สองพี่น้อง ที่ยืนรีรออยู่หน้าห้องไม่ได้ทำให้พวกผู้ใหญ่สนใจจนกระทั่งคุณเปี่ยมทักว่า “อ้าวต้า ตุ้ย สวัสดีลุงฉัตรกับป้าประไพซิ”
ทั้งสองทำตามทันทีเพราะตั้งท่ารออยู่แล้ว คุณฉัตรรับไหว้ด้วยรอยยิ้มใจดี “คนไหนของนายเปรม…”
“นี่ลูกผมทั้งคู่” คุณเปี่ยมว่า
“น่ารักทั้งคู่เลย” คุณประไพยิ้มให้ “คนโตนี่อายุเท่าไหร่แล้วคะ”
ศรุตาตอบว่า “ยี่สิบสองค่ะ”
“อ้าว…เอ๊ะ…” สีหน้าคุณประไพแปลกใจ แต่สายตาของสามีที่หันมามองอย่างปรามทำให้เธอรีบกลบเกลื่อน “แหม หน้าตายังเป็นเด็กจังเลย นึกว่าอายุสิบสี่สิบห้า”
ชายหนุ่มร่างสูงผิวขาวจัดที่ยืนอยู่ในกลุ่มมองตรงมาทำให้จิตใจของศรุตาไม่เป็นปรกติ ดวงตาคมวาววามคู่นั้นทำให้เธอรู้สึกเหมือนคนทำความผิดทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรสักนิด
คุณฉัตรแนะนำว่า “นี่มรุต ลูกชายของลุง”
ฝ่ายนั้นรับไหว้ด้วย สีหน้าไม่บึ้งแต่ก็หาไมตรีไม่พบ
คุณนงนิตย์พูดว่า “นี่ไง น้องสาลี่ที่ต้าอยากพบ”
“หวัดดีพี่ๆ ซิคะ สาลี่”
เด็กหญิงบิดตัวหลบหน้า คราวนี้ผู้ใหญ่ไม่สนใจ ปล่อยให้เธอม้วนไปหลบอยู่ข้างหลัง“ต้าไปอยู่กับคุณย่าไป” คุณเปี่ยมบอกลูกเลี้ยง
“อ้าว ทำไมไม่ให้ไปทานข้าวด้วยกันล่ะ” คุณฉัตรถาม
“ไม่เป็นไรครับ ขานี้เขาคอยดูแลคุณย่าอยู่แล้ว”
คุณประไพถามว่า “คุณย่าท่าจะรักมากกระมัง”
“ครับ รักมาก” น้ำเสียงคุณเปี่ยมภาคภูมิ
กลุ่มคนเดินผ่านไป เจ้าของร่างสูงนั้นไม่หันมามองอีกเลย
ศรุตารู้สึกใจหาย นี่หรือท่าทีที่ญาติจะพึงมีต่อกัน แต่พอนึกอีกทีเธอก็บอกตัวเองว่าเธอไม่ได้อยู่ในวงศาคณาญาติ เขาคงจะรู้แล้วเพราะเมื่อครู่นี้ ที่คุณประไพหลุดปากแปลกใจว่าคุณเปี่ยมเพิ่งแต่งงานได้สิบปีทำไมจะมีลูกสาวโตขนาดนี้ ท่าทีคุณฉัตรกลับยิ้มเฉยทั้งยังแนะนำลูกชายคล้ายช่วยกลบเกลื่อน
คุณย่านอนนิ่งอยู่บนเตียง คุณนก สาวสวยที่จ้างมาคอยดูแล เลี่ยงไปทำงานจุกจิกที่ห้องติดกัน หญิงสาวย่องเข้ามาดูจึงเห็นว่าคุณย่ากำลังร้องไห้
“คุณย่าขา…” เธอลูบแขนอีกฝ่าย
คุณย่าเช็ดน้ำตา “ต้า… ทำไมไม่ไปทานข้าวกับคนอื่นๆ ”
“ต้ายังไม่หิวค่ะ ลุงเปี่ยมเลยบอกให้ต้ามาอยู่กับคุณย่า”
“ไม่ต้องคอยเฝ้าย่าหรอก ย่ายังไม่ตายง่ายๆ คงต้องทนทุกข์ทรมานอีกนาน”
“โธ่ คุณย่าอย่าพูดอย่างนั้นซิคะ ต้ารักคุณย่านะคะ”
มือบางเหนี่ยวแขนเธอให้ช่วยพยุงขึ้นนั่ง ศรุตาจัดให้หมอนอิงหลังแล้วเช็ดน้ำตาให้
“หยิบอัลบั้มนั้นมาให้ย่าดูหน่อย”
หญิงสาวมองตามมือ อัลบั้มภาพที่ชายหนุ่มผู้เย่อหยิ่งคนนั้นนำออกมาจากรถวางอยู่บนโต๊ะ
คุณย่าประคองมันไว้บนตักโดยที่หญิงสาวซึ่งนั่งคุกเข่าชิดเตียงต้องช่วยถือไว้ให้ มืออันสั่นเทาพลิกกระดาษแข็งทีละหน้า นัยน์ตาที่เริ่มมีวงฝ้าสีขาวเพราะวัย ส่งประกายวูบวาบ
“นี่ยังไง แม่ก้อย…..”
