ดวงใจนี้ใครครอง

>> สุภาว์ เทวกุลฯ

ดวงใจนี้ใครครอง

บทที่ 18

รถเก๋งคันใหญ่ใหม่เอี่ยม   แล่นเลี้ยวเข้าประตูบ้าน ‘โสภณา’ อย่างเชื่องช้า   แล้วคลานไปจอดนิ่งเทียบบันไดตึก     คนขับรีบลงไปเปิดประตูด้านในออกด้วยท่าทางที่นอบน้อม   กิติมา พงษ์ศรี   ธิดาคนโตของคุณวินิจ โสภณา   ก้าวลงจากรถคันนั้นด้วยท่าทางที่กรีดกรายเป็นสง่าอันได้ฝึกฝนมานานหนักหนาจนติดชินเป็นนิสัย   หล่อนมองไปที่รถสปอร์ทสีฟ้าหม่นซึ่งจอดทิ้งไว้หน้าโรงรถ แล้วก็หันไปสั่งแก่คนรถว่า

“แกเอารถกลับไปบ้านเถอะ   ประเดี๋ยวฉันจะให้คุณกวีไปส่ง   จอดทิ้งเอาไว้ที่นี่เด็กเล็กมันมี   ประเดี๋ยวจะมาเล่นซนขีดข่วนรถของฉันเป็นรอยไป   ถึงที่บ้านก็เถอะ   เอาเก็บเข้าโรงแล้วปิดประตูเสียให้เรียบร้อย   ลูกของแกแต่ละคนซนยังกะลิง   ฉันไม่ไหวใจเลย”

คนรถของหล่อนได้ยืนประสานมือรับฟังคำพูดเหล่านั้นอยู่ด้วยความนอบน้อม   และมีดวงตาอันเป็นปกติเฉยเมยดุจรูปปั้น ซึ่งผู้เป็นนายไม่อาจจะอ่านได้ออกว่าเขามีความรู้สึกอย่างไร     เมื่อหล่อนพาร่างที่ค่อนข้างงามสมบูรณ์ก้าวขึ้นบันไดไปแล้ว   เขาจึงกลับขึ้นนั่งประจำที่   พารถเคลื่อนออกไปตามคำสั่งอย่างเรียบร้อยและระมัดระวังยิ่ง

“แหม   นิ่ไม่มีใครอยู่บ้านอยู่ช่องสักคนหนึ่งเลยเทียวหรือ”

กิติมาส่งเสียงออกไปดังๆ เมื่อเข้ามาถึงห้องกลางแล้วและยังมองไม่เห็นใครเลยแม้แต่คนเดียว   ถึงแม้ว่าจะแต่งงานออกเหย้าเรือนไปแล้วถึงสิบปี   กิติมาก็ยังคงถือว่าหล่อนเป็นธิดาคนใหญ่ของบ้านนี้เสมอ

เด็กรับใช้สาวรุ่นๆคนหนึ่ง เดินอย่างรีบร้อนมาจากทางประตูด้านหลัง   เมื่อมองเห็นผู้ที่มาเยี่ยมเยือนถนัดก็ร้องว่า

“อ้อ คุณมา” แล้วก็ทรุดตัวลงนั่งไหว้อย่างนอบน้อม   เพราะหล่อนเคยได้ยิน ‘คุณลูกสาวคนโต’ ของท่านคนนี้บ่นดังๆ เสมอว่า

“นี่คุณพ่อเลี้ยงคนอย่างไง   เดี๋ยวนี้ละแขกไปใครมา   ก็ไม่ต้องมีการเคารพนบไหว้กันละ   หน่อย เขาจะพูดกันได้ว่าบ้านนี้อบรมคนใช้ไม่เป็น   ปล่อยให้เหลิงซุ่มซ่ามเป็นคนป่าขายหน้าเขาไปถึงไหนๆ”

“นี่ไม่มีใครอยู่บ้านเลยหรือ?”   กิติมาถาม

“คุณกรไม่อยู่ค่ะ   ออกจากบ้านไปตั้งแต่เช้า” เป็นคำตอบที่ไม่สู้จะตรงคำถามนัก   แต่กิติมาก็มิได้สนใจจะจับผิด   ถามต่อไปว่า

“คุณพ่อล่ะ?”

“ท่านอ่านหนังสืออยู่ข้างบนค่ะ”

“คุณกวีล่ะ” กิติมาซักต่อไป   “อยู่หรือเปล่า?”

