อัปสรา

>> ม.ล. กุลรัตน์ เทวกุล

อัปสรา

บทที่ 27

จู่ๆ ศรุตาก็รู้สึกสว่างโพลงเหมือนตื่น   เห็นองค์อรดีมานั่งอยู่ข้างๆ    “เกิดอะไรขึ้น    เราอยู่ที่ไหน    ทำไมต้าขยับตัวไม่ได้คะ”

“เธอถูกโปะยา”

“อุ๊ยตายจริง   ต้านึกออกแล้ว”    เธอตกอกตกใจอยู่ในโลกของความฝัน    “งั้นท่านทำให้ต้ารู้ตัวไม่ได้หรือคะ”

“ไม่ได้หรอก   ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ    มันเป็นปฏิกิริยาของร่างกายมนุษย์ต่อสารเคมีพวกนั้น”

“งั้นท่านจะปล่อยให้ต้านอนเฉยๆ ให้พวกมันรังแกหรือคะ”    เธอโวยวาย    “อย่าบอกนะคะว่ามันเป็นลิขิตของชีวิตต้า    ท่านยุ่งเกี่ยวไม่ได้”

“แหม    ก็ถ้าฉันเข้าไปแทรกแซง   พวกเทพก็ต้องรู้ แล้ว…    พวกเขา…   ก็หาฉันพบน่ะซิ”

“ว้าย    ตายแล้ว    นี่แปลว่าต้าจะถูกพวกมันข่มขืนจริงๆ หรือคะ”

“แหม… เรื่องนี้ฉันไม่อยากจะพูด…..”

“โห    ท่านใจร้าย    รู้ยังงี้ต้าไม่รู้จักท่านดีกว่า เสียแรงรู้จักนางฟ้าแล้วก็ไม่เห็นช่วยอะไรได้เลย    คำหนึ่งก็กลัวผิด สองคำก็กลัวผิด……”

“อย่าเพิ่งโวยวายได้ไหม    เอ้า    อยากตื่นก็ตื่นขึ้นมา”


เธอได้ยินเสียงฟ้าคำรามเบาๆ ติดต่อกันเมื่อลืมตาตื่นขึ้น    รู้สึกเหมือนเพิ่งตื่นนอนไม่มีอาการคลื่นไส้เวียนหัวแพ้ยาเลยแม้แต่น้อย    ห้องเล็กๆ คับแคบที่คุมขังไม่มีแม้แต่เตียงนอน    มีฟูกที่นอนกระดำกระด่างปูอยู่ที่พื้นห้องเพียงผืนเดียว

เสียงฟ้าคำรามทำให้สีหน้าของนางเทพเจื่อนจาง    เงยหน้ามองขึ้นข้างบนเหมือนกลัวอะไรสักอย่าง

“พวกเทพรับรู้กันแล้วว่าฉันทำเรื่องเหนือธรรมชาติ    อีกไม่นานพวกเขาก็ต้องตามมาถูก”

“พวกเขา…?    ท่านหมายถึงองค์เทวตาหรือคะ    องค์เทวตาอาจจะกำลังนอนหลับ    เอ๊ย    ทรงเข้าวิมุติฌานอยู่ก็ได้    องค์เทวตาคงดุมากใช่ไหมท่านถึงได้กลัวขนาดนี้”

“ฉันไม่ได้กลัวองค์เทวตาหรอก    ฉันกลัวเทพอสูรต่างหาก”

“เทพอสูร…..    ใครอีกล่ะคะ”

สีหน้านางอึดอัดหวาดหวั่น    “เทพอสูร เป็นมหาเทพปกครองพวกอสูรที่มาจุติเป็นเทพเพื่อเสวยสุขชั่วระยะสั้นๆ ตามกรรมดีที่เคยทำไว้    เทพอสูร ทรงดุดันเด็ดขาดมาก    ฉันเผลอไปล่วงเกินท่านโดยทำให้ปราสาทแก้วที่ท่านตั้งใจมอบให้องค์ชายาแตกหักเสียหาย    ท่านโกรธมากและยังเกรงจะเป็นเยี่ยงอย่าง   เลยตามจะจับฉันไปลงโทษให้เป็นข้าทาส    หากขัดขืนก็จะฆ่าฉันให้ตาย”

“อ้าว ทำไมเทพอสูรถึงจะฆ่าท่านล่ะคะ    เขาไม่กลัวบาปหรือ”

