ดวงใจนี้ใครครอง

>> สุภาว์ เทวกุลฯ

ดวงใจนี้ใครครอง

บทที่ 12

ชลาต้องยอมรับว่า   การที่เธอได้ระเบิดความรู้สึกในใจออกมาต่ออารีย์ผู้จัดการบริษัทนั้นได้เกิดผลดีเป็นอย่ายิ่ง   ที่ประจักษ์ได้อย่างชัดเจนก็คือ อากัปกิริยาของผู้ช่วยผู้จัดการหนุ่มที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย   เธอเกือบจะไม่เชื่อตัวเอง เมื่อเธอนั่งอยู่ตรงกันข้ามกับเขาในร้านอาหารเล็กๆ ในซอยข้างบริษัท   ว่าเหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้นได้   ชายหนุ่มผู้นี้ได้แสดงออกมาอย่างชัดแจ้ง ทั้งท่าทีและสายตาว่าไม่ชอบเธอตั้งแต่แรกเห็น   กลับมานั่งบริโภคอาหารร่วมกับเธอตามลำพังโดยมีเพียงโต๊ะไม้แคบๆ เล็กๆ เก่าคร่ำคร่ากั้นอยู่ระหว่างกลางโดยที่เขาเป็นฝ่ายออกปากเชิญเสียด้วย   แทบไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ   ในร้านนั้นมีคนงานในบริษัทนั่งกินกันอยู่ก่อนแล้วหลายคน     เมื่อเธอเดินเข้าไปกับสันทัด   คนเหล่านั้นได้พากันมองดูด้วยความประหลาดใจแกมทึ่ง   หลายคนได้ทักทายสันทัด และมองดูเธอด้วยสายตาพิกล   สันทัดพยักยิ้มรับการทักทายจากคนเหล่านั้นอย่างปกติธรรมดา ซึ่งทำให้ใจของเธอค่อยดีขึ้น   และพลอยพาให้อาหารกลางวันมื้อนั้น ซึ่งเป็นเพียงบะหมี่น้ำหนึ่งชามและชาเย็นหนึ่งแก้วมีรสชาติขึ้นอีกโขด้วย

ชลามิได้เล่า ให้มารดาฟังถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้น   เหตุเพราะนางละเมียรได้เคยพร่ำพูดอยู่เป็นนิจให้เธอฟังถึงความเป็นคนมีอารมณ์รุนแรงของเธอ

“ลูกผู้หญิง จะต้องรู้จักระงับสติอารมณ์ไว้ให้มาก”   มารดาเคยเตือนเธอเช่นนี้เสมอ   “ก่อนที่จะทำอะไรลงไปหนูควรจะคิดทบทวนดูให้ดีเสียก่อนทุกครั้งไป   อย่าทำอะไรปล่อยตามอารมณ์   จะเป็นทางให้คนเขาติฉินเราได้   เป็นผู้หญิงน่ะเสียเปรียบนะจ๊ะ   หนูต้องระวังตัวไว้ให้ดี   จะรักจะโกรธจะเกลียดใครก็ควรเก็บเอาไว้ในใจของเราคนเดียว   อย่าแสดงออกมานอกหน้า”

ตลอดทางที่นั่งรถมาทำงานในเช้าวันรุ่งขึ้น   ชลาเฝ้าแต่ครุ่นคิดถึงการกระทำของตนเอง   เธอช่างไม่แน่ใจเสียเลยว่าเธอผิดหรือเปล่าที่ได้พูดเช่นนั้นกับผู้จัดการ   ไม่แน่ใจว่าเขาจะโกรธหรือไม่   และไม่แน่ใจเสียด้วยซ้ำว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง หลังจากที่เธอได้กล่าวประโยคเหล่านั้นออกไปแล้ว   แต่เมื่อเธอผลักบังตาห้องทำงานเข้าไป และสันทัดเงยหน้าขึ้นพร้อมกับยิ้มต้อนรับ   ชลาก็รู้สึกว่าเธอไม่ควรจะต้องเสียใจเลยที่ได้พูดออกไปเช่นนั้นกับผู้จัดการ

