อัปสรา

>> ม.ล. กุลรัตน์ เทวกุล

อัปสรา

บทที่ 30

“อัปสราขา   อัปสราอยู่ที่ไหน”

ศรุตาต้องเรียกอยู่ตั้งนาน องค์อรดีจึงมาปรากฏ    ความจริงท่านไม่ได้ไปไหนไกลแต่แอบซ่อนกำบังร่างไว้ เพราะรู้ว่านางมนุษย์หน้าใสจะรบเร้าเซ้าซี้ตามเคย

พอเห็น เธอก็ต่อว่า    “แหม   ท่านทิ้งต้าอีกแล้วนะคะ”

“เวลาไม่ได้ดังใจ    มนุษย์ก็โทษคนอื่นทุกที”

เธอยกมือไหว้    “ขอประทานโทษค่ะ    แต่ว่าต้ากำลังร้อนใจเรื่องที่พี่มรุตจะไปตามหาคุณลุงฉัตร   ไม่รู้ว่าคุณลุงฉัตรหายไปข้างไหนค่ะ”

อีกฝ่ายได้แต่ส่ายหน้า

ศรุตาร้อนใจ    “คุณลุงฉัตรมีอันตรายหรือคะ”

“เพราะอย่างนี้แหละฉันถึงไม่อยากมา    รู้ว่าศรุตาต้องถาม”

“อ้าว โธ่    ก็คนกันเองกำลังเดือดร้อนท่านจะให้ต้านั่งเฉยๆ ได้ยังไง ยิ่งพี่มรุตจะไปตามหาลุงฉัตร ต้าก็ยิ่งร้อนใจ    ไม่รู้ว่าจะมีอันตรายหรือเปล่า”

“ทุกอย่างเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น”

“ไหนท่านว่าทำบุญแล้วจะช่วยได้ไงคะ”

“ทำบุญช่วยได้จริง   แต่ผลของบุญจะแตกต่างกัน    บุญที่ทำด้วยความตั้งใจดีและศรัทธาที่บริสุทธิ์ ย่อมจะมีพลังกว่าบุญที่ทำด้วยหวังผล    บุญที่แต่ละคนกระทำ ย่อมจะมีผลต่อตัวเองมากกว่าบุญที่ผู้อื่นอุทิศให้”

“ถ้าอย่างนั้นคุณลุงฉัตรคงกำลังลำบากจริงๆ ด้วย…..    แล้วพี่มรุตไปตาม จะได้กลับมาหรือเปล่าคะ”

“แหม    ศรุตาถามเหมือนฉันเห็นอนาคตทุกอย่าง    ฉันแค่รู้สึกถึงเคราะห์กรรมของคนบางคนเท่านั้น   ไม่ได้มีลูกแก้ววิเศษหรือเครื่องอ่านอนาคตสักหน่อย”

“ท่านบ่ายเบี่ยงอย่างนี้แปลว่าพี่มรุตต้องลำบากแน่แล้ว”    เธอโวยวาย

องค์อรดีถอนใจเบื่อหน่าย   “เขาไม่ได้มีเคราะห์หนักหนาขนาดนั้น    เขายังหนุ่มแน่นแข็งแรง ยังทำความดีได้อีกมาก    เขาจะไม่เป็นอะไรมาก    อาจมีบาดเจ็บเล็กน้อยแต่ไม่ใช่อันตรายร้ายแรง”

“โอ   มีบาดเจ็บด้วย…!”    เธอวิตกทุกข์ร้อน คิดกลับไปกลับมา    “อย่างนี้ต้าคงต้องไปกับพี่มรุตแล้ว   เผื่อว่ามีอะไรจะได้ช่วยกัน”

“ศรุตานั่นแหละไม่ควรไปไหน…!”

