ร่างทั้งสองผละออกจากกันราวกับถูกจับกระชาก ดวงตาเบิกกว้างและหูผึ่ง ประสาทตึงเครียดด้วยสัญชาตญาณดั้งเดิมของสัตว์โลกอันสืบเนื่องกันมาแต่ไหนแต่ไร ชลาเป็นฝ่ายที่ร้องอุทานออกมาก่อนอย่างตกใจว่า
“คุณลุง.!”
แล้วก็หันกลับ ยกชายเสื้อคลุมอันยาวรุ่มร่ามวิ่งขึ้นบันไดไปข้างบน มิได้หันมามองแม้จะได้ยินเสียงฝีเท้าของอีกคนหนึ่งวิ่งตามขึ้นมาด้วย เธอตรงไปยังห้องของคุณวินิจ ผลักประตูเข้าไปทันที
ไม่มีคุณวินิจอยู่ในห้องนั้น เตียงนอนของท่านยังคงเรียบร้อยไม่มีรอยยับแม้แต่น้อย ชลามิได้รอช้า เธอวิ่งข้ามห้องนั้นตรงไปยังประตูที่เปิดแง้มอยู่เป็นทางทะลุไปยังห้องนั่งเล่นและห้องทำงานส่วนตัวของบิดาสามีทันที
เมื่อผลักประตูที่แง้มอยู่นั้นให้เปิดกว้างออก แล้ววิ่งเข้าไปเพียงก้าวเดียว หญิงสาวก็ต้องหยุดชะงักอยู่กับที่ จนกระทั่งคนที่วิ่งตามหลังมานั้นยั้งตัวไม่ทัน กระแทกเข้าเบื้องหลังจนเซซวนไปด้วยกันทั้งคู่ แต่แขนที่แข็งแรงนั้นก็ยื่นออกมารั้งตัวเธอไว้ได้ทันที ไม่ทันได้ล้มลง
แต่ชลามิได้พักยืนอยู่ในวงแขนนั้นนาน ทันทีที่ตั้งตัวได้ เธอก็ ผวาไปเบื้องหน้า คุกเข่าลงข้างร่างอันผอมบางที่นอนตะแคงเหยียดยาวอยู่ระหว่างโต๊ะทำงานและเก้าอี้ซึ่งเลื่อนไถลไปทางหนึ่งจนเป็นรอยขีดไปบนพื้น แต่แล้วก็มิกล้าแตะต้องหรือจัดการอย่างหนึ่งอย่างใดลงไป
“นั่นท่านเป็นอะไรไป”
กรันต์เข้ามาคุกเข่าอยู่อีกข้างหนึ่งของร่างนั้น เขาจับร่างของคุณวินิจพลิกให้นอนหงายตรงๆ จับหนังตาท่านเลิกขึ้น แล้วเงยหน้าขึ้นมองดูเธอ ดูเขากลายเป็นคนละคนไปกับเมื่อสักครู่นี้อย่างน่าอัศจรรย์ ความรุนแรงและเร่าร้อนเจ้าอารมณ์หายไปจนหมดสิ้น ใบหน้าของเขาเคร่งขรึม และเสียงที่สั่งเธอนั้นก็เต็มไปด้วยความเอางานเอาการ
“คุณไปโทรศัพท์เรียกหมอมาเร็วเข้า ชลา แล้วก็โทรไปบอกกวีเสียด้วย ผมจะอุ้มท่านไปนอนบนเตียง”
ชลาทำตามคำสั่งของเขาโดยไม่รอช้า นิ้วของเธอสั่นระริกในขณะที่หมุนโทรศัพท์ต่อไปยังบ้านนายแพทย์ที่ทำการรักษาคุณวินิจเป็นประจำ แล้วก็ยังหมุนเบอร์ผิดถึงสองครั้ง เมื่อแจ้งข่าวให้นายแพทย์ผู้นั้นทราบ และได้รับการรับรองจากเขาว่าจะมาโดยเร็วที่สุดแล้ว ชลาก็ต่อโทรศัพท์ไปยังที่ทำงานกวี มีเสียงเรียกอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงมีเสียงผู้หญิงดังมาตามสายว่า
“ฮัลโหล ที่นี่บริษัทโสภณาก่อสร้างค่ะ”
ชลารู้สึกเย็นเฉียบขึ้นมาที่ขั้วหัวใจทันที เธอจำเสียงของสายธาร พี่สาวต่างมารดาได้ดี
กรันต์หันกลับมาจากร่างอันผอมบางที่นอนเหยียดยาวอยู่บนเตียงนั้น เมื่อหญิงสาวเดินไปหยุดยืนเกาะขอบประตูห้องอยู่ ดวงหน้าอันซีดขาว และดวงตาที่เบิกกว้างราวกับลูกกวางที่กำลังได้รับบาดเจ็บของเธอช่างสะดุดใจเขานัก เขาก้าวเข้ามาหาเธอ หยุดยืนห่างออกไป 2-3 ก้าว แล้วจึงถามว่า
“บอกกวีไปแล้วหรือชลา ?”