อารีย์มิได้มีท่าว่าโกรธหรือขุ่นเคืองชลาแม้แต่น้อย   เขายังคงทักทายเธอด้วยเสียง และสีหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสเช่นเคย   บางทีเขาอาจจะไม่รู้ก็ได้ว่าอาหารราคาแพงที่เขาสั่งมาจากภัตตาคารเมื่อวานนี้ถูกเธอทอดทิ้งอย่างไม่ใยดี   ความคาดหมายของชลานับว่าถูกต้อง เพราะเมื่อใกล้จะถึงเวลาหยุดพักรับประทานอาหารกลางวัน อารีย์ได้กล่าวขึ้นว่า

“วันนี้อยากรับอะไรล่ะ คุณชลา   เบื่ออาหารที่ผมสั่งมาให้แล้วหรือยัง   ถ้าคุณอยากรับอะไรก็โทรศัพท์สั่งไปให้เขาทำมาให้ก็ได้นี่นะ”

“ไม่เป็นไรดอกค่ะ” ชลายิ้มกับเขา   “ดิฉันเกรงใจเหลือเกินที่ต้องทำให้ผู้จัดการต้องมีภาระเพิ่มขึ้น   ต่อไปนี้ดิฉันช่วยตัวเองได้แล้วค่ะ   ดิฉันจะออกไปซื้อรับทานข้างนอก”

“ออกไปรับข้างนอก” อารีย์ทวนคำ เลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ   “จะออกไปได้ยังไง คุณไม่เคย...”

“ได้ค่ะ” ชลาดีใจที่มีความกล้าเพิ่มขึ้น   “เมื่อวานนี้ดิฉันยังออกไป...”

“ออกไป... คุณน่ะหรือออกไปรับข้างนอกเมื่อวานนี้” อารีย์ร้องเสียงดัง   “ตายละ   ถ้าคุณกิติมาหรือคุณสำราญรู้เข้าจะว่าอย่างไร   ท่านอุตส่าห์ฝากฝังผมไว้นักหนา   แล้วนี่คุณออกไปซื้ออะไรที่ไหนกันเล่านี่”

“ดิฉันออกไปรับทานบะหมี่ที่ร้านในซอยข้างบริษัทนี่เองค่ะ   อร่อยดีออก”

“ไอ้ร้านโกโรโกโสที่แสนสกปรกร้านนั้นน่ะหรือ”   อารีย์ร้องเสียงดังราวกับว่าชลาได้ไปรับเอาเชื้อโรคติดต่อร้ายแรงอะไรปานนั้น   “แล้วคุณยังว่าอร่อย   ประหลาดจริงคุณชลา   นี่คุณเป็นอะไรไปแล้ว   ทำไมคุณถึงได้เห็นว่าอาหารเลวๆ อย่างนั้นอร่อยกว่าอาหารที่ผมสั่งมาให้จากภัตตาคารมีชื่อ   ผมไม่เข้าใจเลย”

“มันไม่ได้อยู่ที่สถานที่หรือรสชาติของอาหารอย่างเดียวหรอกค่ะผู้จัดการ   ที่จะทำให้เรารู้สึกว่าอาหารนั้นอร่อย”

ชลาบอกแก่เขา   อารีย์มองดูเธอราวกับว่าเธอเป็นสิ่งประหลาดอะไรอย่างหนึ่ง   เขาอาจจะคิดว่าเธอโง่หรือบ้าก็ได้   แต่ชลามิได้นึกวิตกเลยแม้แต่น้อย   เธอเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าอะไรทำให้เธอมีความกล้าและเชื่อมั่นในตัวเองเพิ่มขึ้นถึงเพียงนี้

