ดวงใจนี้ใครครอง

>> สุภาว์ เทวกุลฯ

ดวงใจนี้ใครครอง

บทที่ 34

ร่างทั้งสองผละออกจากกันราวกับถูกจับกระชาก   ดวงตาเบิกกว้างและหูผึ่ง   ประสาทตึงเครียดด้วยสัญชาตญาณดั้งเดิมของสัตว์โลกอันสืบเนื่องกันมาแต่ไหนแต่ไร   ชลาเป็นฝ่ายที่ร้องอุทานออกมาก่อนอย่างตกใจว่า

“คุณลุง.!”

แล้วก็หันกลับ   ยกชายเสื้อคลุมอันยาวรุ่มร่ามวิ่งขึ้นบันไดไปข้างบน   มิได้หันมามองแม้จะได้ยินเสียงฝีเท้าของอีกคนหนึ่งวิ่งตามขึ้นมาด้วย   เธอตรงไปยังห้องของคุณวินิจ   ผลักประตูเข้าไปทันที

ไม่มีคุณวินิจอยู่ในห้องนั้น   เตียงนอนของท่านยังคงเรียบร้อยไม่มีรอยยับแม้แต่น้อย   ชลามิได้รอช้า   เธอวิ่งข้ามห้องนั้นตรงไปยังประตูที่เปิดแง้มอยู่เป็นทางทะลุไปยังห้องนั่งเล่นและห้องทำงานส่วนตัวของบิดาสามีทันที

เมื่อผลักประตูที่แง้มอยู่นั้นให้เปิดกว้างออก แล้ววิ่งเข้าไปเพียงก้าวเดียว   หญิงสาวก็ต้องหยุดชะงักอยู่กับที่ จนกระทั่งคนที่วิ่งตามหลังมานั้นยั้งตัวไม่ทัน   กระแทกเข้าเบื้องหลังจนเซซวนไปด้วยกันทั้งคู่   แต่แขนที่แข็งแรงนั้นก็ยื่นออกมารั้งตัวเธอไว้ได้ทันที ไม่ทันได้ล้มลง

แต่ชลามิได้พักยืนอยู่ในวงแขนนั้นนาน   ทันทีที่ตั้งตัวได้ เธอก็ ผวาไปเบื้องหน้า   คุกเข่าลงข้างร่างอันผอมบางที่นอนตะแคงเหยียดยาวอยู่ระหว่างโต๊ะทำงานและเก้าอี้ซึ่งเลื่อนไถลไปทางหนึ่งจนเป็นรอยขีดไปบนพื้น   แต่แล้วก็มิกล้าแตะต้องหรือจัดการอย่างหนึ่งอย่างใดลงไป

“นั่นท่านเป็นอะไรไป”

กรันต์เข้ามาคุกเข่าอยู่อีกข้างหนึ่งของร่างนั้น   เขาจับร่างของคุณวินิจพลิกให้นอนหงายตรงๆ   จับหนังตาท่านเลิกขึ้น แล้วเงยหน้าขึ้นมองดูเธอ   ดูเขากลายเป็นคนละคนไปกับเมื่อสักครู่นี้อย่างน่าอัศจรรย์   ความรุนแรงและเร่าร้อนเจ้าอารมณ์หายไปจนหมดสิ้น   ใบหน้าของเขาเคร่งขรึม และเสียงที่สั่งเธอนั้นก็เต็มไปด้วยความเอางานเอาการ

“คุณไปโทรศัพท์เรียกหมอมาเร็วเข้า ชลา   แล้วก็โทรไปบอกกวีเสียด้วย   ผมจะอุ้มท่านไปนอนบนเตียง”

ชลาทำตามคำสั่งของเขาโดยไม่รอช้า   นิ้วของเธอสั่นระริกในขณะที่หมุนโทรศัพท์ต่อไปยังบ้านนายแพทย์ที่ทำการรักษาคุณวินิจเป็นประจำ   แล้วก็ยังหมุนเบอร์ผิดถึงสองครั้ง   เมื่อแจ้งข่าวให้นายแพทย์ผู้นั้นทราบ และได้รับการรับรองจากเขาว่าจะมาโดยเร็วที่สุดแล้ว   ชลาก็ต่อโทรศัพท์ไปยังที่ทำงานกวี   มีเสียงเรียกอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงมีเสียงผู้หญิงดังมาตามสายว่า