“เทพอสูรเป็นเทพผู้ปกครอง    ท่านมีอำนาจที่จะทำได้ในเมื่อฉันเป็นเพียงเทพจุติใหม่ที่ยังไม่มีบุญบารมีสั่งสม    ท่านลงโทษประหารแล้วส่งฉันกลับไปแดนเดิมได้ไม่มีใครตามสืบสวนสอบสวนขอความเป็นธรรมให้ฉันหรอก”

“แล้วองค์เทวตาล่ะคะ”

“องค์เทวตาช่วยเหลือซ่อนฉันไว้    ทรงเนรมิตกำแพงแก้วกั้นกลางไม่ให้เทพอสูรเห็น    หากว่าฉันอยู่ที่วัดนั้นตั้งใจทำความดีสั่งสมบุญบารมี เทพอสูรจึงจะฆ่าฉันไม่ได้”

“อ๋อ    เข้าใจแล้ว    ที่แท้องค์เทวตาทรงเป็นพระเอกนี่เอง    ไม่ใช่ผู้ร้ายสักหน่อย”    เธออุทานออกมา

“พระเอกผู้ร้ายอะไรกัน    ศรุตาชอบใช้คำแปลกๆ อยู่เรื่อย”

“แหม   ผู้ร้ายก็เป็นพวกที่ทำเรื่องไม่ดีแบบพวกที่จับต้ามานี่ยังไงล่ะคะ    แล้วพระเอกก็คือคนที่คอยช่วยเหลือคนอื่นแบบพี่มรุต…   อืม…    ตอนนี้พี่มรุตคงกำลังหาตัวต้าแน่ๆ เลย”

“แบบมรุตหรือ”    อัปสราทำสีหน้าไม่เห็นด้วย   “แล้วศรุตาเอาปรายเปรมไปไว้ที่ไหน”

“คุณปรายหรือคะ”    สีหน้าเธองงๆ

“ใครเป็นคนจับงูออกไปจากมือเธอ…!.”

“ก็…   พี่มรุตอาจจะกำลังคิดหาวิธีอื่นอยู่ก็ได้    เขาเป็นด๊อกเตอร์ก็เลยรอบคอบ   ส่วนคุณปรายเค้าลูกทุ่งก็เลย…..”    น้ำเสียงเธอไม่มั่นใจตัวเองนัก

อีกฝ่ายส่ายหน้า    “ศรุตาอยากให้มรุตเป็นพระเอกก็เลยไม่สนใจใครอื่นเลย    มนุษย์ก็เป็นแบบนี้แหละ    มองข้ามของดีใกล้ตัวอยู่เรื่อย    เขาถึงมีภาษิตว่าใกล้เกลือกินด่างไงล่ะ”


“โห    ท่านรู้จักภาษิตมนุษย์ด้วย…!..”

“ฉันอยู่ที่วัดกับพวกมนุษย์นานพอสมควรก็ต้องรู้อะไรบ้างซิ”

หญิงสาวลุกขึ้นเดินสำรวจ    หน้าต่างที่มีอยู่บานเดียวติดลูกกรงซ้ำยังถูกปิดแน่นจากข้างนอก    แม้จะถอดกลอนกระแทกกี่ครั้งก็ไม่ขยับ

เธอหันไปสำรวจประตู    “แล้วท่านพังประตูเป็นไหมคะ”

“มีคนอยู่ข้างนอก    ถ้าพังประตูออกไปตอนนี้ก็คงต้องมีเรื่อง ฉันทำร้ายมนุษย์ไม่ได้นะ ศรุตา”

เธอแนบหูกับประตู    พอไม่ได้ยินเสียงก็ใช้เท้าโหมกระแทก    ประตูโยกคลอนทันที

“ไชโย๊……”

มีเสียงพูดกันดังขึ้นตามด้วยเสียงไขกุญแจกุกกัก   ศรุตาถอยหลังกรูด    องค์อรดีส่ายหน้า    “ฉันบอกเธอแล้ว…..”