หญิงสาวพยักหน้า แต่กระนั้น สายตาอันคมกริบของชายหนุ่มก็ยังจับสังเกตได้ว่า ชื่อของกวีได้ก่อให้เกิดความผิดปกติขึ้นแก่หญิงผู้เป็นภรรยาของเขาเป็นอย่างมาก เขามองดูเธออย่างเพ่งพิศ แล้วจึงถามต่อไปราวกับผู้วิเศษที่มีญาณหยั่งรู้ได้ถึงใจคนว่า
“มีใครอยู่กับกวีด้วยหรือ ?”
ชลานิ่งอึ้ง ใบหน้าที่ซีดอยู่แล้วนั้นซีดลงไปอีกจนเกือบเป็นสีกระดาษ ไม่มีคำตอบรับอย่างใดผ่านพ้นริมฝีปากที่แห้งผากนั้นออกมา แต่ว่าทั้งๆ ที่เกาะขอบประตูไว้แล้ว ร่างนั้นก็ยังโอนเอนไปมา มือที่เกาะขอบประตูนั้นสั่นระริกเป็นครู่หญิงสาวจึงได้ปล่อยมือจากที่ยึดไว้นั้น มองไปที่เตียงแล้วถามว่า
“คุณลุงเป็นอย่างไรบ้างคะ คุณช่วยแก้ไขให้ท่านหายเป็นลมแล้วหรือยัง”
กรันต์นิ่งเงียบ ไม่ตอบว่าอะไร แต่อาการนิ่งอึ้งของเขาและแววที่ฉายอยู่ในดวงตานั้นเป็นคำตอบที่ชัดเจนพออยู่แล้ว ชลาผงะ ดวงตาเบิกกว้าง ร้องว่า
“นี่คุณลุง คุณลุง....”
เธอไม่กล้ากล่าวต่อไป แต่ชายหนุ่มก็ได้แสดงการตอบรับความสงสัยนั้นด้วยดวงตา ชลามองดูหน้าเขาอย่างตระหนกแล้วจึงเบนสายตาไปที่ร่างอันนอนนิ่งอยู่บนเตียงนั้นอีกครั้งหนึ่ง ร้องอุทานออกมาเบา ๆ ผวาจะวิ่งเข้าไป แต่กรันต์ได้ก้าวออกมาสกัดไว้เสียก่อน และอีกอึดใจเดียวต่อมาหญิงสาวก็ร้องให้สะอึกสะอื้นจนสั่นสะท้านไปทั้งร่างประหนึ่งว่าจะขาดใจอยู่ในอ้อมแขนของเขา
เหตุการณ์ที่บังเกิดขึ้นในเวลาต่อมานั้นดูราวกับว่ามันบังเกิดขึ้นในความฝัน เลือนรางและเลื่อนลอย สับสนวุ่นวายจนบอกไม่ถูก ชลานั่งเหม่ออยู่บนเก้าอี้สุดมุมห้องที่มีผู้คนเข้าออกพลุกพล่าน ใครต่อใครช่างเดินเข้าเดินออกไปมามากหน้าหลายตา แต่ก็ดูเหมือนไม่จริงไม่จัง หมอมาถึงเป็นคนแรก ต่อจากนั้นก็กวี แล้วก็พี่สาวและพี่เขยของเขา คุณพ่อและคุณแม่ของเธอแล้วก็ใครต่อใครอีกหลายคน ซึ่งแต่ละคนก็พากันรุมซักถามเธอถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ชลาจำไม่ได้ว่าเธอได้ตอบคำถามของเขาเหล่านั้นไปอย่างไรบ้างดูเหมือนกรันต์จะได้ยืนเคียงข้างเธออยู่ตลอดเวลา ผมของเขายุ่ง และดวงหน้าของเขาเคร่งเครียด เสียงของเขาเคร่งขรึมจริงจังเหนือสิ่งที่เลือนๆ อยู่รอบตัวเธอนั้นว่า