“แต่เคราะห์ของต้าผ่านไปแล้วนะคะ    คนเราไม่โชคร้ายหลายครั้งหรอกค่ะ    แล้วตอนที่พาพี่มรุตไปทำบุญ    ต้าก็แอบอธิษฐานให้ตัวเองแยะเลย    ต้าเป็นห่วงต้องไปเป็นเพื่อนพี่มรุตค่ะ”

อีกฝ่ายกระพริบตาปริบๆ    เถียงนางมนุษย์ไม่ทัน

ศรุตาอดเกรงใจไม่ได้เพราะว่าผลัดผ่อนหลายครั้งแล้ว “ท่านรอก่อนนะคะ พอเรื่องเรียบร้อย ต้าจะให้พี่มรุตพาท่านกลับบ้าน”

นางเทพถอนใจ    “ฉันรู้แล้วว่าจะต้องรออีกหลายวันกว่าจะได้กลับบ้าน”


แขกของมรุต ทำให้ศรุตารู้สึกใจแฟบ   จรัสไขสวยสำอางผุดผ่องไปทั้งตัว    ทีท่าเชื่อมั่นข่มให้ศรุตารู้สึกเหมือนเป็นเด็กกระเปี๊ยกที่ไม่มีตัวตน    หญิงสาวผู้เพียบพร้อมสมบูรณ์แบบมาหา มรุต เพื่อถามข่าวคราวเรื่องคุณฉัตร

พอศรุตาบอกว่าจะไปตามหาคุณฉัตรด้วย เธอก็มองอย่างเพ่งพิศ

“น้องต้าจะไปทำไมคะ   อันตรายเปล่าๆ”

“ต้าไปด้วยอาจช่วยพี่มรุตได้บ้างค่ะ”    หญิงสาวพูดอ่อยๆ

“พี่ว่าจะไปช่วยเกะกะเปล่าๆ”

เธอมองมรุตอย่างขอความเห็น    ชายหนุ่มลังเลเพราะเกรงใจหญิงสาวใหญ่ผู้ซึ่งหันมามองเขาอย่างรอคอยคำตอบเช่นกัน    จรัสไขต้องแปลกใจที่มรุตมีท่าทีแบ่งรับแบ่งสู้ไม่ยอมปฏิเสธออกไปอย่างที่เธอคาดคิดว่าเขาจะต้องทำ

เขาพูดไม่เต็มเสียง    “เรื่องนี้เอาไว้พูดกันทีหลังก็แล้วกัน”

ประกายตาสาวใหญ่คมวาบ    ถามเสียงเข้มแต่มุมปากเคลือบรอยยิ้ม    “จะพูดทีหลังนี่คือเมื่อไหร่คะ   จะให้น้องต้าไปด้วยหรือว่าไม่ให้ไป ทำไมมรุตไม่ตอบไปเสียเลย น้องจะได้ไม่ต้องเป็นกังวล”

ชายหนุ่มยิ้มเจื่อนๆ    มองตาสวยเข้มคมขลับ ที่ตกแต่งเพิ่มเติมด้วยอายแชโดว์ อายไลเนอร์ และมาสคาร่าสีน้ำตาลเข้ากับสีผิวนวลลออ และผมที่ทำสีเฉดน้ำตาลหลายระดับของสาวใหญ่ที่เป็นคู่ควงมานานปี    ประกายกระด้างดุดันบอกความไม่พอใจที่ฉายออกมาทำให้เขาหายใจไม่สะดวก   เขาหันไปหา สาวน้อย    ดวงตาคมขลับใสๆ กระตือรือร้นจับจ้องรอคอยทำให้เขาไม่อาจปฏิเสธออกมา

“ต้าไปถามแม่ดูก่อนก็แล้วกัน    คุณอาคงไม่ยอมให้ไปหรอก”

“แล้วถ้าแม่ยอมล่ะคะ”

“งั้นก็แพ็คกระเป๋าได้เลย”    เขาเสหัวเราะ

“เย้    งั้นต้าจะไปถามแม่ละ”

ร่างเล็กๆ หมุนตัวผลุบออกไปในทันที    จรัสไขหน้าตึง

“แปลว่ามรุตอยากให้ต้าไปด้วยละซิ    ทำไม..?    พอมาอยู่บ้านเดียวกันเลยหวั่นไหวอย่างนั้นใช่ไหม”

“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกจ้ะ    แหม    เจนนี่ก็ช่างพูดไปได้”