ประตูถูกกระชากออก เห็นชายสองคนยืนทะมึน    “เอ๊ะ    นังนี่ทำไมตื่นเร็ว    นึกว่าจะหลับหลายชั่วโมงซะอีก”

“พวกแกต้องการอะไร   ปล่อยให้ฉันไปเดี๋ยวนี้นะ”    หญิงสาวส่งเสียงเอ็ดอึง

ชายทั้งสองหัวเราะ    “นังนี่เสียงดีซะด้วย    ท่าทางดุเอาเรื่องอย่างนี้ท่าจะได้ราคาดีนะลูกพี่”

“ราคงราคาอะไรกัน    พวกแกเป็นพวกลักพาตัวใช่ไหม    เอาละต้องการเท่าไหร่    ปล่อยฉันไปแล้วแกจะได้เงิน”

“เราจะได้เงิน    แต่คงไม่ต้องปล่อยเธอหรอกแม่สาวน้อย”

“เอ๊ะ    พวกแกจะฆ่าคนเหรอ    โทษหนักนะ ไม่กลัวหรือ”

“ไม่มีใครฆ่าเธอหรอก…..”    ร่างใหญ่ยิ้มดุ ย่างเท้าใกล้เข้ามา หญิงสาวขยับหนีอย่างตื่นตัว

“พวกแกจะทำอะไร”

“จะทำให้เธอเชื่องลงนะซิ”

“อย่าเข้ามานะ…..    อัปสราขาช่วยต้าด้วย…..”

“มันร้องเรียกให้ใครช่วยวะ…….”

““ฉันทำร้ายคนไม่ได้…!”

“ป้องกันตัวไม่เรียกว่าทำร้าย…..”    อีกฝ่ายร้องเสียงหลง

พอร่างใหญ่ถึงตัว    องค์อรดีก็เข้าแทรกกลาง    ร่างเล็กๆ ที่ร้องกรี๊ดกร๊าดสะบัดโดยแรง    กระชากทีเดียวเจ้าตัวใหญ่ก็ปลิวคว้างร้องลั่น

“โอ๊ย…..”

“เอ๊ะ    มันยังไงกันวะ…..!”

มันพยุงกายลุกขึ้นถลันเข้าหา แล้วก็ถูกเหวี่ยงปลิวไปกระแทกกำแพงอีกครั้งแล้วครั้งเล่า    เจ้าสมุนก็ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่ากัน    ผลัดกันกระโจนเข้าใส่ ผลัดกันถูกเหวี่ยงปะทะกำแพง    พอได้จังหวะ    เจ้าคนหนึ่งก็กระโดดล็อกแขนบางๆ ทางด้านหลัง    เจ้าตัวใหญ่กระโจนใส่ทางด้านหน้าแต่กลับโดนเท้าที่งอขึ้นดีดใส่โดยแรง    ร่างใหญ่ปลิวไปกระแทกกำแพงล้มลงตัวงอ    ส่วนร่างที่ล็อคอยู่ก็ล้มตึงลงไปข้างหลัง

พอเธอตะกายจะออกจากห้องก็กลับถูกอีกฝ่ายตามยื้อยุดฉุดขาไว้    แรงเตะถีบต่อสู้ ประเดี๋ยวอ่อนประเดี๋ยวแรงเหมือนกำลังไฟที่มาๆ หายๆ    ศรุตาเองจะขาดใจด้วยความเหนื่อยเสียให้ได้

“ช่วยต้าๆๆ” เธอร้องเตือนเมื่อองค์อัปสรามีอาการลังเลครั้งแล้วครั้งเล่า

“ฉันกำลังทำร้ายคนอยู่นะ” เสียงนางเทพหวั่นไหว แล้วร่างเธอก็วับหายไปเฉยๆ

“อัปสราอย่าไป……”    หญิงสาวร้องลั่น

เจ้าตัวใหญ่โถมทับ    บอบช้ำเจ็บปวดเหน็ดเหนื่อย    ไม่นึกว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ จะต่อสู้รุนแรงขนาดนี้    พออัปสราไป พวกมันก็หมดแรงพอดีเหมือนกัน

“ไม่ไหวแล้ว    ต้องขังมันไว้ก่อน”    มันพูดกันด้วยน้ำเสียงขาดๆ หายๆ

“แรงมันมากอย่างนี้ห้องนี้คงขังไม่อยู่แน่ๆ ประตูจะหลุดอยู่แล้ว”

“เอามันไปขังรวมกับพวกนั้นก็แล้วกัน”

ร่างบางๆ ถูกกระชากขึ้นมา    พาเดินแกมลากออกจากห้องเล็กๆ ผลักไสไปรอที่หน้าประตูห้องใกล้ๆ    เจ้าร่างใหญ่ไขกุญแจพลางสะบัดหน้าที่บวมปูดมีเลือดซึมเป็นแห่งๆ    บ่นงึมงำ

