“อัปสรา ท่านอยู่ที่ไหนคะ”
เงาร่างที่ปรากฏเลือนลาง สีหน้าองค์อรดีแตกตื่น “ฉันหลบไม่พ้น เทพอสูรกำลังจะมาเอาตัวฉันไป”
“หลบเข้ามาในร่างต้าซิคะ”
“แต่เธออาจได้รับอันตราย”
“เข้ามาเถอะค่ะ”
หญิงสาวแว่วเสียงห้าวเหี้ยมเกรียมหัวเราะดุดันเหมือนบ้าคลั่งดังก้องมาจากทุกทิศ เสียงนางเทพร้องกรีด แล้วศรุตาก็หมดการควบคุมตัวเอง มรุตปราดเข้ามาพอดี ร่างเธออ่อนระทวยซุกเข้าหาอ้อมแขนของเขา “ต้า เป็นอะไรไป” ชายหนุ่มร้องถามร้อนรนแต่ร่างอ่อนของเธอไร้อาการตอบสนอง
“เขาคงต้องฆ่าฉันตายแน่”
องค์อัปสราเกาะเกี่ยวเธอแนบแน่นด้วยความหวาดหวั่น ศรุตาตกอกตกใจไม่น้อยไปกว่ากัน รู้สึก คล้ายกอดตอบผู้ที่เข้ามาอาศัยพักพิงหลบภัยในร่างเธอ
“ถ้าท่านไม่ออกไปเขาก็ทำอะไรไม่ได้ไม่ใช่หรือคะ”
“แต่เขาคงต้องเอาฉันออกไปจนได้”
“อย่ายอมออกไปนะคะ ไม่ว่าเขาจะทำยังไงก็อย่าออกไป”
“ฉันกลัวว่าเธอจะได้รับอันตราย”
ท่ามกลางแสงไฟฟ้าดับๆ หายๆ ร่างของคุณฉัตรที่นอนแข็งทื่อกลับลุกขึ้นจากเตียงเดินเข้าหา คุณเปี่ยมกำลังหันรีหันขวางกับพายุและไฟฟ้าวูบๆ ปิดๆ เปิดๆ หันมาพบพอดี ต้องร้องเสียงหลงผงะถอย
มรุตที่ประคองศรุตา ใบหน้าถอดสีตระหนกตกใจไปด้วย
“คุณพ่อ…!!”
ร่างคุณฉัตรคล้ายจะเดินทื่อเข้าหาเหมือนหุ่นยนต์ที่น่าพรั่นพรึง คราบเลือดแห้งกรังและรอยแผลเหวอะหวะบวมช้ำบนใบหน้าที่บิดเบี้ยวทำให้เป็นภาพที่น่าสะพรึงกลัวสุดๆ คุณเปี่ยมขวัญเสียร้องไม่หยุด คว้าอะไรใกล้ตัวได้ก็ขว้างเข้าใส่ เจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ในบริเวณก็ส่งเสียงร้อง วิ่งหนีเตลิดไปคนละทิศละทาง
ร่างแข็งทื่อของคุณฉัตรคล้ายตรงเข้าหาคุณเปี่ยมที่ขวางอยู่ในทาง เสียงคำรามดุดันดังลั่นแสดงชัดถึงความประสงค์ร้าย คุณเปี่ยมตกใจจนขาดสติ เหวี่ยงอาวุธจู่โจมป้องกันตัวพลางส่งเสียงหลงร้องไม่ขาด
“พี่ฉัตร…! อย่าทำผม ผมสำนึกผิดแล้ว อโหสิให้ผมเถอะ อย่าทำอะไรผมเลย”
มรุตได้ฟังแต่ก็มัวตระหนกตกใจถอยกรูด ร่างคุณฉัตรที่พันตูกับคุณเปี่ยมคล้ายเต็มไปด้วยพละกำลังมหาศาล พอจับได้ก็บีบร่างใหญ่แน่นจนนัยน์ตาถลนเหลือกลาน ดวงตาในซากร่างของคุณฉัตร ที่เบิ่งมองจ้องตาคุณเปี่ยมส่งประกายคุโชนเจิดจ้าเหมือนดวงตาของปีศาจร้าย... คุณเปี่ยมจ้องมองตอบอย่างตระหนกตกใจเป็นที่สุดก่อนที่จะถูกยกขึ้นเหวี่ยงไประแทกโต๊ะจนหกคะเมนตีลังการ้องไห้ขวัญเสีย
ร่างคุณฉัตรหันกลับมาหาศรุตา มรุตดึงหญิงสาวถอยกรูดร้องเรียก “คุณพ่อ…!” แต่อีกฝ่ายหาได้สนใจไม่
ในแสงของไฟฟ้าที่เปิดๆ ดับๆ ซากร่างคุณฉัตรกระโจนเข้ากระชากหญิงสาวออกไปจากชายหนุ่ม ศรุตาและองค์เทวีร้องหวีด มือใหญ่ที่ทรงพลังรวบรอบคอบอบบางของเธอ บีบเค้นไม่ปรานีปราศรัย เธอได้แต่ดิ้นขลุกขลักนัยน์ตาเหลือกลาน
“ต้า…!”
