อัปสรา

>> ม.ล. กุลรัตน์ เทวกุล

อัปสรา

บทที่ 13

อัสนีย์มาเคาะประตูเรียก    ศรุตายังอยู่ในชุดนอนแบบเสื้อกางเกงตัวโคร่งจึงถูกล้อว่า “เห็นสาวคนนี้แต่งชุดนอนแล้วหมดอารมณ์ทันที”

เธอทำหน้าง้ำ    “ก็ใครอยากให้มีอารมณ์ล่ะ”

“ยังไม่แต่งตัวไปทำงานอีกหรือ”

“วันนี้ต้าปวดท้อง”

“เป็นอะไรทำไมหมู่นี้ขี้โรคจริง   ระวังพี่มรุตปล้ำจะสู้ไม่ไหวนะ”

หน้าง้ำๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้ง   “อีกแล้วนะ พี่อัส”

“อ้าว   พี่เตือนด้วยความเป็นห่วงนะ เพราะว่าพี่กำลังจะย้ายออกไปแล้วคนแปลกหน้าพวกนั้นกำลังจะเข้ามาอยู่แทน พี่มรุตยิ่งเป็นหนุ่มโสดรูปหล่อแล้วเราก็ปลื้มเขามากด้วยไม่ใช่หรือ”

“ปลื้มหรือไม่ปลื้มก็ไม่ใช่เรื่องของใคร”

“นั่น   ยอมรับแล้ว    สงสัยทางนั้นคงไม่ต้องเหนื่อยกระมัง”

เธอสุดจะทน คว้าประตูจะจับให้ปิดแต่อีกฝ่ายยกแขนกันไว้แล้วยังดันแรงจนพาตัวเองก้าวเข้ามาข้างใน   ศรุตาได้แต่ถอยห่างทำหน้างอ    “เข้ามาทำไม เค้าไม่ได้เชิญสักหน่อย”

“ก็เข้าๆ ออกๆ กี่สิบครั้งแล้วเคยต้องเชิญซะที่ไหน”

“นั่นมันเมื่อก่อนนะ”

“แล้วไง    เมื่อก่อนกับเดี๋ยวนี้มีอะไรแตกต่างมิทราบ   แหม   เดี๋ยวนี้หนูต้าหยิ่งใช่ไหม   เอาซิ   อยากให้พี่ออกก็มาลากออกไปเลย”

“ออกไปนะ”

“ก็มาลากไปซิ    อ่ะ    แค่จูงก็ได้ แล้วพี่จะออกไปดีๆ” เขาขยับเข้าหาพลางยื่นมือมาแตะเนื้อแตะตัว

อีกฝ่ายร้องฮื้อ   ขยับหนีด้วยท่าทีรำคาญ

คุณเปี่ยมเดินมายืนทำหน้าบึ้งจ้องมองทำให้หนุ่มสาวทั้งสองสีหน้าเจื่อนจางไปตามๆ กัน    “อะไรกันอีกล่ะ”    เขาถาม

“เอ้อ   อัสเก็บของแล้ว เลยมาบอกลาต้าครับลุงเปี่ยม”

“อ้อ”    เขากระแทกเสียง    ประกายตาวาบวับ “ก็ไม่ได้ไปไหนไกลสักหน่อยแค่ย้ายกลับไปนอนที่บ้าน ที่นี่จะมาเมื่อไหร่ก็มาได้ทุกเวลาอยู่แล้ว”

ชายหนุ่มเดินตัวลีบผ่านออกไป    นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่คุณเปี่ยมคอยดุดันกันท่า    คุณสมฉวีเองก็ไม่ชอบท่าทีของคุณเปี่ยมที่แสดงต่อหลานชายสุดที่รักของเธอ แต่ก็ไม่กล้ามีปากมีเสียง ได้แต่ประชดลอยลม   ‘ลูกสาวเขา เขาก็รักก็หวง อัสรู้แล้วก็อยู่ให้ห่างซิ จะได้ไม่มีปัญหา’

“ทำไมยังไม่แต่งตัวอีกต้า”    คุณเปี่ยมหันมาถาม

ศรุตาหลบตา   “ต้าไม่สบายจะไม่ไปทำงานค่ะ”

“อ้าว ยังไม่หายอีกหรือ   หมู่นี้สามวันดีสี่วันไข้ จะให้ลุงเปี่ยมทำยังไงดี”

