อัปสรา

>> ม.ล. กุลรัตน์ เทวกุล

อัปสรา

บทที่ 10

ศรุตานอนไม่หลับทั้งคืน

รุ่งเช้าเธอบอกคุณเปี่ยมว่าไม่สบาย ขอลาหยุดงานหนึ่งวัน

“อ้าว เป็นอะไรไปอีก เมื่อวานยังเห็นหัวเราะหน้าใสอยู่เลย” สีหน้าคนถามอาทร อีกฝ่ายหลบตาก้มหน้างุด

“ต้าปวดท้องค่ะ”

“ปวดแบบไหน ปวดตรงไหน มีไข้หรือเปล่า”

“ไม่….. ไม่เป็นอะไรมากหรอกค่ะ เอ่อ… ต้าแค่….. แค่ปวดท้องเฉยๆ”


คุณเปี่ยมแปลกใจกับท่าทีหลบหูหลบตาของเธอ ใบหน้าอ่อนใสที่เคยยิ้มหัวเราะกันอย่างสนิทสนมบัดนี้เจื่อนจางลงจนผิดแปลก

“วันนี้ตามแม่ไปหาหมอซิ” เขาแนะนำ

แม่ของเธอเจ็บออดแอดมาเป็นปี อาการทั่วไปคืออ่อนเพลียเบื่ออาหาร ผอมแห้งแรงน้อยลงทุกวัน แม่ไปหาหมอแต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก นอกจากให้ยาบำรุงและแนะนำให้พักผ่อนมากๆ บางครั้งแม่ไม่สบายต้องเข้าโรงพยาบาล หมอก็รักษาโรคตามอาการมาเรื่อยๆ

หรือแม่ก็โดนวางยาด้วย…?

พอคิดแล้วศรุตาก็เอ็ดอึงด่าว่าตัวเอง เธอระแวงมากเกินไปหรือเปล่า เป็นไปได้หรือไม่ ที่ว่าน้ำเสียงกระซิบกระซาบของลุงเปี่ยมและอาหวีที่แสนดีไม่ใช่สิ่งที่เธอได้ยิน แต่เธอผิดเพี้ยนหูฝาดไปเอง

แต่พอเจอหน้าคุณสมฉวีเธอก็สะดุ้งสั่นสะท้านอยู่ข้างใน

“อาหารกลางวันค่ะ คุณแม่…..”

เธอมองตาค้าง ครั้นถาดอาหารถูกขยับเข้ามา เธอก็ร้องออกมาอย่างลืมตัว “คุณย่า อย่าทานค่ะ…..”

“หือ อะไรหรือต้า” คุณย่าและคุณสมฉวีถามพร้อมกัน แม่ก็พลอยหันมามองเธออย่างแปลกใจด้วย

“คือ… คือ… เอ่อ… แมลงวันมันตอมอาหารคุณย่าแล้วค่ะ”

“ไหนแมลงวัน ห้องนี้มีแมลงวันด้วยหรือ อาไม่เห็นมีซักตัว” คุณสมฉวีส่ายหน้ากวาดตามองหา

หญิงสาวหน้าเจื่อน “เอ่อ…คือเมื่อกี้นี้…..”

“ไม่เป็นไร แมงวันตอมซิดีจะได้เพิ่มความต้านทานให้ย่า” คุณย่าพูดพลางหัวเราะ

เธอมองคุณย่าอ้าปากรับอาหารที่คุณนกนางพยาบาลตักป้อนให้ด้วยอาการคล้ายหายใจไม่ออก คุณย่าเคี้ยวกลืนเฉย เธอค่อยคลายใจเมื่อนึกถึงน้ำเสียงพึมพำของคุณเปี่ยมขึ้นมาได้

‘…ไม่ต้องใช้ยา ขืนใช้ยาตอนนี้คงทิ้งหลักฐานไว้ให้พิสูจน์ได้ นายฉัตรไม่ปล่อยให้เรื่องผ่านไปง่ายๆ แน่ๆ…..’

แล้วพวกเขาจะทำอะไรกับคุณย่ากันแน่…..!