“คุณผู้ชายอยู่ที่เรือนพักร้อนค่ะ”

กิติมามีสีหน้าที่แสดงว่าพอใจในคำตอบนั้น   เมื่อสาวใช้ขยับตัวบอกว่า   “ดิฉันจะไปเรียนคุณผู้ชายว่าคุณมา”   หล่อนก็โบกมือบอกว่า   “ไม่ต้องหรอก   ฉันจะเดินไปหาเขาที่เรือนพักร้อนเอง”   แล้วก็หมุนกายออกเดินไปยังทิศทางที่นำไปสู่เรีอนพักร้อนหลังนั้น

เมื่อกิติมาผลักบานประตูกระจกเรือนพักร้อนเข้าไปนั้น   หล่อนได้เห็นร่างค่อนข้างสูงของน้องชายยืนหันหลังแต่ตะแคงข้างนิดๆ มาทางประตู   เขามิได้มองเห็นหล่อน   เพราะขณะนั้น ความสนใจทั้งมวลของเขาดูเหมือนจะไปรวมอยู่ที่เจ้าบ้านจำลองหลังน้อยกระทัดรัดที่ตั้งอยู่บนโต๊ะสี่เหลี่ยมตรงหน้าเท่านั้น

“แหม กวีมาอยู่ที่นี่เอง”

กิติมาส่งเสียงขึ้นก่อน   ชายหนุ่มจึงหันมา   ดวงหน้าอันขาวสะอาดอ่อนโยนของเขาปรากฏรอยยิ้มอย่างทักทาย   เขาละจากที่ที่ยืนอยู่นั้นเดินเข้ามาหาพี่สาว ถามว่า

“คุณกิติมามานานแล้วหรือครับ?”

“เพิ่งมาถึงจ้ะ” พี่สาวตอบ   “เข้ามาถึงไม่พบใครเลยสักคน   เด็กบอกว่าเธออยู่ที่นี่พี่ก็เลยตามมา   แม่กรไม่อยู่บ้านอยู่ช่องบ้างเลยหรือ?”

“ตั้งแต่ผมกลับมานี่ยังไม่เคยเห็นกรวิภาอยู่ติดบ้านเลยสักวัน”   กวีตอบหัวเราะๆ แต่ดวงตาค่อนข้างเคร่งคิด   “ออกไปเที่ยวที่ไหนได้ทุกวันก็ไม่ทราบ   ไม่รู้จักเบื่อเสียบ้างเลย   งานการก็ไม่เห็นทำ”

“เขาก็แวะเข้าไปนั่งที่ธนาคารบ่อยเหมือนกันนี่” กิติมากล่าวคล้ายจะแก้แทนน้องสาว   “บางทีก็ไปนั่งไปนอนอยู่ที่บ้านพี่   ก็น่าเห็นใจแก   แกเป็นเด็กสาวๆ ก็ย่อมจะต้องรับความสนุกสนาน   ที่บ้านนี้ก็ไม่มีใครที่แกจะพูดคุยด้วยได้   มีแต่คุณพ่อคนเดียวหรือก็ออดแอด”

“ยิ่งคุณพ่อเจ็บออดแอดสิ   กรวิภา ควรจะได้อยู่บ้านคอยดูแล” กวีว่า   หน้าขรึมยิ่งขึ้น   สำหรับกิติมานั้น ถึงอย่างไรหล่อนก็ยังรู้สึกมีความสนิทสนมกับน้องสาวมากกว่าน้องชาย   เมื่อเห็นว่ามีท่าไม่ค่อยดีจะเป็นผลเสียแก่น้องสาวก็รีบกลบเกลื่อนเสียว่า

“แต่คุณพ่อน่ะท่านไม่ชอบให้มีใครวุ่นวายกับท่านนักหรอกจ้ะ   ท่านชอบอยู่ของท่านคนเดียว   บางทีท่านยังบอกให้ยายกรออกไปเที่ยวเสียด้วยซ้ำ”

กวีหัวเราะ มิได้ตอบว่ากระไร   เป็นแต่ชวนว่า   “ขึ้นไปคุยกันข้างบนดีไหมครับ   คุณกิติมา   รู้สึกว่าจะสบายกว่าคุยกันที่นี่”

ชายหนุ่มคลี่แพรสีน้ำเงินผืนใหญ่ออกคลุมบ้านจำลองนั้นอย่างเรียบร้อยก่อนที่จะเดินตามที่สาวออกมาจากเรือนพักกลับขึ้นไปบนตึก

“พี่ไม่ขึ้นข้างบนละนะ กวี”

กิติมาร้องบอกความประสงค์ของหล่อน เมื่อเห็นน้องชายเดินนำหน้าจะขึ้นบันไดชั้นบน     กวีชะงักเท้าซึ่งก็ขึ้นไปข้างหนึ่งแล้วนั้นหันกลับมามองดูพี่สาวด้วยความประหลาดใจ

“อ้าว” เขาอุทาน   “คุณกิติมาจะไม่ขึ้นไปหาคุณพ่อหรือครับ?”