มีภาพถ่ายไม่มากนัก แต่คุณย่าก็พลิกดูซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่เนิ่นนาน ศรุตาพยายามทำให้ท่านรู้สึกสบายใจด้วยการทำน้ำเสียงร่าเริง
“อาก้อยสวยจังเลย ท่าจะเหมือนคุณย่าตอนสาวๆ”
“เหมือนมากยังกับแกะจากพิมพ์เดียวกัน แต่นิสัยไม่เหมือน เขาอ่อนไหวแต่ว่าย่าเป็นคนแข็งกระด้าง”
“คุณย่าเข้มแข็งต่างหาก ต้าไม่เคยเห็นว่าคุณย่าแข็งกระด้างตรงไหนเลย”
“ตอนสาวๆ ย่าห้าวมาก ไม่อย่างนั้นคงทำงานไม่ได้เท่าที่ทำมา”
“คุณย่าเป็นหญิงแกร่งค่ะ”
คุณย่าถอนใจ น้ำเสียงสั่นเครือแหบโหย “ตอนนั้นย่าห่วงแต่งานและเงินมากเกินไป ความสวยและความสำเร็จทำให้หลงทะนงตนว่าใครๆ จะต้องยอมให้ พอแม่ก้อยดื้อรั้น ย่าก็ทิฐิตอบ ย่าจะเอาชนะให้ได้แม้แต่กับลูกสาวคนเดียวของตัวเอง”
หญิงสาวพลอยรู้สึกหนักอึ้งในอกจนตีบตันไปด้วย
“ต้า ย่ารู้สึกเหงาเหลือเกิน… เมื่อครู่นี้ใครๆ อยู่กันเต็มห้อง ตอนจะออกไป พ่อเปี่ยมกับพ่อฉัตรก็ช่วยกันประคองย่ามานอน แต่ย่าเพิ่งจะรู้ตัวว่าคนที่ย่ารักที่สุดไม่มีวันจะกลับมาอีกแล้ว…”
“โถ… คุณย่า…”
“เมื่อก่อนย่าหลอกตัวเองพยายามที่จะไม่คิดถึง แต่ในวันนี้พอเห็นยายหนูสาลี่ ย่าถึงรู้ว่าที่ผ่านมา ย่าทิฐิดื้อรั้นไม่ยอมรับความจริงมาตลอด”
“คุณอาก้อยก็คงคิดถึงคุณย่ามากเช่นกันค่ะ”
“ไม่หรอก หากเขารักคิดถึงย่า เขาคงต้องกลับมา ไม่ใช่ไปไม่กลับแบบนี้”
“ต้าเชื่อว่าอาก้อยต้องรักและคิดถึงคุณย่า…..”
“ย่าอยากพบเขาเหลือเกิน…..”