พออยู่กับมารดา ศรุตากลับพูดไม่ได้สักที “แม่คะ แม่คิดว่าลุงเปี่ยมเป็นคนยังไงคะ”

แม่มองเธออย่างแปลกใจ “ต้าถามทำไม”

“คือ….. คือว่าต้าอยากรู้ค่ะ”

“หนูว่าคุณลุงเป็นคนยังไงล่ะลูก”

“ต้าไม่รู้ถึงได้ถามแม่…..”

“ต้ารักคุณลุงมากไม่ใช่หรือ และคุณลุงก็รักต้า สำหรับแม่ เพียงสองอย่างนี้ก็นับว่าดีที่สุดแล้ว แม่ไม่น่าจะคาดหวังอย่างอื่นอีก”

“แม่รักคุณลุงมากใช่ไหมคะ”

คุณนงนิตย์หลบตา ฝืนยิ้มกลบเกลื่อนความในใจ “รักหรือไม่รักก็ไม่สำคัญ ทุกวันนี้เราอยู่ดีมีความสุข แม่มีลูกๆ อยู่ใกล้ๆ เห็นต้ากับตุ้ยสุขสบาย แค่นี้แม่ก็พอใจแล้ว”

“แต่แม่คะ แม่จะทำยังไงถ้า….. ถ้าคุณลุงทำไม่ดี…..”

“ไม่มีใครดีไปหมดหรอกลูก ทุกคนย่อมมีดีไม่ดีคละเคล้า ถึงคุณลุงทำไม่ดีแต่ถ้าเขาดีกับลูกๆ แม่ก็จะไม่แตะต้องยุ่งเกี่ยวด้วยเลย”

“แล้วถ้า….. ถ้าคุณลุงทำไม่ดีมากๆ ล่ะคะ…..”

“ไม่ดีมากๆ เช่นอะไรล่ะจ๊ะ”

“เช่น… เอ้อ… เช่น…”

สีหน้าอ่อนซูบเซียว ประกายตาหม่นมัวเหน็ดเหนื่อยที่ไม่เคยลดละความรักความห่วงใยจับมอง ศรุตาพูดไม่ออก น้องชายคนดีของเธอกอดรัดฟัดเหวี่ยงพ่อของเขาอยู่ทุกวัน ความรักที่คุณเปี่ยมมีต่อลูกชาย จริงใจไม่เคยเสแสร้งเธอก็เห็นก็รู้อยู่

เขาเองก็รักเอ็นดูเธออย่างจริงใจ หวงเธอไม่ผิดพ่อหวงลูกสาว ใครจะมาแตะต้องเธอไม่ได้แม้แต่หลานๆ ของสมฉวี



หญิงสาวไม่ได้ตามแม่ไปหาหมอที่แม่ไปหาเป็นประจำ เธอเอาแต่นอนเฝ้าคุณย่าและแอบจับตามองอาสะใภ้ผู้ซึ่งเดินเข้าเดินออกคอยดูแลเอาอกเอาใจคุณย่า สายตาพิศวงสงสัยที่เธอเผลอมองอีกฝ่าย ทำให้คุณสมฉวีที่ยิ้มอ่อนหวานประจบเอาใจคุณย่าเกิดความสงสัย

“ต้ามีอะไรหรือเปล่าคะลูก วันนี้ทำไมดูแปลกๆ พิกล” เธอถึงกับออกปากถาม

ศรุตาสะดุ้ง “เอ้อ… เปล่า… เปล่าค่ะ ต้าแค่ฟังอาหวีพูด…..”



ในตอนค่ำเมื่อกลับถึงบ้าน คุณเปี่ยมก็ถามแม่เธออย่างสนอกสนใจตามเคย “วันนี้ไปหาหมอหรือเปล่า หมอว่ายังไงบ้าง”

แม่บอกเล่าและเขาก็ซักถามนั่นนี่อยู่อีกนาน สีหน้าคลายใจแม้ไม่มีคำไหนของแม่สักคำที่บอกให้รู้ว่าคำวินิจฉัยของแพทย์ให้ทิศทางความหวังในทางบวก