เสียงเรียกตระหนกตกใจเป็นของปรายเปรมที่ตามมาถึง ชายหนุ่มดีดตัวเข้าจู่โจมหวังจะให้คุณฉัตรปล่อยมือ ทว่าซากร่างแข็งแรงกลับยืนหยัดรับมือเท้าแล้วตอบโต้รุนแรงยิ่งกว่าเรี่ยวแรงของมนุษย์ มันปล่อยหญิงสาวผู้ซึ่งซวดเซล้มลง หันมาปัดป้องตอบโต้ แต่ละครั้งที่ฟาดถูกทำให้ชายหนุ่มผงะหงาย ล้มลุกคลุกคลาน พอตั้งหลักได้เขาก็กลับกระโจนเข้าใส่อย่างไม่ยอมเข็ดหลาบ
พอได้โอกาส แขนที่แข็งแรงของร่างคุณฉัตร ก็จับร่างใหญ่ที่สะบักสะบอมของชายหนุ่มเหวี่ยงกระแทกผนังจนทรุดลงไปกองกับพื้นด้วยความเจ็บปวด เขาตาพร่าพยายามจะลุกขึ้นแต่กลับซวดเซล้มลง
องค์เทวีพาร่างของศรุตาตะเกียกตะกายหนี แต่กลับถูกตามตะปบตัวไว้อีกครั้ง มืออันทรงพลังบีบเค้นคอบางๆ ของร่างที่ดิ้นหนีอย่างลนลานทุรนทุราย
“ฉันต้องออกไป ไม่อย่างนั้นเธอจะตาย”
“ไม่ค่ะ อย่าไป เรียกให้องค์เทวตามาช่วยซิคะ… เทวตาเจ้าขาช่วยเราด้วย..…”
ประกายฟ้ากลับปรากฏแสงสีเขียวพุ่งวาบ แล้วมรุตที่มีสีหน้าซีดเผือดเจื่อนจางล้มทรุดไร้เรี่ยวแรงก็กลับลุกขึ้นยืนยืดหลังไหล่ตั้งตรงสีหน้าเครียดขึ้งเหมือนไร้ความรู้สึกตื่นกลัวใดๆ ทั้งสิ้น ลำแขนและข้อมือดูคล้ายทรงพลังขึ้นในฉับพลัน หยิบด้ามไม้พลองยาวขึ้นกวัดแกว่ง น่าแปลกที่ท่อนไม้ที่ดูเหมือนไร้พิษสง กลับปรากฏประกายวูบวาบ พอฟาดลงบนร่างของคุณฉัตร ร่างนั้นก็สะดุ้งปล่อยหญิงสาวแล้วฉวยไม้พลองอีกด้ามหนึ่งขึ้นมาถือไว้ มันเป็นของนายตำรวจที่วิ่งหนีหายออกไปจากห้อง
เสียงไม้พลองทั้งสองกวัดแกว่งดังวืดๆ ยามกระทบกันก็ดังบาดแก้วหู พอมันกระทบถูกสิ่งใด แม้โต๊ะเก้าอี้แข็งแรงก็ล้วนแตกหักกระจัดกระจายราวกับโดนฆ้อนเหล็กมหึมาฟาดถูก ศรุตาที่ปันร่างให้องค์อัปสราครอบครอง มองเห็นทั้งหมดด้วยความรู้สึกกึ่งจริงกึ่งฝัน….. นั่นคงเป็นองค์เทวตามาช่วยอัปสราของเธอ…..