“แล้วที่มรุตพูดเมื่อกี้นี้แปลว่าอะไรล่ะคะ    มรุตไม่รู้หรือว่ามันไม่สมควรเลยแม้แต่นิดเดียวที่จะไปกับเด็กคนนั้นสองต่อสอง”    เธอพร่างพรูความขุ่นเคืองออกมา

ชายหนุ่มรีบค้านว่า    “ไม่ใช่แค่สองต่อสองหรอกจ้ะ    ยังมีคนนำทางแล้วก็เจ้าหน้าที่สถานทูตไทยอีก    แล้วอีกอย่างหนึ่ง   ผมพูดอย่างนั้นเพราะรู้ว่าคุณอาไม่ยอมให้เขาไปแน่ๆ เรื่องมันไม่น่าสนุกเลยแล้วที่โน่นก็ออกจะทุรกันดาร”

“แล้วทำไมมรุตไม่ปฏิเสธไปเลยล่ะคะ    ความจริงคุณคิดยังไงกันแน่ เจนนี่สงสัยจริงๆ”

“ผมไม่ได้คิดอะไรเลย    โธ่เอ๊ย   ต้าเป็นเด็กกะโปโลอายุน้อยกว่าผมตั้งเจ็ด-แปดปี    แล้วยังเป็นแฟนกับปรายเปรม   ผมจะไปคิดอะไรกับเขาได้ยังไง   เจนนี่รู้จักผมมานานแค่ไหน    ผมเคยหวั่นไหวเพราะเด็กสาวๆ หรือ”

หญิงสาวได้แต่มองเขาอย่างเพ่งพิศ    ใบหน้าคมสีอ่อนสะอาดเป็นที่หลงใหลหมายปองของสาวๆ มาแต่ไหนแต่ไรแต่เขาก็ไม่เคยทำเรื่องให้เธอบาดหมาง

ถึงอย่างไรเธอก็อดติดใจสงสัยไม่ได้

“ถ้าอย่างนั้นเจนนี่จะไปด้วยก็แล้วกัน”    เธอพูดคำที่เขาปฏิเสธไม่ได้

การเดินทางทางรถ ทำให้แต่ละคนเหนื่อยอ่อนเพราะสภาพถนนสายหลักขรุขระเกือบตลอดเส้นทาง    ยิ่งกว่านั้นรถยนต์เกิดเครื่องปรับอากาศเสีย แล้วฝนที่ตกข้ามคืนทำให้ถนนเสียหาย มีรถคันใหญ่ตกถนนขวางทางอยู่    ในวันนี้ที่แดดร้อนจ้า    รถยนต์เก่าๆ ที่พาคนทั้งหมดเดินทางจากพรมแดนไทยเข้าไปยังเมืองเสียมเรียบ ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทาง    กลับต้องเสียเวลา เพราะการจราจรที่เป็นอัมพาตติดตายหลายชั่วโมง

กว่าทั้งหมดจะถึงโรงแรมในสภาพมอมแมมกะปลกกะเปลี้ย    ก็เป็นเวลาบ่ายจัด จรัสไขหน้าเป็นมันผมยุ่งเสื้อผ้าเนื้อไหมอย่างดีชื้นเหงื่อจนเสียรูปทร   รู้สึกหงุดหงิดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน    เธอขอตัวรอในโรงแรมขณะที่ศรุตาซึ่งสวมใส่เสื้อกางเกงผ้าเนื้อบางง่ายๆ ตามมรุตและคนนำทางกลับออกไปหลังจากเข้าห้องพักล้างหน้าล้างตาเพียงชั่วครู่    มรุตเข้าแจ้งตำรวจ ด้วยความช่วยเหลือของเจ้าหน้าที่สถานทูตไทย ทำให้มีการดำเนินการสอบถามติดตามหาตัวคุณฉัตรและคุณเปี่ยมในทันที