“ผู้หญิงอ่า…อะไรวะ   แรงมากชิบเป๋ง”

ประตูห้องเปิดออก    ศรุตาแทบลืมหายใจเมื่อเห็นสภาพข้างใน

ผู้หญิงสามคนมีสภาพบอบช้ำหน้าตาบวมมีสีเขียวสีม่วงแซมมากบ้างน้อยบ้างสวมเสื้อผ้าขาดวิ่นถูกล่ามอยู่กับเสาเหล็กที่พาดขวางเรี่ยกับพื้นห้อง    พวกเธอกำลังร้องไห้

ศรุตาร้องลั่นดิ้นทั้งที่มีเรี่ยวแรงอยู่เพียงน้อยนิด    เธอถูกลากเข้าไปที่ปลายโซ่ว่าง   เหล็กล็อคถูกสวมฉับเข้าที่ข้อเท้าสิ้นอิสรภาพในบัดดล……..

“มันซ้อมและข่มขืนฉัน”    หญิงสาวนางหนึ่งเล่าพลางร้องไห้ เรียกให้อีกสองนางร้องไห้ระงม    “มันจะขายพวกเราให้ไปเข้าซ่องที่ชายแดน…….”

“ไอ้พวกนี้มันก่อกรรมทำเข็นกับผู้หญิงมามาก    แม้แต่เด็กเพิ่งจะเป็นสาวอายุน้อยๆ มันก็ไม่เว้น    ญาติฉันก็โดนมาก่อน    มีคนเตือนแล้วฉันยังโดนอีกจนได้”

แล้วพวกเธอก็พูดกันถึงความเลวร้ายที่เจ้าคนร้ายทั้งสองทำกับคนอื่นและทำกับพวกเธอ    ศรุตารับฟังด้วยความตระหนกระคนหดหู่ใจ    ไม่นึกมาก่อนว่าในโลกนี้จะมีมนุษย์ที่ก่อกรรมทำเข็นเบียดเบียนเพื่อนมนุษย์ที่อ่อนแอกว่าได้ถึงขนาดนี้

“เธอเองก็คงจะโดนเหมือนกัน”    แม่หญิงอีกคนหนึ่งบอกศรุตา ทำให้เธอสะดุ้งทั้งตัว    “ฉันได้ยินมันพูดกันว่าจะต้องจัดการกับเธอให้เสร็จๆ เพราะว่าพรุ่งนี้ก็จะพาไปส่งชายแดนแล้ว”

“โอ๊ย    ต้าไม่ยอมหรอก    อัปสราขา    มาช่วยต้าเร็วๆ เข้า” เธอคร่ำครวญ……

แต่ก็ไม่มีวี่แววขององค์อัปสรา    ศรุตาแว่วยินแต่เสียงรำพัน “ฉันเป็นเทพ ทำร้ายมนุษย์ไม่ได้…”    และ    “ถ้าฉันทำเรื่องเหนือธรรมชาติ    เทพอสูรจะรู้และตามมา…..”

หญิงสาวรู้สึกหมดหวังจนร้องไห้ออกมา

อัปสราเจ้าขา    จะทิ้งต้าจริงๆ หรือ

ค่ำนั้น    เจ้าคนร้ายทั้งสองคงจะพักฟื้นอาการบอบช้ำจนรู้สึกมีเรี่ยวมีแรงขึ้น   เมื่อมันนำอาหารซึ่งเป็นข้าวห่อและน้ำดื่มที่บรรจุในขวดพลาสติกมาโยนให้พวกผู้หญิง    มันก็หันมาดึงแขนบางๆ

“เธอยังกินไม่ได้    ต้องไปทำอะไรให้เสร็จก่อน”

หญิงสาวร้องลั่น    ดิ้นสุดแรง    “ไม่เอ๊า…    ไม่ไปนะ”

เธอดิ้นและร้องโวยวายเมื่อถูกปลดออกจากโซ่    เจ้าคนตัวใหญ่ทั้งสองคนรวบแขนรวบขาเธอ พาร่างที่ดิ้นสุดเรี่ยวแรงเข้าไปในห้องว่าง    มันนั่งทับแล้วผูกแขนขาเธอไว้กับเสาอย่างแน่นหนา    ศรุตาทั้งเหนื่อยและตระหนกตกใจได้แต่ร้องไห้อย่างสิ้นหวัง

“ร้องไห้ทำไม   เกิดเป็นผู้หญิงก็ต้องทำหน้าที่ของผู้หญิงซิวะ”