“ไม่…ไม่ต้องทำยังไงหรอกค่ะ   ต้า…เอ่อ… แค่อยู่บ้านกับแม่ ประเดี๋ยวก็หายค่ะ”

ร่างสูงที่สมบูรณ์เพราะวัยก้าวเข้ามา   เธอขยับถอยหลังทันทีอย่างลืมตัวทำให้เขาชะงัก   หากแล้วก็สืบเท้าเข้ามาจนถึงตัว    มือที่วางลงบนไหล่เธอ คล้ายบีบบังคับ

“ทำไมไม่ทำตัวเหมือนเดิม    หมู่นี้เราไม่น่ารักเลยรู้ไหม”

เธอก้มหน้างุด    ออกจะสั่นอยู่ข้างใน

น้ำเสียงเขาปลอบแต่ก็แฝงกังวานข่มขู่ “มีอะไรก็พูดออกมา ลุงเปี่ยมรับฟังเสมอ หากต้าไม่เข้าใจอะไรก็ถาม   บอกได้ลุงก็จะบอก”

“ต้า…เอ่อ…..”    เธองึมงำๆ แต่ไม่มีคำพูดให้จับความได้

น้ำเสียงอีกฝ่ายเหี้ยมเกรียม ชวนให้พรั่นพรึงมากกว่าจะซาบซึ้ง    “ลุงรักเรานะ   รักแม่เรา    และรักนายตุ้ย….. ลุงบอกแล้วว่าทั้งชีวิตก็รักอยู่สามคนแค่นี้ อย่าทำให้ลุงต้องผิดหวัง”

“ค่ะ…..”

แล้วแม่กลายเป็นเจ็บออดแอดขี้โรคไปได้ยังไง    ตั้งแต่เห็นตัวจริงของลุงเปี่ยม เธอก็เริ่มสงสัย   แม่เคยแข็งแรงสดชื่น   บัดนี้ทั้งร่างกายและจิตใจกลับอยู่ในสภาพที่พึ่งตัวเองไม่ได้

“แม่เรากับนายตุ้ยอยู่โดยไม่มีลุงไม่ได้”    คำพูดในน้ำเสียงอ่อนเจือหัวเราะเคยทำให้เธอรู้สึกซาบซึ้ง    แต่ตอนนี้เธอเข้าใจดีว่าเขากำลังย้ำเตือนขู่เข็น   “ต้ารู้ดีใช่ไหมว่า ถ้าไม่มีลุง   แม่เรากับนายตุ้ยต้องลำบากมาก”

“ค่ะ…..ต้ารู้…..”

“ลุงฉัตรกำลังจะย้ายเข้ามา    ต้าอย่านึกนะว่าลุงฉัตรหรือมรุต จะดีกว่าลุง   พวกนั้นทิ้งคุณย่าไปเป็นสิบปี แต่จู่ๆ ก็พาสาลี่กลับมา เป็นใครก็ดูออกว่าเขาหวังอะไร แม้แต่คุณย่าก็ดูออก…”    เขาเว้นระยะ    จ้องมองหน้าเธอ “พวกลุงฉัตร จะมารักหวังดีต้ากับแม่และน้อง มากกว่าลุงได้ยังไง”

เธอก้มหน้างุด   จริงของเขา   ท่าทีลุงฉัตรและคุณประไพแบ่งแยก มองเธอ แม่และนายตุ้ยอย่างพินิจพิจารณาเสมอ    แม้คุณฉัตรจะยิ้มอย่างผู้ใหญ่ใจดีก็เถอะ   ยังไงๆ เขาก็เป็นคนอื่น และคงเห็นพวกเธอเป็นคนอื่น เช่นกัน

เป็นคนอื่นที่อยู่คนละข้างกันในเรื่องของผลประโยชน์

คุณนงนิตย์เดินมาหยุดที่ประตู    เธอยังอยู่ในชุดนอน แต่เป็นชุดสวยหรูที่คุณเปี่ยมขยันซื้อหามาปรนเปรอเพื่อประกาศความเป็นสามีที่รักเอาใจภรรยา    ไม่เหมือนศรุตาที่คุณเปี่ยมไม่ยอมให้ใครได้เห็นว่าสวย    สีหน้าคุณนงนิตย์ซูบซีดอยู่เป็นปรกติ

“อ้าว ยังไม่แต่งตัวอีกหรือ ต้า”

