คุณย่า อัปสร โอบอุ้มเลี้ยงดูคุณเปี่ยมและคุณเปรม ตั้งแต่ทั้งสองยังเดินเตาะแตะพูดไม่ชัด ผ่านการขัดแย้งมาบ้างเมื่อทั้งสองเริ่มเติบโตเป็นหนุ่มที่มีความคิดอ่านของตนเอง แต่คุณเปี่ยมอ่อนหวานเอาใจเก่งจึงเป็นที่รัก ในบัดนี้เมื่อต่างก็แก่ชราลง คุณย่ายิ่งรักใคร่เกรงใจคุณเปี่ยมเป็นที่สุด
ทรัพย์สินส่วนใหญ่ล้วนฝากไว้ในมือคุณเปี่ยม บางอย่างเป็นของคุณฉัตร ในฐานะทายาทตามกฎหมายของคุณปู่ ชิต เทวัญ สามีคนที่สอง แต่เพราะคุณย่าโกรธคุณฉัตรที่ตั้งตัวต่อต้านท่านแล้วยัง “ขโมย” คุณก้อยลูกสาวของท่านไป ก็เลยทำโทษทั้งคุณฉัตรและคุณก้อยด้วยการโอนทรัพย์สินเท่าที่จะทำได้ไปไว้ในมือคุณเปี่ยม
งานการทั้งหลายก็ค่อยๆ ปล่อยให้คุณเปี่ยมดูแล โรคภัยทำให้ท่านปลดปลงละวาง ท่านวางงานทั้งหมดเมื่อถูกโรคภัยคุกคามเมื่อไม่นานมานี้เอง ที่เคยซักไซ้ถามไถ่เรื่องต่างๆ ทั้งการงานและทรัพย์สินก็แทบไม่ได้เอ่ยปากอีกราวกับยกไว้ให้คุณเปี่ยมเป็นผู้จัดการแทนทั้งหมด
ท่านได้แต่นึกเสียดายอดีต คิดถึงคนที่ท่านละทิ้งสมัยเมื่อยังกระฉับกระเฉงแข็งแรง
เมื่อเร็วๆ นี้ท่านพูดว่า “ปรายกับต้าเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้ว ถ้ามันอยากจะเรียนกันต่อ พ่อเปี่ยมก็ช่วยจัดการให้ด้วย มันจะไปเรียนที่ไหน จะไปเมืองนอกต้องใช้เงินทองเท่าไหร่ก็ให้มันเถอะ ให้เรียนมากที่สุดจนกว่ามันจะเบื่อเรียน”
“ครับ คุณแม่” คุณเปี่ยมรับคำยิ้มๆ มองหลานชายและลูกเลี้ยงด้วยดวงตารักเอ็นดู
ปรายเปรมเมินหน้า ทำให้ดวงตาคมดุของผู้สูงวัยลุกวาบ
มือบางที่เหี่ยวย่นลูบศีรษะหลานชายคนโปรด
“ปรายมันอาภัพ มีพ่อก็เหมือนไม่มี”
ข้อนี้ปรายเปรมไม่เห็นด้วย แต่ก็ไม่ได้คัดค้านเพราะตระหนักถึงความน้อยใจของคุณย่าที่มีต่อบิดาเขา พระเปรม ทิ้งครอบครัวไปบวชโดยคุณย่าไม่ยินยอม เมื่อคุณย่ายังแข็งแรงดี พระเปรมไม่เคยกลับมาบ้าน นานๆ คุณย่าจะเยี่ยมกรายไปกราบผ้าเหลืองสักครั้ง เพิ่งจะมาตอนท่านเจ็บนี่เองที่พระเปรมเริ่มจะมา “โปรด” ที่บ้านบ้าง
