ดวงใจนี้ใครครอง

>> สุภาว์ เทวกุลฯ

ดวงใจนี้ใครครอง

บทที่ 9

วันแรกที่ลงมือทำงาน  ชลาผู้ซึ่งตามปกติก็ตื่นตั้งแต่เวลา ๕.๓๐ น. เป็นกิจวัตรอยู่แล้ว  แต่กระนั้นก็ยังลุกขึ้นก่อนเวลาที่เคยไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมงและแต่งตัวเสร็จก่อนที่ฟ้าจะสาง  นางละเมียรซึ่งลงไปดูให้สาวใช้ตัดเย็บใบตองห่ออาหารคาวหวานสำหรับตักบาตรแก่พระสงฆ์จำนวนสิบรูป อันเป็นกิจซึ่งนางปฏิบัติเป็นประจำทุกวัน  ได้ร้องออกมาด้วยความแปลกใจ เมื่อเห็นบุตรีโผล่เข้าไปในครัวว่า

“เอ๊ะ! วันนี้ไงเสร็จแต่เช้าเทียวจ๊ะลูก?”

แต่เมื่อมองดูเครื่องแต่งกายของบุตรีเพียงแวบเดียว นางก็เข้าใจ   “อ้อ...วันนี้จะไปทำงานน่ะเอง” นางว่า

“เห่อจังนะคะ ลูกแม่คนนี้”  ชลาหัวเราะอย่างกระตากๆ แล้วคุกเข่าลงบนพื้นใกล้มารดา   “แม่จะให้หนูช่วยอะไรบ้างไหมเล่าคะ?”

“ไม่ต้องหรอกจ้ะ   คอยช่วยตักบาตรเหมือนอย่างเคยก็แล้วกัน”

นางละเมียรตอบ  มองดูบุตรีซึ่งแต่งกายด้วยเสื้อคอเชิ้ตแขนสามส่วนสีน้ำตาลอ่อน ทับด้วยกระโปรงสีดำคาดเข็มขัดสีดำ   ผัดหน้าไว้นวลแฉล้ม   ทักว่า

“แต่งตัวสวยๆ แล้วเข้ามาคุกเข่าอยู่ในครัวทำไมกันจ๊ะ  ประเดี๋ยวจะโดนเขม่าไฟมอมเสียหรอก  ออกไปคอยข้างนอกเถอะจ้ะ  ประเดี๋ยวแม่ก็เสร็จแล้ว”

หลังจากที่ช่วยมารดาถวายภัตตาหารแก่พระภิกษุสงฆ์ครบถ้วนจำนวนสิบรูปแล้ว   ชลาก็กลับขึ้นเรือนมาจัดโต๊ะอาหารเช้าอย่างเคย   นางละเมียรตามเข้ามาในห้องอาหารด้วย   นางมองดูมือของธิดาซึ่งทำงานอย่างว่องไวกระฉับกระแฉงแล้วบอกว่า

“ต่อไปนี้ให้เด็กจัดก็ได้ หนูจะได้ไม่เหนื่อย”

“หนูไม่ได้เหนื่อยอะไรนักหนานี่คะแม่”   ชลามองมารดาด้วยดวงตาอันสุกใส   “ของเคยทำอยู่ทุกวัน”

“ไม่ใช่จ้ะ”  มารดาลากเสียงค่อนข้างยาว   “ที่แล้วมาน่ะไม่เป็นไร เพราะหนูอยู่กับบ้านเฉยๆ ทำงานเสียบ้างจะได้ไม่เบื่อ   แต่ต่อไปนี้หนูต้องออกไปทำงานนอกบ้านแล้ว   กลับมาถึงก็คงเหนื่อยจะได้อาบน้ำพักผ่อน”

“ถ้างั้นเอาเป็นว่าตอนเย็นให้เด็กจัดก็แล้วกัน   แต่ตอนเช้านี่หนูทำเองได้ค่ะ   มีเวลาถมไปกว่าจะออกจากบ้าน  ดูแต่วันนี้ซีคะ”

“อย่าว่าเลย”

มารดาทำท่าคล้ายจะค้อนแต่ไม่ค้อน  และตั้งแต่เกิดมา ชลาจำได้ว่าไม่เคยเห็นมารดาได้กระทำกิริยาเช่นนั้นเลยแม้แต่ครั้งเดียว