“อย่ารบกวนเธอเลยครับ ผมขอร้อง ประสาทของเธอกำลังถูกกระทบกระเทือนอย่างหนัก อยากทราบอะไรก็ถามผมก็แล้วกัน”
ดูเหมือนคนเหล่านั้นจะพากันมองดูเธอด้วยความสงสัย แต่ชลาก็มิได้รู้สึกสะดุ้งสะเทือนแม้แต่อย่างใด ไม่มีอะไรที่จะมาทำให้เธอสะเทือนได้มากกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนั้นได้อีกแล้ว กวีเดินตรงมาที่เธอ เธอบังเกิดความรู้สึกอยากจะปัดมือของเขาที่เคลื่อนไหวไปมาตามหน้าผากและลำคอของเธอออกไปนัก แต่เธอก็เพียงแต่นั่งเฉยราวกับรูปปั้น เสียงเขาพูดกับใครคนหนึ่ง ซึ่งคงจะเป็นหมอแว่วๆ อยู่ว่า
“จริงด้วยครับ ภรรยาของผมดูออกจะได้รับความกระทบกระเทือนทางประสาทมากเกินไปเสียแล้ว เห็นจะต้องพาเธอไปพักเสียก่อน”
ต่อจากนั้นใครคนหนึ่งก็ประคองเธอออกมาจากห้องนั้น กลับมานอนที่ห้องของเธอ มีอะไรอย่างหนึ่งแหลมและคม แทงแปลบเข้าไปในเนื้อของเธอตรงแขน แล้วอีกอึดใจต่อมาเธอก็หลับไป
เมื่อชลารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งนั้น ความชุลมุนวุ่นวายทั้งมวลได้สิ้นสุดลงแล้ว เธอนอนนิ่งเงี่ยหูฟังเสียงแว่วๆ ที่ดังขึ้นมาจากชั้นล่าง ครู่ใหญ่ก็ได้ทรงกายลุกขึ้นนั่ง รู้สึกมืดหน้าและหนักศีรษะ จนต้องซบลงกับหมอนอีกครั้งหนึ่ง จึงค่อยรู้สึกทุเลาขึ้น สักครู่จึงได้ยินเสียงฝีเท้ากระทบพื้นเบาๆ แล้วกวีก็ก้าวเข้ามาในห้อง
เขามองดูเธอ พร้อมกับเอื้อมมือไปงับประตูให้ปิดเข้ามาเบาๆ อย่างระวังมิให้เกิดเสียง เดินเข้ามาใกล้พร้อมกับถามว่า
“ค่อยยังชั่วขึ้นแล้วหรือ ชลา รู้หรือเปล่าว่ายาฉีดของหมอทำให้เธอนอนหลับไปตั้งสิบห้าชั่วโมงเต็มๆ นี่ข้างล่างเขากำลังเตรียมจะรดน้ำคุณพ่อกัน”
เสียงของเขาฟังดูอ่อนเนือยผิดปกติ ชลามองดูหน้าเขาก็ได้สังเกตเห็นรอยย่นอย่างอ่อนเพลียปรากฏอยู่ในดวงตาและบนหน้าผากของเขาอย่างเห็นได้ชัด เธอรู้ดีว่าการที่ต้องสูญเสียบิดาไปนี้ทำให้เขาเศร้าโศกเพียงไร เธออยากจะปลอบประโลมเขา แต่เมื่อหวนนึกถึงเสียงที่ได้ยินมาตามสายโทรศัพท์แล้วก็อยากที่จะลุกหนีไปให้พ้นเขานัก อนิจจา เธอไม่เคยนึกเลยว่า กวีจะเป็นไปได้เช่นนี้ สายธารหนอสายธาร หล่อนไม่น่าจะลดตัวลงไปถึงเพียงนั้นเลย
“เธอพอจะลงไปไหวไหม ชลา ” กวีถามต่อไป “ถ้าลงไปไม่ไหวก็ไม่ต้องลงไปหรอก ใครๆ เขาก็รู้กันแล้วทุกคนว่าเธอไม่สบาย”