“ผมนึกไม่ออกเลยว่าคุณกล้าเข้าไปนั่งในไอ้ร้านโสโครกอย่างนั้นได้ยังไงคนเดียว” อารีย์กล่าวต่อไป

“คุณชลาไม่ได้เข้าไปนั่งรับอยู่คนเดียวหรอกครับ” สันทัดซึ่งนั่งฟังเงียบๆ มาตลอดเวลาเอ่ยขึ้น   “เธอไปกับผม”

“อ้อ อย่างนั้นดอกหรือ”

อารีย์ว่าแล้วก็เงียบไป   แต่ชลาสังเกตเห็นว่าเขามองดูผู้ช่วยของเขาด้วยสายตาที่ครุ่นคิดแฝงไว้ด้วยแววประหลาดอย่างหนึ่งซึ่งเธออ่านไม่ออก   และเมื่อเธอมองดูสันทัดก็มิได้เห็นว่าเขาผู้นั้นแสดงท่าทีผิดแปลกอะไร   นอกจากจะมองสบตาอีกฝ่ายหนึ่งด้วยท่าทีเงียบขรึมเป็นปกติของเขา

ในที่สุด อารีย์ก็กล่าวออกมาว่า   “ถ้านั่นเป็นความประสงค์ของคุณ ก็ตามใจซิ   คุณชลา”

“ขอบพระคุณค่ะ”

ชลาบอกแก่เขา   อดมิได้ที่จะหันไปยิ้มให้แก่สันทัด   อารีย์มองดูเธออย่างใช้ความคิดต่อไปอีกครู่หนึ่งแล้วก็ยักไหล่ก้มหน้าลงทำงานต่อไป


“คุณเก่งมาก”

สันทัดบอกกับชลาขณะที่ทั้งสองนั่งอยู่ในร้านอาหารเล็กๆ ร้านเดิมที่อารีย์เรียกว่า ‘ร้านโสโครก’ ในตอนกลางวันวันนั้น

“เก่งเรื่องอะไรคะ?” ชลามองดูเขาอย่างสงสัย

“เก่งที่กล้าพูดกับผู้จัดการตรงๆ อย่างที่พูดไปแล้วน่ะซิ”   เขาบอก   “ทั้งเมื่อวานนี้และทั้งวันนี้”

“อ๋อ” ชลาอุทาน เธออยากจะบอกเขาเหลือเกินว่า เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรทำให้เธอกล้าพูดกับผู้จัดการเช่นนั้น   ทั้งเธอเองก็ไม่แน่ใจเสียด้วยซ้ำไปว่าที่เธอทำเช่นนั้นจะเป็นการสมควรหรือไม่เพียงไร

“สงสัยว่าผู้จัดการคงจะเขม่นผมไม่น้อยทีเดียว” สันทัดพูดต่อไป

“เอ๊ะ” ชลาเบิกตามองดูเขาอย่างสงสัย   “เรื่องอะไร ผู้จัดการจึงจะนึกเขม่นคุณล่ะคะ   มันเกี่ยวอะไรกันด้วย”

สันทัดนิ่งไป แต่สีหน้ากลับขรึมลงไปกว่าเดิม   เขาจับตามองดูตะเกียบที่ถืออยู่ในมือเฉยอยู่เป็นครู่แล้วจึงบอกว่า

“เปล่าหรอก   ผมคิดเอาเองน่ะ”

ผู้ชายคนนี้แปลก   ท่าทางคล้ายกับมีอะไรอยู่ในใจ   ชลานึกอยากจะรู้จริงว่าอะไรหนอที่เขาเก็บซ่อนเร้นไว้   มันคงจะมีอำนาจมากจึงได้ทำให้เขาถึงกับแสดงท่าทีแปลกๆ ออกมาได้บ่อยครั้งเช่นนี้

อย่างไรก็ตาม   ต้องนับว่าอาหารกลางวันมื้อนั้นได้ผ่านไปอย่างเอร็ดอร่อยและคล่องคอพอใช้