น้ำตาคุณย่าไหลเป็นทาง ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมา ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่คุณย่าแสดงความอ่อนแอหวั่นไหวออกมาให้เห็น เวลาป่วยไข้ท่านท้อแท้บ้างแต่ไม่ใช่ถึงกับร้องไห้ออกมาเช่นนี้
ประตูถูกเปิดออกแล้วร่างอ้วนสูงใหญ่ใบหน้างอง้ำก็นำร่างเล็กๆ ของน้องสาลี่เข้ามา
“อ้าว…” ศรุตาร้อง
“เค้าตามตุ้ยมา” สารัตถ์สีหน้าเบื่อหน่ายพยักหน้าไปทางเด็กหญิง
พอน้องสาลี่ก้าวพ้นประตูเข้ามาก็ทำท่าจะยึดหลักอยู่ตรงนั้น มิใยศรุตาจะยิ้มร้องเรียก เธอก็ได้แต่บิดไปบิดมา เบียดตัวเองกับฝาห้อง
“อ้าว ทีอย่างนี้ไม่ยอมมา” น้ำเสียงเด็กชายรำคาญใจ
“ตุ้ยก็พูดกับน้องดีๆ ซิ พูดจาแบบนี้น้องถึงไม่อยากมาด้วย”
“อะไรไม่อยากมา ก็เมื่อกี้นี้ยังวิ่งตามยังกับกลัวตุ้ยจะหนีหายไปไหนอย่างนั้นแหละ”
ก็เมื่อครู่ก่อนนี้ บรรยากาศในโต๊ะอาหาร แม้คลุกเคล้าด้วยเสียงพูดคุยหัวเราะ จริงใจบ้างไม่จริงใจบ้าง ซึ่งเด็กๆ อย่างเขาแยกไม่ออก ได้แต่รู้สึกอึดอัดใจที่ต้องนั่งอยู่ในท่ามกลางพวกผู้ใหญ่ ท่าทีของยัยน้องสาลี่ทำให้แม่บอกเขาว่า “คุณตุ้ย พาน้องสาลี่ไปดูของเล่นซิคะ”
ป้าประไพรีบค้านว่า “ไม่เป็นไรค่ะ ให้สาลี่นั่งอยู่ที่นี่แหละ”
ทุกคนหันมามอง คุณฉัตรจึงพูดว่า “ไปเถอะ สาลี่จะได้ชินกับที่นี่”
เท่านั้นเด็กชายก็เลื่อนปราดออกจากโต๊ะ มีเด็กหญิงที่คล้ายขี้อายไม่มั่นใจในตนเอง ตามติดราวกับนกน้อยที่ได้รับอิสรภาพ
สารัตถ์นึกไม่ออกว่าจะสังสรรค์กับยัยน้องสาลี่ได้ยังไง จึงวิ่งมาหาพี่สาวที่ห้องคุณย่า
คุณย่ามองเด็กหญิงด้วยความรู้สึกหวั่นไหว ศรุตาจึงเดินเข้าไปหา ก้มลงยิ้มทักทาย
“สวัสดีค่ะน้องสาลี่ พี่ชื่อพี่ต้าค่ะ”
เด็กหญิงเบียดตัวกับฝาห้อง บิดคอจนเอียงแต่สีหน้าบอกว่ายอมรับไมตรีของเธอ
“คุณย่ากำลังดูรูปอาก้อยแต่ไม่รู้ว่าเป็นคนไหน น้องสาลีรู้ไหมคะ ช่วยมาชี้ให้คุณย่าดูหน่อยได้ไหมคะ”
เด็กหญิงเอียงคอมองสมุดภาพเหมือนกับว่านั่นเป็นของที่เธอคุ้นเคย เธอยอมให้ศรุตาจับมือแล้วเดินตามโดยดี
เพราะตัวเธอเล็กบาง ศรุตาจึงรุนให้ขึ้นไปนั่งบนเตียงข้างๆ คุณย่าและเจ้าตัวก็ไม่ได้บิดพลิ้ว คลานเข้าไปหาราวกับเป็นสัญชาตญาณ คุณย่ายกมือค้างอยู่ชั่วครู่ก่อนจะวางลงบนหัวไหล่บางๆ อย่างไม่มั่นใจ
น้ำตาท่านพราววาบ
“เฮอะ ทำไมถึงจะไม่รู้ว่าเป็นคนไหน ขนาดตุ้ยไม่เคยเห็นยังเดาได้เลย”
นายตัวใหญ่ขี้อิจฉากระโจนตาม พลิกสมุดภาพจนร่างคุณย่าไหวยวบ
“เบา นายตุ้ยเบา…” พี่สาวร้องลั่น “ตัวเธอแค่ไหนทำไมไม่รู้ตัวบ้าง”
“ช่างมันเถอะ ช่างมัน”
สีหน้าผู้สูงวัยระบายรอยยิ้ม ลืมโรคภัยไข้เจ็บไปสนิท มือชราที่จับไหล่บางของเด็กหญิง กระชับแนบแน่นเข้าทุกที แม่หนูเริ่มคุ้นเคยจับหน้ากระดาษพลิกเองพลางอธิบายเสียงค่อย
“นี่มามี๊….. นี่ก็มามี๊…..”