ชลาเบือนหนีไป จากดวงหน้าอันเต็มไปด้วยความเหนื่อยอ่อนตรงหน้า ตอบว่า “คิดว่าพอจะลงไปได้ค่ะ พี่กวีลงไปก่อนเถิด จะได้ไปรับแขก ประเดี๋ยว ชลาจะลงไปเอง”
“ไม่เป็นไรหรอก” เขาบอก “คุณกิติมากับกรันต์ช่วยกันรับแขกอยู่แล้ว น่าขอบใจกรันต์ที่ช่วยเป็นหัวเรี่ยวหัวแรง ถ้าไม่มีเขาเสียคนเห็นจะแย่”
โดยมิได้ตั้งใจ ชลาเหลือบตาขึ้นมองดูเขาแว่บหนึ่ง แต่ก็มิได้เห็นความผิดปกติหรือเจตนาอย่างไดแฝงอยู่ในคำพูดนั้น กวียืนนิ่งเฉยอยู่อีกครู่หนึ่งแล้วจึงบอกว่า
“ถ้าเธอคิดว่าจะลงไป พี่ก็จะลงไปก่อนละ ประเดี๋ยวจะเรียกคนใช้ให้ขึ้นมาช่วยเธอแต่งตัว”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ” ชลาพูดขึ้นโดยเร็ว “ให้คนใช้ช่วยงานข้างล่างเถิด ชลาแต่งตัวเองได้”
“ตามใจ”
กวีตอบสั้นๆ แล้วเดินออกไปจากห้อง แต่ก็ไม่ลืมที่จะงับประตูให้ตามเดิม เสียงฝีเท้าของเขาห่างไปทางบันได ชลาบังเกิดความรู้สึกอ้างว้างและว้าเหว่ขึ้นมาอย่างสุดที่จะระงับได้ ในทันทีนั้น เธอฟุบหน้าลงกับหมอน และร้องไห้อย่างหมดความอดกลั้นและความระงับยับยั้งใจ
อีกเกือบชั่วโมงต่อมา แขกที่มารดน้ำศพคุณวินิจจึงได้เห็นสะใภ้ของท่านคลานผ่านบรรดาแขกเหรื่อและญาติมิตรเข้าไปยังร่างอันปราศจากลมหายใจแล้วของประมุขแห่งบ้านโสภณา ซึ่งตั้งระหว่างห้องรับแขกและห้องอาหาร ดวงตาคู่สวยซึ้งของเธอแดงก่ำและบวมช้ำ มือที่จับขวดแก้วเจียระไนใส่น้ำอบไทยนั้นสั่นระริก เมื่อวางขวดน้ำลงแล้วเธอก็ก้มลงกราบแล้วฟุบนิ่งอยู่ในท่านั้น จนกระทั่งทุกคนเริ่มรู้สึกตกใจ แต่ก่อนที่ผู้ใดจะจัดการอย่างไรต่อไปนั้น หญิงสาวก็เงยหน้าขึ้น คลานถอยออกมาจากห้องนั้น ตรงไปนั่งแอบอยู่เงียบๆ ข้างหลังมารดา
นางละเมียรเองนั้น นอกจากจะมีความทุกข์โศกอาลัยในการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของพี่สามีผู้อารี แล้วดูเหมือนว่านางยังจะมีความกังวลอะไรอยู่ในใจอีกอย่างหนึ่งด้วย บ่อยครั้งที่นางละจากการพูดคุยกับญาติที่มาในงานและช่วยกันจัดเตรียมของสำหรับพิธีสวดในตอนกลางคืนอยู่นั้น หันมาทางบุตรี ทำท่าคล้ายจะถามอะไรสักอย่างหนึ่ง แต่แล้วก็ล้มความตั้งใจเมื่อเห็นอาการนั่งนิ่ง