เมื่อกล่าวคำนั้นออกไปแล้ว ชลาจึงได้รู้สึกตัว ดวงหน้าของหญิงสาวขาวซีดลงเล็กน้อย เธอก้มหน้าลงมองดูผ้าต่วนสีผ้าสดสว่างที่แผ่ออกคลุมเต็มหน้าตักนั้นอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเงยขึ้นสบตาเขา กล่าวด้วยเสียแผ่วเบาว่า
“ดิฉันต้องขอโทษที่พูดคำนั้นออกมา ถ้าหากว่าคุณจะถือว่ามันเป็นลางไม่ดีสำหรับงานสมรสของคุณ”
“เอ๊ะ.... คำนั้นน่ะคำอะไรครับ?”
กรันต์ ย่นหัวคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย ชลา รู้สึกว่าสายตาของเขาจับอยู่ที่ริมฝีปากของเธอ ดวงตาของผู้ชายคนนี้ช่างร้ายนัก ไม่ว่ามันจะจับจ้องอยู่ที่ส่วนไหนของร่างกาย เธอ ก็ดูเหมือนว่ามันจะได้จุดไฟให้ร้อนผ่าวขึ้นมา ณ ร่างกายส่วนนั้น
“ก็ที่ดิฉันบอกว่า คุณอาจจะต้องเปลี่ยนคำว่าโชคดีเป็นโชคร้ายยังไงล่ะคะ” หญิงสาวอธิบาย “เขาถือกันว่าเป็นลางไม่ดี เพราะว่าผ้าคลุมเตียงผืนนี้จะใช้สำหรับคลุมเตียงวิวาห์ของคุณ”
ชายหนุ่มยักไหล่เล็กน้อย พูดอย่างไม่เอาใจใส่ว่า
“ผมไม่ถือหรอก ผมไม่ใช่เป็นคนที่ถือโชคลาง สิ่งเดียวที่ผมเชื่อก็คือความรู้สึก ความต้องการในใจของผมเท่านั้น ผมเชื่อว่าไม่มีอะไรในโลกนี้จะมาทำให้ผมดีหรือเลว หรือมาบงการความเป็นไปในชีวิตของผมได้ นอกจากตัวของผมเอง”
เขาช่างเป็นผู้ชายที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นในตัวเองเสียนี่กระไร ชลา นิ่งเงียบ ก้มหน้าปักเรื่อยไปโดยมิได้ชวนเขาสนทนาอย่างใดต่อไปอีก แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ยอมให้เธอมีเวลาทำใจให้สงบเสียเลย เพราะเพียงชั่วครู่เดียวต่อมาเขาก็ชวนพูดขึ้นอีกว่า
“เดี๋ยวนี้กวีไม่ค่อยจะได้พาคุณไปเที่ยวไหนบ้างหรอกหรือ คุณชลา?”