“มามี๊สวยจังเลย….. เอ แล้วไหนน้องสาลี่ล่ะคะ”
เธอพลิกหน้ากระดาษแข็งอย่างจดจำตำแหน่งแห่งที่ได้ขึ้นใจ “นี่น้องสาลี่”
สารัตถ์ชะโงกหน้าเข้าไปตามดู ศรุตาแกล้งแหย่
“นี่น่ะหรือคะ น้องสาลี่ ไม่ใช่ละมั้ง คนอื่นต่างหาก”
“นี่น้องสาลี่” เธอลงเสียงหนักอย่างยืนยัน
“แล้วทำไมตัวเล็กอย่างนี้คะ น้องสาลี่เป็นสาวแล้วต่างหาก”
“น้องสาลี่ยังไม่เป็นสาว” เธอเอนตัวเข้าไปหาอกคุณย่าผู้ซึ่งโอบรับไว้ด้วยความตื้นตัน
ประตูถูกเปิดออกแล้วร่างสูงที่ล่ำสันของคนที่มีสีหน้าเฉียบเฉยอยู่เป็นนิจก็ปรากฏ ศรุตาไม่รู้ว่าทำไมหัวใจจึงกระตุกวาบพูดอะไรไม่ออกขณะที่คุณย่าทักว่า
“อ้อ มรุต เข้ามาซิลูก”
ฝ่ายนั้นเดินเข้ามาคุกเข่าใกล้เตียงอย่างว่าง่าย น้ำเสียงทุ้มห้าวมีกังวานน่าฟัง
“น้องสาลี่รบกวนคุณย่าหรือเปล่าครับ”
“ไม่รบกวนหรอก…” คุณย่ามองหลานชายนอกไส้คนโตที่ท่านเคยเห็นในยามเขายังเป็นเด็กอย่างเพ่งพิศ พอได้ชื่นใจหลานยาย ความขุ่นข้องบาดหมางที่มีต่อครอบครัวของคุณฉัตรก็มลายหายไปหมด “ไหน ได้ยินว่าเราเรียนถึงปริญญาเอกเชียวหรือ แล้วตอนนี้ทำงานอะไรอยู่”
“เคยทำงานเป็นลูกจ้างบริษัทฝรั่งครับ แต่ว่าตอนนี้กำลังมองหางานดีๆ อยู่”
“งานแบบไหนที่มองหา”
“แบบไหนก็ได้ครับ ผมทำได้ทุกอย่าง เชื่อว่าถ้ามีความพยายามและความพอใจแล้วก็คงไม่มีอะไรยากเกินไป”
สีหน้าคุณย่าพอใจ “อยากทำงานของเราเองไหม บริษัทชิตเทวัญ ที่ย่ากับคุณปู่ของหลานเป็นคนก่อตั้งมีที่ให้เสมอ”
รอยยิ้มทำให้ริมฝีปากสีอ่อนเหนือเงาเคราจางๆ แทบจะเป็นเส้นตรง “เป็นความกรุณาอย่างยิ่งครับผม”
คำพูดไพเราะเป็นงานเป็นการทำให้ศรุตาต้องชำเลืองมอง ตาสบตา… แล้วดวงตาคมวาววามคู่นั้นก็เมินกลับไปเหมือนเธอเป็นโต๊ะเก้าอี้ก็ไม่ปาน……
ญาติๆ รออยู่ที่ข้างล่างเมื่อคุณเปี่ยมพาคุณฉัตรและคุณประไพขึ้นมาลาคุณย่า คุณนงนิตย์เข้ามานั่งข้างๆ ศรุตา ส่วนคุณสมฉวีตามมาข้างหลังอย่างสงบเสงี่ยม
คุณย่าอารมณ์ดีขึ้นมากหลังจากได้พูดคุยกับด๊อกเตอร์หนุ่มผู้เป็นเสมือนหลานชายคนโตขณะที่แม่หนูน้อยหลานสาวในสายเลือดเพียงคนเดียวพัวพันคลอเคลียให้ลูบไล้โอบกอดอยู่ข้างๆ ดวงตาที่เคยหม่นมัวกลับมีประกายแจ่มใสอีกครั้ง บอกคุณเปี่ยมว่า
“ที่นี่ออกกว้างขวางมีห้องว่างหลายห้อง ถ้าฉัตรยังหาที่อยู่แน่นอนไม่ได้ ให้มาอยู่ด้วยกันที่นี่ก่อนก็ได้นี่นะ เปี่ยม”
คุณฉัตรซ่อนยิ้ม
คุณสมฉวีหันขวับมาทันทีที่ได้ยิน ส่วนคุณเปี่ยมนั้น เพราะครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ก่อนแล้วจึงไม่ได้แสดงอาการต่อต้านออกมา
ที่นี่คือบ้านชิตเทวัญ บ้านของคุณปู่ชิต…พ่อแท้ๆ ของคุณฉัตร คุณเปี่ยมเตือนตัวเองเสมอว่าสักวันหนึ่งเจ้าของที่แท้จริงจะกลับมาทวงสิทธิที่ควรมีควรได้คืนไป…!