คุณเปี่ยมต้อนรับคล้ายยินดี แต่ประกายตาวาววามเมื่อคนใกล้เคียงประซิบยุแหย่ว่า
“พระก็รู้จักเป็นห่วงสมบัติด้วย”
ในระยะแรกๆ เด็กชายปรายเปรมในความดูแลของลุง และแม่เลี้ยงไม่มีปัญญาไปกราบพระพ่อด้วยตัวเอง นานๆ คุณสมฉวีจึงจะพาไปสักครั้ง ก็ได้อาศัยคุณนงนิตย์ป้าสะใภ้ซึ่งยามนั้นยังแข็งแรงสดใสเป็นผู้พาไปโดยมีเด็กหญิงศรุตาเกี่ยวแขนไปด้วย ไม่นานต่อมาเขาก็เรียนรู้ที่จะนั่งรถประจำทางไปที่วัดเองบ่อยครั้งเท่าที่ต้องการ
พระพ่อ ใช้ชีวิตเรียบง่ายสุขสงบใต้ร่มเงาแห่งพระธรรม มีคนมาเยี่ยมเยียนกราบไหว้เสมอ ท่านต้อนรับแล้วยังสั่งสอนแนะนำด้วยความเมตตาเท่าเทียมกันไม่ว่าคนรวยหรือคนจน เขาไม่รู้สึกว้าเหว่อีกต่อไป เขาไม่ได้อาภัพ รู้สึกว่าตนเองมี ยิ่งกว่าพ่อด้วยซ้ำ
“ส่วนต้าก็เป็นผู้หญิง ไม่มีอะไรดีไปกว่าให้วิชาความรู้ให้มันรู้จักพึ่งตัวเองได้ อีกหน่อยมันก็ต้องแต่งงานออกไป ถึงเวลานั้นคงพ้นหน้าที่พ่อเปี่ยมละ”
มืออุ่นๆ ของคุณเปี่ยมวางลงบนศีรษะของศรุตา ความรักใคร่ผูกพันแผ่วาบ
“ปรายกับต้าไม่ใช่ลูกก็เหมือนลูก ผมรักเป็นห่วงเขาเสมอ คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ….. นี่ผมเพิ่งบอกให้ต้าไปทำงานด้วย แต่ถ้าอีกหน่อยเขาเบื่อทำงานอยากไปเรียนต่อ ผมก็จะตามใจเขาครับ”
สีหน้าของ “คุณหนูปราย” สะกิดใจศรุตา เมื่อก่อนเธอไม่เคยใส่ใจ แต่พอโตขึ้นเธอก็ชักรู้สึกขุ่นเคือง
“ไม่พอใจอะไรคุณลุงเปี่ยม” เธอรุกไล่ทันทีที่มีโอกาส
“ช่างเราเถอะ” ท่าทีสุ้มเสียงของเขาบอกว่ายอมรับ
“คุณลุงเปี่ยมน่ารักออกจะตาย เป็นพ่อที่ดี เป็นนายที่ลูกน้องรัก เป็นพ่อเลี้ยงที่ใจดีที่สุดในโลก”
“เฮอะ..!”