“ไม่ค่อยได้ไปไหนหรอกค่ะ” ชลาตอบ “พี่กวีเธอมีงานยุ่ง แล้วทางบ้านก็ไม่มีใครอยู่กับคุณลุง หลังๆ นี่ท่านไม่ค่อยแข็งแรงนัก เดือนนี้ ท่านเป็นลมสองครั้งแล้วค่ะ ดิฉันก็เลยไม่กล้าทิ้งท่านไปไหน”
“คุณควรจะได้ไปเที่ยวเตร่พักผ่อนบ้าง” เขาพูดต่อไป “มันไม่ยุติธรรมเลยนี่ ที่คุณจะต้องนั่งแกร่วอยู่กับคนเจ็บทั้งวันทั้งคืน ในขณะที่คนอื่นเขาออกจากบ้านไปมีความสุขสนุกสนานกัน”
“เอ๊ะ... ก็ไม่เห็นมีใครทำอย่างที่คุณว่านี่คะ” ชลา เงยหน้าขึ้นมองสบตาเขาด้วยความพิศวง “ไม่มีใครสักคนที่จะเอาเปรียบดิฉันตามที่คุณพูด พี่กวี เธอก็ไปทำงาน ไม่ได้ไปสนุกสนานที่ไหน ส่วนกรวิภา ดิฉันก็เห็นใจว่าตอนนี้เขาควรจะเที่ยวเตร่เสียให้อิ่ม เพราะอีกไม่ช้าก็จะต้องไปรับภาระหนักของการเป็นแม่บ้านแล้ว แล้วอีกอย่างหนึ่งก็คือดิฉันไม่รู้สึกเดือดร้อนเลยที่จะต้องอยู่กับบ้านเพื่อคอยดูแลคุณลุง ดิฉันรักท่าน เต็มใจที่จะทำอะไรๆ ให้ท่านจริงๆ”
อีกครั้งหนึ่งที่เธอเห็นเขายักไหล่ เขานิ่งมองดูเธออยู่อึกใจหนึ่ง แล้วจึงส่ายหน้าช้าๆ พูดว่า
“คุณเป็นคนดีที่รู้จักบังคับใจของตัวเองให้ทำแต่ความดีได้อยู่ตลอดเวลา แต่ก็นั่นแหละ ตามความคิดเห็นของผม ผมรู้สึกว่า คนเราไม่ควรจะบังคับตนเองให้เดินอยู่แต่ในทางดีและถูกต้องสมควรเกินไปนัก เพราะขึ้นชื่อว่าการบังคับแล้ว ในไม่ช้ามันก็จะทำให้เราบังเกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมา”
ชลา มิได้โต้แย้งคำพูดของเขา แต่อย่างไรก็ตาม คำพูดเหล่านั้น ก็ได้ติดตามมารบกวนความคิดของเธออยู่ตลอดเวลา แม้กระทั่งเมื่อเธอทอดกายลงนอนในคืนนั้น ชลา นอนคิดถึงคำพูดเหล่านั้นอยู่จนนาฬิกา ตีบอกเวลาเที่ยงคืน กรวิภา ยังไม่กลับบ้าน ป่านนี้คงกำลังสำเริงสำราญกันอยู่ตามคลับไหนสักแห่งหนึ่งก็ได้ และกรันต์เองก็คงลืมคำพูดที่เขาได้กล่าวแก่เธอเมื่อเย็นนี้หมดแล้ว ชลา มองดูที่ว่างเปล่าข้างกายแล้วก็รู้สึกว่า เตียงนอนหลังนี้ช่างกว้างขวางใหญ่โตและอ้างว้างยิ่งนัก
หญิงสาวหารู้ไม่ ว่า ขณะเดียวกันกับที่ความรู้สึกเงียบเหงาและว้าเหว่เข้ามาครอบคลุมตัวเธออยู่นั้น รถยนต์สีแดงคันกระทัดรัดของกรวิภา กำลังวิ่งเอื่อยๆ ไปตามถนนสายต่างๆ อย่างไม่รีบร้อน ชายหนุ่มผู้ซึ่งทำหน้าที่บังคับยานคันนั้นกำลังทำหน้าที่อย่างเคร่งขรึมและระมัดระวัง ดวงตาและสีหน้าของเขาแสดงว่าเขากำลังใช้ความคิดอยู่ตลอดเวลา ผิดกันกับหญิงซึ่งนั่งมาเคียงข้างและเอนศรีษะซบอยู่กับต้นแขนของเขาตามสบาย และหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข หลายครั้งที่หล่อนมักจะพึมพำถามเขาว่ารถกำลังแล่นอยู่บนถนนสานไหน เมื่อเขาบอกให้รู้ หล่อนก็จะบอกว่า
“ขับต่อไปเรื่อยๆ นะ กรันต์ อย่าเพิ่งกลับบ้าน กรอยากนั่งอยู่อย่างนี้เรื่อยๆ ไปจนกระทั่งเช้าเหลือเกิน แสนสุขแสนสบาย”
ชายหนุ่มก้มลงมองดูดวงหน้าที่เอนซบอยู่นั้นด้วย ดวงตาที่ค่อนข้างครุ่นคิด แต่น้ำเสียงที่เขากล่าวตอบหล่อนนั้นแฝงความขบขันไว้พอประมาณว่า
“จะดีหรือ ขับไปเรื่อยๆ โดยไม่หยุด ประเดี๋ยวไปตื่นเช้าเอาที่โรงพยาบาลจะว่าอย่างไร?”
