เวลาผ่านไป ทุกอย่างเข้าสู่สภาพที่ทุกคนเคยคุ้น รุ่งแสงย้ายออกไปและปรายเปรมออกจากโรงพยาบาลกลับไปทำงานตามเดิม คุณประไพ ถูกจิตใต้สำนึกเคี่ยวเข็ญทรมานจนสงบเสงี่ยมเงียบขรึมแก่ชราลง เธอยังนอนละเมอโวยวายร้องไห้ ที่สุดเธอถึงกับกราบไหว้รูปของคุณก้อย แม่ของสาลี่ซึ่งเธอเคยชิงชัง
“โปรดอโหสิกรรมให้ฉันด้วย มันเป็นอุบัติเหตุ ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ”
น้องสาลี่แอบเห็นก็เก็บมากระซิบเล่ากับพี่ต้าของเธอ
ศรุตาสงสัยจึงถามมรุต “อาก้อยเสียชีวิตยังไงคะ”
มรุตอ้ำอึ้ง ประสพการณ์ที่ผ่านด้วยกันทำให้เขารู้สึกว่าศรุตาเป็นคนพิเศษที่เขาไม่อาจทำเป็นไม่สนใจ
“เราไปเที่ยวกันแล้วเกิดอุบัติเหตุ อาก้อยลื่นตกหน้าผา”
“มีใครอยู่ที่นั่นบ้างคะ”
“อยู่กันทุกคน…” เขาไม่ยอมพูดต่อ
“พี่มรุตเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรือเปล่าคะ”
“ไม่เห็น”
“อ้าว….. ไหนพี่มรุตบอกว่า อยู่กันทุกคนแล้วทำไมไม่เห็นคะ”
“อาก้อยไปเดินเล่นแล้วแม่ไปตาม… อาก้อยพลัดตก แม่พยายามช่วยแต่ว่า…” เขาจบประโยคด้วยอาการส่ายหน้าขรึมๆ
ท่าทีเขาเหมือนปิดบัง แต่ศรุตาจะเคี่ยวเข็ญหาความจริงก็คิดว่าเปล่าประโยชน์ ถึงอย่างไรคุณประไพก็เหมือนกำลังทุกข์ทรมานไร้พิษภัยไม่ตามบังคับใจสาลี่อีก
คุณทิพาเลขาสาวใหญ่ เก็บข้าวของย้ายสำนักงานไปยังที่ทำงานใหม่ของคุณเปี่ยมซึ่งถูกควบคุมโดยอัสนีย์และรุ่งแสง งานการที่ล้มเหลวสับสน ณ บริษัท ชิตเทวัญทำให้ศรุตาต้องช่วยมรุตกลมเกลียว เธอได้รับความไว้วางใจเคียงข้างเขาสะสางงานต่างๆ
“ที่นี่มีเหลือแต่หนี้สิน บริษัทราชันย์ของอาเปี่ยมแย่งงานและลูกค้าไปหมด” มรุตซึ่งได้รู้ความจริงได้แต่ส่ายหน้า
ศรุตาพูดว่า “ลุงเปี่ยมกลายเป็นบุคคลไร้ความสามารถ ต่อไปแม่ต้าคงต้องทำอะไรๆ ตามกฎหมายแทนลุงเปี่ยม พี่มรุตอย่ากังวลใจไปเลยนะคะ ทุกอย่างจะต้องดีขึ้น”
โศภิตถามว่า “ทำไมคุณปรายไม่มาหาพวกเราบ้างฮึ ต้า”
สีหน้าเธอสลดลง “เขาคงงานยุ่งมั้ง”
“โศเคยโทรศัพท์ไป คุณปรายบอกว่ามีนัดกับรุ่งแสง…” โศภิตพูดอ่อยๆ ไม่ได้เล่าว่าฝ่ายนั้นถามถึงศรุตา และรู้ว่าเธอมักจะอยู่ในห้องทำงานของมรุต “เขาเป็นแฟนกันจริงๆ หรือ”