ดวงตาเหม่อลอยออกไปข้างหน้าอย่างไม่มีจุดหมายของบุตรีเข้า นางจึงละสายตาจากบุตรีไปทางบุตรเขย ซึ่งคลานเข้าคลานออกอยู่ระหว่างห้องรับแขกและห้องตั้งศพ เพื่อนำแขกเข้ามาทำความเคารพศพของบิดา กวีดูช่างมีธุระมากเสียจนลืมภรรยาของเขาที่นั่งเงียบอยู่ข้างมารดาของหล่อนนั้น ครั้นเมื่อนางละเมียรเปลี่ยนสายตาไปยังชายหนุ่มอีกผู้หนึ่ง ซึ่งนั่งรับแขกอยู่อีกทางด้านหนึ่งของห้องนั้นเล่า ก็ได้เห็นว่า แม้เขาผู้นั้นจะพูดอยู่กับคนนั้นคนนี้แทบจะไม่มีเวลาหยุดเลยก็ตาม แต่เขาก็ยังมีเวลาเหลือพอที่จะมองมายังร่างที่นั่งแอบอยู่ข้างนางนั้น ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงใยอย่างเห็นได้ชัด เมื่อสังเกตเห็นดังนั้นแล้ว นางละเมียรก็ได้แต่ถอนใจด้วยความหนักอกอยู่เพียงคนเดียว
ชลาคงจะนั่งอยู่ ณ ที่นั้นอีกนาน ถ้าหากว่าสายธารจะไม่โผล่หน้าเข้ามาพร้อมกับแขกที่มารดน้ำผู้หนึ่ง พอมองเห็นหน้าพี่สาวต่างมารดา หญิงสาวก็ทรงกายนั่งตัวตรงขึ้นมาทันที ขยับร่างจะคลานออกมาจากห้องนั้น นางละเมียรจึงวางพลูซึ่งจีบเสร็จเรียบร้อยพอดีนั้นลงในพาน ถามว่า
“อ้าว แม่หนู จะไปไหนล่ะลูก”
ชลาชะงัก หันมาตอบมารดาว่า “หนูจะกลับขึ้นข้างบนสักครู่ค่ะ แม่”
“ถ้างั้นแม่ไปด้วยคนสิ” มารดาว่า ยิ้มบอกกับเพื่อนที่นั่งทำงานอยู่ด้วยกันนั้นว่า “เชิญตามสบายเถิดนะคะ ดิฉันจะขอขึ้นไปอาศัยเอนหลังที่ห้องแม่หนูเขาสักนิด ประเดี๋ยวจะกลับลงมาใหม่”
ชลาคลานผ่านสายธารออกมา โดยมิได้หันไปมองดู หน้าพี่สาวต่างมารดาของหล่อนแม้สักแวบเดียว แม้ว่าฝ่ายนั้นพยายามอยู่หนักหนาที่จะสบสายตาและวางสีหน้าที่แสดงว่ารู้เท่าทันและเยาะเย้ยแฝงไว้นิดๆ ก็ตามที หญิงสาวเดินเคียงข้างมารดาขึ้นบันได ตรงไปยังห้องของหล่อนอย่างเงียบๆ เมื่อเข้ามาอยู่กันตามลำพังแล้ว ชลาจึงได้กล่าวถามมารดาขึ้นว่า
“แม่จะนอนเล่นบนเตียงหรือบนเก้าอี้นอนคะ ถ้านอนบนเก้าอี้ ชลาจะได้เอาหมอนไปให้”
“ช่างเถอะจ้ะ” มารดาว่า กลับหย่อนกายลงนั่งบนเก้าอี้ธรรมดาตัวหนึ่ง “แม่น่ะ นอนเล่นที่ไหนก็ไม่สบายเท่ากับนอนบนกระดานขัดมัน อย่างที่บ้านของเรา มันเย็นสบายดีกว่าหัองหับแบบฝรั่งแบบนี้”
