นางละเมียรรู้สึกแปลกใจเป็นอันมาก เมื่อได้พบบุตรีที่ห้องอาหารในตอนเช้าวันนั้น และสังเกตเห็นว่า หล่อนมิได้แต่งกายด้วยชุดที่แสดงว่าจะออกไปทำงานเช่นเคย ชลายังคงนุ่งซิ่นและสวมเสื้อผ้าป่านชมพูซึ่งเป็นชุดที่หล่อนแต่งเมื่อเวลาอยู่กับบ้านเสมอ ใบหน้าค่อนข้างซีดเซียว และใต้ขอบตามีรอยช้ำเล็กน้อย
“เอ๊ะ... วันนี้แม่หนูไม่ไปทำงานหรอกหรือจ๊ะ เกือบแปดโมงแล้วไม่ใช่หรือ ทำไมยังไม่เห็นแต่งตัว ?”
“คิดว่าวันนี้จะหยุดสักวันหนึ่งค่ะ”
ชลาตอบมารดา หลบสายตาลงมองจานข้าวซึ่งเธอกำลังจัดเรียงประจำที่ทั้งสี่นั้น
“เป็นอะไรไป ไม่สบายหรือจ๊ะ ?” นางละเมียรถามด้วยความเป็นห่วงใยตามวิสัยของมารดา “คงไม่สบายละซี ดูหน้าตาซีดเซียวแล้วก็ตาโรย ๆ อยู่นี่ นี่ละนะคงเป็นเพราะเมื่อคืนอดนอน ก็หนูเคยนอนดึกเสียเมื่อไหร่ ดีแล้วละ เมื่อไม่สบายก็ลาเขาสักวัน เขาคงไม่ว่าอะไรหรอกนะจ๊ะ”
ชลารู้สึกโล่งใจเป็นอันมากที่มารดามิได้ซักถามอะไรมากกว่านั้น เพราะด้วยสัญชาติญาณแห่งความเป็นมารดาย่อมมีความห่วงใยในตัวบุตรเหนือกว่าสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น นางละเมียรกล่าวต่อไปว่า
“ทานข้าวเสร็จแล้ว หนูก็ขึ้นไปนอนเถอะจ้ะ ไม่อย่างนั้นจะเป็นมากไป พรุ่งนี้ถ้าต้องขาดงานอีกนายเขาจะว่าเอาได้ หยุดงานบ่อยนักไม่ดีจ้ะ”
ชลามิได้โต้ตอบถ้อยคำของมารดาแต่อย่างใด พรุ่งนี้เธอจะไปทำงานหรือไม่ก็ยังตัดสินใจไม่ได้ จะต้องลองถามพี่กวีก่อน พี่กวีเป็นคนฉลาด เขารู้ดีว่าอะไรควรทำและอะไรไม่ควรทำ ชลาเชื่อว่าเขาจะต้องแนะนำให้เธอทำในสิ่งที่ถูกต้องสมควรเท่านั้น และเธอได้สัญญากับตนเองแล้วว่า ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เธอจะเชื่อฟังกวีและทำตามคำแนะนำของเขาเสมอไปทุกสิ่งทุกอย่าง
คุณเวชเพียงแต่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อมองเห็นบุตรีคนเล็ก ท่านถามว่า “อ้าว...ยายชลา วันนี้ไม่ไปทำงานหรอกรึ?” แล้วก็หันไปคว้าหนังสือพิมพ์มาอ่าน โดยมิได้เอาใจใส่รอฟังคำตอบ
สายธารซึ่งอยู่ในชุดทำงานที่สวยเก๋ทันสมัยตามเคยมองดูน้องสาวต่างมารดาอย่างแปลกใจ และยิ้มอย่างเห็นขันกล่าวว่า
“อ้าว...วันนี้ทำไมถึงไม่ทำงานล่ะ ชลา ไม่กลัวเสียคะแนนรึ ได้ข่าวว่าขยันขันแข็งเป็นคนโปรดอยู่นี่?”