“บ้าจัง ตั้งแต่ย้ายออกไปนี่คุณปรายเที่ยวได้ไม่ชอบคนนั้นคนนี้ ขวางโลกเข้าทุกทีแล้ว”
“ช่างเรา…!” เขากระแทกเสียงอย่างดื้อดึง
ปรายเปรมไปสมัครทำงานตามทางของเขา โดยผ่านการสอบขั้นตอนยากๆ ขณะที่ศรุตาตามคุณเปี่ยมไปทำงานที่พ่อของคุณฉัตรเป็นผู้ริเริ่มสร้างขึ้นมา บริษัท ชิตเทวัญ เติบโตรุ่งเรือง รับงานใหญ่ๆ จากรัฐบาลมานานหลายสิบปีจนมีความสัมพันธ์กับบรรดาเจ้าหน้าที่และผู้มีอำนาจแน่นแฟ้น ตั้งแต่คุณย่าชราลงและเริ่มเจ็บป่วย คุณเปี่ยมก็ออกหน้าทำงานแทน ในบัดนี้เป็นคุณเปี่ยมที่เป็นที่รู้จักนับหน้าถือตาในสังคมคนชั้นสูงที่ร่ำรวย ขณะที่ท่านผู้ใหญ่ซึ่งเคยมีอำนาจที่คุณย่าเคยสนิทสนมด้วยก็แก่ชราวางมือจากการทำงานไปตามๆ กัน
ศรุตา เข้ามาฝึกงานเป็นผู้ช่วยเลขานุการของคุณเปี่ยม
คุณทิพา เป็นสาวใหญ่วัยกว่าสามสิบที่คล่องแคล่วและสดสวย เธอมีผู้ช่วยอยู่แล้ว โศภิต เพิ่งเรียนจบเข้ามาทำงานก่อนศรุตาไม่นาน แต่ว่าทำงานหนักกว่าศรุตาหลายเท่า
นั่งทำงานอยู่ใกล้ๆ กัน สาวน้อยร่างกลม ก้มหน้าก้มตาทำงานแทบไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองใคร แต่ศรุตากลับไม่มีอะไรจะทำ
“ให้ต้าช่วยไหม”
“ไม่รู้จะให้ช่วยอะไร งานพวกนี้คุณทิพาสั่งให้ทำ โศก็ต้องทำเอง ไม่งั้นอาจมีเรื่อง”
“ทำไม ไม่ไว้ใจกันเหรอ นึกว่าต้าทำงานไม่เป็นหรือยังไง”
“ม่ายช้าย… แต่ว่าไม่กล้า ประเดี๋ยวเจ้านายจะหาว่าเราไม่รับผิดชอบ”
เธอจึงหันไปหาเจ้านาย “คุณทิพาขา ของานให้ต้าทำบ้างซิคะ”
“น้องต้าว่างหรือคะ งั้นอ่านรายงานนี้ไปจะได้รู้ว่าใครทำอะไรกันบ้าง”
“อ้าววว…” นั่งอ่านรายงานนี่เป็นงานของผู้ช่วยเลขาฯ หรือคะ เธอไม่กล้าถามออกมาได้แต่ทำตาปริบๆ รับแฟ้มมาถือไว้ รายงานอะไรก็ไม่รู้ เรื่องปลีกๆ ย่อยๆ ไม่เห็นจะมีอะไรน่าสนใจเลย
เมื่อเข้ามาทำงานแรกๆ อีกเรื่องหนึ่งที่น่ารำคาญใจก็คือ
“วันนี้น้องต้าจะทานกลางวันอะไรคะ ให้แม่บ้านจัดให้ไหม หรือว่าจะไปกับพี่”
“ต้าจะไปทานก๋วยเตี๋ยวกับโศแถวๆ นี้แหละค่ะ”
“ร้านอาหารแถวนี้คนแน่นออก เดินไปแดดก็ร้อนด้วย ประเดี๋ยวหน้าสวยๆ จะหมองเปล่าๆ ให้แม่บ้านจัดให้ทานเถอะค่ะ”
คุณทิพาเอาใจจนเธอถึงกับวางตัวไม่ถูกไปพักหนึ่ง