“ฮัลโหล   ที่นี่บริษัทโสภณาก่อสร้างค่ะ”

ชลารู้สึกเย็นเฉียบขึ้นมาที่ขั้วหัวใจทันที   เธอจำเสียงของสายธาร พี่สาวต่างมารดาได้ดี


กรันต์หันกลับมาจากร่างอันผอมบางที่นอนเหยียดยาวอยู่บนเตียงนั้น เมื่อหญิงสาวเดินไปหยุดยืนเกาะขอบประตูห้องอยู่   ดวงหน้าอันซีดขาว และดวงตาที่เบิกกว้างราวกับลูกกวางที่กำลังได้รับบาดเจ็บของเธอช่างสะดุดใจเขานัก   เขาก้าวเข้ามาหาเธอ หยุดยืนห่างออกไป 2-3 ก้าว แล้วจึงถามว่า

“บอกกวีไปแล้วหรือชลา ?”

หญิงสาวพยักหน้า   แต่กระนั้น สายตาอันคมกริบของชายหนุ่มก็ยังจับสังเกตได้ว่า ชื่อของกวีได้ก่อให้เกิดความผิดปกติขึ้นแก่หญิงผู้เป็นภรรยาของเขาเป็นอย่างมาก   เขามองดูเธออย่างเพ่งพิศ แล้วจึงถามต่อไปราวกับผู้วิเศษที่มีญาณหยั่งรู้ได้ถึงใจคนว่า

“มีใครอยู่กับกวีด้วยหรือ ?”

ชลานิ่งอึ้ง   ใบหน้าที่ซีดอยู่แล้วนั้นซีดลงไปอีกจนเกือบเป็นสีกระดาษ   ไม่มีคำตอบรับอย่างใดผ่านพ้นริมฝีปากที่แห้งผากนั้นออกมา   แต่ว่าทั้งๆ ที่เกาะขอบประตูไว้แล้ว ร่างนั้นก็ยังโอนเอนไปมา   มือที่เกาะขอบประตูนั้นสั่นระริกเป็นครู่หญิงสาวจึงได้ปล่อยมือจากที่ยึดไว้นั้น   มองไปที่เตียงแล้วถามว่า

“คุณลุงเป็นอย่างไรบ้างคะ   คุณช่วยแก้ไขให้ท่านหายเป็นลมแล้วหรือยัง”

กรันต์นิ่งเงียบ ไม่ตอบว่าอะไร   แต่อาการนิ่งอึ้งของเขาและแววที่ฉายอยู่ในดวงตานั้นเป็นคำตอบที่ชัดเจนพออยู่แล้ว   ชลาผงะ ดวงตาเบิกกว้าง ร้องว่า

“นี่คุณลุง คุณลุง....”

เธอไม่กล้ากล่าวต่อไป   แต่ชายหนุ่มก็ได้แสดงการตอบรับความสงสัยนั้นด้วยดวงตา   ชลามองดูหน้าเขาอย่างตระหนกแล้วจึงเบนสายตาไปที่ร่างอันนอนนิ่งอยู่บนเตียงนั้นอีกครั้งหนึ่ง   ร้องอุทานออกมาเบา ๆ   ผวาจะวิ่งเข้าไป แต่กรันต์ได้ก้าวออกมาสกัดไว้เสียก่อน   และอีกอึดใจเดียวต่อมาหญิงสาวก็ร้องให้สะอึกสะอื้นจนสั่นสะท้านไปทั้งร่างประหนึ่งว่าจะขาดใจอยู่ในอ้อมแขนของเขา


