ดวงใจนี้ใครครอง

>> สุภาว์ เทวกุลฯ

ดวงใจนี้ใครครอง

บทที่ 3

...พี่เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเรียบร้อยแล้ว เมื่ออาทิตย์ก่อนนี้เอง   เป็นคนไทยคนเดียวที่เรียนอยู่ในแผนกนี้     รู้สึกว่าพวกนี้เขาสนใจบ้านเมืองของเราอยู่มาก   พี่เลยถูกสัมภาษณ์เป็นการใหญ่จนเดี๋ยวนี้กลายเป็นดาราประจำมหาวิทยาลัยไปแล้ว   ไม่ว่าจะเดินทางไปไหนเป็นต้องมีคนทักทายโบกไม้โบกมือให้   มีแม่นักศึกษาหญิงคนหนึ่งแกงัดเอาโปสการ์ดรูปวัดอรุณออกมา บอกว่าพี่สาวที่อยู่เมืองไทยส่งมาให้   แม่สาวคนนี้หน้าตาไม่เลวเลย   และทำออกท่าสวีท เอากับพี่อย่างมากๆ เสียด้วย   เล่นเอาเราใจคอไม่ค่อยดี   จุ๊ๆ พี่พูดเล่นดอกนะ อย่าถือเอาเป็นจริงเป็นจังว่าพี่จะวอกแวกได้ง่ายๆ   ถึงอย่างนั้น สำหรับความคิดของพี่แล้ว   ผู้หญิงชาติไหนก็ไม่อาจที่จะนุ่มนวลอ่อนหวานจับจิตจับใจได้เท่าผู้หญิงไทย...

...เพื่อนพี่เพิ่งมาถึงเมื่อวานนี้คนหนึ่ง   ชื่อกรันต์   ชลาคงจะไม่รู้จักดอกกระมัง   หมอบอกว่าเมื่อวันที่พี่ขึ้นเครื่องบิน หมอก็ไปส่งที่ดอนเมืองเหมือนกัน แต่ไม่ทัน   มันยังล้อพี่ว่าได้เห็น ‘แม่ยาหยี’ ของพี่แล้ว   แล้วยังชมเสียด้วยว่าช่างมีดวงตาสวยซึ้งเสียจนมันเก็บเอาไปนอนฝันถึงตั้งสามวัน   เอ   มันเอาอะไรของมันมาพูดได้เป็นตุเป็นตะไปก็ไม่รู้   สงสัยว่าคงจะมีใครเกิดนึกสนุก แกล้งชี้เปะปะให้มันดู แล้วเจ้าหมอกรันต์มันถือเอาเป็นจริงเป็นจัง   อยากจะรู้จริงว่าใครนะที่ถูกอุปโลกน์ให้เป็น ‘แม่ยาหยี’ของพี่   ชลารู้บ้างหรือเปล่า   ช่วยกระซิบบอกมาบ้างซิจ๊ะ...

...พี่สาวและพี่เขยของพี่มาเยี่ยมเมื่อวานนี้   ก็ไม่ได้มาเยี่ยมดอกพี่พูดผิดไป   เขามาถึงเมืองที่พี่อยู่น่ะ แล้วก็เรียกตัวพี่ไปพบ   คุณกิติมา แต่งเครื่องเพชรเสียพราวตัว ไม่รู้ว่าผ่านด่านตรวจมาได้ยังไง   หรือเพราะเขาเห็นว่าคุณสำราญเป็นคนใหญ่โตก็ไม่รู้ เลยปล่อยให้ผ่านมาโดยไม่ตรวจค้น   เอ.. ไอ้การเป็นคนใหญ่คนโตนี่ก็ดีไปอย่างหนึ่ง   แต่ไอ้การเป็นน้องเมียของคนใหญ่คนโตนี่ซีไม่ยักชอบเสียเลย     เมื่อวานนี้พี่พาคุณสำราญและคุณกิติมาไปฟังเพลง แล้วก็ไปซัปเป้อร์กันที่โฮเต็ลที่หรูหราที่สุด ตามความต้องการของคุณสำราญ   ทำให้พี่ต้องกลับมากินยาระงับประสาทไปสองเม็ดพร้อมตั้งสัตย์ปฏิญาณว่า   นับแต่บัดนี้ต่อไป พี่จะไม่ขอย่างเหยียบเข้าไปที่โฮเต็ลนั้นเป็นอันขาด   อายมัน!   แต่อย่าให้พี่บอกเลยว่าอายมันเพราะอะไร   ชลาคนฉลาดคงจะเดารู้ได้เอง