มีบ้างเหมือนกันที่ ‘..วันนี้เจ้านายว่าง บอกให้น้องต้าไปทานกลางวันด้วยนะคะ..’ เมื่อนั้นศรุตาจะรับปากด้วยความยินดี คุณลุงเปี่ยมงานยุ่งและถูกผูกพันด้วยการพบปะนัดหมายกับผู้คนจนแม้แต่กลับบ้านไปทานข้าวกับภรรยาก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นเมื่อใดที่มีเวลาให้ศรุตา ต่อให้สิบช้างน้อยโศภิตก็ฉุดเธอไว้ไม่ได้
ท่าทีที่ คุณลุงเปี่ยม ปฏิบัติต่อเธอ ทำให้ทุกคนในที่ทำงานเอาอกเอาใจเธอราวกับเป็นบุคคลสำคัญ แม้แต่พนักงานอาวุโสในระดับผู้จัดการฝ่ายต่างๆ ก็ยังหลีกทางให้เธอ
“นี่คือลูกสาวผม…” คุณเปี่ยมแนะนำหน้าตาเฉย ทั้งๆ ที่ศรุตาใช้นามสกุลอื่นแท้ๆ
ทุกคนยิ้มยอมรับ แต่บางครั้งสายตาหลากหลาย ก็ส่งประกายแปลกๆ ทว่า ศรุตา มองไม่ออก
โศภิตยังเอ่ยปาก “นายใหญ่รักเธอจังเลย พ่อเลี้ยงฉันไม่เห็นดีอย่างนี้”
“แหงละ ก็คนมันน่ารักต่างกันนี่นา…..” เธอเกทับ
ผู้ช่วยเลขานุการของท่านผู้จัดการใหญ่ เป็นพนักงานใหม่ที่เพิ่งจบจากมหาวิทยาลัยทั้งคู่ นอกเวลาทำงานต่างก็จูงมือกันหัวเราะหัวใคร่ แต่ในเวลาทำงาน คนหนึ่งอ้วนเตี้ยใส่แว่นตา ก้มหน้าก้มตาทำงานทั้งวัน อีกคนหนึ่งสูงโปร่งสวยใส วันๆ หนึ่งแทบไม่มีงานจะทำเป็นชิ้นเป็นอัน
แม้คุณลุงเปี่ยมบังคับให้เธอแต่งชุดทำงานเชยสุดๆ ที่แม้แต่สาววัยคุณป้าก็ยังเมินหนี เหมือนพ่อที่เคร่งครัดหวงแหนลูกสาว แต่เสื้อตัวหลวมกระโปรงยาวคลุมเข่าไม่อาจพลางเรือนร่างสมส่วนไว้ได้ ผู้คนยังเหลียวมองส่วนโค้งส่วนเว้าที่ถอดแบบจากแม่เมื่อครั้งท่านยังเป็นสาว
เข้ามาทำงานได้ไม่กี่วัน ศรุตาไม่รู้ว่าหนุ่มที่คะนองปากบอกเพื่อนว่าจะจีบเธอคนหนึ่งถูกยื่นซองขาวให้ออกจากงานโดยถูกยัดเยียดความด้อยประสิทธิภาพในการทำงานให้โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
สาวน้อยแทบไม่มีงานอื่นทำนอกจากนั่งอ่านรายงาน พิมพ์นั่นพิมพ์นี่เล็กๆ น้อยๆ กับดูแลปรนนิบัติเจ้านายใหญ่
“ต้า ขอกาแฟให้ลุงเปี่ยมถ้วยนึง” คำสั่งนั้นดังมาตามสายโทรศัพท์ พอยกกาแฟเข้าไป คุณลุงก็ชวนพูดคุยจนเวลาผ่านไปนาน
ทีแรกเมื่อคุณลุงเรียกหากาแฟ ศรุตาส่งคำสั่งต่อให้แม่บ้าน คุณลุงถึงกับเรียกเข้าไปต่อว่า
“ทำไม แค่ชงกาแฟให้ลุงก็ทำไม่ได้หรือ”
หลังจากนั้นเธอเลยทำเองทุกครั้ง ดีซิ จะได้ทำอะไรสมหน้าที่ผู้ช่วยเลขานุการบ้าง