“ก็วันนี้เพิ่งจะเป็นวันแรกนี่จ๊ะ หนูถึงตื่นได้เช้า  อย่างนี้ลองต่อๆไปซิ   กลัวว่าจะต้องไปปลุกกันเสียอีก”

ชลาหัวเราะเสียงใส ทำให้มารดาอดที่จะมองดูอย่างเอ็นดูเสียมิได้   และด้วยเหตุที่มารดาเป็นบุคคลที่มักจะเก็บความรู้สึกอยู่ภายในเป็นนิจ   จะรัก โกรธ หรือเกลียด ก็สงบเงียบอยู่มิได้แสดงออกมานอกหน้า   เมื่อชลาสังเกตเห็นลักษณะของดวงตาที่มารดามองดูตนในขณะนั้นแล้ว ก็ให้บังเกิดความรู้สึกอย่างที่เขาว่ากันว่าหัวใจพองคับอกนั่นแล้ว

นายเวช โสภณา บิดาของเธอ เข้ามาในห้องอาหารเมื่อเวลาเจ็ดโมงครึ่งตามปกติของท่าน   เมื่อมองเห็นธิดาคนเล็ก นายเวชก็ขยับแว่นที่สวมอยู่   ทักว่า

“อ้อ...วันนี้แต่งเป็นแหม่มเข้าทีดีเหมือนกัน”

คำว่า ‘แต่งเป็นแหม่ม’ ของบิดานั้น   ชลาเข้าใจเอาว่าท่านได้เห็นเธอแต่งกายตามแบบสากลนิยม อันผิดตาไปจากที่ท่านได้เห็นอยู่ทุกวันนั่นเอง   เพราะน้อยครั้งนักที่ชลาจะออกจากบ้าน   และโดยมากก็มักจะออกไปภายหลังจากที่บิดาออกไปทำงานแล้วและกลับเข้ามาก่อนที่ท่านจะกลับเสมอ   ท่านจึงไม่มีโอกาสที่จะได้เห็น ‘แต่งแหม่ม’   คงเห็นแต่เธอนุ่งซิ่นแบบไทยอยู่เป็นนิจ   แต่เมื่อท่านบอกว่า ‘เข้าทีดีเหมือนกัน’ ก็เป็นอันว่าใช้ได้   ครั้งหนึ่ง เมื่อสายธารแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่มีคอคว้านค่อนข้างกว้างประดับด้วยลูกไม้และกระโปรงบานพองเย็บเป็นระบายต่อกันสามชั้น   ท่านได้ทักว่า

“นี่ควรจะไปซื้อรองเท้าไอ้ที่มันมีเส้นหนังพันขึ้นมาถึงโคนขาใส่สักคู่หนึ่ง   เผื่อยังไงเขาจะได้จ้างไปเล่นหนังเมืองนอกเมืองนา จะได้ไม่ต้องมาเดินถนนเมืองไทย”

หลังจากที่ถูกบิดาทักเป็นต้นมา   เจ้ากระโปรงงามตัวนั้นก็ถูกสายธารจับม้วนซุกไว้ก้นตู้ และมิได้นำออกมาสวมใส่อีกเลย

สายธารเข้ามาในห้องอาหารเป็นคนล่าที่สุดตามเคย   ขณะนั้นชลากำลังรินกาแฟเติมลงในถ้วยของบิดา   เธอจึงเลยรินให้พี่สาวด้วย   สายธารมองดูน้องสาว   ขมวดคิ้วนิดหนึ่งเมื่อพูดว่า

“แต่งตัวอย่างนี้น่ะหรือไปทำงาน?”

คำพูดของพี่สาว ทำให้ชลาต้องก้มลงมองดูตัวเองอีกครั้งหนึ่ง แล้วจึงเงยหน้ามองดูพี่สาวด้วยความสงสัย   แต่ยังไม่ทันที่เธอจะเอ่ยปากกล่าวอะไรออกมา ก็ได้ยินเสียงบิดาพูดขึ้นว่า

“แต่งอย่างนี้ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรนี่   หรือแกมีความเห็นว่าอย่างไร สายธาร?”

“เปล่าค่ะ”   สายธารพูดเสียงอ่อนลง   “แต่สายเห็นว่าวันนี้เป็นวันแรกที่ชลาจะไปทำงาน   ใครต่อใครคงจะต้องพากันสนใจเพ่งมองดู   ควรจะแต่งตัวให้ภาคภูมิกว่านี่อีกสักหน่อย เขาจะได้ไม่ดูถูก”

“เอ....แต่พ่อว่าไอ้การที่คนเขาจะดูถูกหรือไม่ดูถูกหรือไอ้ความภาคภูมิน่ะ   มันไม่ได้อยู่ที่เครื่องแต่งตัวหรอกนะ สายธาร   หรือว่ายังไง ชลา?”