หญิงสาวมิได้กล่าวตอบแต่ประการใด หล่อนรู้แต่ว่าความประสงค์ของหล่อนเป็นสิ่งซึ่งจะต้องได้รับการปฏิบัติตาม หล่อนยังคงปล่อยใจให้อภิรมย์กับความสุขที่ได้รับอยู่ในขณะนั้นเรื่อยไป จนกระทั่งรู้สึกว่ายานที่แล่นเอื่อยๆ อยู่นั้นได้หยุดลงนั่นแล้ว จึงได้ขยับกาย ลืมตาขึ้นถามอย่างไม่สู้จะพอใจนักว่า
“อ้าว.... หยุดเสียทำไมล่ะคะ ต่อไปเรื่อยๆ ซี กรกำลังสบายแสนสบายทีเดียว”
“แต่ผมไม่ค่อยสบายเสียเลย” ชายหนุ่มตอบด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ “รู้หรือเปล่าว่าแขนของผมชาไปหมดแล้ว แล้วไหนยังจะต้องบังคับให้หนังตาเปิดกว้างอยู่อีก”
กรวิภา ขยับภายลุกขึ้นนั่งตัวตรง มองดูโดยรอบอย่างงุนงงนิดๆ ถามว่า
“นี่ที่ไหนคะ กรันต์?”
“ที่ทำงานของกวียังไงเล่า จำไม่ได้หรือ?” กรันต์บอกด้วยเสียงเรียบๆ “ผมเห็นไฟยังเปิดอยู่ก็เลยนึกว่าน่าจะแวะดูเขาเสียสักหน่อย อยากรู้ว่า พี่ชายคุณเขาทำงานอะไรกันหนักหนา จนป่านนี้แล้วยังไม่กลับบ้านกลับช่อง”
เขาลงจากรถเดินอ้อมมาเปิดประตูให้หญิงสาว กรวิภา บ่นพึมพำอยู่ในลำคอเล็กน้อยก่อนที่จะก้าวลงมา หล่อนมีอาการเซนิดๆ ชายหนุ่มจึงจับแขนไว้ข้างหนึ่ง หญิงสาวเอนกายพิงแขนข้างนั้นของเขา กรันต์ถามว่า
“เป็นยังไง มึนหรือ?”
“โธ่... ทำไมจะไม่มึน มาตินี่เข้าไปตั้ง 3-4 แก้ว”
“บอกแล้วนี่นาว่าประเดี๋ยวจะเมา อย่ากินเหล้าเข้าไปมากดีกว่า”
“เอ....กรันต์นี่ มาเที่ยวคลับแล้วไม่กินเหล้าจะสนุกอะไร มันต้องทำตัวเข้ากับบรรยากาศซีคะ”
ชายหนุ่มมิได้กล่าวแย้งคำพูดของหล่อน เขาปล่อยให้หล่อนยืนพิงอยู่ในท่านั้นครู่หนึ่ง แล้วจึงถามว่า
“หายมึนหรือยัง พอจะเดินไหวไหม?”