เหตุการณ์ที่บังเกิดขึ้นในเวลาต่อมานั้นดูราวกับว่ามันบังเกิดขึ้นในความฝัน   เลือนรางและเลื่อนลอย สับสนวุ่นวายจนบอกไม่ถูก   ชลานั่งเหม่ออยู่บนเก้าอี้สุดมุมห้องที่มีผู้คนเข้าออกพลุกพล่าน   ใครต่อใครช่างเดินเข้าเดินออกไปมามากหน้าหลายตา   แต่ก็ดูเหมือนไม่จริงไม่จัง   หมอมาถึงเป็นคนแรก   ต่อจากนั้นก็กวี   แล้วก็พี่สาวและพี่เขยของเขา   คุณพ่อและคุณแม่ของเธอแล้วก็ใครต่อใครอีกหลายคน   ซึ่งแต่ละคนก็พากันรุมซักถามเธอถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น     ชลาจำไม่ได้ว่าเธอได้ตอบคำถามของเขาเหล่านั้นไปอย่างไรบ้างดูเหมือนกรันต์จะได้ยืนเคียงข้างเธออยู่ตลอดเวลา   ผมของเขายุ่ง และดวงหน้าของเขาเคร่งเครียด   เสียงของเขาเคร่งขรึมจริงจังเหนือสิ่งที่เลือนๆ อยู่รอบตัวเธอนั้นว่า

“อย่ารบกวนเธอเลยครับ   ผมขอร้อง   ประสาทของเธอกำลังถูกกระทบกระเทือนอย่างหนัก   อยากทราบอะไรก็ถามผมก็แล้วกัน”

ดูเหมือนคนเหล่านั้นจะพากันมองดูเธอด้วยความสงสัย   แต่ชลาก็มิได้รู้สึกสะดุ้งสะเทือนแม้แต่อย่างใด   ไม่มีอะไรที่จะมาทำให้เธอสะเทือนได้มากกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนั้นได้อีกแล้ว   กวีเดินตรงมาที่เธอ   เธอบังเกิดความรู้สึกอยากจะปัดมือของเขาที่เคลื่อนไหวไปมาตามหน้าผากและลำคอของเธอออกไปนัก   แต่เธอก็เพียงแต่นั่งเฉยราวกับรูปปั้น   เสียงเขาพูดกับใครคนหนึ่ง ซึ่งคงจะเป็นหมอแว่วๆ อยู่ว่า

“จริงด้วยครับ   ภรรยาของผมดูออกจะได้รับความกระทบกระเทือนทางประสาทมากเกินไปเสียแล้ว   เห็นจะต้องพาเธอไปพักเสียก่อน”

ต่อจากนั้นใครคนหนึ่งก็ประคองเธอออกมาจากห้องนั้น กลับมานอนที่ห้องของเธอ   มีอะไรอย่างหนึ่งแหลมและคม แทงแปลบเข้าไปในเนื้อของเธอตรงแขน   แล้วอีกอึดใจต่อมาเธอก็หลับไป

เมื่อชลารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งนั้น   ความชุลมุนวุ่นวายทั้งมวลได้สิ้นสุดลงแล้ว   เธอนอนนิ่งเงี่ยหูฟังเสียงแว่วๆ ที่ดังขึ้นมาจากชั้นล่าง   ครู่ใหญ่ก็ได้ทรงกายลุกขึ้นนั่ง   รู้สึกมืดหน้าและหนักศีรษะ จนต้องซบลงกับหมอนอีกครั้งหนึ่ง จึงค่อยรู้สึกทุเลาขึ้น   สักครู่จึงได้ยินเสียงฝีเท้ากระทบพื้นเบาๆ แล้วกวีก็ก้าวเข้ามาในห้อง

เขามองดูเธอ พร้อมกับเอื้อมมือไปงับประตูให้ปิดเข้ามาเบาๆ อย่างระวังมิให้เกิดเสียง   เดินเข้ามาใกล้พร้อมกับถามว่า

“ค่อยยังชั่วขึ้นแล้วหรือ ชลา   รู้หรือเปล่าว่ายาฉีดของหมอทำให้เธอนอนหลับไปตั้งสิบห้าชั่วโมงเต็มๆ   นี่ข้างล่างเขากำลังเตรียมจะรดน้ำคุณพ่อกัน”