“คงอย่างนั้นมั้ง” เธอตอบเหงาๆ
พอคุณย่าพูดว่า “เราโศกเศร้ากันมามากแล้ว วันเกิดย่าที่กำลังจะมาถึงนี่เราน่าจะทำอะไรกันบ้าง” ทุกคนก็ตกลงจะมีการทำบุญเลี้ยงพระในเวลากลางวันและงานรื่นเริงในเวลากลางคืน
“ใครอย่าลืมโทรไปบอกปรายด้วยนะ ว่าเราจะมีงาน”
แล้วรถยนต์มือสองที่ปรายเปรมซื้อต่อจากเพื่อนก็พาร่างสูงมาปรากฏ ศรุตากำลังทานข้าวกับมรุตและน้องๆ ต้องผลุดลุกขึ้นต้อนรับด้วยความยินดี
“คุณปราย ทานข้าวมาแล้วหรือยัง มาทานด้วยกันซิ”
“ทานแล้ว” เขาตอบขรึมๆ
ถึงอย่างไรชายหนุ่มก็เข้ามาทักทายทุกคน ใบหน้าสะอ้านยิ้มหวัวพูดจากับเด็กๆ กลับเคร่งขรึมเมื่อมองมรุตและเธอ
มรุตเย้าว่า “ไปซุ่มพักฟื้นตัวอยู่ที่ไหนกับใครหรือปราย เห็นเงียบหายไปทั้งสองคน”
“ที่ว่าสองคนนี่หมายถึงใครกับใครครับ”
มรุตหัวเราะ “ไม่น่าถามเลย”
ชายหนุ่มรู้ว่าเขาหมายถึงรุ่งแสง เสียงตอบเข้ม “ปรายมีงานเยอะครับ”
“อย่าหักโหมมากนะ เพิ่งหายป่วยหยกๆ”
“ปรายคนทำงาน ถ้าไม่ทำงานจะยิ่งป่วย”
เขามองเธอแล้วนิ่งเงียบ สีหน้าเคร่งขรึมทำให้ศรุตาคิดคำพูดล้อเลียนไม่ออก หญิงสาวได้แต่มองชายหนุ่มอย่างอัดอั้น รู้สึกเหมือนมีกำแพงมาขวางกั้น มองเห็นกันอยู่เพียงนี้แต่ว่าเข้าถึงกันไม่ได้
มรุตและศรุตาตามมาเมื่อร่างใหญ่เข้าไปไหว้คุณย่าถึงตัก คุณย่าลูบหลังไหล่เขาอย่างรักใคร่ “นึกว่าจะไม่ยอมมาหาย่าแล้วซิ”
“ปรายคิดถึงคุณย่าอยู่ตลอดเวลาครับ”
“ปรายน่าจะย้ายกลับมาอยู่ด้วยกัน ที่นี่เหงามากรู้ไหม”
ชายหนุ่มหันมามองมรุตซึ่งเป็นผู้เหมาะสมจะอยู่ที่นี่เพราะเป็นสายเลือดของคุณปู่ชิต ผู้เป็นเรี่ยวแรงให้มีบ้านนี้ขึ้นมา
“ปรายจะมีบ้านของปรายเองครับคุณย่า”
คุณย่าหัวเราะ “คิดจะมีบ้านของตัวเองแล้วหรือ ปรายมองสาวคนไหนอยู่หรือเปล่า ย่าอยากได้หลานสะใภ้เต็มทีแล้วนะ”
สีหน้าเขาขรึม ไม่รับและไม่ปฏิเสธ
“ปีนี้ปรายพาหลานสะใภ้มาเป็นของขวัญวันเกิดย่าได้ไหม”
“เขาต้องมาอยู่แล้วครับ”
ศรุตานัยน์ตาตกถอนใจ เขาคงหมายถึงรุ่งแสง……..