นางมองไปทั่วห้อง ซึ่งตกแต่งตามแบบนิยมของชาวตะวันตก นับตั้งแต่พรมปูพื้นทั้งกว้างทั้งหนาและนุ่ม ตลอดไปจนถึงม่านหน้าต่างสองชั้น ชั้นหนึ่งทำด้วยผ้าดอกหนาหนักในแบบม่านสองไข แหวกออกจากกันให้เห็นม่านผ้าโปร่งบางอย่างดีที่ซึ่งอยู่ข้างในอีกชั้นหนึ่ง
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปที่ห้องนั่งเล่นของคูณลูกก็ได้ค่ะ ห้องนั้นแต่งแบบไทยๆ ชลาเคยแอบไปนอนเล่นบ่อยๆ”
“อย่าเลยจ๊ะ” นางละเมียรบอก มองดูหน้าธิดา อย่างพิจารณา “แม่หาเรื่องตามขึ้นมานี่ก็เพราะอยากจะพูดอะไรกับหนูสักหน่อยหนึ่งเท่านั้น”
เมื่อได้รับทราบความประสงค์ของมารดาอย่างตรงไปตรงมาเช่นนั้น ชลาก็มีสีหน้าเคร่งขรึมลง เธอเดินมาทรุดกายลงนั่งบนพื้นข้างเท้ามารดา โดยไม่ปริปากว่ากระไร นางละเมียรก้มลงมองดูศรีษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสีดำสนิทอ่อนละเอียดราวกับเส้นไหมที่ก้มอยู่เกือบชิดขานั้นอย่างไม่สบายใจ ชลานั่งก้มหน้าอยู่ นางจึงไม่เห็นสีหน้าของบุตรีในขณะนั้น ว่ามีความรู้สึกอย่างไร คงเห็นแต่เพียงจมูกที่แหลมเล็ก และคางอันกลมมนปลายแหลม กับหน้าผากนูนเกลี้ยงและขนตาอันงอนช้อยแผ่เป็นตับที่หลุบลงเท่านั้น นางละเมียร ถอนใจเบาๆ นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนที่จะเอ่ยขึ้นว่า
“เรื่องราวมันยังไงกัน หนูเหล่าให้แม่ฟังให้ละเอียดหน่อยได้ไหมจ๊ะ แม่ร้อนใจ นอนไม่หลับมาตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว”
ชลาเงยหน้าขึ้นมองดูมารดาโดยเร็ว ดวงตาที่แดงช้ำของเธอแสดงความสงสัยออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“เรื่องคุณลุงน่ะหรือคะ ก็ไม่มีอะไรมากนี่คะ หนูอยู่ข้างล่าง พอได้ยินเสียงท่านล้มก็รีบขึ้นมาแล้วก็โทรศัพท์ไปตามหมอ แต่เมื่อหมอมาถึง ท่านก็สิ้นใจเสียแล้ว เท่านั้นเอง”
เธอเว้นไม่เล่าถึงตอนที่เธอโทรศัพท์ไปถึงกวีให้มารดาฟัง ชลายังทนความรู้สึกปวดแปลบขณะที่ได้ยินเสียงสายธารแล่นมาตามสายนั้นไม่ได้ มันทำให้เธอบังเกิดความรู้สึกปวดร้าว ทั้งอับอาย อดสูอย่างบอกไม่ถูกทุกครั้งที่นึกถึงมันขึ้นมา