ศรุตาที่นั่งฟังเงียบ ต้องสะดุ้งเมื่อคุณเปี่ยมหันมาถาม

“ต้าล่ะ หายปวดท้องหรือยัง ทำไมไม่ไปโรงพยาบาลกับแม่”

“ต้า… เอ้อ… ต้าหายแล้วค่ะ”

“เป็นอะไรไป….. ท่าทางแปลกๆ”

“ปละ… เปล่าค่ะ”

พอมีโอกาสเขาก็คลอเคลียหยอกเย้า แต่ว่าในวันนี้ “ลูกสาว” หน้าซีดตัวเกร็งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

พอเห็นปลอดคนคุณสมฉวีก็เข้ามากระซิบกระซาบบอกเล่า สีหน้าของคุณเปี่ยมเครียดขรึมลง

เขาเดินกลับมาถามภรรยาว่าศรุตาพูดอะไรถึงเขาบ้างหรือเปล่า คุณนงนิตย์เล่าโดยซื่อ

“ยัยต้าถามแปลกๆ ค่ะ ถามว่าถ้าคุณลุงทำไม่ดี แม่จะทำยังไง เออ จริงซิ ฉันมัวแต่อ่อนเพลียไม่สบายเลยไม่ทันได้ถามว่าเขาคิดอะไรขึ้นมา….. มีอะไรกันคะ ขัดใจกันหรือเปล่า”

ประกายตาคุณเปี่ยมวาบวับ “เปล่า ไม่มีอะไร เขาคงคิดฝันลมๆ แล้งๆ ขึ้นมากระมัง ต้าชอบจินตนาการสร้างเรื่อง ฝังตัวอยู่ในโลกสมมุติคุณก็รู้”

ในยามเด็ก เด็กหญิงศรุตาชอบเล่นตุ๊กตาและสร้างเรื่องเพ้อฝันจนมาเล่าได้เป็นตุเป็นตะ แม้เมื่อโตขึ้นเธอจะเลิกเล่นตุ๊กตาแต่ก็ยังเพ้อๆ ฝันๆ อยู่บ้าง เพราะอย่างนั้นจึงฝังใจเรื่องนางฟ้าของคุณย่านักหนา

ในวันรุ่งขึ้น คุณเปี่ยมมายืนมองเธออย่างจับสังเกต

“วันนี้ต้าจะไปทำงานหรือเปล่า”

สีหน้าท่าทางเธอยังหวั่นไหวไม่หาย “ขอต้าลาหยุดอีกวันได้ไหมคะ แบบว่าต้า….. เอ้อ ยังรู้สึกไม่ค่อยสบายค่ะ”

“ลุงเปี่ยมพาไปหาหมอดีไหม”

“ไม่เป็นไรค่ะ งั้นต้าไปทำงานก็ได้”

เธอแต่งชุดทำงานนั่งตัวลีบมาในรถ คุณเปี่ยมสังเกตเห็นแต่ไม่แสดงท่าทีผิดแปลก ชวนคุยนั่นคุยนี่เหมือนเคย

“ลุงฉัตรกับน้องสาลี่กำลังจะย้ายเข้ามา ต้าคงดีใจละซิท่า”

“ค่ะ ดีใจ ที่บ้านจะได้มีคนแยะๆ”

“ตอนนี้คนยังไม่แยะอีกหรือ นับไปนับมาก็มากกว่าสิบคนแล้วนะ”

“แต่บ้านใหญ่ เลยยังรู้สึกวังเวงค่ะ”

“ตอนคุณปู่ชิตปลูกบ้านหลังนี้ ท่านตั้งใจให้ลูกๆ หลานๆ อยู่รวมกัน ถึงได้มีห้องใหญ่ๆ หลายห้องและแบ่งเป็นหลายส่วนอย่างนี้”

“คุณปู่ชิตคงใจดีมาก น่าเสียดายที่ต้าไม่ได้เห็นท่าน”

“ใช่ ใจดี…..” น้ำเสียงพูดเจือหัวเราะ “ว่าแต่อีกหน่อยพอมรุตย้ายเข้ามา ต้าคงไม่อยากนั่งรถมาทำงานกับลุงเปี่ยมแล้วกระมัง มากับมรุตคงสนุกกว่าใช่ไหม”