ในวันรุ่งขึ้น    การสอบปากคำคนที่เกี่ยวข้อง ทำให้ชายหนุ่มยิ่งเป็นกังวล

คุณฉัตรหายไปเฉยๆ เหมือนเดินออกจากห้องพักไปด้วยความสมัครใจ    ไม่มีร่องรอยการต่อสู้    ข้าวของทุกชิ้นอยู่ในที่ในทางไม่มีใครแตะต้อง……


ปรายเปรมรู้จากรุ่งแสง   ว่าศรุตาเก็บของตามมรุตไปที่ไหนสักแห่ง ทำให้เขาต้องมาหาคุณนงนิตย์    เรื่องร้อนใจทำให้ลูกสะใภ้ใหญ่เล็กถูกเรียกมานั่งหน้าหมอง ปรึกษาหารือกันในห้องของคุณย่า    มีคุณสมฉวีปั้นแต่งสีหน้าทุกข์ร้อนไม่แพ้กันร่วมด้วย    คำบอกเล่าของป้าสะใภ้ทำให้ชายหนุ่มร้อนอกร้อนใจ    น้ำเสียงคุณนงนิตย์เป็นทุกข์เป็นร้อนเล่าให้เขาฟัง


“…..ตั้งแต่รู้ว่าคุณเปี่ยมหายไปป้าก็ต้องกินยามากขึ้น    เมื่อคืนก่อนยัยต้าเข้ามาทำเป็นพูดคุยประจบประแจง    ป้ากินยาพอเคลิ้มๆ จะหลับเขาก็พูดว่าเป็นห่วงคุณเปี่ยมกับลุงฉัตร    ถามว่ามรุตกำลังจะไปตามแม่เห็นด้วยไหม    ป้าก็ว่าเห็นด้วย    แล้วไม่รู้ว่าเขาหลอกล่อให้เออออรับคำอะไร    พอตอนเช้าตื่นขึ้นมาเขาก็เก็บกระเป๋าตามมรุตไปแล้ว”

บทจะเจ้าเล่ห์ศรุตาก็ไม่น้อยหน้าใคร    ปรายเปรมพอจะเดาออก

“เขาไปที่ไหนกันครับ”

“เห็นว่าจะไปเสียมเรียบ”

“ไม่เห็นเขาบอกผมเลย”

“ป้าเองก็งงๆ    เด็กอะไรอย่างนี้ก็ไม่รู้    กลับมาเห็นจะต้องตีกันบ้างแล้ว ไม่รู้เสียบ้างเลยว่าแม่จะเป็นห่วงขนาดไหน”    เธอคาดโทษอย่างกลัดกลุ้มเป็นทุกข์

คุณย่าขัดขรึมๆ ว่า    “ต้ามันปรารถนาดี จะไปตีมันทำไม    มันคงไม่ได้คิดจะไปเที่ยวสนุกหรอก”

คุณนงนิตย์ไม่เคยคัดค้านถกเถียงกับคุณย่าเลยได้แต่นิ่ง สีหน้าเป็นทุกข์เป็นร้อน รุ่งแสง นั่งอยู่ติดกันอดไม่ได้   เอียงเข้ามากระซิบกับชายหนุ่ม

“พี่มรุตไปไหนต้าก็ไปด้วยทั้งนั้นแหละ    ขอให้มีโอกาสเถอะ”

ชายหนุ่มสีหน้าขรึมไม่ตอบคำ    ปลีกตัวออกมาต่อโทรศัพท์หาคนที่ถูกพูดถึงอีกเป็นครั้งที่เท่าไหร่นับไม่ถ้วน แต่ก็ไม่สำเร็จตามเคย    ไม่รู้ว่าออกไปนอกพื้นที่ หรืออย่างไรกันแน่

เขากลับมาบอกคนอื่นๆ ว่า จะไปตามพวกเธอ

“อะไรกันอีกล่ะ    ไปตามกันอยู่นั่นแล้ว”    มีเสียงคัดค้าน

รุ่งแสงท้วงว่า    “แล้วเขาก็กลับกันมาเองแหละน่า    คุณปรายไปอีกคนจะวุ่นวายกันเปล่าๆ    ยังไงๆ ก็ไม่ทำให้อะไรดีขึ้นอาจจะยิ่งแย่ลงด้วยซ้ำ”