การต่อสู้ดูเหมือนจะยืดเยื้อ ไม้พลองหลุดจากมือกระเด็นถูกผนังห้องจนปูนแตกกระจายตกลงพื้น แล้วร่างทั้งสองก็ราวีกันด้วยมือเปล่าๆ บางครั้งล้มลงตรงหน้าคุณเปี่ยมที่เนื้อตัวสั่นร้องลั่น เขาเบิ่งตามอง จำต้องเก็บภาพที่น่าหวาดหวั่นทั้งหมดไว้ในความทรงจำอย่างละเอียดใกล้ชิดเพราะไม่มีแรงจะดิ้นหนี
หากแล้วร่างของมรุตก็อ่อนแรงลงทุกทีจนตกเป็นฝ่ายตั้งรับที่เสียเปรียบ พอโดนจับเหวี่ยงกระเด็นกระแทกผนังอีกครั้ง ร่างนั้นก็กลับกลายเป็นมรุตคนเดิมที่ยิ่งไร้เรี่ยวแรงลงกว่าเดิม
ซากร่างของคุณฉัตรหันกลับมาหา ร่างของหญิงสาวที่ถูกควบคุมโดยองค์อัปสรา คว้าดาบสั้นของเจ้าหน้าที่ที่ตกหล่นอยู่ขึ้นมาถือไว้ เหยียดแขนตรงออกไปเหมือนจะต่อสู้ แต่แล้วก็ได้แต่ปล่อยให้หลุดจากมือส่งเสียงร้องกรีดเมื่อถูกจับตัวไว้อีกครั้ง ซากร่างใหญ่ คล่อมอยู่เหนือร่างบางๆ มือหนาบีบคอเธอแน่นเข้าทุกที
“ฉันต้องออกไป…..” องค์อรดีร้องออกมา
“อย่าไปค่ะ… อย่าไป…” ศรุตารู้สึกถึงความเจ็บปวดอึดอัดทุรนทุราย สติใกล้จะวูบหาย
มีเสียงคำรามดังลั่น “ปล่อย…..!!” แล้วปรายเปรมก็กระโจนเข้าใส่ปิศาจร้ายอีกครั้ง แม้ล็อคคอดึงจากทางด้านหลังจนสุดทำลัง แต่ก็ไม่อาจแยกซากร่างของชายสูงวัยออกจากหญิงสาวได้ ถึงอย่างไรพละกำลังของคนหนุ่มที่แข็งแรงและบ้าคลั่งฮึกเหิมเพราะความรักความห่วงใย ก็ทำให้อีกฝ่าย ต้องปล่อยมือจากคอบางๆ หันมารับมือด้วย อาการพัวพันรุนแรงไม่เลิกรา ทำให้เจ้าปิศาจส่งเสียงคำรามออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว พอมือสีม่วงที่พองใหญ่ของซากร่างคุณฉัตรคว้าเจอมีดที่ตกอยู่ได้ ก็ตวัดเข้าใส่ทันที คมมีดกรีดลึกลงในเนื้อหนังของมนุษย์ ส่งให้เลือดสีแดงสดพุ่งกระฉูดใส่ใบหน้าโหดเหี้ยมน่าชังของเจ้าของคมมีด
ต่างฝ่ายต่างชะงักงัน
สายฟ้าฟาดเปรี้ยงดังสนั่นหวั่นไหวเหนืออาคาร แล้วส่งเสียงคำรามตามอย่างกึกก้อง ประกายแปลบปลาบที่ตามมา ต้องใบหน้าของทั้งสอง ใบหน้ามนุษย์ผู้ชายซีดเผือดบอกความรู้สึกเจ็บปวด ใบหน้าของซากศพที่เปื้อนเลือดอีกฝ่ายกลับแสดงอาการตื่นตะลึงเป็นที่สุด
เสียงฟ้ากรีดก้องสะท้อนรับกันครั้งแล้วครั้งเล่า ประกายสีมากมายวูบวาบอยู่เหนืออาคารจนสะท้อนเข้ามาในห้อง บาดแผลฉกรรจ์ทำให้ปรายเปรมล้มลงไปก่อน ร่างของอมนุษย์ยืนโงนเงนไม่มั่นคง มองขึ้นไปข้างบนอย่างงุนงง ก่อนจะค่อยๆ ล้มลงข้างๆ
“เกิดอะไรขึ้น” ศรุตารู้ตัว ถามตัวเองงงๆ แล้วเธอก็หมดสติไป
เสียงดนตรีแปลกๆ ช่างไพเราะนัก รอบกายเธอคือแพรผ้าสีอ่อนใสโบกพริ้ว… ที่นี่คือที่ไหนกันหนอ กลิ่นหอมนี้คือกลิ่นดอกไม้หรืออะไร แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่
เธอเห็นหมู่นางเทพฟายฟ้อนงดงามเหมือนเฉลิมฉลอง
ศรุตากำลังอยู่ในความฝัน ได้ยินเสียงองค์อัปสราดังอยู่ข้างๆ