ชลาขบริมฝีปากข้างใน มิได้โต้ตอบประการใด เพียงแต่รู้สึกร้อนวูบขึ้นในทรวงอก เธอตักข้าวต้มใส่ในถ้วยแบ่งของตัวเองเป็นคนสุดท้าย แล้วก็ลงนั่งบริโภคอยู่เงียบๆ
เสียงรองเท้ากระทบพื้นเบาๆ จากหน้าเรือนมาทางห้องอาหาร เสียงใครถามอะไรเด็กรับใช้ฟังไม่ได้ศัพท์ แต่ชลาก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมาไม่เป็นจังหวะ เพราะเธอจำเสียงของญาติหนุ่มของเธอได้ดี แปลกเหลือเกิน ที่ไม่เคยรู้สึกว่าได้มีความรู้สึกเช่นนี่ต่อเขามาก่อน เพิ่งจะมาเป็นเอาก็บัดนี้เอง
อีกอึดใจต่อมา กวีก็โผล่เข้ามาในห้อง เขาสวมเสื้อผ้าสีอ่อนสะอาดรีดเรียบ หวีผมเรียบ ดวงหน้าสะอาดเอี่ยม แต่ดวงตานั้นสิ ชลารู้สึกว่ามันไม่แจ่มใสสุกสว่างอย่างที่เธอเคยเห็น ดูเหมือนว่ามันจะมีความขุ่นมัวหรือมีแววกังวลอะไรอย่างหนึ่ง ซึ่งเธอเองก็ไม่แนใจแฝงอยู่
แต่สายธารมิได้สังเกตเห็นสิ่งที่น้องสาวสังเกตเห็น การที่ได้พบกวีในเวลาเช่นนี้นับว่าเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นยินดีสำหรับหล่อนอยู่มิใช่น้อย ถึงแม้ว่าสายธารจะใช้เวลาส่วนมากของหล่อนคลุกคลีอยู่กับกรวิภาก็จริงอยู่ แต่ก็น้อยนักที่หล่อนจะมีโอกาสใกล้ชิดกวี ทั้งนี้ก็เพราะว่าเขามักจะเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง หรือไม่ก็เรือนพักร้อน ไม่ค่อยจะสุงสิงพูดคุยกับน้องสาวนัก สายธารจะได้พบกับเขาก็ในเวลาอาหารหรือในเวลาที่เขานั่งพูดคุยกับท่านบิดาเท่านั้นเอง และกรวิภาก็ไม่ชอบนั่งอยู่กับท่านบิดานาน ๆ เสียด้วย หล่อนจะทนนั่งอยู่ได้ไม่นานนัก ก็มักจะพยักพเยิดสะกิดชวนสายธารเลี่ยงออกไปเสมอ ซึ่งสายธารก็จำใจต้องทำตามทั้งๆ ที่หล่อนอยากจะนั่งอยู่ในห้องนั้น ห้องที่มีกวีอยู่...ต่อไปอีกนานเท่านาน
“อ้าว...เป็นยังไงมาแต่เช้าเทียวนะ ตากวี?” คุณเวชทักหลานชายอย่างอารมณ์ดี ลดหนังสือพิมพ์ลงจากระดับตา “กินอะไรมาแล้วหรือยัง กินด้วยกันซี”
“นั่งซิคะ คุณกวี”
สายธารกุลีกุจอขยับเก้าอี้ตัวถัดไปจากที่หล่อนนั่งให้เขา กวียิ้มกับหล่อนอย่างขอบใจก่อนที่จะนั่งลง แล้วก็กล่าวอย่างอ่อนโยนกับอาสะใภ้ ซึ่งหยิบจานขนมปังปิ้งกรอบและบางเหลืองทั่วกันนั้นมาวางให้ตรงหน้า
“ขอบคุณครับ คุณอา”
นางละเมียรยิ้มกับหลานของสามีโดยไม่กล่าวว่าอะไร นางไม่ค่อยจะสนิทสนมกับญาติของทางฝ่ายสามีเท่าไรนัก ทั้งไม่ค่อยจะนิยมในการปฏิบัติตัวของกิติมาและกรวิภาเท่าไรนักด้วย แต่สำหรับกวีนั้นนางละเมียรมีความรู้สึกที่อ่อนโยน และเป็นกันเองกับเขามากกว่าพี่และน้องของเขาทั้งสองคน
“ชลา ชงกาแฟเผื่อพ่อกวีด้วยซีลูก”