“ดิฉันนี่บ้าเหลือเกิน ที่อุตส่าห์ทนนั่งฝืดคออยู่คนเดียวในนี้ได้ตั้งอาทิตย์”

ชลาว่า เมื่อกลับเข้ามาสู่ห้องทำงานอีกครั้งหนึ่งแล้วอารีย์ยังมิได้กลับเข้ามา   เธอจึงพูดได้ด้วยเสียงที่ดังและแจ่มใสอย่างมีอิสระเต็มที่

“นั่นซี” สันทัด มีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสเช่นกัน   “ผมก็บ้าเหลือเกินที่ปล่อยให้คุณต้องนั่งฝืดคออยู่ได้คนเดียวตั้งอาทิตย์   ถ้ารู้อย่างนี้เสียตั้งแต่แรกละก็ผมเป็นเชิญคุณตั้งแต่วันแรกแล้วทีเดียว”

“เร็วไปค่ะ” ชลาว่า ดวงตาแจ่มแจ๋วของเธอเป็นประกายยิ่งขึ้นด้วยความสบายใจที่กำลังได้รับอยู่   “ถ้าเป็นวันที่สองละก็ค่อยยังชั่วหน่อย”

ทั้งสองหัวเราะขึ้นพร้อมกัน   นี่ก็เป็นครั้งแรกอีกเหมือนกันที่เธอได้ยินชายหนุ่มผู้มีสีหน้าเคร่งขรึมผู้นี้หัวเราะ

แต่เกือบจะในทันทีนั้น ที่เสียงหัวเราะของสันทัดได้สะดุดหยุดลงโดยฉับพลัน   ชลาเห็นเขามองไปที่ประตูอันกั้นอยู่ระหว่างห้องทำงานและห้องพักผ่อนด้วยอาการเกือบจะเป็นตกตะลึง   เมื่อชลามองตามสายตาของเขาไปก็ได้ประสบกับภาพของหญิงสาวเฉิดฉายผู้หนึ่งยืนสะอึ้งกายอยู่ในลักษณะที่สะโพกและไหล่ซ้ายพิงอยู่กับประตู   หล่อนสวมอาภรณ์ที่ตัดเย็บรัดรูปทรงด้วยผ้าไหมไทยทอเป็นตาสี่เหลี่ยมสลับสดใส   ถือกระเป๋าหนังสีม่วงสดใบโตเข้าชุดกับรองเท้า   ดวงตาที่มองตรงมายังหนุ่มสาวทั้งสองนั้นถูกแต่งไว้คมเข้ม   ริมฝีปากที่เคลือบด้วยสีส้มอ่อนอมมุกนั้นเผยอจากกันน้อยๆ อย่างขบขัน     หล่อนเป็นใครมาจากไหนกันหนอ   จึงได้มีทีท่าเคยคุ้นกับสถานที่นี้อย่างเหลือเกิน   ชลาละสายตาจากร่างอันเฉิดโฉมนั้นมาทางสันทัดอีกครั้งหนึ่ง ก็ได้เห็นว่าเขาควบคุมสติไว้ได้แล้ว   กลับขรึมและดูเหมือนจะยิ่งเคร่งเครียดหนักลงไปอีก

“ผู้จัดการไม่อยู่”   เธอได้ยินเขาบอกแก่หญิงแปลกหน้าผู้นั้น   ชลารู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่งที่เขาใช้คำพูดที่แสนจะห้วน อย่างที่เรียกว่าไม่มีหางเสียงแก่สตรีสาวที่แต่งกายงดงามบอกถึงความมีฐานะดีอย่างนั้น   “ยังไม่กลับเข้ามา”

หล่อนมองดูชลาแวบหนึ่ง แต่ก็เป็นแวบเดียวที่ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความตั้งใจที่จะสำรวจตรวจตราอะไรเช่นนั้น