ประโยคสุดท้ายท่านหันมาถามธิดาคนเล็ก   ชลามิรู้ที่จะตอบอย่างไรถูกจึงได้แต่ยิ้มเฉยเสีย   นายเวชมองดูธิดาคนโตทีหนึ่ง แล้วมองดูธิดาคนเล็กทีหนึ่งอย่างใช้ความคิด   แล้วจึงกล่าวต่อไปว่า

“คนเรานั้นจะมีบุคลิกลักษณะดีหรือไม่เพียงไร ก็ขึ้นอยู่กับความมั่นใจในตัวเอง   แต่ก็นั่นแหละ   อะไรก็ตามมีมากเกินไป หรือน้อยเกินไปก็ไม่ดีทั้งนั้น   คำพระท่านว่ามัชฉิมาปติปทา   เดินสายกลางเข้าไว้เป็นดี   ถ้ามั่นใจมากเกินไปมันก็ง่าย   ใครจะจูงไปทางไหนก็ไปกับเขาง่ายๆ   อันตรายทั้งสองอย่าง”

“คุณพ่อหมายถึงสายกับชลาใช่ไหมคะ?”   มีสายธารคนเดียวที่กล้าใช้คำถามอย่างกล้าหาญตรงเผงกับบิดาเช่นนี้   แต่นายเวชมิได้ตอบออกมาตรงตามคำถามนัก   ท่านบอกว่า

“แกสองคนนี้เอามารวมกันแล้วเอาสองหารก็จะดี”

“แปลว่าทั้งสายและทั้งชลาต่างก็มีนิสัยที่น่าหวั่นใจ ว่าจะนำอันตรายมาให้ตัวเองทั้งสองคน”   สายธารยังคงใช้วาจาที่ห้าวหาญอย่างน่ากลัวนั้นต่อไป   “แต่ถึงอย่างนั้นคุณพ่อก็ยังยอมให้เราออกไปทำงานนอกบ้านทั้งสองคน   คุณพ่อไม่กลัวว่าสักวันหนึ่งจะมีอันตรายเกิดขึ้นแก่เราบ้างดอกหรือคะ?”

“ลูกนก ใช่ว่าจะเป็นลูกนกอยู่ได้ตลอดไปเมื่อไร”   บิดากล่าวด้วยเสียงเรียบๆ มิได้มีอาการโกรธขึ้งอย่างที่ชลาคิดเกรง   “สักวันหนึ่ง มันก็กลายเป็นพ่อนกแม่นก   หน้าที่ของพ่อนกแม่นกก็คือปกป้องและปัดเป่าต่อสู้มิให้อันตรายบังเกิดแก่ลูกของตน   แต่ว่าจะปกป้องและต่อสู้กับอันตรายได้อย่างไรเล่าถ้าไม่เคยรู้จักเสียเลยว่า อันตรายนั้นเป็นอย่างไร   เพราะฉะนั้น ทางที่ดีที่สุดก็คือว่าต้องเรียนรู้ด้วยตัวเองเสียก่อน”

สายธารนิ่งเงียบไป   ริมฝีปากที่บางเฉียบกว่าของชลานั้นเม้มเข้าหากัน   หล่อนใช้ช้อนคนกาแฟเฉยอยู่   ชลามองดูบิดาและพี่สาวอย่างไม่สบายใจนัก พลางพึมพำขอตัวลุกจากโต๊ะอาหารก่อนเพื่อจะขึ้นไปหยิบกระเป๋าและรองเท้า

หญิงสาวกลับลงมาเมื่อมีเสียงแตรรถดังขึ้นครั้งหนึ่งที่หน้าประตูบ้านพอดี   ตามปกติจะมีรถแท็กซี่มารับนายเวชและสายธารจากบ้านไปส่งยังที่ทำงานทุกเช้าเป็นประจำ   เมื่อชลาจะทำงานอีกคนหนึ่ง เธอก็เลยไปพร้อมบิดาและพี่สาวด้วย   รถจะไปส่งบิดา แล้วจึงไปส่งเธอซึ่งที่ทำงานอยู่ไกลกว่าทุกคน   ส่วนในตอนเย็นนั้นต่างก็แยกย้ายกันกลับเพื่อความสะดวกของแต่ละคน   สำหรับสายธารมักจะมากับรถของกรวิภาเสมอ   ชลาไม่รู้ว่ากรวิภาแวะไปรับเอง หรือสายธารตามไปยังบริษัทซึ่งคุณลุงเป็นเจ้าของ และกรวิภาไปนั่ง ‘ คุมงาน’ แทนบิดาของหล่อนกันแน่