พอคุณลุงมีแขก เธอก็กระวีกระวาดยกถาดเครื่องดื่มเข้ามาบริการ แต่ท่าทีที่ผู้มาเยือนแสดงต่อเธอทำให้คุณลุงเปี่ยมไม่พอใจ ผู้หญิงที่มาด้วยกันหันมาปัดแขนเธอเข้าโดยไม่ตั้งใจ กาแฟกระฉอกออกมาเลอะเอกสารบนโต๊ะ มีผลให้น้ำเสียงเธอผู้นั้นขุ่นเขียว
“โอ๊ะ ระวังหน่อยซิ นี่เอกสารสำคัญนะไม่ใช่กระดาษชำระ”
นัยน์ตาคุณลุงเปี่ยมวาววาบ ลุกขึ้นเช็ดกาแฟที่หกด้วยตัวเอง น้ำเสียงเจือกระด้าง
“นี่ลูกสาวของผมเองครับ เพิ่งมาทำงานเลยยังไม่คุ้น ต้องขออภัยด้วย”
อีกฝ่ายสีหน้าเจื่อนจางทันที น้ำเสียงและคำพูดที่ตามมาเปลี่ยนเป็นคนละคน
หลังจากนั้นคุณลุงเปี่ยมก็เลยบอกเธอว่า
“ลุงชอบให้ต้าชงกาแฟให้ แต่ถ้ามีแขกละก็ ต้าไม่ต้องยุ่งนะ ให้คนอื่นเขาจัดการไปก็แล้วกัน”
คุณลุงเปี่ยมดีอย่างนี้มาตลอดแล้วจะไม่ให้ศรุตารักได้อย่างไร
ดังนั้นพอเห็นคุณปรายแสดงท่าทีไม่พอใจคุณลุงเปี่ยม เธอจึงเดือดร้อนต่อต้านจนทะเลาะกันเพื่อปกป้องพ่อเลี้ยง ท่าทีของเธอทำให้ปรายเปรมขุ่นเคือง ขาดการติดต่อไปหลายวัน
ไม่มาก็ช่าง ไม่เห็นจะง้อเลย……
วันหนึ่งศรุตาปวดท้องจนหน้าเซียว คุณลุงเปี่ยมกำลังจะไปข้างนอกผ่านมาเห็นเข้า “เป็นอะไรไปต้า หน้าตาไม่สบายเลย”
“ต้าปวดท้องค่ะ”
“อ้าว งั้นก็กลับบ้านไปซิ”
“รถยังไม่มาค่ะ อาหวีเรียกไปทำธุระ”
รถยนต์ของบริษัทขับรับส่งเธอทุกวัน “นายรัก” คนขับรถตัวดำร่างยักษ์อาศัยนอนอยู่ที่เรือนเล็กหลังตึกใหญ่ในบริเวณบ้าน รับใช้ทั้งคนที่บ้านและสำนักงานตามแต่ใครจะเรียก
คุณลุงเปี่ยมร่างสูงใหญ่เต็มไปด้วยสง่าราศรี ผิวขาวใบหน้าเจือเรื่อแดงประดับเส้นสายลายริ้วที่น่าดู เสื้อผ้าเรียบง่ายแต่ดูดีมีราคาโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีขนาดที่เหมาะเจาะรีดเรียบแทบหารอยยับย่นไม่ได้ รองเท้าหนังนุ่มสะท้อนเงาไร้คราบฝุ่นเกาะให้หม่นหมอง นาฬิกาและแหวนประดับเพชรพลอยที่สวมใส่ประกาศมูลค่าสูงลิบ
“ลุงก็มีธุระเสียด้วยเลยแวะไปส่งไม่ได้”
“ไม่เป็นไรค่ะ ประเดี๋ยวรถก็คงจะมา ต้ารอได้”
“งั้นเข้าไปนอนรอในห้องทำงานลุงซิ”
ห้องทำงานของท่านกรรมการผู้จัดการใหญ่ โก้หรูที่สุดในบริษัท นอกจากโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ที่มีเก้าอี้ตั้งประจัญสำหรับผู้มาติดต่อแล้ว ชุดรับแขกยังเป็นชุดเก้าอี้นวมหนาหนังแท้ที่นุ่มนวลน่านั่ง คุณทิพาเปิดประตูให้แล้วปิดตาม หลังจากถามไถ่อย่างเอาอกเอาใจว่าเธอต้องการอะไรหรือไม่ หยูกยาถูกหามาประเคน ศรุตาทานยาแล้วนอนพักชั่วครู่ก็รู้สึกดีขึ้น