คุณเปี่ยมขยับตัว   น้ำเสียงอ่อนเจือหัวเราะ   “นั่นซิ เกเรจะไม่ไปทำงานอีกแล้ว”

“ไม่สบายเป็นอะไรหรือเปล่า ลูก”

มือหนักๆ บีบไหล่    สายตาบีบบังคับในสีหน้าเจือยิ้มคล้ายพ่อเลี้ยงใจดีทำให้เธอต้องพูดว่า   “ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกค่ะ แม่”

“แล้วจะไปทำงานหรือเปล่า    หยุดบ่อยๆ ถ้าพวกพนักงานเอาเป็นตัวอย่างจะไม่ดีนะ ลูก พี่มรุตเพิ่งมาทำงานด้วยจะมองยังไงก็ไม่รู้    ประเดี๋ยวเก็บไปนินทากับลุงฉัตรแย่เลย”

“เอาเถอะ   วันนี้หยุดอีกวันก็ได้   พรุ่งนี้ค่อยไป”    คุณเปี่ยมเลื่อนแขนโอบหลัง “ลูกสาว” อย่างใจดี

“คุณตามใจอย่างนี้ต้าถึงเคยตัว นึกจะทำอะไรก็ทำตามใจชอบ”    คุณนงนิตย์ต่อว่าเสียงอ่อน

“ก็มีลูกสาวอยู่คนเดียวจะไม่ตามใจได้ยังไง”    มือที่โอบหลังเลื่อนมาขยี้ผมอย่างที่เคยทำก่อนจะเดินมาหาคุณนงนิตย์ ถามอย่างเป็นห่วง   “วันนี้หมอคนไหนนัดตรวจหรือเปล่าจ๊ะ”

“เปล่าค่ะ    แต่นิตย์ว่าจะไปนวดเนื้อนวดตัวทำผมเผ้าสักหน่อย   ครอบครัวคุณฉัตรย้ายเข้ามาจะได้ไม่ว่านิตย์เป็นยายเพิ้ง”

“ใครจะมาว่าคุณนายนงนิตย์เป็นยายเพิ้ง    ก็สาวสวยออกอย่างนี้… จริงไหมต้า”

“เอ้อ….. ค่ะ…..”    เธองึมงำรับคำ

พ่อเลี้ยงประคองมารดาออกไปด้วยท่าทีรักใคร่   แม่เธอโอนอ่อนคล้อยตามแต่ศรุตาก็รู้ว่าแม่ไม่ค่อยปลื้มลุงเปี่ยมเท่าไหร่ แต่ทำเป็นคล้อยตามเพราะความเกรงใจที่ต้องอาศัยพึ่งพิงมากกว่า

แม่คงรู้เรื่องลุงเปี่ยมกับอาหวีมานานแล้ว    เพราะอย่างนั้น กับอาหวีแม่ถึงทำตัวห่างเหินแปลกแยกแทนที่จะเข้ากันกลมเกลียวในฐานะที่เป็นสะใภ้ใหญ่สะใภ้เล็กอยู่ใต้หลังคาเดียวกัน

หญิงสาวหันกลับมาแล้วก็สะดุดใจเพราะเห็นเงาคนวูบผ่าน

แสงแดดเล่นตลกอีกกระมัง

หากเมื่อกำลังแต่งตัวเพลินๆ อยู่หน้ากระจก    เงาที่เห็นเหมือนใครยืนอยู่ข้างหลังทำให้เธอหันขวับใจหายวูบ   ไม่มีใครอื่นอยู่ในห้องแม้สักคนเดียว

หญิงสาวจ้ำอ้าวออกมา    ไปออฟฟิศ ดีกว่า    ถึงจะมีลุงเปี่ยมและคุณทิพาคอยจับจ้องก็ยังดีกว่าการที่ต้องอยู่ในบ้านนี้ที่มีสายตาคมฉาบของคุณสมฉวีและเงาใครก็ไม่รู้ผ่านวูบวาบ

อยู่ที่ไหนก็ไม่มีความสุข…    เรื่องเพ้อฝันแฟนตาซีที่เคยครอบงำในยามเด็กทำให้เธอถึงกับคิดระแวงไปว่าลุงเปี่ยมพาภูตพรายมาปล่อยไว้ให้เป็นสายคอยสอดส่องมองเธอ

รุ่งแสงแต่งตัวสวยมาช่วยมรุตทำงาน    ศรุตาเห็นร่างสูงในชุดทำงานเรียบหรู ยืนคู่กับร่างสมส่วนในชุดสวยพูดกับพนักงานอยู่ที่มุมหนึ่ง   เธอไม่รู้ว่าเขาหันมามอง ดวงตาจุดประกายขึ้นและยังมองตามขณะที่ร่างบางในชุดเครื่องแบบสุดเชยเดินงุดๆ เข้ามานั่งข้างโศภิต

โศภิตทักว่า “ทำไมมาสาย   ไม่สบายหรือต้า หน้าตาดูไม่ได้เลย”

“ฮื่อ…..”