กรวิภาฝากของมาให้เจ้ากรันต์ตั้งกระบุง   ใครจะแบกไปให้เจ้ากรันต์   มันอยู่ถึงคนละมลรัฐ   พี่เลยขอเงินคุณกิตติมา โทรศัพท์ทางไกลไปบอกมันแล้วว่าถ้ามันมาเอาช้าเกินกว่าสามวันละก็เป็นมีหวังหมด   มันก็ว่า เออ หมดก็ไม่เป็นไร   ประเดี๋ยวเสร็จจดหมายแล้วที่จะต้องสำรวจดูว่ามีอะไรบ้างจะได้จัดการเสียตามระเบียบ   ชักคิดถึงบ้านเต็มทีแล้ว   อีกตั้งสองปีกว่าจะได้พบชลา   เธอเปลี่ยนไปบ้างหรือเปล่าแค่ไหนก็ไม่รู้   ใจดำเหลือเกินที่ไม่ได้ส่งรูปถ่ายมาให้ดูบ้างเลย...

เมื่ออ่านถึงตรงนี้ ริมฝีปากออกสีชมพูเรื่อของผู้อ่านก็อดที่จะยิ้มแย้มออกมาเล็กน้อยมิได้     ดวงหน้ารูปหัวใจอันประกอบด้วยหน้าผากที่โค้งมนผุดผาด มีรอยผมหยักแหลมเล็กน้อยตรงกึ่งกลาง   เรียวสลวยลงมาจนถึงปลายคางที่แหลมได้รูป   เงยขึ้น เบือนไปทางกระจกเงาบานยาวรูปรีซึ่งอยู่บนขาหยั่งเกือบชิดผนัง   เพ่งมองดูภาพที่สะท้อนออกมาจากกระจกนั้น   จริงซี ชลาเปลี่ยนไปบ้างแค่ไหน สุดที่เธอหรือคนใกล้ชิดจะบอกได้   จะมีก็แต่ผู้ที่จากไปไกลเป็นเวลานานอย่างเจ้าของลายมือในจดหมายนี้เท่านั้นที่จะเห็นประจักษ์อย่างชัดเจน

นิ้วมือเรียวยาว ปลายเล็บที่ขลิปไว้กลมมนค่อนข้างสั้น ปราศจากการเคลือบด้วยสีสันค่อยๆ บรรจงพับกระดาษจดหมายเข้าด้วยกัน แล้วสอดใส่ซองเอาวางซ้อนไปบนจดหมายอีกฉบับ   เลือกดูหมายเลขที่เขียนกำกับ ไว้ที่มุมซอง จัดให้ซ้อนเรียงกันตามลำดับ   ซองบนสุดมีตัวอักษรเขียนด้วยดินสอสีแดงบ่งไว้เป็นใจความว่า ‘ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๑แล้วก็ใช้ริบบิ้นเล็กๆ ผูกมัดรวมกันเข้าไว้   วางเรียงลงในกล่องไม้สีดำขัดเป็นมัน มีลวดลายใบไผ่ของญี่ปุ่นชิดกับอีกมัดหนึ่ง ซึ่งมีตัวอักษรว่า ‘ปีที่ ๑’

มือเรียวนั้นหยิบมัด ‘ปีที่ ๓’ ขึ้นมา ตั้งท่าคล้ายจะคลายปมริบบิ้นที่ผูกไว้ออก   แต่แล้วก็กลับใจ วางลงถัดมาจากตั้ง‘ปีที่ ๒’   กลับหยิบเอาตั้ง ‘ปีที่ ๔’ ตั้งเดียวที่เหลืออยู่ขึ้นแทน   หยิบเอาจดหมายฉบับที่อยู่ล่างสุดขึ้นมา   หญิงสาวใช้ปลายนิ้วคีบกระดาษที่สอดอยู่ในซองนั้นออกมาอ่าน   ริมฝีปากเผยอยิ้มเล็กน้อย อย่างสนใจ