“แหม พี่มรุตคงไม่อยากให้ต้ามาด้วยหรอกค่ะ”

“ทำไมจะไม่อยาก….. เขาอยากซิ เมื่อวานยังถามหาอยู่เลยว่าทำไมต้าไม่มาทำงาน”

“จริงหรือคะ พี่มรุตถามถึงต้า…..” น้ำเสียงถามกระตือรือร้น

คุณเปี่ยมหัวเราะในลำคอ “แต่ว่าลุงเปี่ยมจะให้ต้าทำงานที่บริษัทชิตเทวัญอีกไม่นานแล้วนะ อีกสักพักก็จะให้ย้ายมาทำที่บริษัทราชันย์แล้ว”

เธอนิ่งเงียบทันที ที่เคยดีอกดีใจว่าจะได้มาทำงานที่บริษัทใหม่ก็กลับเปลี่ยนท่าทีเป็นวิตกกังวล

คุณเปี่ยมมองอย่างจับสังเกต



ร่างสูงในชุดทำงานเรียบหรูที่เดินมายืนหน้าโต๊ะทำงานทำให้หญิงสาวสะดุ้ง สีหน้าเผือดยิ้มเรี่ยๆ เมื่อเห็นใบหน้าขาวจัด ที่มีรอยเคราเขียวๆ ยิ้มให้

“พี่มรุต…..”

“เมื่อวานทำไมไม่มาทำงาน”

“เอ้อ….. คือว่าต้า…..”

“ไม่สบายหรือ” เขาถามเมื่อเธอมีอาการคล้ายคนสมองฝ่อ คิดคำพูดง่ายๆ ก็ยังไม่ได้

“ค่ะ ไม่ค่อยสบาย”

“เลยไม่ได้ทานข้าวด้วยกัน”

ใช่แล้ว เธอเพิ่งนึกได้ว่าตั้งแต่วันที่เธออธิษฐานขอให้คนที่จะเป็นเนื้อคู่ชวนเธอทานข้าว มรุตก็ขอแล้ว แต่คนที่พาไปทานจริงๆ กลับเป็นอีตาคุณหนูปรายจอมยุ่ง ทำให้เธอสับสน หวังว่าหนุ่มในฝันจะได้แก้ตัว พาไปในวันรุ่งขึ้น เพราะว่า “…ขอให้เขาพาไปภายในวันสองวันนี้…. เพี้ยง…..” เธอยกมือขึ้นมางอนิ้วนับ… บัดนี้พ้น “วันสองวัน” แล้ว เธอยังไม่ได้ไปทานข้าวกับเขาเลยสักครั้ง

เธอตาโตร้องออกมา “อุ๊ยตาย…..”

แต่วันที่เธอหยุดงานก็ไม่น่าจะนับนี่นา

มรุตมองเธอด้วยสายตาแปลกๆ คิดว่า หรือยัยคนนี้จะเพี้ยน ก็ดูเธอแต่งเนื้อแต่งตัวเข้าซิ ไม่สมกับรูปร่างหน้าตาเลยสักนิด

“พี่มรุตคะ คือว่า……” หญิงสาวรีบเรียกเมื่อชายหนุ่มขยับตัวจะถอยกลับไป “คือต้ามีอะไรอยากจะพูดด้วย”

ชายหนุ่มหยุดมอง “อะไรครับ พูดได้เลยพี่กำลังฟัง”

“คือว่า… เอ่อ…” เธอเหลือบตามองทางโน้นทางนี้กลัวว่าคุณเปี่ยมจะมองอยู่ “พูดตรงนี้ไม่ค่อยดีหรอกค่ะ ไปพูดที่อื่นได้ไหมคะ”

“ได้ซิครับ ต้าอยากพูดที่ไหน”

เธอหันรีหันขวาง พอดีกับที่คุณเปี่ยมเปิดประตูห้องออกมา เธอสะดุ้งทั้งตัวแล้วหันกลับไปนั่งลงก้มหน้าก้มตาทำงานตามเดิม