รถมาส่งชลาลงที่หน้าบริษัท ‘ ไทยทัศนา’ เป็นคนสุดท้ายตามที่ตกลงกันไว้   นาฬิกาข้อมือแบเก่าอันเป็นสมบัติของมารดาที่ตกทอดมาเป็นของชลา บอกเวลาใกล้จะเก้านาฬิกาเต็มที   หญิงสาวหยุดยืนบนบาทวิถีหน้าทางเข้ามองไปภายในก็เห็นเจ้าพนักงานมากันคับคั่งแล้ว

‘ ไทยทัศนา’ เป็นบริษัทที่ดำเนินการในด้านค้าขาย   จากที่ที่ชลายืนอยู่นั้น ตรงเข้าไปจะเป็นทางโล่งสำหรับเดินโดยตลอด   เพราะกิจการของบริษัทนั้นแบ่งออกเป็นสองด้าน   ด้านซ้ายมือจัดเป็นตู้โชว์ จำหน่ายของที่ระลึกสำหรับชาวต่างประเทศที่มาเที่ยวเมืองไทย   มีตั้งแต่ผ้าไหม  ช้างไม้สัก   เครื่องถม   จนกระทั่งโปสการ์ดภาพวิวเมืองไทย   ส่วนทางด้านขวานั้น เป็นเคาน์เตอร์ยาวตั้งแต่สุดผนังด้านโน้นมาจนเกือบถึงด้านนี้   ชั่วแต่เว้นช่องว่างไว้สำหรับให้เดินผ่านเข้าไปได้เท่านั้น   ทางด้านนี้เป็นแผนกบริการนำเที่ยวทั้งในและนอกประเทศ   มีเจ้าพนักงานชายหญิงแต่งตัวเรียบร้อยสวยงามนั่งประจำที่อยู่หลายคน   หลังเคาน์เตอร์เข้าไปเป็นโต๊ะสำหรับเสมียนพิมพ์ดีดสองโต๊ะ   และมีบันไดโครงเหล็กสวยเรี่ยมทอดเวียนขึ้นไปสู่ชั้นบน

ยืนอยู่นานด้วยความลังเลใจจนเริ่มจะเป็นที่สังเกตแก่บรรดาพนักงานในบริษัทที่เริ่มจะหันมาจับตามองดู   ชลาเห็นชายหนุ่มที่นั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์เกือบริมสุดโน้นสะกิดกันให้มอง   เธอ ก็ให้มีความรู้สึกคล้ายขาสั่นไม่มีแรงจะก้าวเดินทั้งยังยากที่จะทรงตัวอยู่ได้   เธอยืนนิ่ง สูดลมหายใจแรงๆ   พยายามที่จะรวบรวมกำลังใจให้กล้า

“เราต้องไม่กลัว   เราต้องไม่กลัว   ไม่มีเหตุผลอะไรที่ควรจะกลัว”   ชลาท่องอยู่ในใจ “พวกนี้ก็คน เราก็คน   มีสิบนิ้วเหมือนกัน   เราไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่ได้มาขอข้าวเขากิน   เราต้องไม่กลัวเขา”

ระบายลมหายใจแรงๆ อีกครั้งหนึ่ง แล้วชลาก็ตัดสินใจก้าวเท้าเข้าไปข้างในทันที   ตรงเข้าไปหาผู้ชายคนที่นั่งอยู่เบื้องหลังเคาน์เตอร์ที่ใกล้ที่สุด   แต่ยังไม่ทันจะเอ่ยปากถาม ก็มีเสียงคนวิ่งลงบันไดมา   ชลามองขึ้นไปจึงเห็นว่าคนคนนั้นคือนายอารีย์ ผู้จัดการบริษัทไทยทัศนาที่อุตส่าห์ไปหาถึงที่บ้าน   เสียงเขาร้องถามมาตั้งแต่ลงมาถึงขั้นพักโคนบันไดว่า