...อีกเพียงสองเดือนเท่านั้นซินะที่เราจะได้พบกัน   แล้วดูเหมือนว่ามันจะกลับนานเสียยิ่งกว่าเวลาสี่ปีที่จากกัน   สงสัยจริงหนอว่าเดี๋ยวนี้ชลาจะยังคงเป็นชลาคนเดิมของพี่กวีอยู่หรือเปล่า   จดหมายของเธอ ดูสงบสำรวมเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น   ทำให้พี่ชักวุ่นวายเพราะไม่แน่ใจว่าควรจะปฏิบัติตนต่อเธออย่างไรเมื่อเราพบกัน

เมื่อวานนี้ออกเดินหาซื้อของฝากให้เธอ   ความจริงเรื่องของฝากนี้ พี่เริ่มซื้อไว้แล้วตั้งแต่เมื่อมาถึงใหม่ๆ จนเดี๋ยวนี้มีอยู่ตั้งสองลัง   เห็นจะต้องส่งตามมาทางเรือ   นางสาวกรวิภาส่งบัญชีหางว่าวฝากซื้อของโดยไม่จ่ายเงินมาเรียบร้อยแล้ว   ประหลาดจริงยายคนนี้   ทีเราละก็แกจะให้ซื้อของฝากแกมากๆ แต่แกไม่เห็นฝากอะไรมาให้เราสักอย่างเดียว   ฝากมาทีไรละก็เป็นของนายกรันต์ทุกทีไป   คอยดูซี จะแกล้งไม่ซื้ออะไรฝากเสียให้เข็ด

เสื้อที่ชลาถักส่งไปให้พี่นั้นยังอยู่ดีทั้งสองตัว   นายกรันต์มาพักอยู่ด้วยคราวหลังสุดนี้ จะยึดเอาไว้ให้ได้ บอกว่าพี่กลับถึงเมืองไทยแล้วก็ไม่จำเป็นต้องใช้   มันจะเอาไว้ใส่อวดโก้กับเพื่อนๆ ว่าแฟนถักส่งมาให้   ธุระอะไรจะให้มันไปทำโก้ไม่เข้าเรื่อง จริงไหมจ๊ะ

มีข่าวไม่ดีเกี่ยวกับกรันต์นิดหน่อย   แต่พี่ยังไม่ได้บอกให้เจ้าตัวเขารู้   ปล่อยให้เขารู้เองดีกว่า   คุณกิติมาบอกพี่ว่าเวลานี้ฐานะของทางบ้านของกรันต์กำลังแย่   พ่อนายกรันต์เป็นลูกหนี้คุณสำราญอยู่ตั้งสองแสน   สงสัยว่าจะต้องโอนหุ้นทั้งหมดเป็นการใช้หนี้   น่าสงสารนายกรันต์ของเรา   ชีวิตครอบครัวของมันแย่เต็มที   กรันต์ดูเหมือนจะถูกเห็นว่าเป็นแกะดำสำหรับครอบครัว   เห็นจะเป็นเพราะเหตุนี้กระมัง นายกรันต์จึงไม่เคยพูดถึงครอบครัวของตนเลย   ผู้ชายที่มีเมียมากก็จะต้องลำบากอย่างนี้แหละนะ   พลอยให้ลูกเต้าต้องลำบากลำบน ได้รับความทรมานทางจิตใจไปด้วย   ทำให้พี่ตั้งปณิธานไว้ว่า   ถ้าพี่จะแต่งงานแล้ว พี่ก็จะขอรักและซื่อสัตย์กับคนนั้นไปตลอดชีวิต...

จดหมายในมือถูกลดลงเมื่อบานประตูห้องที่งับไว้แง้มออก   นางละเมียรก้าวเข้าประตูมา   เมื่อมองเห็นบุตรีก็กล่าวขึ้นว่า

“อ้อ   ไม่ได้หลับหรอกหรือ   เห็นเงียบ แม่นึกว่าหลับเสียอีก”

แล้วก็เดินมาทรุดกายลงนั่งบนพื้นกระดานอันขัดถูไว้จนขึ้นเป็นเงามันปลาบข้างกายบุตรี   มองดูวัตถุที่กองอยู่นั้น   พูดต่อไปว่า

“ทำอะไร   อ่านจดหมายของพ่อกวีหรือลูก?”