คุณเวชบอกกับบุตรีเล็กซึ้งยังคงนั่งเฉยคล้ายงงอยู่ ชลายิ้มเก้อๆ ลุกไปหยิบถ้วยกาแฟและจานรองจากตู้มาอีกที่หนึ่ง รินกาแฟในหม้อกากระเบื้องเคลือบใส่ลงไปค่อนถ้วย เหลือบตาขึ้นสบตากวีเพื่อจะถามจำนวนน้ำตาลที่เขาต้องการ ก็พบว่าเขามองดูเธออยู่ก่อนแล้ว กวียิ้มกับหญิงสาวพร้อมกับบอกว่า
“สองช้อนจ๊ะ ชลา ไม่ต้องใส่นม”
ชลาปรุงกาแฟให้ตามที่เขาบอก กวีกล่าวคำขอบใจเบาๆ เมื่อเธอวางถ้วยกาแฟลงตรงหน้าเขา สายธารชำเลืองดูอย่างอิจฉานิดๆ เอ่ยขึ้นว่า
“เมื่อกี่นี้ดูเหมือนสายจะเห็นรถคุณพี่กิติมา มาที่บ้านไม่ใช่หรือคะ คิดว่าประเดี๋ยวจะแวะไปหาเธอทีเดียว”
“คุณกิติมามีธุระร้อนต้องรีบไปเสียแล้ว” กวีตอบด้วยเสียงเรียบๆ และสีหน้ายิ้มๆ “พอเขาไปแล้วผมก็มานี่”
“เช้าๆ พ่อกวีคงต้องทานของเช้าคนเดียวกระมังจ๊ะ?” นางละเมียรถาม “เพราะคุณพ่อกับแม่กรวิภาก็คงทานสายๆ”
“ครับ” กวีรับคำ “โดยมากตอนเช้าถ้าคุณพ่อยังไม่ตื่น เขาก็ยกเอาเข้าไปให้ผมทานในห้อง ส่วนยายกรน่ะเขาตื่นสายเป็นประจำก็เลยทานในห้องเป็นประจำเหมือนกัน นานๆ จะได้พร้อมหน้ากันสักที”
เขาอยากจะพูดต่อไปว่า เช่นวันนี้ควรจะพร้อมหน้ากันได้ ก็กลับขาดเขาไปเสียคนหนึ่ง แต่เกรงว่าจะถูกซักไซ้มากเกินต้องการ จึงนิ่งเสีย
“ถ้ายังไงละก็ มาทานด้วยกันที่นี่ก็ได้นี่กวี”
คุณเวชบอกแก่หลานชาย ซึ่งบุตรีคนโตของท่านก็รีบสนับสนุนว่า
“จริงด้วยคะ คุณกวี มาทานด้วยกันที่นี่ก็แล้วกัน เราทานกันในเวลานี้ทุกวัน”
“อย่าเลย” กวีตอบ “ลำบากเปล่า ๆ”
เขามองดูอาสะใภ้อย่างเกรงใจ นางละเมียรเห็นสายตานั้น จึงบอกว่า
“จะลำบากอะไร้ ก็หาของเพิ่มอีกนิดหน่อยเท่านั้น ถ้าไม่ขี้เกียจเดินละก็มาเถอะจ้ะ เมื่อไหร่ๆ ก็ได้ อย่าเกรงใจเลย”
กวียิ้มรับคำชวนนั้นอย่างอ่อนโยนตามแบบของเขา คุณเวชพับหนังสือพิมพ์ ยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม ควักนาฬิกาพกจากกระเป๋าออกมาดู แล้วก็พยักหน้ากับสายธาร
“ได้เวลาแล้ว ไปกันเถอะ สายธาร วันนี้พ่อรู้สึกว่าออกจะสายไปเสียหน่อยแล้วซิ ตากวีตามสบายนะ ไม่ใช่พออาอิ่มแล้วแกต้องอิ่มด้วย”
ประโยคท้ายท่านกล่าวแก่หลานชาย ก่อนที่จะเดินไปจากห้อง สายธารค่อย ๆ ยกแก้วน้ำขึ้นดื่มอย่างอิดเอื้อน หล่อนยังไม่เต็มใจที่จะลุกไปในเวลานี้เลย แต่เมื่อได้ยินเสียงบิดาร้องเรียกอีกครั้งหนึ่งก็จำต้องลุกขึ้นเดินไปหยิบกระเป๋าถือที่วางไว้บนหลังตู้เตี้ยๆ ข้างประตู บ่นอย่างขุ่นมัวระบายอารมณ์ว่า
“แหม วันนี้ไม่อยากไปทำงานเลย เบื่อจะตายอยู่แล้วอยากลาออกนัก”
กวีมองตามไปด้วยสีหน้ายิ้มๆ แล้วจึงหันกลับมาทางชลา ถามว่า
“ชลาเป็นอะไรไปจ๊ะ นั่งเงียบทีเดียว ?”