“ฉันเป็นอิสระแล้ว ไม่ต้องหลบซ่อนอีกต่อไปแล้ว”
เธอถามออกไปว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือคะ”
องค์อรดีที่งดงามยิ่งกว่าเดิม แม้ร่างโปร่งใสแต่กลับเปล่งประกายวาววาม ส่งเสียงโดยไม่ขยับริมฝีปากที่คลี่ยิ้มอ่อนโยน “เทพอสูรทำผิดร้ายแรงทำร้ายมนุษย์ที่จุติจากสวรรค์ จึงต้องไปรับการพิจารณาโทษทัณฑ์จากคณาเทพ หากปรายเปรมเป็นอะไรไป เทพอสูรจะยิ่งเดือดร้อน กว่าจะพ้นโทษผ่านเวลารับทัณฑ์ฉันก็คงสั่งสมบุญบารมีมากพอ เขาทำอะไรฉันไม่ได้อีกแล้ว”
“คุณปราย….. โอย… คุณปรายจะตายหรือเปล่าคะ”
“ฉันไม่รู้”
“ทำไมท่านไม่รู้ ท่านเคยอ่านเคราะห์กรรมของคนอื่นได้นี่คะ”
“ความจริงลิขิตชีวิตของปรายเปรมจะต้องไม่มีภัย แต่ว่านี่เป็นเพราะเทพอสูรทรงฝืนชะตามนุษย์ เพราะอย่างนั้นท่านจึงต้องไปรับการพิจารณาโทษจากคณาเทพยังไงเล่า”
“ถ้าอย่างนั้นคุณปรายก็ต้องปลอดภัยซิคะ”
“หากร่างกายมนุษย์ทนบาดแผลขนาดนั้นได้เขาก็รอด”
“โอย… แล้วถ้าคุณปรายตายล่ะคะ”
“ปรายเปรมไม่ได้ทำกรรมชั่วเมื่อเป็นมนุษย์ ถ้าตาย เขาก็จะได้กลับไปเป็นเทพ หรือไม่ก็จุติใหม่ เพราะหน้าที่ที่เขาได้รับมอบหมายให้มาทำยังไม่สำเร็จสมบูรณ์”
“คุณปรายได้รับมอบหมายให้มาทำหน้าที่อะไรคะท่าน”
“ให้มาเป็นมนุษย์ที่ดี และเป็นพ่อของคนสำคัญที่กำลังจะมาจุติในโลกมนุษย์”
“แหม ซับซ้อนจริง…….”
ทรงถอนใจ ยิ้มละไม “ฉันพูดมากเกินไปแล้ว อยู่กับศรุตานานๆ ทำให้ฉันมีนิสัยเหมือนมนุษย์เข้าไปทุกที ตอนนี้ถึงเวลาที่ฉันจะต้องกลับที่อยู่เพื่อสะสมบุญบารมีแล้วละ เราคงต้องลากันตรงนี้”
“ท่านจะกลับวัดโบราณนั่นหรือคะ”
“ไม่ใช่ วัดนั้นเป็นเพียงที่ซ่อนตัวชั่วคราว ที่อยู่แท้จริงของฉันคือสรวงสวรรค์ต่างหาก”
“แล้วเราจะได้พบกันอีกไหมคะ”
“พบซิ แต่เมื่อไรไม่รู้”
“ต้าคงคิดถึงท่านมากแน่ๆ”
กังวานน้ำเสียงเจือหัวเราะ “คิดถึงฉันรึ.. . คงไม่อย่างนั้นหรอกนะ ศรุตา…”
“ต้องใช่ซิคะ ยังไงๆ ต้าก็จะไม่ลืมท่าน” เธอยืนยัน
รอยยิ้มของนางเทพคล้ายซ่อนนัย บอกเธอว่า “ฉันประสาทพรไว้ที่ดอกไม้ในห้องของเธอ อย่าทิ้งจนกว่าดอกจะเหี่ยวกลิ่นจางหาย”
“พรอะไรที่ท่านให้ไว้ในดอกไม้นั้นคะ”
“เธอคิดถึงพ่อเธอไม่ใช่หรือ… อยากเห็นเขาไหม..…”
“โอ ดีจัง ต้าอยากเห็นพ่อค่ะ อยากรู้ว่าพ่อเคยเป็นอย่างไรและเวลานี้อยู่ที่ไหน”
“อธิษฐานกับดอกไม้นั้นแล้วเธอจะได้เห็น”
“ขอบพระคุณท่านเหลือเกินค่ะ”
แพรพริ้วสีสวยที่สะบัดพัดไหวเลือนลางลง กลิ่นหอมแปลกจางหายกลายเป็นกลิ่นฉุนกึกของยาดมที่ถูกชุบสำลีโบกใกล้ปลายจมูก เสียงเพราะๆ ของดนตรีเมื่อครู่กลายเป็นเสียงพร่ำเรียกร้อนรน
“ต้า ตื่นเถอะ ตื่นได้แล้ว”
พอลืมตา ไฟฟ้าในห้องพักคนไข้สว่างจ้า ใบหน้ามากมายรุมล้อม “ฟื้นแล้ว…!”