“ทำไม๊จะไม่ไหว” กรวิภา ทำเสียงสูง “กินเหล้าเพียง 3-4 ถ้วย ถึงกับเดินไม่ไหวก็แย่น่ะซีคะ”
“เอ้า ถ้าอย่างนั้นก็เข้าไปเยี่ยมเยียนพี่ชายของคุณกันหน่อยเถอะ”
เขาดันร่างที่ปกคลุมด้วยเครื่องแต่งกายอันตัดเย็บด้วยแพรลูกไม้อย่างดี ให้ยืนตรง กรวิภาสอดแขนของหล่อนลงในแขนของเขา ก้าวออกเดินพร้อมกัน
“ประตูก็ไม่ยักปิดใส่กุญแจ”
กรันต์พูดเบาๆ คล้ายพูดกับตัวเอง ขณะที่จับลูกบิดประตูนอกเปิดเข้าไป จากนั้นก็ต้องผ่านประตูกระจกอีกชั้นจึงมาถึงห้องทำงานห้องนอก ซึ่งเป็นห้องกว้าง ด้านหนึ่งกั้นเป็นที่รับแขก เครื่องประดับห้องทุกชิ้นล้วนแต่ใหม่เอี่ยมและเก๋กะทัดรัด แปลกตาน่าดู บอกถึงความสามารถของผู้ออกความคิด ลึกถัดเข้าไปจึงเป็นประตูเปิดเข้าไปสู่ห้องทำงานชั้นใน มีแสงไฟเปิดสว่างอยู่เบื้องหลังบานประตูกระจกฝ้านั้นสลัวๆ กรวิภา ปล่อยมือจากแขนของกรันต์เดินไปทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้นวมหนาเตอะยาวเหยียด บอกว่า
“กรันต์เข้าไปคนเดียวเถอะ กรจะขอนั่งอยู่ที่นี่แหละ มึนหัวจัง ขี้เกียจเข้าไปยืนเซให้พี่กวีเห็น ประเดี๋ยวจะถูกเทศนา รำคาญ”
กรันต์ จึงปล่อยหล่อนไว้ในห้องนอกนั้นตามลำพัง ตัวเองเดินตรงไปที่ประตูกระจกฝ้า ยกมือขึ้นเคาะเบาๆ 2-3 ครั้ง นิ่งฟังอยู่อึดใจใหญ่แล้วจึงบิดลูกบิด เปิดประตูออก ก้าวเข้าไปในห้อง
กวีนั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงานตัวกว้างใหญ่ ไฟในห้องทุกดวงปิดหมด เปิดไว้แต่โคมตั้งบนโต๊ะทางด้านซ้ายมือของเขา โป๊ะบังแสงกดต่ำเพื่อบังคับให้แสงส่องลงบนโต๊ะตรงหน้า ซึ่งขณะนั้นเต็มไปด้วยแผ่นกระดาษสีขาวและสีน้ำเงินเข้มวางซ้อนกันอยู่หลายแผ่น ชายหนุ่มกำลังมองมาที่ประตู เมื่อเห็นว่าใครคือผู้ที่มาเยี่ยมเขาในยามวิกาลนั้นได้ถนัดตา เขาก็ร้องออกมาว่า
“อ้าว...นายกรันต์ นี่ไปยังไงมายังไงกันถึงได้โผล่หน้าเข้ามาหาฉันในเวลานี้?”
“ผ่านมาเห็นไฟยังเปิดอยู่ ก็เลยคิดว่านายคงยังไม่กลับ” กรันต์ตอบ เดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ข้างโต๊ะ กล่าวต่อไปด้วยเสียงเรียบเป็นปกติว่า “กรวิภา ก็มาด้วย เขานั่งอยู่ในห้องนอกแน่ะ”
กวีพยักหน้า “ไปเต้นรำกันมาหรือ” เขาถาม ยกมือทั้งสองขึ้นเหนือศรีษะพร้อมกับบิดตัวแก้เมื่อย “แหม เมื่อยจริงแฮะ นั่งทำงานนานๆ นี่ กินอะไรไหมกรันต์ กาแฟร้อนสักถ้วยเป็นไง?”
“ไม่เอาละ” กรันต์ส่ายหน้า แล้วถามต่อไปว่า “อะไร นี่แกยึดเอาที่ทำงานเป็นที่สถิตอาศัยจนถึงกับต้องหาเสบียงอาหารไว้เทียวหรือ?”