เสียงของเขาฟังดูอ่อนเนือยผิดปกติ   ชลามองดูหน้าเขาก็ได้สังเกตเห็นรอยย่นอย่างอ่อนเพลียปรากฏอยู่ในดวงตาและบนหน้าผากของเขาอย่างเห็นได้ชัด   เธอรู้ดีว่าการที่ต้องสูญเสียบิดาไปนี้ทำให้เขาเศร้าโศกเพียงไร   เธออยากจะปลอบประโลมเขา   แต่เมื่อหวนนึกถึงเสียงที่ได้ยินมาตามสายโทรศัพท์แล้วก็อยากที่จะลุกหนีไปให้พ้นเขานัก   อนิจจา   เธอไม่เคยนึกเลยว่า กวีจะเป็นไปได้เช่นนี้   สายธารหนอสายธาร   หล่อนไม่น่าจะลดตัวลงไปถึงเพียงนั้นเลย

“เธอพอจะลงไปไหวไหม ชลา ”   กวีถามต่อไป   “ถ้าลงไปไม่ไหวก็ไม่ต้องลงไปหรอก   ใครๆ เขาก็รู้กันแล้วทุกคนว่าเธอไม่สบาย”

ชลาเบือนหนีไป จากดวงหน้าอันเต็มไปด้วยความเหนื่อยอ่อนตรงหน้า   ตอบว่า   “คิดว่าพอจะลงไปได้ค่ะ   พี่กวีลงไปก่อนเถิด จะได้ไปรับแขก   ประเดี๋ยว ชลาจะลงไปเอง”

“ไม่เป็นไรหรอก”   เขาบอก   “คุณกิติมากับกรันต์ช่วยกันรับแขกอยู่แล้ว   น่าขอบใจกรันต์ที่ช่วยเป็นหัวเรี่ยวหัวแรง   ถ้าไม่มีเขาเสียคนเห็นจะแย่”

โดยมิได้ตั้งใจ ชลาเหลือบตาขึ้นมองดูเขาแว่บหนึ่ง   แต่ก็มิได้เห็นความผิดปกติหรือเจตนาอย่างไดแฝงอยู่ในคำพูดนั้น   กวียืนนิ่งเฉยอยู่อีกครู่หนึ่งแล้วจึงบอกว่า

“ถ้าเธอคิดว่าจะลงไป พี่ก็จะลงไปก่อนละ   ประเดี๋ยวจะเรียกคนใช้ให้ขึ้นมาช่วยเธอแต่งตัว”

“ไม่ต้องหรอกค่ะ”   ชลาพูดขึ้นโดยเร็ว   “ให้คนใช้ช่วยงานข้างล่างเถิด   ชลาแต่งตัวเองได้”

“ตามใจ”

กวีตอบสั้นๆ แล้วเดินออกไปจากห้อง แต่ก็ไม่ลืมที่จะงับประตูให้ตามเดิม   เสียงฝีเท้าของเขาห่างไปทางบันได     ชลาบังเกิดความรู้สึกอ้างว้างและว้าเหว่ขึ้นมาอย่างสุดที่จะระงับได้ ในทันทีนั้น     เธอฟุบหน้าลงกับหมอน และร้องไห้อย่างหมดความอดกลั้นและความระงับยับยั้งใจ

อีกเกือบชั่วโมงต่อมา   แขกที่มารดน้ำศพคุณวินิจจึงได้เห็นสะใภ้ของท่านคลานผ่านบรรดาแขกเหรื่อและญาติมิตรเข้าไปยังร่างอันปราศจากลมหายใจแล้วของประมุขแห่งบ้านโสภณา   ซึ่งตั้งระหว่างห้องรับแขกและห้องอาหาร     ดวงตาคู่สวยซึ้งของเธอแดงก่ำและบวมช้ำ   มือที่จับขวดแก้วเจียระไนใส่น้ำอบไทยนั้นสั่นระริก   เมื่อวางขวดน้ำลงแล้วเธอก็ก้มลงกราบแล้วฟุบนิ่งอยู่ในท่านั้น จนกระทั่งทุกคนเริ่มรู้สึกตกใจ   แต่ก่อนที่ผู้ใดจะจัดการอย่างไรต่อไปนั้น   หญิงสาวก็เงยหน้าขึ้น คลานถอยออกมาจากห้องนั้น ตรงไปนั่งแอบอยู่เงียบๆ ข้างหลังมารดา