“เขาไม่ค่อยสบาย” นางละเมียรตอบแทนบุตรสาว “เมื่อคืนนี้กลับดึกไปหน่อย ไม่เคยอดนอนถึงขนาดนี้ก็เลยแพ้ อาเลยให้เขาหยุดงานเสียวันหนึ่ง”
และเมื่อเห็นชายหนุ่มยังยิ้มอยู่ นางก็นึกออกว่าเขาเองเป็นคนมาส่งธิดาเมื่อคืนนี้ จึงกล่าวต่อไปว่า “เออ...อาก็ลืมขอบใจพ่อกวีไปที่เมื่อคืนนี้อุตสาห์มาส่งน้อง ชลาบอกว่าคุณสำราญเขาเกิดมีธุระขึ้นมา พามาส่งไม่ได้ เลยให้กวีมาส่งแทน”
ชลาขยับปากจะค้านออกไปว่า เธอมิได้บอกเช่นนั้น หากแต่มารดาคิดเอาเองต่างหาก ก็พอดีมองไปสบตาชายหนุ่มที่มองมาเป็นเชิงห้ามจึงนิ่งเฉยเสีย ก้มหน้าก้มตาบริโภคอาหารต่อไปจนเสร็จ นางละเมียรขอตัวลุกขึ้นก่อน เมื่อนางเดินออกจากห้องไปแล้ว ชลาจึงได้เอ่ยขึ้นว่า
“พี่กวีคะ ชลาไม่ได้บอกกับแม่ว่า คุณสำราญขอให้พี่กวีมาส่งเพราะว่าคุณสำราญติดธุระ ชลาบอกแม่ว่าพี่กวีมาส่งเท่านั้น แล้วแม่ก็....”
“ช่างเถอะจ๊ะ” กวีขัดขึ้นก่อนที่หญิงสาวจะพูดจบ “บอกอย่างนั้นก็ดีแล้วนี่จ๊ะ ไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่ตัวชลาเองเถอะ เป็นอย่างไรบ้าง เช้านี้สบายใจแล้วหรือยัง”
ชลาส่ายหน้าน้อยๆ ดวงหน้าซีดลงเมื่อหวนนึกถึงเหตุการณ์อันร้ายกาจที่ผจญมาเมื่อคืนนี้ กวีเอื้อมมือข้ามโต๊ะมาตบมือหญิงสาวอย่างปลอบใจ บอกว่า
“อย่าไปคิดถึงมันอีกเลยจ๊ะ ชลา คิดเสียว่ามันเป็นเพียงฝันร้ายก็แล้วกัน เราไม่ได้เป็นคนผิดนี่นะ พี่รับรองว่าต่อไปนี้จะต้องไม่มีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นกับเธออีกเป็นอันขาด”
“แต่ชลายังไม่สบายใจค่ะ เพราะว่าพรุ่งนี้ชลาก็จะต้องกลับไปทำงานอีก ถ้าขืนหยุดต่อไปอีก แม่ก็จะต้องสงสัยแน่ๆ ชลาไม่อยากให้แม่รู้เรื่องที่น่าอับอายอย่างเมื่อคืนนี้ แม่คงทนไม่ไหวแน่ๆ”
“อาละเมียร หรือแม้แต่อาเวชจะไม่มีวันรู้เรื่องนี้ดอก” กวีบอก และเมื่อเห็นหญิงสาวทำหน้าฉงน เขาก็กล่าวต่อไปว่า “ปล่อยเอาไว้ให้เป็นธุระของพี่จัดการเถิด เธอทำใจให้สบายก็แล้วกัน ทุกสิ่งทุกอย่างจะสงบเรียบร้อยลงด้วยดีที่สุดถ้าเธอไว้ใจพี่ พี่สัญญา ขอแต่ให้เธอไว้ใจพี่เท่านั้น”
ดวงตาดำขลับ ที่ล้อมรอบด้วยขนตาอ่อนช้อยเรียงเป็นตับ ซึ่งจ้องมองตอบดวงตาสุกใสและสงบเยือกเย็นของชายหนุ่มนั้น เต็มไปด้วยความฉงนฉงายระคนปนด้วยความเชื่อมั่นอย่างจริงใจ แล้วชลาก็กล่าวถ้อยคำออกมาอย่างหนักแน่นจริงจังว่า
“ชลาไว้ใจพี่กวีค่ะ ชลาสัญญาเหมือนกันว่าจะทำทุกสิ่งทุกอย่างตามที่พี่กวีต้องการให้ทำ”