“นี่ มีใครมาหาผมบ้างหรือยัง?   ผู้หญิง ส....อ้าว”

คำอุทานสุดท้ายนั้นดังขึ้นเมื่อเขามองเห็นชลา   เขาหยุดชะงักนิดหนึ่งแล้วปราดเข้ามาหา   ยิ้มระรื่นทักทายว่า

“มาพอดี   ผมกำลังจะถามเขาอยู่ทีเดียวว่าคุณมาแล้วหรือยัง   เชิญซีครับ   เชิญขึ้นไปข้างบนเลยผมจัดโต๊ะทำงานไว้ให้คุณข้างบนแล้ว”

เขาหลีกทางให้เธอก้าวผ่านเข้าไปข้างใน   และโดยไม่มีพิธีรีตองอะไร เขาก็หันไปร้องบอกแก่เจ้าพนักงานซึ่งกำลังมองมาเป็นตาเดียวกันนั้นดังๆว่า   “นี่พวกเรา   ขอแนะนำให้รู้จักกับคุณชลา โสภณา ผู้ร่วมงานใหม่ของเรา”

ชลามิได้มองดูว่าเขาเหล่านั้นจะแสดงกิริยาอาการอย่างไร   เธอเพียงแต่ยิ้มไปทางพวกเขาโดยมิได้จับตามองดูผู้ใดเลย   แล้วก็เดินตามผู้จัดการขึ้นไปข้างบน

ข้างบนน่าดูน้อยกว่าข้างล่าง   เพราะมีหีบใส่สินค้าตั้งซ้อนๆ กันอยู่มากมายพอสมควร   มีห้องกั้นด้วยกระจกฝ้ายาวเข้าไปแล้วหักเลี้ยวเป็นรูปตัวแอล   ที่ว่างโล่งๆนอกนั้นมีโต๊ะทำงานตั้งอยู่ ๔-๕ ตัว   อารีย์ผลักบังตาแผงสุดเข้าไป   ชลาเหลือบตามองดูป้าย ‘ ผู้จัดการ’ ที่เขียนระบุไว้เหนือบังตาทั้งภาษาไทยและอังกฤษก่อนจะก้าวตามเข้าไป

ในห้องผู้จัดการ มีโต๊ะทำงานตั้งอยู่สามตัวตรงกับบังตาพอดี   หันหลังให้หน้าต่างตัวหนึ่ง   และทางซ้ายขวาของบังตาอีกด้านละตัว     ที่โต๊ะด้านขวามีชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่แล้ว   อารีย์หยุดยืนหันหน้าไปทางชายหนุ่มผู้นี้ แล้วมองมาทางชลาเมื่อแนะนำว่า

“คุณสันทัดครับ   นี่คุณชลา”

และกับชลา   เขาบอกว่า   “คุณสันทัดผู้ช่วยของผม”

ชลายกมือทำความเคารพเขา   สันทัดลุกขึ้นยืนอย่างมีกิริยาดีพลางรับการเคารพจากหญิงสาว   เขาเป็นชายหนุ่มที่หน้าตาดีพอใช้   แต่มีริ้วรอยอะไรบางอย่างในสีหน้าบอกให้รู้ว่าเป็นคนที่มีอะไรซ่อนอยู่ในใจ   ดวงตาที่เขามองดูเธอนั้นมีแววประหลาดอย่างไรชอบกล   ริมฝีปากที่บางคล้ายปากหญิงของเขายังคล้ายจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม   มันกลับเหยียดเครียดออกแล้วเม้มเข้าหากันแน่นสนิท   เขานั่งลงและสนใจกับงานบนโต๊ะต่อไปโดยมิได้เอาใจใส่ชลาและอารีย์อีกเลย

“โต๊ะนี้เป็นของคุณ”

อารีย์เดินไปที่โต๊ะทางด้านซ้ายซึ่งตั้งหันหน้าตรงกันกับของสันทัด   ตบเบาๆ ลงบนพื้นโต๊ะอันลงน้ำมันไว้เป็นสีน้ำตาลเข้มมันปลาบ มีกระจกหนาปูทับอีกชั้นหนึ่ง   บนโต๊ะว่างเปล่าเกลี้ยงเกลา   ชลาวางกระเป๋าถือลง   “นี่คือโต๊ะทำงานตัวแรกในชีวิตของเรา”   เธอคิดขณะลูบคลำมันอย่างตื่นเต้น   “ไม่นึกเลยว่าจะได้นั่งทำงานที่โต๊ะสวยๆ อย่างนี้”   มันสวยกว่าโต๊ะตัวอื่นๆ ที่เธอเห็นเมื่อตอนเดินผ่านมายังห้องนี้มากนัก   สวยกว่าตัวที่ผู้ช่วยผู้จัดการใช้อยู่ด้วยซ้ำ