“มันจะแย่ลงได้ยังไง”    เขาถามขรึมๆ

หญิงสาวไหวไหล่    ทำสีหน้าเหมือนอ่านใจเขาออก   “ยังไงๆ ต้าก็ไม่เปลี่ยนใจหรอก    จะไปมีเรื่องมีราวกันเปล่าๆ”

“ผมจะไปเพราะเป็นห่วง    ไม่ได้จะไปก่อเรื่องอะไร”

อีกฝ่ายพูดว่า    “ว่าได้หรือ    ลมหึงก่อตัวเร็วและแรงเสมอ”

ชายหนุ่มนิ่งไป    รู้ตัวเหมือนกันว่าในระยะหลังๆ นี้เขาเกิดอาการที่ควบคุมไม่ได้ครั้งแล้วครั้งเล่า    และทุกครั้งมันก็เกิดจากความหึงหวงเมื่อแม่ตัวดีแสดงความสนอกสนใจใกล้ชิดชายหนุ่มรุ่นพี่ชายใหญ่ผู้เป็นญาติ    แต่ขณะนี้เขารู้สึกเป็นห่วงเธอมากกว่าอย่างอื่นถึงจะรู้สึกร้อนวูบวาบต่อคำยุยงอยู่บ้างก็ตาม

คุณย่าและคุณนงนิตย์มองหน้าเขาอย่างไตร่ตรอง    สีหน้าเคร่งขรึมจริงจังของหลานชายวัยหนุ่มอายุยังไม่ถึงยี่สิบห้า    บอกให้รู้ว่าเขาไม่ได้หุนหันตัดสินใจเพราะความหึงหวง    แต่ก็ไม่ได้สนับสนุนหรือว่าคัดค้านออกมาตรงๆ คุณย่าติงว่า

“ทางไกลนะปราย    เขมรไม่ใช่บ้านเราจะได้นึกจะไปก็ไปตามใจชอบ”

“ปรายทราบครับ คุณย่า”    น้ำเสียงตอบรับเคร่งขรึมหนักแน่น

ชายหนุ่มเก็บข้อมูลรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับบุคคลที่จะต้องไปติดต่อทั้งหมดและผู้ใหญ่ทุกคนก็คล้อยตามร่วมมือ    รุ่งแสงนั่งมองตาปริบๆ แล้วก็พูดว่า

“ถ้าอย่างนั้น รุ่งจะไปเป็นเพื่อน”

“ไม่ต้องหรอกรุ่ง”

“ทำไมล่ะ    สองหัวดีกว่าหัวเดียวนะ”    เธอไม่ฟังเสียง

ชายหนุ่มทำการติดต่อปูทาง    ขณะที่รอรุ่งแสงแต่งตัวเก็บข้าวของ เขาก็เปิดประตูเข้าไปในห้องของศรุตา

ห้องนอนถูกจัดเป็นระเบียบเรียบร้อยกว่าปรกติ    หรือว่าตั้งแต่มีมรุต    ศรุตาก็รู้จักพัฒนาลักษณะนิสัย เหมือนอย่างที่เธอพัฒนาเสื้อผ้าผมเผ้าเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ของตัวเองเป็นการใหญ่    แล้วเด็กกะโปโลที่ไม่เคยสนใจเสื้อผ้าหรือเครื่องหอมเครื่องสำอางก็กลายเป็นสาวสวยที่สร้างอารมณ์วูบวาบหึงหวงแก่เขาได้อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน    เขาอดรู้สึกสะท้านใจไม่ได้ มองเห็นข้าวของสิ่งละอันพันละน้อยทั้งที่ซื้อหามาด้วยกันและที่เขาให้    วางอยู่ตรงนั้นตรงนี้

ถ้าเปรียบเป็นนก    เธอกำลังจะบินไปจากเขา    ขอเพียงมรุตเอ่ยปาก    ทุกอย่างก็คงถึงที่สุด