“เรื่องนั้นน่ะ แม่รู้แล้วละจ้ะ” นางละเมียรว่า นิ่งลังเลใจอยู่เล็กน้อยก่อนที่จะกล่าวต่อไปว่า “แต่แม่ยังไม่เข้าใจเลยว่าไปยังไงมายังไงพ่อกรันต์สามีของแม่กรวิภาจึงได้มาอยู่ที่นี่กับหนูเมื่อคืนนี้ได้ มันดึกมากตั้งเกือบเที่ยงคืนแล้วไม่ใช่หรือลูก”
ชลาถอนใจยาว เพียงคืนเดียวเท่านั้นเอง ก็ได้เกิดเหตุการณ์ต่างๆ ขึ้นกับตัวเธอเสียจนสุดที่จะรับเอาไว้ได้ แต่อย่างไรก็ตาม ระหว่างตัวเธอและกรันต์ ความรู้สึกที่บังเกิดขึ้นเมื่อได้อยู่กับเขาตามลำพังเป็นครั้งแรกเมื่อคืนนี้นั้น เธอแน่ใจ ว่าเป็นสิ่งที่เธอไม่อาจลืมได้ตลอดชีวิตนี้ ความรู้สึกขณะที่ได้อยู่กับกรันต์นั้น ไม่เหมือนกับที่เธอเคยรู้สึกเมื่ออยู่กับชายคนอื่น ไม่เหมือนเมื่อเธออยู่กับสันทัด ไม่เหมือนแม้แต่กับเมื่ออยู่กับกวี สามีของเธอเอง แต่ถึงกระนั้นมันก็เป็นสิ่งที่เธอคิดว่า มันควรจะเป็นสิ่งที่ต้องเก็บเอาไว้ในใจเธอ ไม่อาจที่จะบอกกับผู้ใดได้ แม้แต่กับมารดาของเธอเอง
“ก็ไม่มีอะไรหรอกค่ะแม่ นอกจากว่าเมื่อคืนนี้คุณกรันต์เข้ามาที่นี่เมื่อตอนสักห้าทุ่มเห็นจะได้ แล้วก็เลยนั่งคุยกับชลา”
“เขามาทำไมจ๊ะ ดึกดื่นแล้วอย่างนั้น หรือว่ามาหาพ่อกวี ?”
“ท่าจะอย่างนั้นกระมังคะ”
ชลาตอบไม่เต็มปากนัก เพราะเธอรู้ดีว่ามันไม่เป็นความจริง กรันต์รู้ดีว่ากวีจะไม่กลับบ้านจนกว่าจะวันใหม่ล่วงเลยไปแล้ว เขารู้ดีว่ากวีมักจะอยู่ที่ทำงานเสมอในตอนนั้น เธอรู้สึกไม่สบายใจยิ่งขึ้น เมื่อถูกมารดามองดูอย่างตรวจตรา
“เอ แต่ที่แม่ได้ยินมาน่ะมันไม่ใช่อย่างนี้หรอก” นางละเมียรพูดอย่างเป็นกังวล “แม่ได้ยินมาว่า พ่อกรันต์รู้ดีว่าตามปกติแล้วพ่อกวีจะต้องอยู่บริษัทเสมอในเวลานั้น เพราะฉะนั้นมันก็เลยกลายเป็นว่า พ่อกรันต์แอบมาพลอดรักกับหนูที่นี่ตอนที่พ่อกวีไม่อยู่ไปนี่แหละนะ มันเลยทำให้แม่ไม่สบายใจ”
“ชลาเข้าใจค่ะ ชลาเข้าใจความรู้สึกของแม่ดี แล้วก็รู้ด้วยว่าใครเป็นคนพูดเช่นนี้ จะมีใคร ถ้าไม่ใช่พี่สายธาร”
“เอ๊ะ หนูรู้ได้ยังไงว่าสายธารเป็นคนพูด”
ดวงตาของมารดารับรองอย่างเต็มที่ว่าความสงสัยของชลาเป็นความจริง หญิงสาวพูดเสียงสะท้าน เมื่อกล่าวต่อไปว่า
“อย่าให้ชลาต้องเล่าเลยค่ะ แม่ขา ชลาไม่อยากที่จะประจานความไม่ดีของพี่สาวของตัวเอง ชลาอับอายขายหน้านัก อายแทนพี่ แล้วก็อายแทนคนของชลาเอง”