“อือ” กวีรับ “ทำงานดึกๆ แล้วมันหิว ฉันเลยต้องทำห้องครัวแบบกระเป๋าเอาไว้ในห้องนี้ด้วย เอาไหมกาแฟร้อนๆ หรืออยากกินแซนวิชด้วยยังได้นะ เสียบปลั๊กต้มน้ำเข้าประเดี๋ยวเดียวก็เดือด ขนมปังก็มี เนยไส้กรอกแฮมกระป๋อง หรือตับบดก็มีพร้อมอยู่ในตู้เย็น”
“แหม นี่วันหนึ่งๆ แกคงจะอยู่ที่นี่มากกว่าที่บ้านซีนะ?”
“อือ” กวีรับตามเคย “ฉันอยากจะเร่งทำงานให้เสร็จ มีงานคอยอยู่อีกหลายชิ้น มือกำลังขึ้น งานหลั่งไหลเข้ามาอยู่เรื่อยๆ”
“แกควรจะพักผ่อนเสียบ้าง แทนที่จะคร่ำเครียดอยู่กับการงานวันหนึ่งๆ ไม่ต่ำกว่าสิบแปดสิบเก้าชั่วโมงอย่างนี้” เขามองดูนาฬิกาที่ข้อมือ บอกว่า “ดูซี นี่ตั้งตีหนึ่งกว่าแล้วแกยังไม่ถึงบ้าน”
“กันก็ยังแข็งแรงเป็นปกติดีอยู่นี่” กวีจับแผ่นกระดาษเหล่านั้นซ้อนๆ เข้าด้วยกันให้เป็นระเบียบ “อย่าเป็นห่วงเลยน่า ฉันเคยเช็คตัวฉันเองอยู่เสมอ เมื่อเวลาพักผ่อน ฉันก็ปล่อยตัวให้พักเต็มที่ อาหารฉันก็กินที่เป็นประโยชน์ แล้วแกยังจะกลัวอะไรอีก?”
“สำหรับตัวแกเองน่ะ ฉันไม่ค่อยเป็นห่วงเท่าไรนักหรอก” กรันต์พูดเรียบๆ มองดูหน้าสหายนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดต่อไปว่า “ฉันเป็นห่วงคนทางบ้านของแกมากว่า”
“คนทางบ้าน”
กวีทวนคำอย่างสงสัย มองดูผู้พูด แต่ก็มิได้เห็นดวงหน้าของเขาถนัดนัก เพราะเหตุว่า แสงไฟกดลงต่ำ และกรันต์ยืนอยู่ ร่างกายส่วนบนของเขา ตั้งแต่ช่วงอกตอนบนขึ้นไปจึงอยู่ในความมืดสลัวมิกระจ่างชัด กวีจึงไม่อาจจับความรู้สึกขณะที่เขากล่าวคำพูดเหล่านั้นออกมาได้
“แกหมายความถึงใคร คุณพ่อหรือชลา?” กวีถามตรงๆ “ถ้าหมายถึงคุณพ่อ ก็ไม่มีอะไรที่ต้องเป็นห่วง เพราะว่าท่านมีชลาคอยอยู่ดูแลอย่างใกล้ชิดอยู่แล้ว โทรศัพท์ที่บ้านก็มี ท่านเป็นอะไรก็โทรศัพท์เรียกหมอได้ทันที”
“แล้วคุณชลาล่ะ แกไม่นึกถึงเธอบ้างเลยหรือ?”