คุณนงนิตย์ที่กลับแข็งแรง กลายเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงจัดงานร่วมกับญาติสนิทที่สมัครใจมาช่วย พวกญาติๆ พร้อมใจกันมาร่วมงานหวังให้คุณย่าสบายใจ งานทำบุญเลี้ยงพระในช่วงกลางวันผ่านไป เว้นระยะหลายชั่วโมงแล้วงานสังสรรค์ในช่วงเย็นก็เริ่มขึ้น หลังจากลูกเลี้ยงคนหนึ่งเสียชีวิตและอีกคนหนึ่งกำลังป่วยอยู่ในโรงพยาบาลโรคจิต คุณย่ากลับมีเรี่ยวแรงลุกขึ้นเดินเหิน ที่เคยเอาแต่นั่งๆ นอนๆ หลับแต่หัวค่ำก็มาอยู่ร่วมสนุกด้วย
มีเสียงพูดว่า “น่าใจหายนะ ครั้งที่แล้วที่มีงาน คุณฉัตรและคุณเปี่ยมยังเดินยิ้มไปทั่ว”
คนฟังหน้าเศร้าไปตามๆ กัน
“วันนี้เราจะไม่พูดเรื่องเศร้า” คุณย่าขัดยิ้มๆ
โศภิตเป็นนักร้องที่พัฒนาฝีมือสูงขึ้น เธอสวมเสื้อสายเดี่ยว ร้องพลางเต้นอยู่บนเวทีด้วยความมั่นอกมั่นใจเต็มที่ น้องสาลี่ได้ร้องเพลง “อยากร้องดังๆ” อย่างที่เธอเคยตั้งใจไว้ ส่วนนายตุ้ยก็เป็นกำลังใจช่วยเป็นลูกคู่ผสมโรงด้วย
ศรุตามีมรุตเคียงข้าง แต่กลับคอยมองหาใครบางคน รุ่งแสงมาในช่วงเวลากลางวันช่วยทำโน่นทำนี่บอกศรุตาว่า “คุณปรายติดงานมากลางวันไม่ได้” ชายหนุ่มมาถึงในเวลาค่ำ บอกใครๆ ว่า “เพิ่งเสร็จงานครับ” แล้วรุ่งแสงก็ปราดเข้าประกบตัวเขาไม่ยอมห่าง
คุณย่ากอดหลานรักต่อหน้าญาติๆ ซึ่งชมอย่างจริงใจว่า “ปรายเป็นหนุ่มหล่อขึ้นทุกวัน มีแฟนหรือยังละนี่ อยากกินเลี้ยงเต็มทีแล้ว”
คุณย่าถามว่า “ทำไมไม่พาหลานสะใภ้ย่ามาด้วย”
“คุณย่าก็ หลานสะใภ้ก็อยู่ด้วยที่นี่แล้วไง” เสียงหยอกเย้าของญาติๆ มุ่งหมายถึงสาวสวยที่เกาะอยู่ข้างๆ ชายหนุ่มไม่ยอมห่าง รุ่งแสงหัวเราะคิกคักหน้าบานไม่หาย
คุณย่ามองชายหนุ่ม ถามเหมือนคาดคั้น
“จริงหรือ ปราย หลานสะใภ้ของย่าอยู่ด้วยที่นี่แล้วหรือ”
หนุ่มร่างใหญ่ที่กำลังออดอ้อนคุณย่า ไม่ยอมแม้แต่จะหันมาหาศรุตาที่ยืนมองอยู่ข้างๆ มรุต ตอบรับเสียงอ่อน “จริงครับ”
เสียงญาติๆ เชียร์อย่างให้กำลังใจเต็มที่ “งั้นประกาศตัวซะคืนนี้เลยดีไหม ปราย คุณย่าจะได้ชื่นใจ”
คุณย่าคาดคั้นถามยิ้มๆ “ได้ไหมปราย”
สีหน้าเขาอึดอัดระคนขัดเขิน “ไม่ได้หรอกฮะ”
“ทำไมถึงไม่ได้”
หลานชายอ้ำอึ้งไม่ยอมให้คำตอบ
“เอาอย่างนี้…” คุณย่าปลดสร้อยเพชรสายเล็กๆ จากคอส่งให้ “สร้อยนี้ถ้าปรายให้ใคร คนนั้นเป็นหลานสะใภ้ย่า”
มีเสียงเฮฮาเห็นด้วยเชียร์ให้เขารับสร้อย ชายหนุ่มพูดเขินๆ ว่า
“ปรายจะเอาไปขาย”
มรุตจับแขนพาศรุตาพาเลี่ยงออกไป “หลานรักคุณย่า” ที่กราบคุณย่าแล้วหย่อนสร้อยลงในกระเป๋าเสื้อ มองตามคู่หนุ่มสาวด้วยสีหน้าขรึมๆ รู้สึกบาดใจแต่ก็ได้แต่ทนกล้ำกลืน
รุ่งแสงดึงแขนชายหนุ่มบ้าง “ไปหาอะไรทานกันดีกว่า”
เขาเดินตามอย่างว่าง่ายหยุดพูดคุยทักทายคนนั้นคนนี้ หญิงสาวตามอยู่ข้างๆ ส่งเสียงหัวเราะพูดคุยผสมผสาน เธอชำเลืองมองกระเป๋าเสื้อเชิร์ตที่เขาสวมใส่ คิดว่าเมื่อไหร่เขาจะหยิบสร้อยออกมา... เขาจะให้เธอหรือเปล่า….