“ครับ ผมก็คิดเรื่องนั้นอยู่เหมือนกัน เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้ผมเพิ่งรับปากกับอัสนีย์และรุ่งแสงให้มาอยู่ด้วย ทั้งสองคนเลยขนย้ายข้าวของเข้ามา ต้องเรียกให้มาย้ายกลับออกไปก่อน”
เสียงคุณย่าถามอย่างแปลกใจว่า “อ้าว อัสนีย์กับรุ่งแสงจะมาอยู่ด้วยหรือ” ขณะที่ศรุตากับแม่ก็มองหน้ากันอย่างแปลกใจกับข่าวที่เพิ่งจะได้ยินเช่นกัน
“ใครครับ อัสนีย์กับรุ่งแสง”
“หลานๆ ของฉวีเองค่ะ” คุณสมฉวีรีบตอบ
“คุณย่าเลี้ยงมาตั้งแต่ยังตัวแค่นี้” คุณเปี่ยมทำระดับมือเรี่ยๆ พื้น
ศรุตารู้สึกว่ามันออกจะเกินเลยความเป็นจริงไปบ้าง อัสนีย์และรุ่งแสงมีอายุไล่เรี่ยกับเธอ และที่เธอรู้มา สองคนนั้นเพิ่งเข้ามาร่วมวงศาคณาญาติก่อนหน้าคุณเปี่ยมจะแต่งงานกับแม่เธอไม่นาน
‘…พวกเขาก็ไม่ใช่หลานแท้ๆ ของคุณย่าเหมือนกัน ไม่แตกต่างไปจากเธอหรอก…’ เด็กชายปรายเปรมบอกเด็กหญิงศรุตาเช่นนั้นเมื่อเธอโดนพี่น้องขี้ตู่ความเป็นเจ้าของบ้านทั้งสอง ข่มเหงเมื่อเข้ามาอยู่ด้วยกันใหม่ๆ
ยามเป็นเด็ก เธอกับพี่น้องคู่นั้นเข้ากันแทบจะไม่ได้ ครั้นต่อมาคุณลุงเปี่ยมรักเอ็นดูเธอมากขึ้นทุกที สองคนนั้นจึงยอมรามือ และเพราะว่าทั้งคู่ไม่ได้พำนักประจำที่นี่ ในที่สุดศรุตาก็แซงหน้าความสนิทชิดใกล้กลายเป็นหลานรักของคุณย่าเป็นอันดับสามรองลงมาจากคุณปรายและคุณตุ้ย
พอเป็นหนุ่ม อัสนีย์ก็เริ่มระริกระรี้ถึงเนื้อถึงตัวโดยที่ศรุตารู้สึกรำคาญใจเป็นที่สุด และพอคุณลุงเปี่ยมเห็นก็จะทำตาเขียวเอ็ดหลานชายของน้องสะใภ้อย่างไม่เกรงใจใคร อัสนีย์ย้ายออกไปนานแล้ว นานๆ จะมาหาคุณย่าสักครั้ง ถึงแม้ขณะนี้เขาจะทำงานให้คุณเปี่ยมแต่ก็เป็นลูกน้องที่คุณเปี่ยมเข้มงวดกดขี่ น่าแปลกที่มาคราวนี้คุณเปี่ยมกลับพูดจาเหมือนผูกพันรักใคร่อัสนีย์เต็มประดา
ศรุตามองหน้าแม่ คุณนงนิตย์ที่มีสีหน้าหม่นมัวกลับยิ้มเฉยเหมือนไม่มีอะไรผิดแปลก
“คุณย่ามีหลานแยะจริง ช่างน่าอบอุ่นเหลือเกิน” คุณประไพเจือหัวเราะเยาะหยัน มองคุณสมฉวีผู้มีท่าทีสงบเสงี่ยมอย่างดูแคลน
ประกายตาคุณสมฉวีกระด้างวาบวับอย่างโกรธ เธอต่างก็เป็นลูกสะใภ้ของคุณย่า แม้เธอจะเป็นภรรยาคนที่สองของคุณเปรมแต่ก็มีการจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย ศักดิ์ศรีเท่าเทียมกันไม่เห็นแตกต่างที่ตรงไหน