มรุตมองอย่างแปลกใจก่อนจะถอยห่าง ส่วนคุณเปี่ยมมองมาแล้วหยุดมองอย่างจับสังเกต

บ่ายนั้นเขาบอกเธอว่า “วันนี้ต้ากลับบ้านพร้อมลุงเปี่ยมนะ นายรักไปธุระมารับไม่ได้”

ศรุตาสะดุ้งอีกแล้ว “เอ่อ วันนี้ต้าจะไปซื้อของค่ะ”

“จะไปซื้ออะไรที่ไหน ลุงขอไปด้วยคน”

“คือว่า… เอ่อ… คือว่า…” เธอไม่ยอมรับคำ

“มีความลับด้วยหรือ เอา ลุงไม่ไปด้วยก็ได้”

ชายสูงวัยที่เธอเคยเชื่อถือ รักและไว้ใจถอยกลับเข้าห้องทำงาน ศรุตาคอยท่าจะคุยกับมรุต แต่เธอจะบอกเขาว่ายังไงดี



แล้วคุณเปี่ยมก็โทรสายภายในมาเรียก

“เข้ามาหาลุงเปี่ยมหน่อย”

มือเธอเย็นเฉียบเมื่อรวบรวมกำลังใจเปิดประตูเดินเข้ามา แต่พอเห็นหน้าก็พาลก้าวขาไม่ออก คุณเปี่ยมยิ้มเข้ม วันนี้เขาต้องเรียกเธอ “เข้ามาซิ ปิดประตูด้วย”

มือเธอสั่นเมื่องับประตูปิด เดินมานั่งประหม่าอยู่ตรงหน้า รู้สึกว่าสายตาอีกฝ่ายคมกว่าเคย ทำให้เธอรู้สึกแสบๆ ร้อนๆ ครั่นเนื้อครั่นตัว

“ลุงไม่รู้ว่าต้าเป็นอะไร หรือว่ากำลังคิดอะไรอยู่ แต่ว่ามันทำให้ลุงไม่สบายใจ” เสียงพูดอ่อนแต่ก็มีกังวานประหลาดที่ทำให้เธอพรั่นพรึง เธอไม่กล้าสบตาเขา กลัวจะเห็นอะไรที่น่ากลัวแทนที่จะเป็นลุงเปี่ยมคนเดิม “มีอะไรบอกลุงได้ไหม”

“ต้า… เอ่อ… ไม่มีอะไรนี่คะ…..”

“แน่หรือ ที่ว่าไม่มีอะไร?” น้ำเสียงอ่อนถามคาดคั้น หญิงสาวเหลือบมองแล้วก็ได้แต่หลบตาทำสีหน้าเจื่อนจาง

“แน่ค่ะ”

อีกฝ่ายเงียบไปเป็นครู่โดยไม่ละสายตาจากใบหน้าอ่อนใสๆ ของคนที่เขาอุ้มชูมาแต่เล็กจนโตเป็นสาว ประกายตาของเขาวาววาบ

“แปลว่าต้าจะไม่ยอมบอกลุงใช่ไหม”

“ก็ต้า… ต้าไม่รู้จะบอกอะไรนี่คะ”

“งั้นก็ตามใจ ลุงเพิ่งรู้ว่าเดี๋ยวนี้เรามีความลับกันแล้ว”

“ไม่… ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ เพียงแต่ว่า…..” คำพูดขาดหายไปอีก เหลือแต่สีหน้ายุ่งยากใจที่แยกตัวไม่ยอมถือเขาเป็นพรรคพวกด้วย

“เอาเถอะ ถ้าต้าไม่อยากพูด ลุงก็ไม่บังคับ แต่จำไว้นะว่าลุงรักต้า รักแม่ของต้าและรักนายตุ้ยมาก ชีวิตลุงรักอยู่แค่สามคนแค่นี้…..”

เธอเหลือบมองแล้วหลบตา คนพูดว่า “รัก” มีสีหน้าเฉียบเฉย ประกายตาเยียบเย็นเชือดเฉือนที่ทำให้เธอรู้สึกสะท้านพรั่นพรึง

“อย่าทำให้ลุงต้องผิดหวัง”

น้ำเสียงตอนท้ายเหี้ยมเกรียมขู่เข็น…..



จบบทที่ 10