“เป็นไรไป”

“ไม่รู้สิ”

โศภิตคร้านจะถาม   ยังมีงานมากมายต้องทำให้เสร็จก็เลยข้ามความสนใจไปเสีย

“เมื่อวานนี้เราไปวัดโบราณกับคุณปราย”    เธออดเล่าไม่ได้

“โห    แล้วไม่ยอมชวนกันเลยนะ”

“พอกลับมาแล้วมันรู้สึกแปลกๆ ยังไงไม่รู้”

“เหรอ   รู้สึกยังไง”

เธอนิ่งคิดแล้วยกไหล่   สีหน้าวิตกกังวล “ไม่รู้ซิ    อธิบายไม่ถูก    ไม่รู้ว่ามีใครตามมาจากวัดหรือเปล่า   แบบว่าต้าตาฝาดเห็นเงาคนวูบๆ วาบๆ เมื่อกี้นี้ตอนขึ้นลิฟท์มาก็รู้สึกเหมือนมีใครมาจับแขน    หันไปดูคนข้างๆ ก็ไม่รู้จักใครแล้วเค้าก็ทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้กันหมด    นี่ถ้ามาคนเดียวต้าคงกระโจนออกจากลิฟท์ไม่ทันแล้วละ”

อีกฝ่ายหัวเราะคิก    “มิน่าซิ เห็นเดินหน้าซีดเข้ามาเลย”

“ไม่ขำซักหน่อย”

“เอา ไม่ขำก็ไม่ขำ    อืม… งั้นโศแนะนำอย่างจริงจังดีมั้ย”

“ดีซิ   ตัวเองจะแนะนำว่ายังไง”

“คือว่าอาการอย่างนี้นะต้า โศว่า… เอ้อ…   ถึงเวลาต้องไปหาหมอโรคประสาทแล้วละค่ะ”

“ฮึ ยัยโศบ้า…..”   เธอหน้างอแต่อีกฝ่ายหัวเราะชอบใจ

มรุตเดินผ่านมาเลยแวะทักทายว่า   “ทำไมเพิ่งมาครับ”

“เอ้อ… อ้า…”   นี่แหละศรุตา    ใบหน้าเธอร้อนผ่าวอีกแล้ว

รุ่งแสงพูดเจือหัวเราะ    “ต้าเป็นหลานรักของลุงเปี่ยมจะมาทำงานเวลาไหนก็ได้ไม่มีใครกล้าว่าหรอกค่ะ พี่มรุต”

“แหม… ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย…”    เธอเสียงอ่อย

“ถ้าลุงเปี่ยมอยู่    รุ่งไม่ต้องเกรงใจใครเลยนอกจากต้าคนเดียว”

“รุ่งเนี่ย…..”

ประกายตาอีกฝ่ายคมวาบ มองเธอยิ้มๆ   ศรุตาไม่เห็นเพราะมัวแต่หน้าร้อน เสมองทางนั้นทางนี้

“ดีแล้วที่รู้อย่างนี้    ผมย้ายเข้าบ้านไปจะได้ทำตัวถูก”

“แหม    พี่มรุตอ่ะ…..”    เธอบิดมือพูดงึมงำ

พอร่างสูงของคนรูปงามเดินผ่านไป   โศภิตก็กระซิบถามอย่างเหลืออด “ทำไมเธอต้องเขินด๊อกเตอร์มรุตขนาดนั้น    ทีกับคุณปรายละก็เถียงฉอดๆ”

“อะไร    เปล่าเขินสักหน่อย”

“อย่ามาเถียงเลย    นี่แหละเพราะมีความในใจใช่ไหม    กับหนุ่มไหนๆ คุณต้าไม่เคยสะท้าน    แต่พอเป็นคุณพี่มรุต คุณต้าแทบละลาย ยังกับดินน้ำมันโดดแดดยังไงยังงั้น”