“ไม่ล่ะ ขี้เกียจ”   พี่สาวย่นจมูก   แต่เมื่อเห็นแววประหลาดอย่างหนึ่งจุดขึ้นในสายตาของน้องชาย ก็รู้สึกตัว   รีบกลับแก้โดยเร็วว่า   “เดี๋ยวค่อยขึ้นไปก็ได้   ตอนนี้ท่านกำลังอ่านหนังสืออยู่ไม่ใช่หรือ   เห็นเด็กบอก เวลาคุณพ่ออ่านหนังสือท่านมักจะไม่ชอบให้ใครกวน”

ริมฝีปากที่ค่อนข้างบางราวปากสตรีของกวีเผยอจากกันนิดๆ คล้ายจะยิ้ม   เขาลดขาข้างหนึ่งที่วางอยู่บนขั้นบันไดลงบอกว่า

“ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจคุณกิติมา   จะนั่งคุยกันข้างล่างนี่ก่อนก็ได้”

กิติมายิ้มอย่างพอใจ   เดินนำหน้าน้องชายเข้าไปสู่ระเบียงหินอ่อน   กวีจึงกลับมาหย่อนกายลงนั่งบนเบาะกลมซึ่งตั้งอยู่เยื้องกับเก้าอี้นวมตัวยาวซึ่งพี่สาวนั่งพับขาอย่างสบายอยู่แล้วนั้น   ถามว่า

“คุณกิติมาไม่ได้มีธุระอะไรกับคุณพ่อดอกหรือครับ   หรือว่าเพียงแต่นั่งรถผ่านมาก็เลยแวะเข้ามาดูว่ามีใครอยู่บ้านบ้างเท่านั้นเอง”

“ก็อยากจะมาเยี่ยมคุณพ่อเหมือนกันแหละ”   กิติมาแก้ตัวความพลั้งพลาดของหล่อนเมื่อกี้นี้   “แล้วก็อยากจะแวะมาคุยกับเราด้วย   ตั้งแต่กลับมานี่ดูเหมือนเราจะไม่ได้เคยคุยกันอย่างเป็นกิจลักษณะเลยนี่นา ใช่ไหม?”

“เอ๊ะ” ดวงตาของกวีเป็นประกายอย่างขบขันแกมสงสัย   “ที่คุณกิติมามาวันนี้ก็เพราะคงจะอยากคุยกับผมให้เป็นกิจลักษณะมากกว่ามาเยี่ยมเยือนตามปกติกระมังครับ”

“ฮื้อ กวีก็”   กิติมาดูว่าจะไหวทันในคำพูดของน้องชาย   “เราพี่กันน้องกันก็ย่อมจะต้องเอาใจใส่ในทุกข์สุขของกันเป็นของธรรมดาจริงไหม   เราจะเห็นคนอื่นดีกว่าพี่น้องร่วมไส้คลานตามกันออกมายังไงได้”

กวีมิได้ตอบรับหรือคัดค้านคำพูดนั้น   ดวงตาที่ใส่สว่างฉลาดเฉลียวของเขาจับจ้องดูหล่อนนิ่งอยู่   เมื่อน้องชายนิ่ง กิติมาก็กล่าวต่อไป

“นี่เธอก็กลับมาตั้งเดือนกว่าแล้ว   ยังหางานหาการทำไม่ได้อีกหรือ?”

“ผมกำลังหาอยู่แล้ว” กวีตอบยิ้มๆ

“กำลังหาอยู่”   กิติมาทวนคำ   “โอย แล้วเมื่อไหร่จะได้กัน   งานสมัยนี้น่ะมันหาได้ง่ายๆ อยู่หรือ   ถ้าไม่มีคนหนุนละก็ หัวนอกก็หัวนอกเถอะ   เห็นตกงานกันเป็นแถวๆ ไปนี่   พี่จะบอกคุณสำราญเขาช่วยฝากให้เอาไหม?”