“ค่ะ”   ชลารับคำ   “อยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรจะทำก็เลยค้นจดหมายของพี่กวีออกมาอ่านเล่น”

“อ้อ” มารดารับรู้   “นี่อีกนานกี่มากน้อยพ่อกวีถึงจะกลับล่ะ?”

“คงจะกลับเร็วๆ นี้แหละค่ะ   เห็นบอกมาในจดหมายฉบับหลังสุดนี่ว่าอีกสองเดือน”

ชลาตอบเรียบๆ นางละเมียรเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

“อะไร อีกสองเดือนเท่านั้นเองหรือนี่   แหม เร็วเหลือเกินนะ   รู้สึกว่าพ่อกวีเพิ่งไปจากเมืองไทยเมื่อไม่นานมานี่เอง นี่จะได้กำหนดกลับมาแล้ว”   นางหยุดเว้นระยะก่อนที่จะถามต่อไปว่า   “เขาเขียนมาถึงหนูเสมอหรือจ๊ะ”

“เขียนเสมอค่ะ”   ชลาบอกไปตามความจริง   มารดาของเธอพยักหน้า   นิ่งไปอีกครู่หนึ่งก่อนที่จะถามต่อไปว่า

“เขาเขียนมาว่าอะไรบ้างล่ะ?”

“เขียนมามากมายหลายอย่างค่ะ   เล่าถึงอะไรต่ออะไรเยอะแยะ”

รวมทั้งพ่อเพื่อนรักเพื่อนเกลอของเขา ซึ่งเธอไม่เคยรู้จักเลยสักนิดนั้นด้วย   ชลาต่อคำพูดของตนเองอยู่ในใจ   มารดาของเธอถามต่อไปอีกว่า

“เขาพูดถึงเรื่องเก่าๆ บ้างหรือเปล่า?”

ชลาเงยหน้าขึ้นมองมารดาอย่างสงสัย   ย้อนถามอย่างไม่เข้าใจว่า   “อะไรคะ เรื่องเก่าๆ ที่แม่ว่า?”

นางละเมียรอึกอักเล็กน้อย ก่อนที่จะตอบว่า   “แม่หมายถึงว่า.. อ้า.. เมื่อตอนก่อนไปนั้น ดูเหมือนพ่อกวีจะชอบหนูมากอยู่   เขาไม่เคยบอกให้หนูคอย หรืออะไรทำนองนี้บ้างหรือจ๊ะ?”

ชลาหลบตาลงมองดูพื้นกระดาน ก่อนที่จะตอบว่า   “หนูไม่ได้จำไว้หรอกค่ะ   นั่นมันนานมาแล้ว เรายังเป็นเด็กอยู่ด้วยกันทั้งคู่   พูดอะไรออกไปก็แทบจะไม่รู้เสียด้วยซ้ำ”   เธอรู้ว่าเธอพูดไม่ตรงกับความจริง   แต่มันก็ไม่น่าจะเสียหายหรือเลวร้ายอะไรนักไม่ใช่หรือ   ใครจะรู้ได้ว่ากวีจะเปลี่ยนไปหรือไม่   ควรหรือที่จะไปผูกมัดตัวเองกับอดีตที่ไม่มีหลักประกันความมั่นคงเช่นนั้น

“หนูคิดว่าพ่อกวีจะเปลี่ยนไปไหมจ๊ะ”   นางละเมียรซักต่อไป   “แม่เคยเห็นเด็กบางคน ก่อนจะไปเมืองนอกเป็นเด็กดี๊ดี เรียบร้อยน่ารัก   แต่พอไปเมืองนอกกลับมาซีเปลี่ยนเป็นคนละคนเลยทีเดียว”

ชลานิ่ง เพราะคำพูดเหล่านั้นมิได้ต้องการคำตอบ   นางละเมียรเอง เมื่อพูดจบความแล้วก็นิ่งไปเช่นกัน   ครู่หนึ่งจึงเปลี่ยนเรื่องพูดขึ้นใหม่ว่า