บังเอิญแม่โทรศัพท์มา โศภิตต่อสายเข้ามาในห้อง ศรุตาจึงต้องลุกมารับที่โต๊ะทำงานของคุณลุง
“คุณลุงฉัตรจะพาน้องสาลี่มากราบคุณย่า ต้าช่วยหาซื้อของขวัญน่ารักๆ ให้ด้วย แม่อยากให้น้องสาลี่เป็นที่ระลึกจะได้มีความรู้สึกที่ดีกับที่นี่”
“เขาจะมากันเมื่อไหร่คะแม่”
“แม่ก็ไม่รู้ แต่ว่าคงเร็วๆ นี้แหละ”
“ซื้ออะไรดีคะ”
“เอ เด็กผู้หญิงอายุสิบขวบที่โตเมืองนอกจะอยากได้อะไร แม่ก็นึกไม่ออกเลยจริงๆ ยิ่งแม่กำลังไม่สบายเลยตื้อไปหมด”
“ลองถามสารัตถ์ดูดีไหมคะ ก็อายุสิบขวบเท่าๆ กัน”
“นายตุ้ยคงตอบว่าอยากได้หุ่นยนต์พิฆาตอย่างในทีวี แล้วน้องสาลี่จะชอบเหรอ”
“นั่นซิคะ” เธอหัวเราะอย่างอับจน
ระหว่างที่พูดโทรศัพท์ สายตาเธอสะดุดแฟ้มเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะ พอลาสายกับแม่ หญิงสาวก็หยิบแฟ้มขึ้นมาเปิดดู
ยิ่งดูก็ยิ่งสนใจ เธอเลื่อนเก้าอี้ตัวใหญ่ออกแล้วนั่งปักหลักอ่านอย่างจรดจ่อ คิ้วเข้มเรียวสวยได้รูป ขมวดเข้าหากันเป็นระยะ นานนับชั่วโมงคุณทิพาจึงเปิดประตูเข้ามา พอเห็นว่าศรุตากำลังทำอะไรก็ร้อง
“ตายจริง…!”
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองแล้วก้มลงอ่านต่อ
ร่างสวยในชุดเสื้อผ้าทันสมัยก้าวฉับๆ เข้ามาฉวยแฟ้มไปจากมือเธอ “น้องต้าคะ นี่สำหรับเจ้านายใหญ่เท่านั้น”
“อ้าว ต้าอ่านไม่ได้เหรอคะ”
“ไม่ได้ค่ะ เป็นแฟ้มลับเฉพาะของท่าน”
เธอหน้าเจื่อน “ก็ไม่เห็นเขียนว่าลับเฉพาะตรงไหนเลย”
“ยิ่งเขียน คนสู่รู้ก็ยิ่งอยากอ่านซิคะ” น้ำเสียงอีกฝ่ายกระด้าง
หญิงสาวลุกขึ้น เลื่อนเก้าอี้กลับเข้าที่เจื่อนๆ “ไหนคุณทิพาบอกว่าต้าต้องอ่านรายงานจะได้รู้ว่าใครทำอะไรกันบ้างไงคะ”
“ต้องอ่านรายงานที่ควรอ่านค่ะ”
“รายงานที่ให้อ่านไม่เห็นจะมีอะไร ทำไมทีเรื่องสำคัญอย่างนี้ต้ากลับอ่านไม่ได้……”
อีกฝ่ายเสียงเข้ม “นี่เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ มันซับซ้อนเกินกว่าเด็กๆ จะเข้าใจ น้องต้าไม่รู้เรื่องจะเข้าใจผิดและอาจเอาไปพูดทำให้เสียหายได้”