“ขอบคุณครับ” ดวงตาของกวีเป็นประกายขึ้นเล็กน้อย   “แต่อย่าต้องลำบากเลยดีกว่า”

“ทำไมเล่า?”   กิติมาซักอย่างไม่เข้าใจ   “ไม่เห็นจะต้องลำบากอะไรนี่   จะพูดไปก็เหมือนจะอวดสามีของตัวเอง   แต่เธอก็รู้อยู่แล้วนี่นะว่าพี่เขยของเธอน่ะเขากว้างขวางยังไง   เขาฝากงานให้ใครละก็ไม่เคยพลาดสักรายเดียว ดูแต่ชลาซิ   คุณสำราญพูดคำเดียวเท่านั้นแหละ... สำเร็จ... เออ... พูดถึงชลา....” กิติมาเปลี่ยนเรื่องไปทันที   “เดี๋ยวนี้ได้ข่าวว่าเธอไปรับเขาออกไปกินข้าวบ่อยๆ หรือ”

“คุณกิติมาได้ข่าวมาจากใคร?”

“เรื่องได้ข่าวมาจากใครนั่นน่ะไม่สำคัญหรอกนะ” พี่สาวปัด   “ว่าแต่จริงหรือเปล่าล่ะ ที่ว่าเธอไปรับชลาออกไปกินข้าวกลางวันบ่อยๆ”

“จริงครับ” กวีรับเรียบๆ อย่างเป็นปกติธรรมดาที่สุด

“อาเวชกับอาละเมียรรู้เรื่องนี้หรือเปล่า?”

“ยังไงก็ไม่ทราบ” กวีตอบ   “แต่ถึงจะรู้ก็ไม่น่าจะเกิดอะไรขึ้น   เพราะคุณอาทั้งสองก็ทราบดีว่าผมกับชลาสนิทสนมกันมาตั้งแต่ครั้งไหน   แล้วอีกอย่างหนึ่ง”   ดวงตาของชายหนุ่มเป็นประกายขึ้นเมื่อกล่าวต่อไปว่า   “ผมเชื่อว่าคุณอาคงอยากจะให้ลูกสาวของท่านไปกับผม มากกว่าที่จะไปกับคนอื่นที่ท่านไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าเป็นแน่”

คำพูดของน้องชายทำให้กิติมานิ่งอึ้งไป   หล่อนมองดูหน้าเขาอย่างจะค้นหาความจริงใจที่ซ่อนอยู่ในคำพูดเหล่านั้น   แต่สีหน้าของกวียังคงสงบเป็นปกติ   ริมฝีปากของเขาระบายด้วยรอยยิ้มนิดๆ ตามเคย   และดวงตาก็มิได้มีรอยพิรุธอันใด   กิติมามีท่าทางอึดอัดใจเล็กน้อย   ริมฝีปากที่มีลักษณะคล้ายของน้องชาย   แต่กว้างกว่าเล็กน้อยและเคลือบด้วยสีชมพูออกม่วงเม้มเข้าแล้วคลายออกอยู่ ๒-๓ ครั้งกว่าหล่อนจะพูดออกมาได้ว่า

“กวี   พี่มีเรื่องที่เกี่ยวกับชลา อยากจะพูดกับเธอสักหน่อย”

หล่อนหยุดมองดูน้องชาย ก็เห็นเขานิ่งเฉยมองดูหล่อนอย่างคอยรับฟังอยู่   กิติมาจึงกล่าวต่อไปอย่างไม่สู้จะเต็มเสียงนักว่า

“พี่ยังไม่ได้เล่าให้เธอฟังว่าเวลานี้คุณสำราญกำลังติดต่อกับผู้ใหญ่คนหนึ่งเรื่องการงานอยู่   ถ้าผู้ใหญ่คนนี้ตกลงใจที่จะสนับสนุนละก็   พี่เป็นได้รวยได้เงินใช้หลายแสนทีเดียว”

กิติมาหยุดพูดอีก   หล่อนหวังว่าจะได้เห็นน้องชายแสดงความตื่นเต้นหรือยินดีกับโชคมหาศาลที่หล่อนจะได้รับ   แต่เขาก็ยังคงนิ่งฟังเฉยอยู่อย่างเดิม

“ทีนี้”   กิติมาพูดต่อไปอย่างลำบากใจยิ่งขึ้น   “ผู้ใหญ่คนที่ว่านี่แหละเป็นประธานกรรมการหรือจะพูดกันอีกทีก็คือเป็นเจ้าของบริษัทไทยทัศนาที่คุณสำราญฝากชลาเข้าทำงาน”