“ฉันรู้แล้วละ” หญิงสาวผู้นั้นตอบ   หล่อนละจากท่าที่ยืนอิงกายแนบกรอบประตูอยู่นั้นก้าวออกมา ๒-๓ ก้าว   พวงแก้วสีม่วงที่หล่อนสวมไว้ที่รอบคอซ้อนกันเป็นตับนั้นส่งประกายแพรวพราวราวกับพลอยมีค่า   “เขาไม่เคยกลับเข้ามาก่อนบ่ายสองโมงสักที”

สันทัดมองดูหล่อนด้วยสายตาที่คล้ายจะถามว่า   ก็เมื่อรู้อย่างนั้นแล้วเธอมาทำไมล่ะ   ซึ่งหญิงสาวก็เข้าใจในสายตานั้นดี   แต่ทว่าหล่อนแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เสีย   หล่อนเอียงคอมองชายหนุ่มซึ่งยังคงยืนหน้าขรึมอยู่   ยิ้มอย่างตั้งใจจะยั่วเย้าเมื่อพูดว่า

“ดูเธอสุขกายสบายใจขึ้นมากนะคะ   สันทัด”

สันทัดยืนเฉย ซึ่งดูเหมือนจะยั่วให้ความอยากจะเย้าแหย่ของสตรีผู้นั้นเพิ่มขึ้นอีก   หล่อนเอียงคอกลับมาอีกทางหนึ่ง   พูดต่อไปว่า

“เอ ทำไมถึงขรึมไปอย่างนี้เล่า   เมื่อกี้นี้ยังได้ยินเสียงเธอหัวเราะสนุกสนานอยู่นี่นา   หรือว่าเป็นเพราะเห็นฉันเข้าคะ สันทัด”

สันทัดเดินไปทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ของเขา   หญิงสาวยืนยิ้มอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเดินเข้าไปหยุดยืนอยู่หน้าโต๊ะ ซึ่งทำให้ชลารู้สึกแปลกใจเป็นอย่างยิ่งที่เห็นว่าหล่อนช่างมีความอดทนไม่ย่อท้อเสียเลย   ดูซิหล่อนวางมือทั้งสองลงบนแผ่นกระจกที่ปูโต๊ะ   ชะโงกหน้าเข้ามาใกล้เขา   พูดด้วยน้ำเสียงเดิมว่า

“นี่น้ำใจเธอจะไม่ทักทายให้ฉันชื่นใจสักคำหนึ่งเทียวหรือคะสันทัด”

สันทัดเงยหน้าขึ้นมองสบดวงตาคู่ที่กำลังจ้องมองดูเขาอย่างยั่วเย้านั้นด้วยสายตาเคร่งขรึม   และกล่าวด้วยเสียงที่มีลักษณะไม่แตกต่างกว่าสายตาว่า

“เธอจะยั่วฉันเพื่อประโยชน์อันใด สายรุ้ง”

สายรุ้ง!   เออ ผู้หญิงคนนี้เองหรือที่ชื่อสายรุ้ง   ชลาร้องอุทานอยู่ในใจ   ดูหล่อนช่างงามหรู เอี่ยมอ่องอ่อนไหวไปทั้งตัวสมชื่อแท้ๆ   แต่ว่าหล่อนมีความสนิทสนมเกี่ยวข้องกับสันทัดประการใดเล่าจึงได้จงใจที่จะตามติดรบกวนสมาธิของเขานัก

ดูซิ หล่อนหงายหน้าขึ้นหัวเราะเสียงใสทั้งที่สองแขนยังคงเท้าอยู่บนโต๊ะ   ทรวงอกที่ซ่อนอยู่ภายใต้ผ้าอันรัดรูปรัดทรงนั้นไหวกระเพื่อมสะท้านสะเทือนเพราะแรงหัวเราะ