“คนของหนู?” นางละเมียรขมวดคิ้วคิด “ใครกันจ๊ะคนของหนู แล้วแม่สายธารเข้ามาเกี่ยวข้องอะไรกับ.... คนของหนูด้วย”
“ชลากราบละค่ะแม่ อย่าให้ชลาต้องพูดเลย ชลาขอให้แม่เชื่อแต่ว่าระหว่าง ชลาและกรันต์นั้น ไม่ได้มีอะไรที่น่าอับอายเกิดขึ้นเลย คุณกรันต์เพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรกเมื่อคืนนี้ ก็พอดีกับเกิดเรื่องขึ้น มันเป็นความเคราะห์ร้ายของชลาเอง ไม่มีอะไรอื่น”
“พ่อกรันต์เขามาที่นี่ทำไมกันล่ะจ๊ะ ในเมื่อก็รู้อยู่แล้วว่าพ่อกวีไม่ได้อยู่ที่นี่ เอาเถอะถ้าจะว่าเขาไม่รู้แน่ว่าพ่อกวีจะอยู่หรือไม่อยู่ละเอ้า ถึงได้มา แต่เมื่อรู้แน่แล้วว่าพ่อกวีไม่อยู่ ทำไมเขาถึงไม่กลับไปเสีย”
“เขากำลังกลุ้มใจค่ะ แม่ เมื่อคืนนี้กรันต์กำลังกลุ้มใจมากเหลือเกิน ชลารู้ดีว่าเขาต้องการที่จะระบายความกลัดกลุ้ม ความไม่สบายใจกับใครสักคนหนึ่ง ชลาจึงได้ปล่อยให้เขาอยู่”
“กลุ้มใจรึ เอ๊ะ กลุ้มใจเรื่องอะไรกัน แม่ไม่เห็นว่าพ่อกรันต์จะมีเรื่องกลุ้มใจอะไรเลย งานก็มีทำ เงินก็มีใช้แสนสบาย”
ชลาอยากจะร้องออกมาดังๆ ว่า มารดาของเธอก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่เข้าใจความรู้สึกของ กรันต์ อนิจจาใครต่อใครคงจะพากันมีความรู้สึก และแสดงออกมาต่อเขาเช่นที่ตนรู้สึก อย่างนี้เอง กรันต์จึงได้รับความทรมานใจถึงเพียงนั้น แต่ชลาจะอาจพูดอะไรได้ ถึงแม้ว่าเธอจะเข้าใจความรู้สึกของกรันต์ดีเพียงไร เห็นอกเห็นใจเขาสักเพียงใดก็ตาม เธอก็ได้แต่ต้องเก็บนิ่งเอาไว้ในใจ ประดุจถูกน้ำท่วมปาก ไม่อาจจะเอ่ยอะไรออกมาได้
“กรันต์กลุ้มใจเกี่ยวกับเรื่องกรวิภาน่ะค่ะ” ชลาพูดด้วยเสียงที่พยายามบังคับให้ราบเรียบเป็นปกติ
“เอ๊ะ มีเรื่องอะไรกับแม่กรหรือ” ชลารู้สึกว่าวันนี้มารดาของเธอช่างทำตนเป็นคนช่างซักอย่างน่ากลุ้มใจยิ่งนัก “ทะเลาะกันกระมัง ?”
“ก็ไม่เชิงหรอกค่ะ” ชลาตอบ “เป็นเพราะว่ากรันต์เสียใจที่ห้ามกรไม่ให้เที่ยว แต่กรไม่เชื่อ ยังขืนเที่ยวจนกระทั่งแท้งลูกเท่านั้นเอง”
“อ๋อ อย่างนั้นดอกหรือ”
นางละเมียรอุทาน เพียงแค่นั้น ชลาก็รู้ว่า มารดาได้เชื่อคำบอกเล่าและคำพูดของเธอแล้วโดยสิ้นเชิง ไม่มีการเคลือบแฝงระแวงอันใดเหลืออยู่อีกเลย