นางละเมียรเองนั้น   นอกจากจะมีความทุกข์โศกอาลัยในการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของพี่สามีผู้อารี   แล้วดูเหมือนว่านางยังจะมีความกังวลอะไรอยู่ในใจอีกอย่างหนึ่งด้วย   บ่อยครั้งที่นางละจากการพูดคุยกับญาติที่มาในงานและช่วยกันจัดเตรียมของสำหรับพิธีสวดในตอนกลางคืนอยู่นั้น หันมาทางบุตรี   ทำท่าคล้ายจะถามอะไรสักอย่างหนึ่ง   แต่แล้วก็ล้มความตั้งใจเมื่อเห็นอาการนั่งนิ่ง   ดวงตาเหม่อลอยออกไปข้างหน้าอย่างไม่มีจุดหมายของบุตรีเข้า   นางจึงละสายตาจากบุตรีไปทางบุตรเขย ซึ่งคลานเข้าคลานออกอยู่ระหว่างห้องรับแขกและห้องตั้งศพ   เพื่อนำแขกเข้ามาทำความเคารพศพของบิดา     กวีดูช่างมีธุระมากเสียจนลืมภรรยาของเขาที่นั่งเงียบอยู่ข้างมารดาของหล่อนนั้น     ครั้นเมื่อนางละเมียรเปลี่ยนสายตาไปยังชายหนุ่มอีกผู้หนึ่ง ซึ่งนั่งรับแขกอยู่อีกทางด้านหนึ่งของห้องนั้นเล่า   ก็ได้เห็นว่า แม้เขาผู้นั้นจะพูดอยู่กับคนนั้นคนนี้แทบจะไม่มีเวลาหยุดเลยก็ตาม   แต่เขาก็ยังมีเวลาเหลือพอที่จะมองมายังร่างที่นั่งแอบอยู่ข้างนางนั้น ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงใยอย่างเห็นได้ชัด     เมื่อสังเกตเห็นดังนั้นแล้ว นางละเมียรก็ได้แต่ถอนใจด้วยความหนักอกอยู่เพียงคนเดียว

ชลาคงจะนั่งอยู่ ณ ที่นั้นอีกนาน ถ้าหากว่าสายธารจะไม่โผล่หน้าเข้ามาพร้อมกับแขกที่มารดน้ำผู้หนึ่ง   พอมองเห็นหน้าพี่สาวต่างมารดา หญิงสาวก็ทรงกายนั่งตัวตรงขึ้นมาทันที   ขยับร่างจะคลานออกมาจากห้องนั้น   นางละเมียรจึงวางพลูซึ่งจีบเสร็จเรียบร้อยพอดีนั้นลงในพาน   ถามว่า

“อ้าว แม่หนู จะไปไหนล่ะลูก”

ชลาชะงัก หันมาตอบมารดาว่า   “หนูจะกลับขึ้นข้างบนสักครู่ค่ะ แม่”

“ถ้างั้นแม่ไปด้วยคนสิ”   มารดาว่า ยิ้มบอกกับเพื่อนที่นั่งทำงานอยู่ด้วยกันนั้นว่า   “เชิญตามสบายเถิดนะคะ   ดิฉันจะขอขึ้นไปอาศัยเอนหลังที่ห้องแม่หนูเขาสักนิด ประเดี๋ยวจะกลับลงมาใหม่”

ชลาคลานผ่านสายธารออกมา โดยมิได้หันไปมองดู หน้าพี่สาวต่างมารดาของหล่อนแม้สักแวบเดียว   แม้ว่าฝ่ายนั้นพยายามอยู่หนักหนาที่จะสบสายตาและวางสีหน้าที่แสดงว่ารู้เท่าทันและเยาะเย้ยแฝงไว้นิดๆ ก็ตามที   หญิงสาวเดินเคียงข้างมารดาขึ้นบันได ตรงไปยังห้องของหล่อนอย่างเงียบๆ   เมื่อเข้ามาอยู่กันตามลำพังแล้ว ชลาจึงได้กล่าวถามมารดาขึ้นว่า

“แม่จะนอนเล่นบนเตียงหรือบนเก้าอี้นอนคะ   ถ้านอนบนเก้าอี้ ชลาจะได้เอาหมอนไปให้”