“ดิฉันมีหน้าที่ต้องทำอะไรบ้างคะ?” ชลาถาม

เธอรู้สึกแปลกใจที่อารีย์ยืนนิ่งอยู่คล้ายกับไม่เข้าใจในคำถามของเธอ   เป็นครู่เขาจึงยกมือเกาตรงข้างหู   ชลาเห็นสันทัดเหลือบตามองดูแวบหนึ่ง   ดวงตานั้นเป็นประกายคล้ายจะหัวเราะ แต่หน้าของเขายังคงเครียดเคร่งอยู่ตามเดิมจนเธอออกจะรู้สึกประหลาดใจเสียมิได้   ผู้ชายคนนี้พิกลจริง   ชลาบอกกับตนเอง

“ตอนนี้คุณช่วยตรวจรายชื่อไกด์ที่ทำงานให้เรา และลงสถิติจำนวนชาวต่างประเทศที่มาติดต่อให้เราจัดบริการนำเที่ยวก็แล้วกัน”

อารีย์พูดขึ้นในที่สุดหลังจากที่ได้เกาท้ายทอยคิดอยู่เป็นครู่ใหญ่   แล้วก็หันไปทางผู้ช่วย   สั่งว่า

“คุณสันทัดช่วยจัดการเรียกสมุดรายชื่อไกด์กับสถิตินำเที่ยวประจำวันมาให้คุณชลาด้วยนะครับ”

ชายหนุ่มที่ชื่อสันทัดลุกขึ้นจากโต๊ะเดินออกไปจากห้อง   สักครู่ ก็กลับเข้ามาพร้อมด้วยสมุดปกแข็งเล่มใหญ่สองเล่ม   เขาวางสมุดนั้นลงบนโต๊ะของเธอ   เปิดเล่มหนึ่งออก ชี้อธิบายว่า

“ที่กระดานดำด้านนอกจะมีรายการเขียนไว้ว่า วันนี้จะมีรายกายนำเที่ยวที่ไหนบ้าง และใครเป็นผู้นำเที่ยว   คนที่จะนำเที่ยวเขาจะส่งบัตรประจำตัวของเขาให้ไว้   คุณก็เพียงแต่ตรวจดูบัตรว่าจะตรงกับที่เขียนไว้บนกระดานหรือไม่   แล้วก็กรอกลงสมุดเล่มนี้   แจกรายการต่างๆ ไปตามช่องที่ระบุไว้เท่านั้นเอง”

ชลาจับตาดูปลายนิ้วของเขาที่ชี้ปราดๆไปบนหน้ากระดาษนั้น   นิ้วนั้นยาวแลดูบอบบางคล้ายนิ้วผู้หญิง   ตรงปลายนิ้วระหว่างข้อที่หนึ่งและที่สองเป็นสีน้ำตาลไหม้ซึ่งแสดงให้รู้ว่าเขาเป็นคนสูบบุหรี่จัด

เขาหยิบสมุดอีกเล่มหนึ่งขึ้นเปิด วางซ้อนลงบนเล่มเดิม บอกว่า   “นี่คุณลอกเอาจากกระดาษกรอกรายการที่พวกนักท่องเที่ยวเขาเขียนไว้ได้เลย   ผมจะสั่งให้เจ้าหน้าที่ ที่ข้างล่างเขาส่งขึ้นมาให้ คุณจะได้ไม่ต้องลำบาก”

เมื่อกล่าวประโยคสุดท้าย   เขาเหลือบตามองดูหล่อนแวบหนึ่ง   ริมฝีปากเหยียดออกคล้ายจะยิ้ม   แล้วก็หันกลับเดินไปที่โต๊ะของเขา   อารีย์พยักหน้าหงึกๆ บอกว่า

“ขัดข้องหรือสงสัยเรื่องอะไรก็ถามคุณสันทัดแกดูก็แล้วกัน   คุณสันทัดเขาชำนาญงาน แล้วก็อยู่ประจำที่สำนักงานนี่เสมอ   ไม่เหมือนผม”