หญิงสาวผุดลุกขึ้น “คุณปรายล่ะคะ”
“อยู่ในห้องผ่าตัด”
ศรุตานึกได้ แม้คล้ายอยู่ในความฝัน แต่เธอก็จำฉากการต่อสู่ที่กล้าหาญ เธอรู้สึกตัวตื่นขึ้นวูบหนึ่ง และทันเห็นภาพปรายเปรมโดนคมมีดดาบปาดใส่จนเลือดทะลักล้มลง
เธอหน้าซีดถามเสียงสั่น “เขาเป็นอะไรมากหรือเปล่า”
ทุกคนสีหน้าสลดได้แต่ส่ายหน้า “อาการเขาสาหัสมาก”
ไม่มีใครอยากพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ได้แต่ลงความเห็นว่าพายุทำให้เกิดความเสียหาย ซากศพถูกไฟฟ้าแรงสูงฟาดใส่จึงกระเด็นออกมาจากที่แล้วเคลื่อนไหวได้เพราะประจุไฟฟ้าที่สะสม มรุตเองรู้สึกเหมือนฝันในช่วงของการต่อสู้เช่นเดียวกับศรุตาที่ไม่เป็นตัวของตัวเองยามเมื่อมีองค์อัปสราสิงสถิตย์อยู่ในร่าง
ปรายเปรมโดนมีดนั้นได้อย่างไร มันปลิวมาจากที่ไหน คำถามนั้นดังอยู่พักหนึ่งก็เงียบหาย
หญิงสาวเฝ้าอยู่หน้าห้องผู้ป่วยวิกฤตที่มีร่างไร้สติของชายหนุ่มถูกห่อหุ้มด้วยผ้าพันแผล... ระโยงระยางด้วยสายน้ำเกลือและเครื่องช่วยชีวิต บ่อยครั้งที่เธอเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดปลอดเชื้อเข้าเยี่ยม ได้แต่ยืนมองผ่านกระโจมใส ป้องกันการติดเชื้อที่กางกั้น เขาเหมือนกำลังหลับสบาย ใบหน้าปรากฏรอยเคราเขียวจางๆ เธอน้ำตาคลอ วิงวอนขอปาฏิหาริย์ให้เขารอดชีวิต
…คุณปรายจ๋า คุณปรายของต้า... อย่าเป็นอะไรนะ ได้โปรดอย่าเป็นอะไร…..
…ถ้าไม่มีคุณปรายแล้วต้าจะอยู่ได้ยังไง…..
ตั้งแต่รู้จักและโตขึ้นมาด้วยกัน แม้จะมีทะเลาะถกเถียง แต่สิ่งที่ปูเป็นพื้นฐานที่หนาแน่นขึ้นทุกทีก็คือความรักและผูกพัน พอโตขึ้นเป็นหนุ่มสาวแม้เขาจะย้ายออกไปจากบ้านเพราะบาดตาบาดใจในความสัมพันธ์ของแม่เลี้ยงและคนที่เป็นลุงซึ่งเป็นใหญ่ในบ้าน แต่เขาก็ไม่เคยละเลยเธอ ไม่เคยขัดใจ ไม่เคยทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเธอไม่สำคัญ
ในบัดนี้เขาบาดเจ็บสาหัสเพราะช่วยเธอแท้ๆ
“ตื่นขึ้นมานะ คุณปรายของต้า แล้วไม่ว่าคุณปรายต้องการอะไร ต้าจะตามใจทุกอย่าง จะไม่ทำให้คุณปรายขัดอกขัดใจอีกแล้ว.....”
อาการคุณเปี่ยมยิ่งสาหัสกว่าใคร เขาคุ้มคลั่งจนถูกควบคุมตัวในโรงพยาบาล เมื่อทุกคนกลับกรุงเทพฯ คุณเปี่ยมในสภาพที่ถูกห่อหุ้มด้วยเสื้อรัดแน่นหนา กลับถูกส่งเข้ากักขังในโรงพยาบาลโรคจิต
ปรายเปรมถูกส่งเข้ารักษาตัวต่อในโรงพยาบาลขณะที่มรุตจัดการงานศพให้บิดา…….