“หมู่นี้ไม่เห็นหนูทำขนมหรืออาหารแปลกๆ กินอีกเลย   เสียทั้งเงิน เสียทั้งแรงไปเล่าเรียนมา   ประเดี๋ยวปล่อยทิ้งไว้นานมือก็จะเรื้อเสียหมดเท่านั้น”

“หนูก็อยากทำเหมือนกันแหละค่ะ   แต่อาหารฝรั่งทำทีหนึ่งๆ มันหลายสตางค์นัก เสียดายเงิน”

“นานๆ ทำทีคงจะไม่เป็นไร”   นางละเมียรว่า   “เอาสักอาทิตย์ละครั้งเป็นไงลูก”

ชลาพับจดหมายที่อยู่ในมือสอดเข้าซองเอาเก็บไว้ที่เดิม   ใช้ริบบิ้นมัดรวมเข้าตั้งวางเรียงลงในกล่อง แล้ว ปิดฝา   มีทีท่าใช้ความคิดอยู่ตลอดเวลาที่ทำงานนั้น   เสร็จแล้วจึงเงยหน้ามองสบตามารดา   กล่าวด้วยเสียงเรียบๆ ว่า

“คุณแม่คะ   หนูอยากจะเรียนขออนุญาตคุณแม่ทำอะไรสักอย่างหนึ่ง”

“จะทำอะไรจ๊ะ?”

“หนูอยากจะทำงานค่ะ” หญิงสาวบอก   เมื่อเห็นมารดานิ่งอยู่ก็รีบอธิบายต่อไปว่า   “หนูเบื่อที่จะอยู่กับบ้านเฉยๆ เหลือเกินค่ะ คุณแม่   เรียนหนังสือมาเสียเงินเสียทองไปก็มากมาย แล้วกลับต้องมานั่งนอนอยู่กับบ้าน ไม่ได้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์เลย   รำคาญตัวเองจะแย่อยู่แล้ว”

“ชลาคิดจะไปทำงานที่ไหนหรือลูก?”

“ยังไม่ทราบเลยค่ะ”   หญิงสาวตอบมารดาไปตามตรง   “ต้องลองหาๆ ดูก่อน”

“เป็นผู้หญิงน่ะมันยาก”   นางละเมียรพูดอย่างลำบากใจ   “ไอ้การจะเข้าทำงานที่ไหนน่ะ มันต้องพิจารณาดูให้ละเอียดนะลูก   สุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไป ถ้าได้ที่ทำงานดีๆ ก็ดีไป   แต่ถ้าไปเจอไอ้ที่ไม่ดีเข้า เราจะแย่”

“คงไม่สู้น่ากลัวอย่างที่คุณแม่ว่ากระมังคะ”   ชลาแย้งด้วยเสียงอ่อยๆ   “ผู้หญิงสมัยนี้เขาก็ทำงานกันทั้งนั้น   อย่างพี่สายธาร”

“โอ๊ย อย่าเอาอย่างแม่สารธารเขาเลยจ๊ะ”   นางละเมียรขัดขึ้นโดยเร็ว พร้อมกับยกมือขึ้นโบก   “นั่นน่ะเขาเก่งรอบตัว เขาเอาตัวรอดได้   แต่เราน่ะซี   แม่ยังสงสัยว่าจะทันกินกับเขารื้อ”

ชลากระพริบตาติดๆ กัน ด้วยรู้สึกฉงนในคำพูดของมารดา   ท่านหมายความว่ากระไรที่ใช้คำว่า ‘ จะทันกินกับเขาหรือ’   และการทำงานของเธอจะต้องไป‘ กินให้ทันเขา’ ด้วยเรื่องอะไรกัน ไม่เข้าใจเลย

