คนที่เมาอาละวาด ตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างดีพาร่างสูงใหญ่ไปวิ่งออกกำลังอย่างที่ชอบทำ ศรุตา หายโกรธแล้วกลับใยดีความรู้สึกของเขาขึ้นมาจึงตั้งใจว่าจะพูดดีๆ ด้วย ร่างหนาที่กลับเข้ามาชุ่มด้วยเหงื่อทำให้เสื้อยืดบางแนบลำตัว เธอขยับจะพูดด้วย แต่อีกฝ่ายเดินผ่านไปไม่พูดไม่จา ถอดเสื้อพลางเดินเข้าห้อง
พออาบน้ำแต่งตัวเสร็จ รุ่งแสงก็มาเรียก
“ปราย ไปขับรถเที่ยวกัน”
ชายหนุ่มไม่อิดออด ชำเลืองมองเธอนิดเดียวก็เดินผ่านออกประตูหน้าบ้าน ศรุตาที่รอจะคุยด้วยก็เลยรู้สึกเก้อๆ ถามตัวเองว่าจะต้องไปสนใจทำไม แล้วยังไงๆ เขาก็ต้องมาตามง้อเธออย่างที่เคยทำตลอดมา
ใจเธออ่อนวูบๆ เมื่อนึกว่าตั้งแต่คบกันมา เขายอมเธอมาตลอด แม้จะมีเถียงกันบ้างแต่ที่สุดเขาก็จะเป็นฝ่ายตามง้อ
คนทั้งสองหายไปนาน คุณฉัตรบอกกำหนดการณ์แต่เช้าแล้วว่า “กลางวันนี้ไปทานอาหารทะเลสดๆ กันดีกว่า” ศรุตาเหลียวหาจนใกล้เวลาออกจากบ้านก็ยังไม่เห็นชายหนุ่มกลับมาจึงอดบ่นไม่ได้
“ไปกันถึงไหนนะ จนป่านนี้แล้วยังไม่กลับ”
โศภิตเองก็รออยู่จึงเร่งเร้า “โทรศัพท์ไปตามซิ”
หญิงสาวหยิบโทรศัพท์แล้วก็เปลี่ยนใจ “ไม่เอาหรอก เรื่องอะไรจะต้องตาม ไปเองก็มาเองซิ”
“แหม อุตส่าห์มาเที่ยวด้วยกันทั้งทีนะ ต้า”
“เขาก็อาจจะพูดอย่างโศ อุตส่าห์มาเที่ยวทั้งทีเลยถือโอกาสไปกันแค่สองต่อสอง”
“เขาชอบกันเหรอ”
“คงงั้นมั้ง” เธอยกไหล่ทำทีเหมือนไม่ใส่ใจ หากพอนึกถึงเมื่อคืนนี้ก็อดใจเต้นแรงไม่ได้ เขาคิดจะจูบเธอจริงๆ หรือ เอ ก็ถ้าเขาจูบเธอจริงๆ แล้วต่อไปจะมองหน้ากันยังไง
ตาปรายบ้า ตั้งแต่ออกจากบ้านไปอยู่หอพักนักศึกษาแล้วย้ายมาเช่าคอนโดฯ ตามลำพังหลังจากเรียนจบ ชักจะป่าเถื่อนขึ้นทุกทีแล้ว……..