เขาเดินออกไปจากห้องหลังจากที่พูดจบ   ชลามองดูสมุดสองเล่มนั้นอย่างงงๆ ผู้ช่วยผู้จัดการบอกว่าเธอจะต้องลอกออกจากที่อื่นลงในสมุดเล่มนี้   แต่เหตุใดเขาจึงให้แต่สมุด   มิได้ให้ต้นรายการที่จะต้องลอกด้วย   ชลามองไปยังชายที่นั่งก้มหน้าทำงานง่วนอยู่ที่โต๊ะตรงข้ามนั้นอย่างอึดอัดใจ   ดูเหมือนว่าเขาจะมีญาณพิเศษสักอย่างหนึ่งที่สามารถล่วงรู้ความคิดของเธอ   เพราะครู่เดียวต่อมา เขาก็เงยหน้าขึ้น มองสบตาเธออยู่อึดใจหนึ่ง แล้วบอกด้วยเสียงเรียบๆว่า

“สำหรับวันนี้ไม่มีงานที่จะต้องกรอกลง   วันนี้ไม่มีบริการนำเที่ยว   ส่วนงานเมื่อวานนี้เขาก็ทำกันเสร็จไปแล้ว”

อีกครู่ใหญ่ต่อมา ก็มีเด็กรับใช้นำน้ำส้มคั้นและหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์อีกหลายฉบับมาให้ชลา

“ผู้จัดการให้เอามาให้คุณผู้หญิงครับ”

เด็กบอกก่อนที่กลับออกไปจากห้อง ซึ่งทำให้ชลาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ   เหตุใดเขาจึงได้ดีต่อเธอถึงเช่นนี้ และเขาเอาอกเอาใจคนงานใหม่อย่างนี้เสมอทุกคนไปหรือ   เธอรู้สึกอึดอัดใจขึ้นมา   ชลาเงยหน้าขึ้นมองดูผู้ช่วยผู้จัดการ ก็เห็นเขาผู้นั้นกำลังมองดูเธออยู่แล้วด้วยดวงตาที่....   ชลาอยากจะเข้าใจเอาว่าเป็นการยิ้มเยาะกันอย่างชัดๆ   แต่เขาจะเยาะเธอด้วยเรื่องอะไรนั้น สุดความสามารถที่ชลาจะบอกได้

เมื่อไม่มีงานอะไรที่จะทำได้ในวันนี้ ชลาก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรดีไปกว่าอ่านนิตยสารที่ผู้จัดการมีใจเอื้อเฟื้อส่งมาให้นั้น   เธอปล่อยใจให้เพลิดเพลินไปกับหนังสือจนเวลาล่วงไปโดยไม่รู้ตัว   จนกระทั่งผู้จัดการกลับเข้ามาอีกครั้งหนึ่งและบอกด้วยเสียงรื่นเริงว่า

“จวนเที่ยงแล้ว   คุณชลาหิวแล้วหรือยัง?”

ชลามองดูนาฬิกาข้อมือ   ออกอุทานว่า   “เร็วจริง”   แล้วจึงตอบว่า   “ยังค่ะ”

“ผมสั่งให้เด็กเอาอาหารขึ้นมาบนนี้   เราจะรับกันในห้องโน้น”   อารีย์ชูนิ้วหัวแม่มือขึ้นชี้ข้ามบ่าไปเบื้องหลังยังห้องถัดไป ซึ่งมีบังตาเปิดจากห้องนี้เข้าไปได้

พอเขาพูดขาดคำก็มีเสียงออดไฟฟ้าดังกังวานขึ้น   ชลาเดาเอาว่าคงเป็นสัญญาณหยุดพักกินอาหารกลางวัน   เพราะทันทีที่มีเสียงนั้น   ผู้ช่วยผู้จัดการก็ปิดสมุดเก็บปากกาเสียบกระเป๋า ลุกขึ้นจากโต๊ะ

“อ้าว คุณสันทัดจะไปไหนล่ะ?”   อารีย์เรียก   “อยู่กินด้วยกันบนนี้ซี”

“อย่าเลยครับ ขอบคุณ   ผมลงไปรับของผมข้างล่างตามเคยดีกว่า”   สันทัดตอบแล้วผลักบังตาเดินออกไปโดยไม่มองดูคนทั้งสองแม้แต่แวบเดียว

จบบทที่ 9