“ขันจริง สันทัด” หล่อนว่า กังวานหัวเราะยังไม่สิ้นไป   “ทำไมนะ   ทำไมเธอจึงได้คิดว่าฉันจงใจที่จะยั่วเธอคะ   สันทัด”

ชายหนุ่มมองดูหล่อนที่นิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดออกมาด้วยเสียงที่ราบเรียบ แต่ดวงตาเป็นประกายว่า   “บางที อาจจะเป็นเพราะว่าเดี๋ยวนี้เธอเริ่มจะกลายเป็น ‘ของเก่า’ เสียแล้วกระมัง สายรุ้ง”

ประหลาดนัก   คำพูดนั้นสามารถหยุดเสียงหัวเราะระริกนั้นได้ในบัดดล   รอยยิ้มที่กราดอยู่ทั่วใบหน้าอันถูกตบแต่งไว้อย่างสวยงามนั้นเหือดหายไปสิ้น   ชลาสังเกตเห็นว่า หน้าของหล่อนเผือดลงแล้ว กลายเป็นสีเกือบจะเขียวด้วยความโกรธ   ความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ดูเหมือนจะเป็นที่สมใจของชายหนุ่มยิ่งนัก   เพราะเธอเห็นเขายิ้ม   ยิ้มอย่างที่เยกว่ายิ้มเยาะ   ไม่ละโอกาสที่จะยิงซ้ำลงไปยังแผลเดิมที่เขาเปิดปากแผลออกแล้ว

“ฉันเคยบอกเธอแล้วมิใช่หรือสายรุ้ง   ว่าสักวันหนึ่งเธอจะต้องกลายเป็น ‘ของเก่า’ อย่างหนีไม่พ้น   ฉันพูดถูกไหม?”

หญิงสาวผู้มีนามว่าสายรุ้งสะบัดหน้า ถอยห่างออกมาจากโต๊ะ   พูดด้วยเสียงห้วนๆ ว่า

“อย่าทำเป็นคนช่างเดานักเลยสันทัด   ถึงยังไงมันก็เรื่องส่วนตัวของฉันไม่เกี่ยวกับใคร”

สันทัดหัวเราะดัง   ดังกว่าที่ชลาเคยได้ยิน

“อ้อ อย่างนั้นหรือ” เขาว่า   “ ถ้าคิดอย่างนั้น เธอก็ควรที่จะอยู่เงียบๆ ซิ   ไม่ควรที่จะมาวุ่นวายกับคนอื่นเขาอย่างนี้”

ชลาคิดว่า ตั้งแต่เกิดมา   ดูเหมือนเธอจะไม่เคยเห็นผู้ใดที่กำลังตกอยู่ในอารมณ์อันรุนแรงเหมือนดังที่หญิงสาวผู้นี้กำลังเป็นอยู่ในขณะนี้เลย   ความร้อนเร่าแห่งความโกรธได้เป็นเหมือนดังเปลวเพลิงที่แลบเลียเผาไหม้ความสวยงามที่หล่อนมีอยู่นั้นจนหมดสิ้น

“ฉันมาวุ่นวายกับใคร”   หล่อนร้องเสียงแหลมพร้อมๆ กับกระทึบรองเท้าส้นเข็มสีม่วงสดของหล่อนลงบนพื้นห้องโดยแรง   จนกระทั่งสันอันเรียวแหลมของมันกดลึกลงไปบนพื้นกระดานทำให้เกิดเป็นรอยสิ้นสวย   “ฉันกำลังจะไปธุระที่อื่นแต่เผอิญผ่านมาทางนี้   นึกถึงเพื่อนฝูงขึ้นมา   อดไม่ได้ก็เลยแวะเข้ามาเท่านั้นเอง   ไม่นึกเลยว่าจะมาถูกว่าให้เจ็บใจอย่างนี้”