“ช่างเถอะจ้ะ”   มารดาว่า กลับหย่อนกายลงนั่งบนเก้าอี้ธรรมดาตัวหนึ่ง   “แม่น่ะ นอนเล่นที่ไหนก็ไม่สบายเท่ากับนอนบนกระดานขัดมัน อย่างที่บ้านของเรา   มันเย็นสบายดีกว่าหัองหับแบบฝรั่งแบบนี้”

นางมองไปทั่วห้อง ซึ่งตกแต่งตามแบบนิยมของชาวตะวันตก   นับตั้งแต่พรมปูพื้นทั้งกว้างทั้งหนาและนุ่ม ตลอดไปจนถึงม่านหน้าต่างสองชั้น   ชั้นหนึ่งทำด้วยผ้าดอกหนาหนักในแบบม่านสองไข   แหวกออกจากกันให้เห็นม่านผ้าโปร่งบางอย่างดีที่ซึ่งอยู่ข้างในอีกชั้นหนึ่ง

“ถ้าอย่างนั้นก็ไปที่ห้องนั่งเล่นของคูณลูกก็ได้ค่ะ   ห้องนั้นแต่งแบบไทยๆ   ชลาเคยแอบไปนอนเล่นบ่อยๆ”

“อย่าเลยจ๊ะ”   นางละเมียรบอก   มองดูหน้าธิดา อย่างพิจารณา   “แม่หาเรื่องตามขึ้นมานี่ก็เพราะอยากจะพูดอะไรกับหนูสักหน่อยหนึ่งเท่านั้น”

เมื่อได้รับทราบความประสงค์ของมารดาอย่างตรงไปตรงมาเช่นนั้น ชลาก็มีสีหน้าเคร่งขรึมลง     เธอเดินมาทรุดกายลงนั่งบนพื้นข้างเท้ามารดา โดยไม่ปริปากว่ากระไร     นางละเมียรก้มลงมองดูศรีษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสีดำสนิทอ่อนละเอียดราวกับเส้นไหมที่ก้มอยู่เกือบชิดขานั้นอย่างไม่สบายใจ     ชลานั่งก้มหน้าอยู่   นางจึงไม่เห็นสีหน้าของบุตรีในขณะนั้น ว่ามีความรู้สึกอย่างไร   คงเห็นแต่เพียงจมูกที่แหลมเล็ก และคางอันกลมมนปลายแหลม กับหน้าผากนูนเกลี้ยงและขนตาอันงอนช้อยแผ่เป็นตับที่หลุบลงเท่านั้น     นางละเมียร ถอนใจเบาๆ นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนที่จะเอ่ยขึ้นว่า

“เรื่องราวมันยังไงกัน หนูเหล่าให้แม่ฟังให้ละเอียดหน่อยได้ไหมจ๊ะ   แม่ร้อนใจ นอนไม่หลับมาตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว”

ชลาเงยหน้าขึ้นมองดูมารดาโดยเร็ว   ดวงตาที่แดงช้ำของเธอแสดงความสงสัยออกมาอย่างเห็นได้ชัด

“เรื่องคุณลุงน่ะหรือคะ   ก็ไม่มีอะไรมากนี่คะ   หนูอยู่ข้างล่าง   พอได้ยินเสียงท่านล้มก็รีบขึ้นมาแล้วก็โทรศัพท์ไปตามหมอ   แต่เมื่อหมอมาถึง ท่านก็สิ้นใจเสียแล้ว เท่านั้นเอง”

เธอเว้นไม่เล่าถึงตอนที่เธอโทรศัพท์ไปถึงกวีให้มารดาฟัง   ชลายังทนความรู้สึกปวดแปลบขณะที่ได้ยินเสียงสายธารแล่นมาตามสายนั้นไม่ได้   มันทำให้เธอบังเกิดความรู้สึกปวดร้าว   ทั้งอับอาย อดสูอย่างบอกไม่ถูกทุกครั้งที่นึกถึงมันขึ้นมา