“บ้าเหรอ   อย่ามาหาเรื่องกันนะ”    เธอแหวใส่กลบเกลื่อน


เรื่องรบกวนจิตใจทำให้ต้องโทรศัพท์หาที่พึ่งเดียวที่มี    คุณหนูปราย ใจดีตามเคย   สัญญาว่าจะมารับเธอไปทานข้าวแล้วส่งกลับบ้าน โศภิตส่ายเอวอย่างยินดีที่ได้รับคำชวนจากหนุ่มที่เธอหลงรักให้ไปด้วย

ศรุตาเจ็บใจที่รับนัดปรายเปรมไว้ก่อน    เพราะพอใกล้เวลาเลิกงาน   “พระเอกในดวงใจ” ก็เดินมาชวนคุยแล้วถามว่า   “ต้าจะกลับยังไง เย็นนี้ไปทานข้าวด้วยกันไหม   รุ่งแสงก็ไปด้วย”

“อ้าว    แหม   ต้ากับโศนัดคุณปรายไว้”

“งั้นหรือ”    หนุ่มรุ่นพี่ชายใหญ่เลิกคิ้ว   ดวงตาคมเข้มฉงนสงสัย    “ปรายยังไม่มีแฟนหรือ รูปร่างหน้าตาออกจะดี”

ศรุตาอับจนคำตอบเพราะไม่เคยสงสัยข้อนี้    “ยังไงก็ไม่รู้ซิคะ”

“หรือว่าชอบกันกับต้า”

“อุ๊ย    เปล่าค่ะ    โห… ใครจะชอบคุณปราย…..”

“เขาหล่อออก    สูงใหญ่แข็งแรงเหมือนนักกีฬาแล้วยังเอาใจเก่ง    แบบนั้นไม่ใช่หรือที่ผู้หญิงชอบ”

“ต้าเค้าชอบแบบสุขุมภูมิฐานค่ะ”    โศภิตสอดแทรก ทำให้เพื่อนสาวหันมาทำตาเขียว    “แบบ… โอ๊ย…!”    เธอไม่มีโอกาสได้พูดจนจบ

“หือ    แบบไหน…?”

“แล้วผู้ชายชอบผู้หญิงแบบไหนคะ…..”    หญิงสาวรีบบิดเบือนความสนใจ    พอดีมองเห็นรุ่งแสงที่ปลีกไปเสริมสวย เดินเข้ามาจึงถามว่า    “แบบรุ่งหรือเปล่า”

สายตาอีกสองคู่มองตาม    โศภิตช่วยเสริม   “สวย ทันสมัย มั่นใจในตัวเอง ครบเครื่องปรุงรสทุกอย่าง”

สีหน้าเจือยิ้มของชายหนุ่มอ่านยากเสมอ   “ก็ไม่แน่เสมอไป ความพอใจของแต่ละคนแตกต่างกันกำหนดแน่นอนไม่ได้   บางคนก็ชอบผู้หญิงแบบนี้ บางคนก็ไม่ชอบ”

“กำลังคุยอะไรกันอยู่คะ”    รุ่งแสงถามยิ้มๆ

“กำลังชมคุณรุ่ง”    ชายหนุ่มตอบ   แต่ตากลับมาจับอยู่ที่หญิงสาวที่ไม่มีแป้งหนาโปะใบหน้า

“โห   ชมว่ายังไงคะ”

“จะชมยังไงก็คงไม่แปลกใหม่กระมัง   รุ่งคงฟังจนเบื่อแล้ว”

อีกฝ่ายหัวเราะ

ศรุตาอยากรู้ว่าถ้าเขาพูดอย่างนั้นกับเธอบ้าง เธอจะรู้สึกอย่างไร ตัวลอยเลยกระมัง    ไม่เอา    ให้เขาพูดง่ายๆ ดีกว่า   เช่นว่า “เธอสวย” ฟังง่ายและจริงใจดี

ร่างสูงทึบๆ เปิดประตูเข้ามา   โศภิตอุทานว่า

“แน่ะ    คุณปรายมาแล้ว”

ทุกคนหันมามอง   สีหน้าโศภิตสดใส    สายตา ดร. มรุต เคร่งขรึมจับสังเกต ขณะที่ประกายตาของรุ่งแสงวาบวับ

แม้แต่ ดร. มรุต ก็ไม่เคยจะได้รับการมองจากเธอเช่นนั้น……..



จบบทที่ 13