มรุตพูดกับศรุตาว่า “คุณย่าไม่ยอมรบเร้าให้พี่แนะนำตัวหลานสะใภ้บ้าง”
“คุณย่าทราบแล้วนี่คะว่าเป็นใคร”
สีหน้าชายหนุ่มหยอกเย้า “ใครหรือ”
“คุณเจนนี่จะมากี่โมงคะ” ดูเธอหม่นหมองแต่มันไม่ได้เป็นเพราะหญิงสาวที่ถูกพูดถึง
“เขาคงไม่มากระมัง”
“อ้าว ทำไมล่ะคะ”
“เขาไม่พอใจพี่หลายเรื่อง”
ศรุตารู้ว่าเรื่องหนึ่งที่ทำให้จรัสไขขัดใจนั้นเกี่ยวกับตัวเธอ “แล้วทำไมพี่มรุตไม่ทำความเข้าใจกันเสียล่ะคะ”
“ต้าอยากให้เป็นอย่างนั้นหรือ”
“ค่ะ ผิดใจกันนานๆ ไม่ดี มีอะไรก็ควรจะพูดกันให้รู้เรื่อง”
“ถ้าเจนนี่มา พี่จะเต้นรำกับต้าได้ยังไงล่ะ” เขาถามยิ้มๆ
หญิงสาวกลับพูดว่า “ต้าเต้นรำไม่เป็นหรอกค่ะ”
“พี่จะสอนให้”
เธอยิ้มเนือยๆ ไม่ใช่ศรุตาที่กระตือรือร้นอยากจะเต้นรำกับเขาคนเดิม
เธอปลีกตัวจากมรุตไปช่วยดูแลอาหารการกิน พอนำจานเปลที่อาหารพร่องแล้วเข้าครัวไปเติมกลับมาวาง คนที่เคยเป็นคู่หูก็พาใบหน้าขรึมๆ มายืนตรงหน้า สีหน้าเธอกระจ่างขึ้นในทันที ประกายตาสุกใสยิ้มกว้างยินดีทักเสียงใสเหมือนได้พบสิ่งที่รอคอย
“คุณปราย... ทานข้าวหรือยัง อย่าทานเบียร์มากนะ เพิ่งหายไม่สบายหยกๆ”
“ปรายอยากถามว่า ต้ายังจะให้ปรายพาไปวัดนั้นอีกหรือเปล่า”
สีหน้าเธอสลดลง “ต้าเหลวไหลมาก ไม่รู้ว่าทำไมถึงเพ้อเจ้อขนาดนั้น คงไม่ต้องไปไหนกันแล้วละคุณปราย”
“จะบอกต้าด้วยว่าปรายกำลังจะย้ายไปทำงานไกลมาก”
“อ้าว ทำไมล่ะ จะไปไหน” สีหน้าเธอเดือดร้อนทำให้เขารู้สึกดีขึ้น
“มีงานสร้างโรงแรมใหญ่ที่เมืองนอก ปรายก็เลยอาสาจะไป คงใช้เวลาเป็นปีกว่าจะเสร็จ”
“โอ้โห เป็นปีเชียวหรือ… อย่าไปเลยอยู่ที่นี่เถอะนะ…..”