“ชลา” กวีทวนคำอย่างไม่เข้าใจ “แกหมายความว่ายังไง ฉันไม่เข้าใจ ทำไมฉันถึงจะไม่นึกถึงชลา แต่เขาก็สบายนี่ ไม่เห็นว่าจะมีเรื่องยุ่งยากอะไร”
“แกไม่คิดบ้างดอกหรือ เมื่อแกทิ้งเธอไว้คนเดียวที่บ้านตลอดเวลาอย่างที่เกือบจะพูดได้ว่าแทบจะไม่มีเวลาพบหน้ากันเลยอย่างนี้แล้ว เธอจะไม่เหงาไม่ว้าเหว่บ้างหรือ”
“ทำไม?” กวีย้อนถาม “แกได้ยินชลาเล่าบ่นกับใครหรือว่าเขาเหงา”
“เปล่า” กรันต์บอก “ฉันไม่เคยได้ยิน เพียงแต่สังเกตเอาเองจากทุกครั้งที่ฉันไปที่บ้านแกและพบคุณชลา ดูท่าทางเธอเหงาๆ อย่างไรก็ไม่รู้ บอกไม่ถูก”
“เฮ่ย เขาเป็นคนอย่างนั้นแหละ” กวีว่า “เขาเป็นคนที่ไม่ช่างพูด ไม่เหมือนยายกร แม่นั่นถ้าอยู่คนเดียวละก็จะคลั่งตาย ต้องหาเรื่องออกจากบ้านวันยังค่ำ ฉันยังหนักใจแทนแกว่าแต่งงานกันไปแล้วแกจะแย่ ไหนจะต้องทำงาน ไหนจะต้องพาเมียเที่ยว แล้วยายกรแกก็ใจแตก ยั้งไม่หยุดเสียด้วยนา นี่ฉันพูดกับแกตามตรงนะ เพราะเห็นว่าแกเป็นเพื่อนสนิทคนเดียวของฉัน”
“ฉันก็พูดกับแกตรงๆ อย่างเห็นแกเป็นเพื่อนสนิทเหมือนกันในเรื่องชลา” กรันต์ใช้คำพูดของสหายย้อนพูดกับเขาเอง “ฉันอยากจะเตือนแกว่า อย่าปล่อยเธอไว้คนเดียวบ่อยนัก ความเงียบเหงานี่มักจะทำให้คนเราคิดฟุ้งซ่านไปได้มากมาย แกเองก็น่าจะรู้ดี”
กวีนิ่งเงียบไปอย่างใช้ความคิด เมื่อเห็นสหายขยับกายตั้งท่าจะเดินไปที่ประตู เขาก็ลุกขึ้นยืน ร้องว่า
“เดี๋ยวก่อนซี ฉันก็กำลังจะกลับอยู่แล้วเหมือนกัน ออกไปพร้อมๆ กันเถอะ”
หลังจากที่เขาเก็บงานเรียบร้อยแล้ว สองชายก็ออกมาจากห้องนั้น กวีใส่กุญแจห้อง ลองดึงดูเพื่อสำรวจความมั่นคงเรียบร้อยให้แน่ใจอีกครั้งหนึ่ง แล้วจึงเดินตามสหายมายังเก้าอี้ที่น้องสาวของเขาทอดกายเอนๆ อยู่อย่างสบายนั้น
“เป็นยังไง?” เขาทักน้องสาว “กลับบ้านกลับช่องกันเสียทีหรือเรา แกจะกลับกับพี่ไหมล่ะ นายกรันต์จะได้ไม่ต้องย้อนกลับไปส่งอีกให้เหนื่อยเปล่าๆ”
“ไม่เป็นไรหรอก” กรันต์บอก “ฉันชอบขับเล่นตอนกลางคืน สบายดี ว่าไงครับกรวิภา กลับกันเสียทีดีไหม?”