ประโยคต่อไป ดูเหมือนจะเพิ่มความลำบากใจให้แก่กิติมามากขึ้น   เพราะหล่อนหยุดนิ่งไปนาน จนกวีซึ่งตั้งใจไว้ว่าจะนิ่งฟังเฉยๆ จนกว่าพี่สาวจะพูดจบอดรนทนไม่ได้   ต้องถามขึ้นว่า

“แล้วยังไงครับ   ผมฟังอยู่ตั้งนานแล้ว   ยังไม่เข้าใจเลยว่า การที่ผมไปรับชลาไปทานข้าวกลางวันนี่น่ะมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องงานการของคุณสำราญด้วย”

“เกี่ยวซีจ๊ะ” กิติมาตอบรับโดยเร็ว   “ก็เพราะว่าผู้ใหญ่คนนั้นน่ะท่านสนใจในตัวชลาอยู่มากๆ   ท่านเคยรับชลาออกไปกินข้าวกลางวันเสมอ   จนกระทั่ง...”

กิติมาพูดค้างไว้เพียงแค่นั้น   แต่กวีก็ต่อให้ว่า

“จนกระทั่งผมไปรับชลาเสียเอง   งั้นใช่ไหมครับ?”   เขายังคงอยู่ในอิริยาบถเดิม   มีแต่ดวงตาเท่านั้นที่วาวโรจน์ขึ้น   “คุณกิติมากำลังทำให้ผมเข้าใจว่า คุณกิติมาและคุณสำราญกำลังใช้ชลาเป็นเครื่องมือ ช่วยให้งานของคุณเป็นผลสำเร็จ”

จะพูดอย่างนั้นก็ได้” กิติมาว่า   หน้าร้อนขึ้นเพราะคำพูดของน้องชาย   “แต่มันไม่เลวร้ายอย่างเสียงที่เธอพูดหรอกน่ะ   พี่เพียงแต่จะให้เธอหยุดไปรับชลาเสียพักนึงก่อนเท่านั้น   เมื่องานของพี่เรียบร้อยแล้วเธอจะยุ่งเกี่ยวกับเขาถึงขนาดไหนพี่ก็ไม่ยุ่งด้วยทั้งสิ้น”

กวีผุดลุกขึ้นยืนเมื่อพี่สาวพูดจบ   เขาเดินไปหยุดที่หน้าต่าง หันหน้าออกสู่ระเบียงหันหลังมาทางหล่อน   กิตติมาจึงไม่มีโอกาสจะอ่านสีหน้าของเขาในขณะนั้นได้ว่าเขารู้สึกอย่างไร   ครู่ใหญ่ เมื่อชายหนุ่มหันกลับมา   สีหน้าของเขาก็ราบเรียบเป็นเหมือนเช่นธรรมดาแล้ว   เขาถามว่า

“เรื่องที่คุณกิติมาตั้งใจจะมาพูดกับผลวันนี้   มีแค่นี้เองใช่ไหมครับ?”

“เท่านั้นแหละ” กิติมาชักเท้าออกจากท่านั่งพับเพียบลุกขึ้นยืนบ้าง   “พี่เห็นจะต้องกลับเสียทีละ   วันนี้คุณสำราญจะเชิญแขกมากินน้ำชา   จะต้องไปดูแลสักหน่อย   ความจริงเขาก็สั่งงานไว้แล้วละ   แต่จะไว้ใจคนใช้นักไม่ได้”

กวีมิได้รบเร้าหรือชวนพี่สาวขึ้นไปหาท่านบิดาข้างบนอีก   เขาเดินตามหล่อนออกไปที่หน้าตึกเงียบๆ   เมื่อมิได้เห็นยานพาหนะคันใดจอดคอยอยู่ ก็อดที่จะแสดงความแปลกใจเสียมิได้

“เอ๊ะ คุณกิติมาไม่ได้เอารถมาหรอกหรือวันนี้”

“เอามาซี”   กิติมาตอบเร็ว   “แต่พี่ให้กลับไปแล้ว   มาจอดคอยอยู่เสียเวลา   จะได้กลับไปช่วยงานเขาทางบ้านบ้าง   แล้วก็พี่เห็นรถของเธอเลยรู้ว่าเธออยู่   คิดจะขอให้เธอช่วยไปส่งให้สักหน่อย”