“ถึงยังไงต้าก็มีธุระยุ่งเสมอไม่ใช่หรือ โทรไปทีไรก็ได้ยินว่าอยู่ในห้องทำงานพี่มรุต”
“ก็ต้าทำงาน…” เธอชะงักคำพูดมองเขาอย่างแปลกใจ “คุณปรายน่ะหรือโทรหาต้า ? ต้านึกว่า...” นึกว่าเขานึกถึงแต่งานและรุ่งแสงจนลืมเธอไปแล้ว “แล้วทำไมไม่สั่งใครไว้ต้าจะได้โทรกลับ แล้วก็ทำไมไม่ยอมโทรเข้ามือถือด้วย”
“ทำไมจะไม่โทร”
“โทรเมื่อไหร่ เอ หรือว่าจะเป็นตอนแบตหมด”
“ช่างเถอะ” เขาไหวไหล่มองเธอขรึมๆ
ประกายตาเธอกระจ่างสดใสขึ้น แต่ก็ลังเลเมื่อพูดต่อ “คือ... เอ่อ… ต้ากำลังคิดว่าถ้างานพี่มรุตเข้าที่แล้ว ต้าก็จะลาออก พี่เจนนี่เองก็อยากมาทำงานกับพี่มรุต ให้ต้าไปเมืองนอกกับคุณปรายได้ไหม แบบว่าไปเรียนหรืออะไรก็ได้”
“ต้าน่ะหรือจะไปกับผม” เสียงเขาสูงจ้องมองเธออย่างแปลกใจเป็นที่สุด
หญิงสาวหน้าเจื่อน หลบตามองมือตัวเองที่บีบกันไปมา “เอ่อ… แบบว่าต้าแค่ลองถามดูเล่นๆ… แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร...” บางทีเขาอาจจะมีแผนการอื่นกับคนอื่นแล้วก็ได้
เขาถามยิ้มๆ อย่างไม่กล้าเชื่อถือ “ต้าอยากไปกับปรายจริงๆ หรือว่าแค่นึกสนุกชั่วครู่ คิดให้ดีก่อนตอบก็ได้นะ ถ้าไปแล้วเกิดเปลี่ยนใจจะกลับมา คนทางนี้อาจไม่เหมือนเดิมแล้วนะ”
ประกายตาเธอจริงใจ “อยากไปจริงๆ ซิ ตอนนี้ทั้งคุณย่าและแม่ต้าแข็งแรงดีขึ้นมาก และพี่มรุตก็คงดูแลได้ ถ้าคุณปรายไม่อยู่ต้าคงต้องเหงามาก อยู่กับคุณปรายแล้วต้า.....”
ยังไม่ทันจะพูดจบ รุ่งแสงก็เดินหัวเราะเข้ามา พอถึงตัวก็คล้องแขนชายหนุ่มออกแรงดึงให้ร่างใหญ่เดินตาม “คุณปรายมาทางนี้หน่อย มีคนสงสัยอยากจะถามอะไรบางอย่าง”
ศรุตาไม่มีโอกาสพูดต่อ และชายหนุ่มก็ละความสนใจเธอไปในทันที
“ประเดี๋ยวค่อยคุยกันนะ” เขาหันมาบอกยิ้มๆ ประกายตาวาบวับ
หญิงสาวมองตามหลังไหล่กว้างๆ ที่ถูกสาวสวยเกี่ยวแขนเดินห่างออกไปพลางถอนใจอย่างหม่นหมอง เมื่อก่อนรุ่งแสงไม่เคยพัวพันใกล้ชิดชายหนุ่มขนาดนี้ เดี๋ยวนี้คล้ายคนทั้งสองไม่มีขีดแบ่งกั้น ศรุตาเสียอีกที่กลับกลายเป็นเหมือนคนนอกหมดความมั่นใจไปเสียเฉยๆ จะพูดจะทำอะไรก็ลังเลไปหมด
มรุตถามอย่างเอาใจว่า “ทำไมทำหน้าเศร้าอย่างนั้น หมู่นี้ต้าไม่ช่างคุยเหมือนเดิม แล้วก็ไม่ยอมหัวเราะดังๆ เหมือนเมื่อก่อนเลยรู้ตัวไหม”
เธอพูดเหงาๆ ว่า “คุณปรายเพิ่งบอกต้าว่าจะไปทำงานที่ต่างประเทศค่ะ”
“งั้นต้าก็เหงาแย่ซิ”
เธอวนเวียนมองคนร่างสูงใบหน้าสะอ้านที่หัวเราะหัวใคร่ร่าเริงพูดคุยอยู่ในกลุ่มญาติ มีรุ่งแสงเกาะติด ตอบเศร้าๆ “ค่ะ ต้าคงเหงามาก”
มรุตวางมือบนไหล่เธอพลางพูดยิ้มๆ สายตาท่าทีเหมือนจะให้สัญญาที่จริงจัง
“อย่ากลัวเลย พี่อยู่ตรงนี้ทั้งคนจะไม่ปล่อยให้ต้าเหงา”
ถ้าเป็นเมื่อก่อน เธอคงลิงโลด เธอเคยชื่นชมหลงใหลชายหนุ่มรุ่นพี่ชายใหญ่คนนี้จนมองข้ามอย่างอื่นไปหมด ในเวลานี้ความรู้สึกนั้นหายไปแล้ว เธอกลับกังวลห่วงหาอาทรคนที่ไม่เคยขัดใจไม่ว่าเธอจะต้องการอะไรที่เธอเคยมองข้าม ในบัดนี้เธอได้รู้ว่าเขาคนนั้นเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่รีรอที่จะปกป้องแม้ต้องเอาตัวเข้าแลกเพื่อให้เธอปลอดภัย
หากทว่าเขาคนนั้นกลับเคลื่อนคล้อยลอยห่างออกไปทุกที
เขาหันมามองแล้วหลิ่วตายิ้มให้เธอ ก่อนจะหันกลับไปหัวเราะหัวใคร่กับคนที่รอบล้อมอย่างสบายอกสบายใจ หรือจะมีความสุขเพราะคนที่ตามติดอยู่ข้างๆ ?