“แม่สายธารน่ะ ถึงเขาจะเป็นหลานของแม่แท้ๆ และเป็นลูกของคุณพ่อก็จริงอยู่”   นางละเมียร กล่าวต่อไป   “แต่เขาก็ไม่ค่อยจะปรึกษาหารืออะไรแม่มากนักหรอก   ข้างเเม่จะพูดอะไรมากไปนักก็ไม่ดี   หน่อยจะเข้าทำนองลูกเลี้ยงเเม่เลี้ยง   ถึงเเม่จะเป็นน้าสาวของเขาก็ตาม มันก็หนีไม่พ้น คำว่าเเม่เลี้ยง ลูกเลี้ยงไปได้ดอกลูกเอ๋ย”

กล่าวจบเเล้วหญิงกลางคนก็ลุกขึ้นยืน บอกว่า   “เเม่จะไปเอนหลังเสียหน่อย   หนูรับขนุนเสียให้หมดซีจ๊ะ เเล้วเรียกเด็กผิวมาเก็บจานไปเสีย   ทิ้งไว้เดี๋ยวมดจะขึ้น”

แม่ก็ยังคงเป็นแม่อยู่เสมอ ในสายตาและความรู้สึกของแม่   ชลามองตามมารดาไปพร้อมกับยิ้มอย่างขบขัน   ใช้ซ่อมจิ้มขนุนในจานขึ้นใส่ปากต่อไป

อีกไม่ถึงชั่วโมงต่อมาหล่อนก็ลงมาเดินเล่นอยู่ที่ข้างล่าง   อดที่จะแวะเข้าไปดูกรงนกมิได้ เมื่อเดินผ่าน   แม้ว่าเจ้ากิ่งไม้แห้งที่ปักเป็นคอนอยู่กลางกรงนั้นจะยังคงปักแห้งอยู่ดังเดิม   แต่เจ้าสิ่งที่อาศัยภายในรั้วล้อมแคบๆ นั้นก็หาใช่สิ่งเดิมไม่   เจ้านกน้อยขนเขียวตัวอยู่ไม่สุขได้ตายไปแล้วทั้งคู่หลังจากที่กวีได้จากไปเมืองนอกเพียงหกเดือน   มันเป็นความผิดของเด็กคนใช้ที่นำเอากล้วยและน้ำเข้าไปเปลี่ยนให้แล้วลืมปิดประตู   เป็นเหตุให้เจ้าแมวขโมยตัวหนึ่ง ซึ่งไม่รู้ว่ามันย่องมาจากที่ไหนเข้าไปตะปบเอานกตัวผู้ได้   เมื่อ ชลา ลงมาดูในตอนเช้านั้น   สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาของเธอก็คือร่างเขียวกระจ้อยร่อยนั้นตกอยู่ข้างแถบคอน   ขนสีเขียวของมัน กระจุยกระจายคล้ายเศษผ้าที่ถูกขยี้ขยำทิ้งอย่างไม่ใยดี   นังตัวเมียเกาะคอนซึมเซาอยู่เหนือร่างอันยับเยินของคู่มัน   ไม่นำพาแม้กับประตูกรงที่เปิดอ้าให้ช่องทางออกไปสู่อิสรภาพ   ไม่ใยดีแม้กระทั่งกล้วยสุกใบโตที่หอมหวาน และยอดข้าวใหม่ๆ ที่หอมหวน ที่ชลาไปสรรหามาปรนเปรอบำรุงบำเรอใจมัน   มันเกาะคอนซึมเซาอยู่อย่างนั้นได้เพียงสองวันก็ตกลงมาตายตามคู่ของมันไป