“เอาซีครับ” กวีรับคำอย่างเต็มใจ   “ผมว่าง ไม่ได้ทำอะไร จะขับไปส่งให้   คุณกิติมาคอยอยู่ตรงนี้แหละ   ผมจะไปถอยรถมารับ”

ตลอดทางที่กวีขับรถมาส่งพี่สาว   ทั้งสองมิได้เอ่ยถึงเรื่องที่พูดกันแล้วนั้นอีกเลย   ทั้งๆ ที่กิติมาจะเป็นคนเอาแต่ใจตัวอย่างไรก็ตาม   หล่อนก็รู้จักนิสัยใจคอของกวีดีพอ ใช้   ว่าเขาเป็นคนที่พูดกันเข้าใจง่ายที่สุด   แต่ข้อสำคัญก็คือว่าเขาจะทำหรือไม่ทำเท่านั้น   นี่สิที่ทำให้กิติมากังวลใจหนักหนา

“มีเวลาอีกครึ่งชั่วโมงกว่าแขกจะมากัน”

กิติมายกข้อมืออันอวบขาวที่สวมนาฬิกาเรือนจิ๋ว มีเพชรลูกเม็ดเล็กๆ ประดับขึ้นดูเมื่อน้องชายพารถเข้าจอดเทียบที่บันไดบ้านของหล่อนแล้ว

“คุณสำราญอยู่บ้านหรือเปล่าครับ”   กวีถามถึงพี่เขยอย่างมีกิริยาดี

“เปล่าจ๊ะ   เดี๋ยวจะพาแขกบางคนมาพร้อมกันเลย   เธอจะไม่อยู่คอยพบคุณสำราญสักหน่อยหรือ”

“อย่าดีกว่าครับ”   กวีตอบยิ้มๆ   ก้มลงมองดูเสื้อฮาวายมีลวดลายเป็นรูปกล้องยาเส้นลักษณะแปลกๆ ทั่วตัวที่สวมอยู่นั้น   “ผมไม่ได้เตรียมตัวมาออกแขก   จะทำให้คุณกิติมากับคุณสำราญขายหน้าเขาเปล่าๆ”

“จะเป็นไรไป” กิติมาว่า   “เรามีข้อแก้ตัวได้สารพัด   แล้วอีกอย่างหนึ่ง   คนส่วนมากเขาก็รู้กันว่า เธอเพิ่งกลับมาจากเมืองนอก   ไม่มีใครเขาถือสาหรอกน่ะ   อยู่กินน้ำชาด้วยกันเถอะ   ไม่งั้นเธอจะเสียใจนะเออ”

กิติมาทำเสียงล้อ   กวีจึงถามว่า   “เสียใจเรื่องอะไรกันครับ?”

“เรื่องที่ไม่ได้พบของดีน่ะซี”   กิติมาว่า   ทำหน้าลับลมคมในอย่างจะยั่วให้ถาม   แต่เมื่อน้องชายยังคงนั่งยิ้มเฉยอยู่ มิได้แสดงท่าทีอันใดว่าติดใจซักถามต่อไป   หล่อนก็จำต้องขยายความออกมาเสียเองว่า

“อยากจะให้เธอได้เห็นลูกสาวอาเสี่ยบุญสมาน   หน้าตาน่ารักมาก   เสี่ยสมานถนอมเป็นแก้วทีเดียว   เมื่อวันเกิดซื้อสายสร้อยเพชรให้ทั้งสาย ราคาตั้งสี่หมื่นกว่า”

เมื่อเห็นน้องชายยังคงยืนยิ้มเฉยอยู่   หล่อนก็รบเร้าว่า   “อยู่นะ”

กวีมิได้ตอบประการใด   เขาเปิดประตูรถ ก้าวลงเดินอ้อมไปเปิดให้พี่สาว   กิติมาจำต้องก้าวลงรถด้วย   แต่หล่อนยังไม่ละความตั้งใจที่จะชักชวนน้องชายต่อไป

“ตกลงอยู่นะ กวี”

กวียังไม่ทันจะตอบ ก็พอดีกับมีเสียงรองเท้าส้นสูงดังขึ้น   ร่างของสตรีผู้หนึ่งปรากฏขึ้นที่ประตูหน้าตึก   เมื่อกวีหันไปมอง ก็ได้ยินเสียงอุทานอย่างยินดีของสตรีผู้นั้นว่า

“อุ๊ย คุณกวีมา”

แล้วเจ้าหล่อนก็ซอยเท้าวิ่งลงบันไดตรงมายังชายหนุ่มและพี่สาวยืนอยู่นั้น

จบบทที่ 18