“ไอ้คนเลว    ลองคิดดูซิว่าถ้าลูกเมียหรือพี่น้องแกโดนแบบนี้บ้างจะเป็นยังไง” เธอน้ำตานองแผดเสียงใส่

อีกฝ่ายแสยะปากหัวเราะ    “กูไม่มีลูกเมียโว้ย”

“กูมีแต่กูไม่สนว่ะ”

มือหยาบใหญ่ตะครุบเสื้อผ้าจะกระชากออก    เธอดิ้น ตะโกนสาปแช่ง    “พวกแกทำชั่วไม่กลัวบาปกรรมหรือยังไง    ขอให้แกได้รับกรรมทุกอย่างที่ทำไว้    แกทำอะไรไว้ขอให้โดนแบบนั้น…!”

พวกมันหัวเราะกันครื้นเครง    “ดีซีวะ    กูจะได้สนุก……”

“ใช่    ได้สนุกทั้งขึ้นทั้งล่อง……”

จู่ๆ องค์อัปสราก็มายืนข้างๆ    น้ำเสียงเรียบเรื่อย

“งั้นก็ไปเดี๋ยวนี้เลย…!.”

ศรุตารู้สึกเหมือนนางฟ้ามาโปรด    ใจวาบขึ้นด้วยความหวัง เจ้าสองคนก็หยุดชะงักทันทีเหมือนกัน    มันละจากเธอหันมองหน้ากันเหมือนกำลังงวยงงอะไรบางอย่าง    สีหน้าเหี้ยมเกรียมหื่นกระหายเมื่อครู่กลับเจื่อนจางซีดเผือดลงทุกที    ท่าทีที่ผิดแปลกทำให้หญิงสาวที่กำลังจะต่อว่านางฟ้าต้องมองอย่างแปลกใจ

แล้วจู่ๆ มันก็วิ่งออกไปจากห้องลงบันไดไปยังชั้นล่าง    หญิงสาวยังได้ยินเสียงคล้ายสุนัขหอนดังแว่ว    เธอยังไม่คลายความตระหนก แต่ก็ถามงงๆ    “เกิดอะไรขึ้นคะ   พวกมันไปไหนกัน”

“ไปรับกรรมส่วนหนึ่งไงล่ะ”

“ไปรับกรรม…?    ยังไงหรือคะ”

“กรรมของใครก็ของคนนั้นฉันพูดไม่ได้”

“ผิดจรรยาเทพหรือคะ”

องค์อรดีพยักหน้า

ฟ้าแลบแปลบปลาบส่งเสียงคำรามสะท้านสะเทือน    ใบหน้างดงามเจื่อนจางลงทันที    ศรุตารีบปลอบว่า    “ฟ้าร้องฟ้าแลบตามธรรมชาติ    ไม่ใช่เพราะท่านหรอกค่ะ”

“ฉันต้องไปหาที่ซ่อนก่อนแล้ว”

“แล้วถ้าพวกมันกลับมาล่ะคะ”

“พวกมันไม่มาหรอก”    แล้วเธอก็หายวับ

ไม่มีใครได้คำตอบว่าเจ้าตัวใหญ่ใจโหดทั้งสองหายไปข้างไหน    แต่ตลอดทั้งคืนนั้น    ชาวบ้านเห็นสุนัขตัวเมียเล็กๆ สองตัวถูกเจ้าตัวผู้ทั้งฝูงวิ่งไล่ผลัดกันข่มขืน มันร้องครวญคราง…..    ไม่ได้เป็นอิสระเลยแม้สักนาทีเดียว

เจ้าคนร้ายทั้งสองพาร่างกะปลกกะเปลี้ย ทั้งเหม็นทั้งสกปรกมอมแมมกลับมานอนกลิ้งอยู่ที่ห้องข้างล่าง    มันสะอึกสะอื้นร้องไห้ครวญครางจนได้ยินขึ้นมาถึงห้องข้างบน

มโนสำนึกของเจ้าสองคนตามหลอกหลอนว่านี่เป็นแค่ตัวอย่างส่วนหนึ่งของกรรมที่พวกมันจะได้รับเท่านั้น

มันยกมือไหว้วิงวอนขอขมาลาโทษก่อนจะปล่อยผู้หญิงทุกคนเป็นอิสระ    ทั้งยังสาบานว่าจะไม่ทำความชั่วอีก………..



จบบทที่ 27