กรงนกกรงนั้นถูกทิ้งไว้ให้ว่างเปล่าปราศจากผู้พักพิงอาศัยมานานครัน   จวบจนกระทั่งวันหนึ่ง ชลาติดตามสายธารไปคุยกับกรวิภาที่บ้านโน้น   เธอได้เห็นลูกไก่งวงเล็กๆ คู่หนึ่งกำลังวิ่งเตลิดอย่างตื่นตกใจ เพราะถูกเจ้าก้อนแป้งตัวคะนองวิ่งไล่ตะครุบหยอกเย้าไปมา   เห็นทีอาการตกอกตกใจของเจ้าไก่งวงตัวน้อยทั้งคู่จะกลายเป็นความสนุกอย่างล้นเหลือของเจ้าก้อนแป้งก็ได้   มันจึงยิ่งทวีความคะนองยิ่งขึ้น จนกระทั่งในที่สุด เจ้าไก่งวงตัวน้อยตัวหนึ่งก็พลาดท่า ถูกเจ้าก้อนแป้งงับเข้าที่กลางตัว   เสียงร้องจี๊ดด้วยความตกใจและเจ็บปวดของลูกไก่ ฉุดชลาจากที่นั่งให้วิ่งถลาตรงไปโดยเร็ว   เจ้าก้อนแป้งยังคงคาบร่างเล็กๆ ที่ดิ้นแด่วอยู่นั้นเฉยอยู่   ชลาจะจับปลอกคอมันไว้พร้อมกับตีตรงสะโพกมันโดยแรง   ครั้งแรกเจ้าก้อนแป้งไม่ยอมปล่อย   จะเป็นเพราะมันยังตกใจอยู่ หรือว่าเป็นเพราะชักติดใจในรสหวานของเลือดและเนื้อสดที่เพิ่งจะลองลิ้มเป็นครั้งแรกก็เหลือเดา   จนเมื่อชลาฟาดมือลงซ้ำที่เดิมอีก ๒-๓ ครั้งนั่นแล้ว เจ้าก้อนแป้งจึงได้ปล่อยร่างของเจ้าเหยื่อตัวจิ๋วของมันลงพร้อมกับส่งเสียงร้องครางราวกับว่าเจ็บปวดเสียเต็มประดา   มันวิ่งหนีไปโดยเร็วเมื่อชลาละมือจากปลอกคอของมัน

ชลาอุ้มร่างเล็กๆ ที่บาดเจ็บ และสั่นด้วยความตกใจของไก่งวงตัวน้อยนั้นไว้ในมือพลางเดินกลับมายังเก้าอี้สนามเหล็กดัดแบบโก้เก๋ที่สายธารและกรวิภานั่งคุยกันอยู่นั้น   กรวิภามองดูชลาอย่างเบื่อๆ เมื่อพูดว่า

“มัวเสียแรงไปวุ่นวายอยู่ทำไมกับเจ้าตัวพรรค์นี้   เหนื่อยเปล่าๆ ”

“จะบ้าตาย   ปล่อยให้หมามันฟัดเสียบ้างก็ดี”

“โธ่ สงสารมันออก”   ชลาว่า ใช้มือแตะต้องปากแผลที่เป็นรอยลึกเข้าไปเล็กน้อย   มีเลือดไหลเป็นทางลงมาเปื้อนเปรอะขนอันยังอ่อนนุ่มตรงสีข้าง

“ทำไมเธอไม่ทำกรงให้มันอยู่เล่ากรวิภา   ขืนปล่อยไว้อย่างนี้เจ้าก้อนแป้งฟัดแย่ไปเท่านั้น   มันลองลิ้มเลือดเสียแล้วด้วยซี”

“ใครจะมามัวเสียเวลาพิทักษ์รักษามัน”   กรวิภาว่า   “อีตาสมสมัครน่ะซี แกหอบเอามาให้   วันนั้นเราอุตริไปชมฟาร์มไก่งวงที่บ้านแกเข้าหน่อยเท่านั้น   หนอยแน่ะ พอรุ่งขึ้นหอบโร่เอามาให้แล้วสองตัว   ไอ้เราจะไม่เอาก็ไม่ได้”

“โธ่ ขืนปล่อยไว้อย่างนี้มันก็ต้องตายกันเท่านั้นเอง”   ชลาว่า   “ฉันรับเลี้ยงให้เอาไหมล่ะ”

“โอ๊ย ดีทีเดียว”   กรวิภารีบอนุญาตโดยเร็ว   “เอาไปเลยเถอะทั้งสองตัวแหละ ฉันให้   เลี้ยงไว้ให้อ้วนๆนะ   แล้วพอคริสตมาสก็จัดการอบมาเลี้ยงกันบ้างก็แล้วกัน”

ด้วยเหตุฉะนี้ กรงลวดตาข่ายที่ว่างเปล่าปราศจากผู้อาศัยมานานนักหนาแล้วนั้น จึงได้กลับกลายเป็นที่พำนักพักพิงของเจ้าไก่งวงน้อยคู่นั้นต่อมา

จบบทที่ 3