เพราะปรายเปรมขับรถออกไปกับรุ่งแสง ศรุตา โศภิตและนายตุ้ยจึงต้องมานั่งรถของอัสนีย์โดยที่มีคุณสมฉวีนั่งคู่ข้างหน้า คุณสมฉวีชำนาญพื้นที่จึงเป็นคนเลือกร้านอาหาร เธอบอกตำแหน่งที่ตั้งร้านที่นัดหมาย แต่เพราะว่าเธอช้า รถคันใหญ่จึงเลื่อนออกไปก่อน
“ขอโทษที่ทำให้รอนะจ๊ะ เด็กๆ”
“ตุ้ยหิวแล้วครับอาหวี” น้องชายเธอออด
ศรุตาที่นั่งอยู่ตรงกลางที่เบาะหลัง กระแทกแขนน้องชายเบาๆ “รู้จักทนหิวได้แล้ว จะได้ไม่ต้องเป็นหนุ่มอ้วน”
“อ้วนแล้วเป็นยังไงไม่ทราบ” โศภิตหันมาค้อน
“สาวอ้วนน่ารัก แต่หนุ่มอ้วนน่าเกลียดจ้ะ” เธอรีบแก้
อัสนีย์ไม่แพรวพราวหยอกเย้าอย่างเคย ดูเขาเครียดขรึมจิตใจไม่อยู่กับเนื้อตัวมาตั้งแต่ก่อนออกเดินทางจากกรุงเทพฯ แล้ว และจนบัดนี้หลังจากนอนค้างคืนแรกก็ยังไม่เข้ามาคลุกคลีอย่างที่ศรุตานึกกลัว
คุณสมฉวีทำท่าค้นกระเป๋ากุกกักแล้วก็ร้องว่า
“อ้าว อาลืมกุญแจซะแล้ว อัสไปเอามาหน่อย”
อัสนีย์ไม่ขยับตัว สีหน้าเจื่อนจาง แต่หนุ่มน้อยและสาวๆ ที่นั่งกระแทกเย้าแหย่กันอยู่ข้างหลังไม่ได้สนใจ
คุณสมฉวีต้องทำหน้าขึง กระซิบไล่ดุๆ “ไปซิ”
ร่างสูงจึงเปิดประตูรถก้าวออกไป ครู่ใหญ่ก็กลับมาด้วย สีหน้าเผือดเหมือนคนไม่สบาย อีกฝ่ายกระซิบถาม “เรียบร้อยไหม”
“ครับ”
“รีบไปกันได้แล้ว” เธอเร่ง
รถเคลื่อนออกจากที่ คนที่นั่งในเบาะหลังทั้งสามไม่ได้เฉลียวใจแม้สักนิดว่า อีกฝ่ายไม่ได้ถือกุญแจมาให้คนที่บอกว่าลืม ทั้งยังสีหน้าเผือด ทำท่าเหมือนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
พอถูกถามว่า “ทำไมพี่อัสเงียบจัง” เขาก็อ้ำอึ้ง คุณสมฉวีต้องตอบแทนว่า
“อัสเขาเป็นห่วงงาน นี่ก็บอกว่าจะหนีกลับก่อน”
โศภิตกลัวว่าจะต้องไปเบียดกันในรถคันอื่นรีบถามว่า “งั้นรถก็ไม่พอนั่งสิคะ”
“พอซิ เขาจะนั่งรถทัวร์กลับไปทิ้งรถไว้ให้พวกเราใช้”
ศรุตาพูดว่า “เลยอดสนุกเลยเนอะพี่อัสเนอะ”
เขาพยักรับด้วยสีหน้าเจื่อนๆ
รุ่งแสงกลับเบิกบานใจขณะที่ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆ ออกจะเงียบขรึม ปรายเปรมพารถมุ่งหน้าไปยังที่ที่เธอเอ่ยปากอย่างว่าง่าย แต่ในใจกลับคิดถึงใบหน้าใสๆ เสียงหัวเราะหัวใคร่พูดคุยเจื้อยแจ้วของคนที่เคยเป็น ‘คู่หู’
ใครๆ ก็รู้ว่าเธอหลงใหลมรุตมาแต่แรก ตอนนี้เมื่อฝ่ายนั้นใกล้ชิดเอาอกเอาใจเธอจึงลืมเขาไปเลย
เขาน้อยใจและหึงหวง แต่ดูเหมือนเธอไม่รับไม่รู้ความรู้สึกของเขา
มือนุ่มๆ ยื่นมาลูบไล้ใบหน้าคล้ำๆ สากเครา รุ่งแสงพูดเจือหัวเราะ “ยิ้มหน่อยซิ ปราย มาเที่ยวกับสาวทำไมทำหน้าทำตาแบบนี้”
ชายหนุ่มเบือนหน้าหนีไปนิดหนึ่ง “ต้องทำหน้ายังไงเหรอ”
“อะไร หวงเนื้อหวงตัวจับหน่อยก็ไม่ได้” เธอต่อว่า
“จับมากเดี๋ยวหลง”
“ใครจะหลงใคร”
“ผมกลัวว่าจะหลงทาง”
“หลงทางก็หลงด้วยกันไม่เป็นไรหรอก อยู่กับปรายแล้วจะยังไงรุ่งก็ยอมทั้งนั้น” อีกฝ่ายทีเล่นทีจริงอยู่ในน้ำเสียง ถ้าปรายเปรมจริงจังคงเกิดอะไรบางอย่างขึ้นนานแล้ว นี่เพราะเขาถือว่าเป็นทีเล่น สาวสวยที่พอใจเขาอย่างออกนอกหน้าจึงยังเข้าไม่ถึงขอบเขตที่เธอต้องการสักที
พอได้ยินเสียงโทรศัพท์เขาก็ตะครุบมันขึ้นมา ครั้นเห็นหมายเลขโทรเข้า สีหน้าก็ขรึมลงอย่างผิดหวัง น้ำเสียงพูดตอบโต้ไม่แจ่มใส
“เรื่องงาน…….”