“เรื่องนั้นน่ะ แม่รู้แล้วละจ้ะ”   นางละเมียรว่า   นิ่งลังเลใจอยู่เล็กน้อยก่อนที่จะกล่าวต่อไปว่า   “แต่แม่ยังไม่เข้าใจเลยว่าไปยังไงมายังไงพ่อกรันต์สามีของแม่กรวิภาจึงได้มาอยู่ที่นี่กับหนูเมื่อคืนนี้ได้   มันดึกมากตั้งเกือบเที่ยงคืนแล้วไม่ใช่หรือลูก”

ชลาถอนใจยาว   เพียงคืนเดียวเท่านั้นเอง ก็ได้เกิดเหตุการณ์ต่างๆ ขึ้นกับตัวเธอเสียจนสุดที่จะรับเอาไว้ได้     แต่อย่างไรก็ตาม   ระหว่างตัวเธอและกรันต์   ความรู้สึกที่บังเกิดขึ้นเมื่อได้อยู่กับเขาตามลำพังเป็นครั้งแรกเมื่อคืนนี้นั้น   เธอแน่ใจ ว่าเป็นสิ่งที่เธอไม่อาจลืมได้ตลอดชีวิตนี้   ความรู้สึกขณะที่ได้อยู่กับกรันต์นั้น ไม่เหมือนกับที่เธอเคยรู้สึกเมื่ออยู่กับชายคนอื่น   ไม่เหมือนเมื่อเธออยู่กับสันทัด   ไม่เหมือนแม้แต่กับเมื่ออยู่กับกวี สามีของเธอเอง   แต่ถึงกระนั้นมันก็เป็นสิ่งที่เธอคิดว่า มันควรจะเป็นสิ่งที่ต้องเก็บเอาไว้ในใจเธอ   ไม่อาจที่จะบอกกับผู้ใดได้ แม้แต่กับมารดาของเธอเอง

“ก็ไม่มีอะไรหรอกค่ะแม่   นอกจากว่าเมื่อคืนนี้คุณกรันต์เข้ามาที่นี่เมื่อตอนสักห้าทุ่มเห็นจะได้ แล้วก็เลยนั่งคุยกับชลา”

“เขามาทำไมจ๊ะ   ดึกดื่นแล้วอย่างนั้น   หรือว่ามาหาพ่อกวี ?”

“ท่าจะอย่างนั้นกระมังคะ”

ชลาตอบไม่เต็มปากนัก เพราะเธอรู้ดีว่ามันไม่เป็นความจริง   กรันต์รู้ดีว่ากวีจะไม่กลับบ้านจนกว่าจะวันใหม่ล่วงเลยไปแล้ว   เขารู้ดีว่ากวีมักจะอยู่ที่ทำงานเสมอในตอนนั้น   เธอรู้สึกไม่สบายใจยิ่งขึ้น เมื่อถูกมารดามองดูอย่างตรวจตรา

“เอ แต่ที่แม่ได้ยินมาน่ะมันไม่ใช่อย่างนี้หรอก”   นางละเมียรพูดอย่างเป็นกังวล   “แม่ได้ยินมาว่า พ่อกรันต์รู้ดีว่าตามปกติแล้วพ่อกวีจะต้องอยู่บริษัทเสมอในเวลานั้น   เพราะฉะนั้นมันก็เลยกลายเป็นว่า พ่อกรันต์แอบมาพลอดรักกับหนูที่นี่ตอนที่พ่อกวีไม่อยู่ไปนี่แหละนะ   มันเลยทำให้แม่ไม่สบายใจ”

“ชลาเข้าใจค่ะ   ชลาเข้าใจความรู้สึกของแม่ดี   แล้วก็รู้ด้วยว่าใครเป็นคนพูดเช่นนี้   จะมีใคร ถ้าไม่ใช่พี่สายธาร”

“เอ๊ะ หนูรู้ได้ยังไงว่าสายธารเป็นคนพูด”

ดวงตาของมารดารับรองอย่างเต็มที่ว่าความสงสัยของชลาเป็นความจริง   หญิงสาวพูดเสียงสะท้าน เมื่อกล่าวต่อไปว่า

“อย่าให้ชลาต้องเล่าเลยค่ะ แม่ขา   ชลาไม่อยากที่จะประจานความไม่ดีของพี่สาวของตัวเอง   ชลาอับอายขายหน้านัก   อายแทนพี่ แล้วก็อายแทนคนของชลาเอง”