เมื่อเพลงสนุกสนานจบลง โศภิตที่ร้องเพลงพลางส่งยิ้มมองคนนั้นคนนี้ ก็ยกมือทำสัญญาณยักคิ้วหลิ่วตาพยักพเยิดให้ศรุตาเหมือนจะบอกว่า
“พี่มรุตอยู่ข้างๆ เธอแล้ว คราวนี้คงไม่พลาดอีกนะ”
แล้วเสียงใสๆ ของสาวอั๋นที่ถือไมโครโฟนก็ดังเรียกร้องความสนใจของผู้คนในบริเวณงาน “ทุกท่านคะ เวลาหวานๆ มาถึงแล้วนะคะ เพลงต่อไปนี้สำหรับคนที่มีความหวานอยู่ในหัวใจ ใครจะบอกรักใคร เชิญจูงกันออกมาบอกบนฟลอร์เลยนะคะ และคุณย่ากำลังมองอยู่ด้วยนะคะ”
เสียงพูดคุยเบาลงเมื่อเสียงดนตรีกรีดหวานส่งทำนองเพลงไพเราะเพราะพริ้วดังขึ้น หญิงชายหลายคู่จูงมือตามกัน มืออุ่นๆ ของคนที่ยืนอยู่ข้างๆ เลื่อนมาแตะแผ่นหลัง ก้มลงมากระซิบ
“ไปเต้นรำกันไหม”
เหมือนเธอจะไม่ได้รับรู้ กลับหันมองหาใครบางคน จนนักร้องสาวอั๋นที่คอยเอาใจช่วยงุนงง ไม่เข้าใจว่าเหตุใด ศรุตาที่เคยใฝ่ฝันจะเต้นรำกับมรุตนักหนา กลับเดินออกห่างจากชายหนุ่มที่งามสง่าประณีตสำอาง ที่มองตามอย่างแปลกใจเช่นกัน
ศรุตาหยุดชะงัก เมื่อเห็นร่างสูงหนาที่อยู่ไกลออกไป กำลังถูกรุ่งแสงหัวเราะพลางดึงแขนจะพาไปสู่ ฟลอร์เต้นรำ ถามตัวเองว่าเธอจะทนดูได้หรือ เธอหันเดินหนีด้วยความหม่นหมอง หากแล้วก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับมาดูอีก ต้องแปลกใจที่เห็นร่างทั้งสองยังดึงรั้งกันด้วยอาการขัดขืน แล้วในที่สุด คนร่างสูงก็หยุดอีกฝ่ายไว้แล้วก้มลงไปพูดอะไรบางอย่าง
รุ่งแสงชะงัก สีหน้าร้าวรานเหมือนผิดหวังปล่อยแขนที่แข็งแรงให้เป็นอิสระ
ชายหนุ่มยืดกายขึ้นหันมองหา ตาสบตา ศรุตาไม่อยากจะเชื่อที่เห็นเขาเดินเข้ามาหาเธอ
ประกายตาชายหนุ่มอ่อนโยน ถามขรึมๆ “เพลงนี้เป็นเพลงพิเศษหรือเปล่าต้า…..”