“ทำไมไม่โทรไปหาเค้าซะเองล่ะ” เธอแกล้งถามเมื่อเห็นชายหนุ่มพูดและตัดสายด้วยอาการสุดจะเซ็งหลายครั้ง
“โทรไปหาใคร”
“ใครก็ตามที่ปรายอยากให้โทรมา”
ชายหนุ่มยกไหล่ “ผมไม่ได้อยากให้ใครโทรมา”
“ปากแข็ง” เธอว่า
เธออ้อยอิ่งเถลไถลดึงให้เขาอยู่ด้วยจนบ่าย…….
ข้างศรุตาก็หน้าบานไม่หาย พอกลับมาถึงบ้านปล่อยให้พวกผู้ใหญ่แยกกันเข้าห้องพักผ่อน เด็กๆ ก็จับกลุ่มพูดคุยร้องเพลง ถ้าเป็นเพลงฝรั่งน้องสาลี่ก็อิงแอบร้องด้วย และถ้าเป็นเพลงไทยเด็กหญิงก็มองตาแป๋วอย่างสนใจเพราะบางเพลงเธอก็ไม่เคยได้ฟังมาก่อน
…อยากจาร๊องงงงง ดังๆ….. พอถึงช่วงที่เนื้อเพลงซ้ำๆ เธอก็ผสานเสียงด้วย สารัตถ์ รู้ทัน “สาลี่ก็ร้องได้แค่นี้แหละ”
“อีกหน่อยสาลี่จะร้องทั้งเพลง”
“โอย อย่างนั้นต้องเตรียมหาอะไรไว้อุดหูแล้ว อยากจะร้องดังๆ ซะด้วย”
พอถึงเพลงจังหวะกระแทกกระทั้น โศภิตก็ลุกขึ้นเต้น เธออ้วนแต่เต้นได้สวย นายตุ้ยและสาลี่จึงลุกขึ้นเต้นตาม
“เต้นกับเค้าบ้างซิต้า” มรุตเชียร์ยิ้มๆ
“พี่มรุตเต้นก่อนซิ”
โศภิตตรงเข้ามาดึงแขน “ต้า มาน่า เต้นกับน้องสาลี่”
“ไม่เอ๊า…..”
กำลังดึงๆ ลากๆ กัน แล้วทุกคนก็ต้องตกใจเพราะเสียงกรีดร้องโวยวายของคุณนก ดังลั่นออกมาจากห้องคุณย่า ไม่รู้ว่าใครเป็นคนนำแต่ทุกคนถลันตามกันแทบจะชนกับคุณฉัตรและคุณประไพที่พักอยู่ห้องข้างๆ พุ่งผ่านประตูเล็กๆ เข้าไปข้างในโดยไม่รั้งรอ
ภาพที่เห็นทำให้คุณฉัตรต้องชะงักหน้าซีดและคนอื่นๆ ได้แต่ยืนนิ่ง คุณย่ายืนอยู่ข้างเตียงมีคุณนกยืนประคองตัวสั่นด้วยกันทั้งคู่ ที่พื้นห้องตรงระหว่างกลางคืองูพิษตัวใหญ่ที่กำลังชูหัวขึ้นอย่างพร้อมจะฉกกัดทุกเมื่อ
“ช่วยด้วยยยยยย…..” คุณนกครางโหยหวน
“คุณนก เฉยๆ ไว้ อย่าขยับเป็นอันขาดเชียวนะ” คุณฉัตรเสียงสั่น
เจ้างูร้ายชูหัวขึ้นสูง หันมาเพียงนิดเดียวแต่คล้ายดวงตาวาววับที่มุมมองของแต่ละคนทำให้มองเห็นเพียงข้างเดียวของมันจะมองเห็นทุกคนในห้อง ศรุตาเพิ่งรู้ตัวว่ายืนอยู่ในแถวหน้า ใกล้เจ้าตัวที่มีเกล็ดลายสวยเป็นมันวับมากที่สุด
“ทุกคนอย่าขยับนะครับ” เสียงมรุตเครียดขรึม
“แล้ว….. แล้วเราจะทำยังไงกันดี…..” คุณประไพกระซิบถามเสียงสะท้าน
“เฉยๆ ไว้ก่อน…..” คุณฉัตรให้คำตอบ
คนและงูจับจ้องกวาดตาคุมเชิงกัน… “แต่นกยืนไม่ไหวแล้วค่ะ” คุณนกพึมพำแล้วทรุดฮวบ
การเคลื่อนไหวทำให้เจ้าตัวร้ายดีดตัวเข้าใส่คุณย่าที่ยืนอยู่เยื้องมาข้างหน้าทันที แล้วก่อนที่เขี้ยวแหลมที่เต็มไปด้วยพิษร้ายจะถึงตัวคุณย่า มือบางๆ ของศรุตาก็พุ่งวาบจับหมับเข้าที่ลำคอของมัน
“กรี๊ดดด……” ทุกคนส่งเสียง รวมทั้งตัวเจ้าของมือเองด้วย
“ต้า..!”