ภาพนางฟ้าของคุณย่าติดอยู่ที่ผนัง    มีโต๊ะกลมตัวเล็กวางแจกันดอกไม้ที่ยังสดสวยตั้งอยู่ใกล้ๆ    ชายหนุ่มจำได้ว่านับแต่ยังเป็นเด็กจนโตขึ้นมาด้วยกัน เธอก็มีนิยายในมโนนึกมาพูดมาเล่า    รวมทั้งเรื่องอัปสราของคุณย่าด้วย    เพราะพอถูกรบเร้า    คุณย่าก็ผูกเรื่องขึ้นมาเล่าเป็นจริงเป็นจัง

นี่คงเป็นที่มาของเรื่องนางฟ้าที่ตามมาจากวัดโบราณแห่งนั้นกระมัง…..?


แล้วความเชื่อที่ซ่อนลึกก็คงกลายเป็นพลังให้เธอทำอะไรแปลกๆ   รวมทั้งจับงูพิษตัวใหญ่ที่เต็มไปด้วยพลังด้วยมือเปล่าๆ ข้อมือบางๆ และลำแขนอ่อนๆ    แล้วพูดหน้าตาเฉยว่านางฟ้าเป็นผู้ทำ

รุ่งแสงมายืนยิ้มเยาะหยันที่หน้าประตู

“คุณปรายคงไม่เชื่อเรื่องนางฟ้าของยัยต้าหรอกนะ”

ชายหนุ่มหันมา    “เสร็จแล้วหรือ”

“จะชวนนางฟ้าไปตามยัยต้าด้วยหรือเปล่า”    เธอไม่หยุดยั่ว

“ก็มาชวนอยู่นี่ไง”

“ท่านคงแพ็คกระเป๋าเสร็จแล้วมั้ง”

ชายหนุ่มไม่ได้ใส่ใจอีก    หันหลังกลับงับประตูห้องไว้ตามเดิม……


รุ่งแสงนั่งมาข้างๆ    ร่างสูงใหญ่นั่งหน้าเครียดอยู่หลังพวงมาลัยพารถคันเก่ามุ่งหน้าไปยังชายแดนที่อำเภอสระแก้ว    เธอไม่วายบ่น   “ไม่รู้ว่าปรายนึกยังไงขึ้นมาถึงเล่นบทพระเอกตามนางเอกแบบนี้”

“นึกอยากพารุ่งไปผจญภัยมั้ง”

เขาพูดขรึมๆ    ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมจึงรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยถึงขนาดทิ้งงานทิ้งการจะไปคลำหาทั้งๆ ที่ศรุตาเองก็แสดงให้เห็นชัดแจ้งว่าเอนเอียงชมชอบมรุตขนาดไหน    เขานึกไม่ออกเหมือนกันว่าเมื่อพบกันแล้วจะพูดอะไร   เขาคงแตะต้องเธอไม่ได้นอกจากตามไปดูให้รู้แน่ว่าเธอไม่มีอันตราย

“ยัยต้าเค้าหาเรื่องตามพี่มรุตมา    แล้วพี่มรุตก็มีทั้งคนไทยคนเขมรดูแล    ไม่มีอันตรายอะไรหรอก”

“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ผมก็สบายใจ”

มือเรียวลูบแขนเขาเบาๆ    เสียงหวานออดอ้อน    “แบ่งความใยดีที่ปรายมีให้ต้ามาให้รุ่งสักนิดได้ไหม”

ชายหนุ่มรู้สึกใจอ่อนเหมือนกัน    “เราเป็นเพื่อนกัน ยังไงๆ    ผมก็ใยดีรุ่งอยู่แล้ว”

“แต่ก็ยังเทียบกับต้าไม่ได้ใช่ไหม”

“ทำไมต้องเทียบกันด้วย”

“ก็รุ่งอยากได้เอกสิทธิ์แบบต้าบ้างนี่นา…..”

เธอออดๆ อ้อนๆ ตลอดทาง

มีคนมารอรับที่ชายแดน แล้วรถยนต์คันเล็กอีกคันหนึ่งก็พาคนทั้งสองเดินทางอย่างยากลำบากบนถนนหลักสายเดียวที่ตัดจากชายแดนไทยสู่ปลายทาง……..



จบบทที่ 30