“เอา กลับก็กลับ”
กรวิภา ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งแล้วเอื้อมมือออกมาจับมือคู่หมั้นรั้งตัวเองให้ลุกขึ้นยืน เดินควงกับเขาตามหลังพี่ชายออกมาข้างนอก
“ยังกับตาแก่”
หล่อนว่ากับกรันต์ ขณะที่ขึ้นไปนั่งอยู่บนรถเรียบร้อยแล้ว และกำลังคอยพี่ชายซึ่งกำลังตรวจดูประตูอยู่ให้เรียบร้อย
“ไม่รู้ว่าชลา ทนอยู่ได้อย่างไร ถ้าเป็นกรละก็ ต๊าย .... บ้านแตกไปนานแล้ว กรไม่ทนอยู่ด้วยหรอก”
กรันต์เพียงแต่อมยิ้มอยู่ในหน้าไม่ตอบว่าอะไร เมื่อเห็นสหายเดินไปขึ้นรถของเขาซึ่งจอดอยู่ถัดออกไปนั้นเรียบร้อยแล้ว เขาก็สต๊าร์ทเครื่อง พารถแล่นออกจากที่
ยานสองคันเคลื่อนตามกันมาจนกระทั่งถึงบ้าน “โสภณา” กวีนำรถแล่นเลยไปจอดยังหน้าโรงรถ เพื่อละที่หน้าตึกให้แก่รถของสหาย เมื่อเห็นน้องสาวยังไม่ลงจากรถเขาก็โบกมือให้เพื่อน บอกว่า
“กันขึ้นข้างบนก่อนละ วันหลังพบกันใหม่”
เขาเดินขึ้นบันไดไปด้วยฝีเท้าที่ระวังมิให้เกิดเสียงอย่างแผ่วเบาที่สุดด้วยวิสัยเคยชิน เปิดประตูห้องเข้าไปเงียบๆ และด้วยความเคยชินที่กระทำมาจนเป็นนิสัย ชายหนุ่มเดินไปประชิดเตียงนอนอันกว้างใหญ่ซึ่งภรรยานอนอยู่ ความกว้างใหญ่ของเตียงดูเหมือนจะข่มรางในชุดนอนสีม่วงอ่อนนั้นให้เล็กจ้อยน่าสงสาร เขาก้มลงพินิจดูดวงหน้าที่เอียงซบแนบหมอนอยู่นั้นนิ่งนานผิดกว่าที่เคยทำ และขณะที่เขากำลังจะยืดกายขึ้นนั้นเอง ขนตาดำขลับงอนช้อยสองแถบนั้นก็แยกออกจากกัน
ดวงตาคู่ที่งามซึ้งเหมือนน้ำในสระนั้นจับจ้องอยู่ที่ดวงหน้าของเขาครู่หนึ่งอย่างงงๆ แล้วจึงมีประกายขึ้นเล็กน้อย อันแสดงว่าเจ้าของของมันรู้สึกตัวตื่นเต็มที่แล้ว ชลาลุกขึ้นนั่งห้อยขา ยกมือเสยผมเลยไปทางเบื้องหลัง ยิ้มกับสามี ถามว่า
“พี่กวีกลับมาถึงนานแล้วหรือคะ?”
“เพิ่งมาถึงเดี๋ยวนี้เอง” กวียืดกายขึ้นยืนตามปกติ
คุณพ่อเป็นยังไงบ้างจ๊ะ วันนี้?”
“ก็เรื่อยๆ อย่างเคยนั่นแหละค่ะ” ชลาบอก ลุกขึ้นไปหยิบเสื้อนอนมาวางไว้ให้เขา แล้วจึงเดินเข้าไปในห้องน้ำ เปิดน้ำลงอ่าง หยิบผ้าเช็ดตัวจากตู้ออกมาพาดไว้ให้ที่ราว แล้วจึงกลับเข้ามา เมื่อเห็นเขายังคงยืนเฉยอยู่ ณ ที่เดิม หญิงสาวก็เดินเข้ามาชิด ยกมือขึ้นแกะกระดุมเสื้อเชิ้ตให้ กวีก้มลงมองดูหน้าผากอันนูนเกลี้ยงผุดผ่องที่อยู่เกือบจะชิดกับทรวงอกของเขาครู่หนึ่ง แล้วจึงใช้มือข้างหนึ่งเชยคางเล็กๆ นั้นขึ้น มองดูดวงตาที่กำลังมองดูเขาอยู่อย่างฉงนฉงาย ถามว่า
“ต้องอยู่บ้านคนเดียวทั้งวันๆ อย่างนี้รู้สึกเบื่อบ้างไหมชลา?”