“รู้จักด้วยหรือว่าความเจ็บใจเป็นอย่างไร” สันทัดพูดยิ้มๆ   “พูดราวกับว่าบริษัทนี้น่ะหลบเข้ามาอยู่ในตรอกในซอกหรือไกลสุดมุมเมือง   ซึ่งร้อยปีทีครั้งเธอจะผ่านมาสักทีเทียวนะ”

เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินอ้อมโต๊ะมาหยุดตรงหน้าหล่อน   จ้องมองดูด้วยดวงตาที่เคร่งขรึมจริงจัง

“ฉันรู้ดีนะสายรุ้ง   ฉันเข้าใจดีว่าเธอมาที่นี่เพราะอะไร   กลับไปเสียไป๊   ฉันขอรับรองว่าตำแหน่งของเธอยังไม่ง่อนแง่นนักหรอก   เพราะคราวนี้ฉันจะไม่ยอมจำนนอย่างคราวก่อน ถึงแม้ว่าฉันจะต้องถูกออกจากงานก็ตาม   แต่อย่าเข้าใจนะว่า ฉันทำเพราะเห็นแก่เธอ   ฉันจะทำก็เพราะทนเห็นคนดีๆ ที่แสนจะบริสุทธิ์ถูกทำลายด้วยวิธีการต่ำช้าไปต่อหน้าต่อตาไม่ได้ต่างหากเล่า”

นี่เขาพูดถึงเรื่องอะไรกันนะ ฟังไม่รู้เรื่องเลย   ชลาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมแม่หญิงที่สะสวยคนนี้จึงได้มีสีหน้าท่าทางราวกับว่าได้ถูกทำให้โกรธแค้น และเจ็บปวดรวดร้าวอย่างเหลือเกิน   ดูดวงตาของหล่อนที่มองดูสันทัดสิ   ช่างเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองระคนไปด้วยความเจ็บแค้นและตัดพ้อต่อว่า   เป็นดวงตาที่ถ่ายทอดความรู้สึกภายในออกมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ

ต่างคนต่างจ้องมองกัน   ฝ่ายหนึ่งโกรธเกี้ยว และอีกฝ่ายหนึ่งดุดันแกมสมเพช   ในที่สุด หญิงสาวก็เป็นฝ่ายล่าถอย   หล่อนสะบัดหน้าก้าวไปหยิบกระเป๋าที่หล่อนวางไว้บนโต๊ะของสันทัด   ก้าวเดินฉับๆ ไปที่ประตูห้องและผลักบังตาออกไปโดยมิได้กล่าวคำร่ำลาแม้แต่คำเดียว   สันทัดยังคงยืนอยู่กับที่มิได้มองตามหล่อนไป   เขาได้ยินเสียงบังตาเปิดและปิดโดยแรงก็รู้ว่าหล่อนไปแล้ว   ไปพร้อมด้วยความโกรธ   ความอับอาย และความอิจฉาริษยา   ที่ก่อให้เกิดความเจ็บช้ำและร้อนรุ่มดังถูกไฟเผา

ชลา ผู้ซึ่งตลอดเวลาได้ยืนสังเกตการณ์ดูอยู่ห่างๆ แต่อย่างสนใจจริงจัง   ได้สังเกตเห็นว่า ความดุดันเคร่งเครียดเยาะหยันและดูถูกที่ปรากฏอยู่บนดวงหน้าและในสายตาของผู้ช่วยผู้จัดการหนุ่มค่อยๆ เหือดหายไป   ความรู้สึกอย่างอื่นเริ่มเข้ามาแทนที่   หน้าผากของเขาย่นเป็นริ้ว   และดวงตานั้นเล่า   โอ้ ถึงชลาจะผ่านชีวิตและรู้จักโลกมาน้อยเหลือเกินก็ตาม   เธอก็ยังพอจะอ่านออกว่าดวงตาคู่นั้นช่างเต็มไปด้วยความขมขื่นและโศกเศร้ายิ่งนัก

จบบทที่ 12