ในขณะเดียวกันกับที่หนุ่มสาวทั้งสองกำลังให้คำมั่นสัญญากันอยู่นี้ หนุ่มสาวอีกคู่หนึ่งกำลังยืนประจันหน้าอยู่ในห้องทำงานชั้นบนของบริษัทไทยทัศนาจำกัด ด้วยลักษณะอาการแตกต่างกันกับคู่นี้ราวดำกับขาว สันทัศยืนหันหลังพิงอยู่กับโต๊ะทำงานของเขา เพ่งสายตาจับจ้องอยู่ที่ดวงหน้าของหญิงสาวที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าห่างออกไปไม่ถึงห้าก้าวด้วยความรู้สึกสมเพชแกมพิศวง นี่หรือคือสายรุ้งแสนสวยที่รักและถนอมความสวยงามของตนอยู่ไม่รู้สร่างซาเลยแม้สักนาทีเดียว นี่หรือสายรุ้งคนงามที่ไม่ว่าจะขยับเขยื้อนร่างกายส่วนไหน เพื่ออิริยาบถอันใด ก็มิได้ละลืมที่จะนึกถึงความเหมาะเจาะงดงามแห่งทีท่านั้นๆ สายรุ้งที่ยืนเบื้องหน้าเขาในบัดนี้มิใช่สายรุ้งที่เขาเคยรู้จักนั้นเสียแล้ว แต่เป็นเพียงหญิงธรรมดาสามัญคนหนึ่งที่กำลังถูกครอบงำด้วยอำนาจโทสะจริตและความคั่งแค้นผิดหวัง ผมของหล่อนรุ่ยร่ายจนดูไม่รู้ว่าเป็นทรงอะไร เพราะเช้านี้มิได้ถูกจัดทำให้เข้ารูปด้วยฝีมือ ช่างผู้ชำนาญเช่นที่เคยมา คิ้วของหล่อนดำเป็นเส้นเลอะเทอะ ซ้ำยังมีความยาวไม่เท่ากันเสียอีก เพราะว่ามิได้ถูกปัดแปรงด้วยความประณีต ซึ่งต้องเสียเวลานาน และที่ริมฝีปากนั้นเล่า แม้ว่าจะยังคงมีสีแดงสดอยู่เช่นเคย แต่ก็มิได้ถูกลูบไล้ด้วยแปรงอย่างบรรจง หล่อนคงเพียงแต่เอาลิปสติคป้ายเข้าเพียงครั้งหรือสองครั้งแล้วก็เม้มพอให้มันทั่วกันเท่านั้น มันจึงได้เลยเลอะขอบปากขึ้นมา และที่ร้ายกว่านั้นก็คือ สายรุ้งเวลานี้ยังมีดวงหน้า ที่บึ้งตึงบูดเบี้ยวเพราะอารมณ์ร้ายภายใน ซึ่งยังเพิ่มความไม่น่าดูให้แก่ตัวหล่อนเองอีกเป็นทวีคูณ นี่หรือคือสายรุ้ง หญิงสาวผู้สวยงามซึ่งครั้งหนึ่งเขาเคยหลงรักเป็นชีวิตจิตใจ จนถึงกับคิดว่าจะยอมสละทุกสิ่งทุกอย่างแม้กระทั่งชีวิตให้เพื่อผู้หญิงคนนี้ได้ นี่หรือคือสายรุ้งผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็น “คนโปรด” ของ “ท่าน” ซึ่งสามารถจะเรียกร้องตักตวงเอาทุกสิ่งทุกอย่างได้ตามที่ใจโลภของหล่อนปรารถนา สันทัดนึกปลงสังเวชอยู่ในใจ
“ไม่นึกเลยว่าเธอจะทรยศฉันได้ลงคอ”
สายรุ้งระบายความคั่งแค้นของหล่อนออกมาไม่รู้ว่าครั้งที่เท่าใด
“อะไรนะ สายรุ้ง ที่เธอเรียกว่าเป็นการทรยศ?” สันทัดย้อนถามหล่อนด้วยคำถามที่ซ้ำซากเช่นเดียวกันอย่างเบื่อหน่าย “พอเห็นหน้าฉัน เธอก็ประณามว่า ฉันทรยศต่อเธอ แต่เมื่อฉันย้อนถามเธอบ้าง เธอก็ไม่ตอบให้ฉันเข้าใจสักที ตอบออกมาสิสายรุ้ง ว่าอะไรที่เธอเรียกมันว่าเป็นความทรยศที่ฉันทำต่อเธอ ?”