“คนของหนู?”   นางละเมียรขมวดคิ้วคิด   “ใครกันจ๊ะคนของหนู   แล้วแม่สายธารเข้ามาเกี่ยวข้องอะไรกับ.... คนของหนูด้วย”

“ชลากราบละค่ะแม่   อย่าให้ชลาต้องพูดเลย   ชลาขอให้แม่เชื่อแต่ว่าระหว่าง ชลาและกรันต์นั้น ไม่ได้มีอะไรที่น่าอับอายเกิดขึ้นเลย   คุณกรันต์เพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรกเมื่อคืนนี้ ก็พอดีกับเกิดเรื่องขึ้น   มันเป็นความเคราะห์ร้ายของชลาเอง ไม่มีอะไรอื่น”

“พ่อกรันต์เขามาที่นี่ทำไมกันล่ะจ๊ะ   ในเมื่อก็รู้อยู่แล้วว่าพ่อกวีไม่ได้อยู่ที่นี่   เอาเถอะถ้าจะว่าเขาไม่รู้แน่ว่าพ่อกวีจะอยู่หรือไม่อยู่ละเอ้า ถึงได้มา   แต่เมื่อรู้แน่แล้วว่าพ่อกวีไม่อยู่ ทำไมเขาถึงไม่กลับไปเสีย”

“เขากำลังกลุ้มใจค่ะ แม่   เมื่อคืนนี้กรันต์กำลังกลุ้มใจมากเหลือเกิน   ชลารู้ดีว่าเขาต้องการที่จะระบายความกลัดกลุ้ม ความไม่สบายใจกับใครสักคนหนึ่ง   ชลาจึงได้ปล่อยให้เขาอยู่”

“กลุ้มใจรึ เอ๊ะ กลุ้มใจเรื่องอะไรกัน   แม่ไม่เห็นว่าพ่อกรันต์จะมีเรื่องกลุ้มใจอะไรเลย   งานก็มีทำ   เงินก็มีใช้แสนสบาย”

ชลาอยากจะร้องออกมาดังๆ ว่า มารดาของเธอก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่เข้าใจความรู้สึกของ กรันต์   อนิจจาใครต่อใครคงจะพากันมีความรู้สึก และแสดงออกมาต่อเขาเช่นที่ตนรู้สึก   อย่างนี้เอง กรันต์จึงได้รับความทรมานใจถึงเพียงนั้น   แต่ชลาจะอาจพูดอะไรได้   ถึงแม้ว่าเธอจะเข้าใจความรู้สึกของกรันต์ดีเพียงไร เห็นอกเห็นใจเขาสักเพียงใดก็ตาม   เธอก็ได้แต่ต้องเก็บนิ่งเอาไว้ในใจ ประดุจถูกน้ำท่วมปาก ไม่อาจจะเอ่ยอะไรออกมาได้

“กรันต์กลุ้มใจเกี่ยวกับเรื่องกรวิภาน่ะค่ะ”   ชลาพูดด้วยเสียงที่พยายามบังคับให้ราบเรียบเป็นปกติ

“เอ๊ะ มีเรื่องอะไรกับแม่กรหรือ”   ชลารู้สึกว่าวันนี้มารดาของเธอช่างทำตนเป็นคนช่างซักอย่างน่ากลุ้มใจยิ่งนัก   “ทะเลาะกันกระมัง ?”

“ก็ไม่เชิงหรอกค่ะ”   ชลาตอบ   “เป็นเพราะว่ากรันต์เสียใจที่ห้ามกรไม่ให้เที่ยว   แต่กรไม่เชื่อ ยังขืนเที่ยวจนกระทั่งแท้งลูกเท่านั้นเอง”

“อ๋อ อย่างนั้นดอกหรือ”

นางละเมียรอุทาน   เพียงแค่นั้น ชลาก็รู้ว่า มารดาได้เชื่อคำบอกเล่าและคำพูดของเธอแล้วโดยสิ้นเชิง   ไม่มีการเคลือบแฝงระแวงอันใดเหลืออยู่อีกเลย

จบบทที่ 34