“ขอโทษค่ะ ต้าไม่รู้ว่าไม่ควร ต่อไปนี้ต้าจะไม่ทำอีกแล้ว”
เธอหน้าจ๋อย ปลีกตัวเปิดประตูออกมา ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายโทรศัพท์บอกเล่าให้เจ้าของห้องได้รับรู้อยู่อีกนาน
คุณเปี่ยมกลับมาถึงบ้านในตอนค่ำ พอมาก็ถามถึงศรุตา เธอนึกว่าจะโดนเอ็ดเสียแล้ว แต่ใบหน้าขรึมกลับประดับรอยยิ้มใจดี
“ลุงมีเรื่องจะคุยกับต้า”
สีหน้าเธอเจื่อนเมื่อตามคุณลุงเข้ามาในห้องที่ถูกจัดไว้สำหรับเป็นที่ทำงานของคุณลุงโดยเฉพาะ
“คุณทิพาบอกว่าต้าอ่านแฟ้มรายงานบนโต๊ะทำงานของลุง”
เธอหลบตา พูดเสียงอ่อย “ค่ะ… ต้าไม่รู้ว่าอ่านไม่ได้ ต้าขอโทษค่ะ”
“ใครบอกว่าอ่านไม่ได้” น้ำเสียงอีกฝ่ายเจือหัวเราะ ประกายตาวาบวับ “เรื่องราวทั้งหลายในบริษัท ถึงอย่างไรลุงก็ต้องให้ต้าได้รับรู้ไม่เคยคิดจะปกปิดเลย”
เธอรู้สึกกำลังใจมาเป็นกอง “จริงๆ หรือคะ”
“จริงซิ แต่ที่ตอนนี้ยังไม่ได้บอกก็เพราะเกรงว่าต้ายังไม่พร้อม ประเดี๋ยวจะรับไม่ได้ ว่าแต่ว่าต้าเล่าให้ใครฟังบ้างแล้วหรือยัง”
“ยังค่ะ…”
“ดีแล้วที่ไม่ได้เล่า แม่เราคงรับไม่ได้แน่ๆ ยิ่งคุณย่ายิ่งไม่ควรรู้…” ชายสูงวัยถอนใจ น้ำเสียงอ่อนเนิบนาบ “คุณย่าไม่เคยยอมรับว่าท่านทำให้งานเสียหายแม้ว่าความผิดพลาดที่ท่านทำไปจะทำให้ท่านคิดมากจนไม่สบายมาจนถึงตอนนี้ก็ตาม… ลุงทำรายงานมาหลอกว่าทุกอย่างราบรื่นดี ถ้าท่านรู้ความจริงลุงกลัวว่าอาการจะหนักไปกันใหญ่”
ที่ศรุตาประมวลรู้จากรายงานที่ได้อ่านก็คือ สถานการณ์ด้านการงานและการเงินของบริษัท ชิตเทวัญ กำลังอยู่ในภาวะวิกฤติ
“ต้าอยากช่วยคุณลุงค่ะ”
“ลุงก็อยากให้ต้าช่วย”
“จริงนะคะ” เสียงถามกระตือรือร้น “คุณลุงบอกมาเถอะค่ะ ต้าจะทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้”
“พูดจริงหรือ สัญญาไหม” เขายกมือขึ้น
เธอยกมือตาม “สัญญาค่ะ”
“งั้นเริ่มด้วยการไม่ต้องบอกใครก็แล้วกัน แล้วลุงจะให้ต้าเป็นผู้ช่วยที่ไว้ใจได้เพียงคนเดียว ดูซิว่าเราสองคนจะช่วยกันกอบกู้บริษัทของคุณย่าให้กลับฟื้นคืนดีได้หรือไม่”
มือใหญ่จับมือเธอแล้วดึงเข้าไปกอดไว้ทั้งร่าง
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ถูกพ่อเลี้ยงกอด สัมผัสใกล้ชิดแต่เด็กมาไม่เคยทำให้ศรุตารู้สึกผิดแปลก
เธอไม่เห็นว่าประกายตาของพ่อเลี้ยงวาววาม……….