ใบหน้าเธอเรืองเรื่อขึ้น ริมฝีปากเผยอยิ้ม “คงใช่มั้ง”
“ได้อธิษฐานอะไรไว้หรือเปล่า”
“เปล่า…” เสียงตอบเจือหัวเราะ อดขำไม่ได้เมื่อนึกถึงความไร้สาระของตนในอดีต
“งั้นเต้นรำกับปรายนะ”
เธอไม่เคยรู้มาก่อนว่ามือของคู่หูคู่กัด จะทำให้รู้สึกอบอุ่นมั่นคงได้ถึงเพียงนั้น เขาพาเธอเดินเข้าไปในฟลอร์ “เราไม่เคยเต้นรำกันมาก่อนเลย นี่เป็นครั้งแรก”
“เรามัวแต่ทะเลาะกัน” เธอเจือหัวเราะตอบรับ
ร่างบางๆ เลื่อนเข้าสู่วงแขนของคนที่ก้าวเข้ามาหา มือประคองมือ ชายหนุ่มโอบหลัง พาให้เลื่อนเข้าชิดโดยอีกฝ่ายโอนอ่อนไม่ขัดขืนแม้แต่น้อย..... จังหวะก้าวเนิบนาบอ่อนหวาน เธอเคลื่อนตัวตามเขา บางครั้งคนตัวสูงยกมือเธอขึ้นให้หมุนตัวแล้วดึงเข้ามาจนชิด เธอหัวเราะเขินๆ เมื่อกายสัมผัสอกหนาที่สวมใส่เสื้อผ้าที่ธรรมดาที่สุด ทว่าอวลไออุ่นที่หอมแปลก
“คุณย่ากำลังยิ้มมองอยู่” ชายหนุ่มก้มลงกระซิบบอก
“ท่านก็มองทุกคน”
“ท่านมองปราย….. ท่านคงอยากรู้ว่า……”
เขาไม่พูดต่อ เธอเงยหน้าขึ้นมองอย่างถาม
เขามองตาเธอนิ่งก่อนจะหยิบสร้อยในกระเป๋าออกมา “ว่าปรายจะให้สร้อยนี้กับใคร”
มือใหญ่สีเข้ม คล้องสร้อยร้อยพันรอบเรียวนิ้วของหญิงสาวแล้วรวบมาแนบไว้กับอก ใบหน้าใสๆ อิ่มเอิบเปล่งปลั่งด้วยความยินดี เธอหัวเราะเบาๆ กอดเขาไว้ด้วยแขนทั้งสองข้าง ซุกหน้ากับอกอุ่นของคนที่กระชับวงแขนกอดเธอแน่นขึ้นอย่างเข้าใจกัน
ภาพของหญิงชายที่หัวเราะพลางกอดซบกันอยู่ในฟลอร์เต้นรำ ทำให้หลายคนยิ้มชื่นชม หลายคนโล่งใจ มีความสุข แต่ก็มีบางคนที่ขุ่นข้องหม่นหมอง หมุนตัวเดินหนี
มือใหญ่ประคองมือเธอไว้อีกครั้ง สร้อยคอของคุณย่าที่ถูกคล้องกับเรียวนิ้วแล้วประกบไว้ตรงกลางระหว่างมือเขาและมือเธอ ทิ้งสายเพชรเล็กๆ ล้อแสงไฟ จี้เพชรที่กลางสายเป็นรูปหัวใจดวงจิ๋ว คงไม่ใช่เพราะประกายของมันเป็นแน่ แต่วูบหนึ่งที่ศรุตารู้สึกเหมือนใบหน้าสีเข้มของชายหนุ่มกระจ่างเรืองรองขึ้น เธอหมายจะมองซ้ำ แต่เขากลับดึงเธอเข้าไปจนชิด ประทับจุมพิตกับหน้าผากผุดผาดที่มีไรผมอ่อนๆ ล้อมรอบ
เสียงเพลงไพเราะ เสียงพูดคุยหัวเราะเจือประสาน อาจดังแว่วถึงสรวงสวรรค์
ภาพวาดเก่าๆ ที่คุณย่าให้ กลายเป็นเพียงภาพประดับข้างฝาที่ไม่มีดอกไม้วางบูชา แต่ศรุตาก็หยุดมองนานๆ ด้วยความรู้สึกที่ดีเสมอๆ เมื่อมีคนถามศรุตาว่า “ต้าเคยเห็นนางฟ้าไม่ใช่หรือ” คำตอบก็คือ “ไม่รู้เหมือนกัน บางครั้งก็รู้สึกเป็นจริงเป็นจังเหมือนว่าเคยรักผูกพันกัน แต่พอนึกจริงๆ แล้วก็ไม่ใช่ ต้าคงคิดฝันมากไปจนสับสน”
นางอัปสราในภาพวาด สวมเครื่องทรงขององค์เทพ ยังคงยืนเอวอ่อนยิ้มหยาดหวาน…
(จบ)