ชลาสั่นหน้าก่อนที่จะตอบว่า “ไม่เบื่อหรอกค่ะ นอกจากว่าบางครั้งก็รู้สึกเหงานิดหน่อย แต่ก็พอจะหางานอะไรๆ ทำแก้เหงาได้ พี่กวีถามทำไมคะ?”
“พี่คิดว่า ถ้าวันอาทิตย์นี่คุณพ่อสบายดีละก็ เราหาเวลาไปเที่ยวบางแสนหรือพัทยากันสักวันเป็นยังไง ค้างที่นั่นสักคืนหนึ่งก็ยังได้”
ดวงตาที่เบิกกว้างอย่างยินดีและไม่แน่ใจของหญิงสาว ดูเหมือนจะเพิ่มความรู้สึกละอายใจ และความสำนึกผิดของกวีให้มากขึ้น
“จริงๆ หรือคะ พี่กวีมีเวลาว่างพอหรือคะ ชลาคิดว่าพี่กำลังมีงานยุ่ง”
“ก็ไม่ยุ่งเกินไปจนถึงกับทิ้งไปไม่ได้หรอก”
กวีก้าวถอยห่างออกไปเพื่อถอดเสื้อออก ยิ้มกับภรรยา บอกว่า “เป็นอันตกลงนะจ๊ะ วันอาทิตย์นี้เราไปเที่ยวกันสักวัน”
เมื่อสามีเข้าห้องน้ำไปแล้ว ชลาจึงเดินไปที่หน้าต่าง รู้สึกว่าดวงใจที่เงียบเหงาของตนเองเบ่งบานขึ้นอย่างประหลาด แสงดาวบนท้องฟ้า ที่ถึงแม้ว่าจะมองผ่านผืนลวดถักละเอียดยิบออกไป ก็ยังดูเป็นประกายระยิบระยับสวยงามกว่าทุกคืนที่เคยมอง หญิงสาวลดสายตาจากท้องฟ้าลงมายังสนามหน้าตึก
เธอไม่อาจเห็นร่างสองร่างที่เป็นเงาตะคุ่มๆ อยู่ในรถนั้นได้ถนัด แต่ก็พอจะรู้ได้ว่าเป็นใคร ความชุ่มชื่นที่เกิดขึ้นในดวงใจเมื่อครู่นี้กลับหายมลายไปสิ้นอย่างน่าพิศวง ชลา ยืนตะลึงอยู่ที่หน้าต่างนั้นนิ่งนานจนกระทั่งได้ยินเสียงประตูรถปิดเบาๆ แว่วขึ้นมา หญิงสาวกระพริบตา มองดูร่างสองร่างที่บัดนั้นลงมายืนอยู่ข้างล่างแล้ว และเพิ่งจะผละออกจากกัน ร่างหนึ่งวิ่งขึ้นบันไดขึ้นมา อีกร่างหนึ่งยังคงยืนนิ่งอยู่ ณ ที่เดิม แล้วทันใดนั้น ชลาก็เห็นเขาเงยหน้ามองขึ้นมา ก่อนที่เธอจะทันหลบ ก็รู้สึกว่ามืออันเย็นชื้นชุ่มน้ำของสามีมาสัมผัสเข้าที่แขน ดึงร่างของเธอเข้าไปสู่อ้อมอกของเขา
กรันต์เดินกลับเข้าไปขึ้นรถช้าๆ แหงนหน้าขึ้นมองดูช่องหน้าต่างที่ยังมีแสงไฟส่องออกมานั้นอีกครั้งหนึ่ง ก็ได้เห็นแสงไฟดับวูบลง และอย่างไม่รู้สึกตัว ปลายเท้าที่เหยียบประทับอยู่บนปุ่มเร่งน้ำมันก็กดเพิ่มน้ำหนักขึ้น รถสปอร์ทคันนั้นก็พุ่งปราดไปสู่ความมืด และความเปล่าเปลี่ยวของท้องถนนข้างหน้าเร็วราวกับลมพัด