“ต้า..จับไว้ๆ อย่าปล่อยนะ”
“กรี๊ดดด….. ไม่เอาๆ” เธอโวยวายแต่มือกำแน่นยื่นออกไปจนสุดแขน งูใหญ่เรี่ยวแรงมหาศาลบิดตัวต่อสู้แต่คล้ายจะสิ้นฤทธิ์อยู่ในมือบางๆ
ไม่มีใครรู้ว่าองค์อรดีจับมือนั้นไว้แน่น
“อย่าปล่อยนะ ไม่งั้นมันจะกัดเธอ” เสียงสั่งราบเรื่อยไม่มีอารมณ์ร่วม ผิดกับหญิงสาวที่กรีดร้องลั่นๆ
“ไม่เอาๆ เอามันไปที…..”
อีกฝ่ายปรามด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยตามเดิม “ใจเย็นๆ อย่าตกใจซิ ศรุตา…..”
“ว้ายยย กรี๊ดๆ” เธอไม่หยุดส่งเสียง
เสียงกรีดร้องดังไปถึงลานหน้าบ้านซึ่งรถคันเก่าเพิ่งเข้ามาจอด แล้วร่างสูงใหญ่ก็โผเข้าประตูมา ตามด้วยร่างบางๆ ของรุ่งแสง ภาพที่เห็นทำให้หยุดชะงักไปด้วยกันทั้งคู่ ในสีหน้าที่เครียดขรึมลง เขาก้าวผ่านคนอื่นๆ เข้ามาหาเธอ
“ต้า ใจเย็นๆ” เสียงเรียกเคร่งเครียด
“คุณปราย… ช่วยต้าด้วยยย…..”
ชายหนุ่มมองตาเจ้าเขี้ยวพิษด้วยสีหน้าเครียดขรึม เห็นมือบางเกร็งจนข้อนิ้วขาวซีด จับตรงพอดีตำแหน่ง ถ้าจับสูงหรือต่ำกว่านั้นก็มีหวังโดนเขี้ยวพิษฉกกัดฝังฝากพิษร้ายให้ถึงตายเอาได้
“อย่าเพิ่งปล่อยนะ” เสียงสั่งเครียด ทุกคนลืมหายใจเมื่อมือใหญ่ยื่นออกไปบีบหัวเจ้างูร้ายไว้ หากมันพลิกตัวหลุด เขาคงเป็นคนแรกที่รับรู้พิษเขี้ยว
“เอาละ ปล่อยได้แล้ว” พอมือเล็กๆ เลื่อนหลุด อีกมือหนึ่งของเขาก็ฉวยหมับแทนที่
ศรุตาทรุดเซลง ถังใหญ่ถูกลากเข้ามาพอดี พอเจ้าตัวดีถูกปล่อยลง ฝาถังก็ถูกปิดอย่างรวดเร็ว ใครๆ ประคองคุณย่าไปที่เตียง มรุตปราดเข้าไปหาหญิงสาว จับมือที่ยังเกร็งไม่คลายของเธอขึ้นมาดู
“เป็นยังไงบ้างต้า เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
“ไม่เจ็บค่ะ” เธอพึมพำ สีหน้าซีดเผือด
หนุ่มใหญ่บีบนวดมือบางทั้งยังทำท่าประคับประคองปลุกปลอบ ปรายเปรมจ้องมอง เห็นเธอปล่อยให้ฝ่ายนั้นประคับประคองบีบนวด
ทำเหมือนลืมไปว่าเขาก็อยู่ในห้อง.…..……