก็อีก… ที่เต็มไปด้วยหินสลักเป็นรูปเหล่าทวยเทพ เอ๋ ดูให้ดีเห็นมีแต่นางฟ้าทั้งนั้นเลยนี่ ผมยาวเกล้าส่วนบนเป็นมวยสวมรัดเกล้าอะร้าอร่าม นั่นไง ทำไมจะไม่รู้ว่าเป็นผู้หญิง ก็แขนเรียวไหล่บางเอวคอดอ่อนช้อยอวดช่วงอกอวบอิ่มขนาดนั้น จะเป็นเทวดาไปได้ยังไง

รูปสลักนางฟ้าองค์หนึ่งอยู่สูงขึ้นไป ดูสวยสมบูรณ์กว่าองค์อื่นๆ

อืม งามจริงๆ มือบางเอื้อมขึ้นไปจนสุดแขน รู้ว่าเขาห้ามจับเพราะจะยิ่งทำให้สึกกร่อน แต่ก็ขอแอบแตะเป็นบุญสักนิด…

ผนังหินเย็นเยียบแต่ปลายมือกลับร้อนวาบ

เธอถอยออกมายืนมอง สวยจังเลย ถ้าได้เกิดเป็นนางฟ้าก็ดีซิ

เอ แต่ว่าเป็นนางฟ้านี่จะมีความสุขหรือเปล่า ยิ่งถ้าต้องอยู่แต่ในวิหารเก่าร้างนี้คงไม่ดีแน่ๆ วันๆ คงผ่านอย่างเงียบเหงาเสียแรงเปล่า ที่ไหนๆ ก็เกิดเป็นนางฟ้าทั้งที

พื้นคล้ายไหวยวบตอบรับความคิดเธอ อืม หรือว่าจะหิวข้าว จริงแล้ว มัวแต่เสียเวลาเพราะยางรั่วเลยผ่านเวลาอาหารกลางวันไปหลายชั่วโมงแล้วนี่

เธอเดินกลับมาตามหาปรายเปรม

ชายหนุ่มเปลี่ยนยางล้อรถเสร็จพอดี “ไปกันได้แล้ว” เขาหันมาบอกแล้วหันกลับไป แต่แล้วก็หันขวับกลับมาจ้องมองเธออีกครั้ง

“อะไรเหรอ”

สีหน้าเขาออกฉงน “เปล่าหรอก ตาฝาดไปน่ะ”

“เห็นอะไร มียักษ์ตามต้ามาหรือเปล่า”

ชายหนุ่มยกไหล่ “สงสัยผมจะหิวข้าวจนตาลาย”

“อ้าว นึกว่าทานอิ่มแล้วซะอีก”

“จะทานก่อนได้ยังไง มาด้วยกันก็ต้องทานด้วยกันซิ”

เขาเปิดประตูรถให้เธอ จะสนิทกันแค่ไหน คุณหนูปรายก็เป็นสุภาพบุรุษเสมอ

ในระหว่างทางที่ขับรถกลับมาด้วยกัน ชายหนุ่มหันมามองเธออีกหลายครั้งด้วยสายตาที่แฝงไว้ด้วยความพิศวงสงสัย…..!

คืนนั้นเธอฝันยาวนานถึงภาพความเป็นไปในบริเวณวัดและพระวิหาร เห็นภาพผู้คนมากมายมากันด้วยพาหนะต่างๆ ตามเทศกาลสมัย หากไม่เช่นนั้นสภาพวัดก็กลับเงียบเหงาวังเวงเพราะอยู่ห่างไกลชุมชน คงสายแล้วเมื่อลืมตาตื่น เพราะคล้ายแสงจ้าส่องเข้าตา แล้วเธอก็สะดุ้งเมื่อเห็นองค์อัปสรายืนอยู่ตรงหน้าภาพที่คุณย่าให้…..!

หญิงสาวขยี้ตา ไม่มีองค์อัปสรา ภาพเก่าสงบนิ่งอยู่บนข้างฝา ท้องฟ้ายามรุ่งสางแม้สว่างแต่ก็ไม่ถึงกับมีแสงแดดจัดจ้า


เธอคงตาฝาดไป……..



จบบทที่ 12