น้ำเสียงคุณฉัตรเกรงใจ “ไม่เป็นไรหรอกครับคุณแม่ อย่าให้ต้องลำบากกันเลย ผมตั้งใจมากราบเยี่ยมคุณแม่ไม่ได้คิดจะมารบกวน”
“รบกงรบกวนอะไรกัน ที่นี่ก็บ้านของพ่อฉัตรแท้ๆ”
“ครับ พี่ฉัตรจะย้ายเข้ามาเมื่อไหร่ก็ได้ ที่นี่ยินดีต้อนรับเสมอ”
“แต่คงไม่ค่อยสะดวกเท่าไรนักกระมัง” คุณฉัตรดักคอยิ้มๆ
“ถ้าอย่างนั้นให้น้องสาลี่มาค้างก่อนก็ได้นี่คะ ให้นอนกับต้าก็ได้” หญิงสาวทะลุกลางปล้องด้วยความตั้งใจดี มีผลให้ทุกคนหันมามองเธอเป็นตาเดียว
แม่บีบแขนแรงอย่างห้ามแต่ก็สายเกินไป ศรุตางุนงง กับท่าทีของทุกฝ่าย แต่สีหน้าคุณย่ากลับกระจ่าง กระตือรือร้นถามคุณฉัตร
“ได้ไหม พ่อฉัตร”
“เรื่องนี้ฉันคงยอมไม่ได้หรอกค่ะ…” คุณประไพปฏิเสธทันทีราวกับหวงห่วงหนูสาลี่นักหนา
สีหน้าของคุณย่าที่มองลูกสะใภ้บอกความรู้สึกคับข้องใจ “ที่นี่อยู่กันหลายคน ทุกคนคงดูแลสาลี่อย่างดีไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอกนะ ประไพ”
“แต่ว่า…..” เธอขยับจะเถียง
คุณฉัตรรีบขัด “นั่นซิครับ” เขาหันไปหาหลานสาวตัวน้อยซึ่งเป็นบุตรบุญธรรมตามกฎหมาย “ว่าแต่สาลี่จะว่ายังไงคะ อยากมาค้างกับพี่ต้าที่นี่ไหม”
สีหน้าเด็กหญิงที่ถูกมองเป็นตาเดียวบอกความไม่มั่นใจ เธอบิดกายมองศรุตาแล้วหลบตาคนอื่นๆ พยักหน้าตอบรับ คุณย่าหัวเราะออกมา ด้วยความยินดี
“เอ๊ะ ทำไมอย่างนี้” น้ำเสียงคุณประไพแม้ไม่ดังแต่ก็ขัดเคือง
คุณเปี่ยมที่นิ่งมองกลับมีประกายตาวาววาบ พูดเจือหัวเราะ
“ดีจริง ถ้าอย่างนั้นคืนนี้ให้ค้างเลยก็ได้นี่ครับ คุณแม่จะได้สบายใจ ถ้าตกลงละก็ผมจะให้คนขับรถตามไปเอาเสื้อผ้าเครื่องใช้ที่จำเป็น”
คุณสมฉวีมอง “พี่ชายของสามี” อย่างแปลกใจ คุณเปี่ยมยิ้มใจดีราวพอใจนักหนา
“แต่ว่าวันนี้พวกผมยังไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจ มาด้วยกันก็ขอ กลับด้วยกันก่อนก็แล้วกัน แล้วพรุ่งนี้ผมจะพาหนูสาลี่มาส่ง” สีหน้าท่าทีและน้ำเสียงของคุณฉัตร บอกความใจดีไม่แพ้กัน
“จะมาพรุ่งนี้ก็ไม่เป็นไร ถึงยังไงแม่ก็ดีใจที่พวกเราได้กลับมารวมกันอีกครั้ง”
คุณย่าโอบกอดหนูสาลี่แนบแน่น ใบหน้าระบายยิ้มปิติ ประกายตาวาบน้ำตา ศรุตาพลอยยินดีไปด้วย
ขณะที่รอยยิ้มของคนอื่นๆ กลับแฝงความน่าเคลือบแคลงไว้อย่างมิดเม้น…….