“เธอเป็นคนไปช่วยนังนั่นไว้”
สายรุ้งระบุโทษของเขาออกมา ดวงตาของหล่อนเป็นรอยช้ำและเต็มไปด้วยความคั่งแค้น สันทัดเลิกคิ้วอย่างเห็นขัน
“ใครบอกเธองั้นรึว่า ฉันเป็นคนไปช่วยคุณชลา หรือว่าเธอคิดเดาไปเองตามใจของเธอ?”
“ทำไมจะต้องมีคนบอก ในเมื่อฉันเป็นคนบอกกับเธอเองว่าท่านจะมีงานขึ้นบ้านใหม่เมื่อคืนนี้ เธอรู้ดีว่าการมีงานขึ้นบ้านใหม่ของท่านน่ะมันมีความหมายยังไง แล้วเธอก็ตามไปช่วยมัน เธอช่วยมันก็เพราะว่าเธอรักมันใช่ไหมล่ะ?”
ดวงหน้าของสันทัด ยังคงเต็มไปด้วยความสงบอยู่เช่นเดิม หากแต่ดวงตาเท่านั้นที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาพูดด้วยเสียงกลั้วหัวเราะว่า
“นี่แน่ะ สายรุ้ง เล่าให้ฉันฟังตามตรงดีกว่าว่าหลังจากที่ท่านของเธอวางแผนจะทำลายผู้หญิงดีๆ อีกคนหนึ่งแล้วทำไม่สำเร็จนั้น เขาไประบายอารมณ์อะไรกับเธอบ้าง เธอถึงได้เป็นไปถึงขนาดนี้?”
“เขาก็หาว่าฉันหึง ฉันอิจฉาริษยาน่ะซิ เขาหาว่าที่แผนการทั้งหมดของเขาล้มเหลวไป ก็เพราะฉันคนเดียว เขาด่าว่าฉันหยาบๆ คายๆ สารพัด เธอจะต้องให้ฉันแสดงให้ดูไหมว่าเขาทารุณต่อฉันยังไงบ้าง?”
ดวงหน้าของชายหนุ่มซีดลงแล้วกลับแดงก่ำขึ้น
“เลวบัดซบ” เขาด่าอยู่ในคอ “ที่ทำความระยำไม่ได้สมใจแล้วกลับไประบายเอากับผู้หญิง อ้อ แล้วเธอก็เลยมาระบายเอากับฉันอีกต่อหนึ่งยังงั้นสิ ประหลาดดีนี่”
“จะประหลาดอะไร ในเมื่อเธอเป็นคนทำให้ฉันต้องรับบาปอย่างที่เห็นอยู่นี่ ไม่มีใครรู้นอกจากเธอ เพราะว่าฉันบอกเธอคนเดียว แล้วเธอก็รักมัน ถ้าเธอไม่ให้ฉันเข้าใจว่าเธอเป็นคนไปช่วยมันแล้ว จะให้ฉันเข้าใจว่ายังไง ?”
“จะเข้าใจยังไงก็สุดแล้วแต่เธอสิ” สันทัดตอบด้วยเสียงเด็ดขาดอย่างไม่มีเยื่อใย “ฉันบอกได้แต่ว่า เมื่อคืนนี้ฉันนอนอยู่กับบ้านทั้งคืน น้อง ๆ ของฉันรู้ดี ฉันไม่จำเป็นต้องท้าให้เธอไปสืบถามดูพี่น้องของฉันหรอก เพราะอะไรจริงหรืออะไรเท็จ ฉันก็รู้อยู่แก่ใจของฉันเอง ดีแล้ว คนอื่นจะเข้าใจอย่างไรก็ช่าง ฉันไม่แคร์ทั้งนั้น”
คำตอบอันหนักแน่นเด็ดขาดของเขามีผลให้หญิงสาวเกิดความลังเลขึ้นมา หล่อนยืนนิ่งอยู่กับที่ มีดวงหน้าและท่าทางเหมือนนางเสือที่ถูกล่าและถูกทำให้ได้รับบาดเจ็บโดยมิได้เห็น ผู้ที่ทำร้ายตน ทำให้นึกหวาดระแวงไปแม้แต่เสียงลมพัดใบไม้ และคั่งแค้นเพราะความอับจนของตนเอง
เมื่อเห็นอีกฝ่ายหนึ่งนิ่งอั้นไปเช่นนั้น สันทัดก็บังเกิดความเวทนาขึ้นมาในใจ เสียงของเขาจึงอ่อนลง เมื่อเขากล่าวต่อไปว่า
“กลับไปเสียเถิด สายรุ้ง ไม่มีประโยชน์อะไรหรอกที่จะตีโพยตีพายไป ขายหน้าคนอื่นเขาเปล่าๆ เธอเคยเชื่อมั่นในตัวเองอยู่เสมอไม่ใช่หรือ ว่า เธอเป็นผู้ชนะ ผู้ชนะเขาไม่ทำอย่างนี้ดอก คนที่ทำอย่างนี้ต้องเป็นผู้แพ้ แล้วก็แพ้อย่างไม่เป็นท่าเสียด้วยซิ”
“เลิกเยาะเย้ยฉันเสียที สันทัด เดี๋ยวนี้น่ะ เธอคงคิดว่าเธอเป็นคนชนะฉันแล้วยังงั้นละซี ?”
“เปล่าเลย สายรุ้ง เธอเข้าใจผิด” สันทัดว่า “ฉันไม่เคยคิดว่าฉันชนะหรือแพ้เธอ เพราะว่าฉันไม่คิดที่จะแข่งกับเธอเลยแม้แต่น้อย เธอเองต่างหากเล่า ที่คิดจะแข่งกับผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา แต่ความจริงนั้น หาได้มีใครแข่งกับเธอไม่ ตัวเธอเองนั่นแหละที่แข่งกับความทะเยอทะยานใฝ่สูงของเธอเอง และบัดนี้ความทะเยอทะยานใฝ่สูงของเธอมันก็ชนะเธอแล้ว มันเฆี่ยนเธอเสียอย่างไม่มีดีอย่างที่เห็นอยู่เดี๋ยวนี้อย่างไรล่ะ?”
สันทัดไม่คิดว่าเขาจะหาดวงหน้าของใครที่กำลังเต็มไปด้วยความโกรธแค้น ความอับอายเท่าที่หญิงสาวผู้กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขาบัดนี้เป็นอยู่นั้นได้อีก หล่อนยืนนิ่งอั้นอยู่เช่นนั้นครู่ใหญ่แล้วก็เดินกระแทกเท้าออกจากห้องไป เสียงบังตาตวัดกลับเข้ามาโดยแรง แต่เขาก็มิได้หันกลับไปดู ยังคงยืนนิ่งเฉยอยู่ในลักษณะเดิมนั้นเป็นครู่ใหญ่ จึงหันกลับเดินไปหย่อนกายลงนั่งที่เก้าอี้ของตนอย่างอ่อนเพลียทั้งกายและใจ
อีกไม่นานนัก เสียงบังตาถูกผลักเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง สันทัดมิได้หันไปดู แต่จากเสียงฝีเท้าที่เดินนั้น เขาพอจะรู้ดีว่าเจ้าของฝีเท้านั้นกำลังอยู่ในอารมณ์เช่นไร อารีย์โยนกระเป๋าเอกสารที่ถือมานั้นลงบนโต๊ะ แล้วก็ก้าวปังๆ เข้ามาที่โต๊ะของผู้ช่วย สันทัดเงยหน้าขึ้นมองสบตาผู้จัดการเฉยอยู่ ดวงตาอันหรี่เล็กของอีกฝ่ายหนึ่งจ้องเขม็งมองเขา อารีย์ขยับริมฝีปาก คล้ายจะถามอะไรออกมาสักอย่างหนึ่งแต่แล้วก็ไม่ถาม กลับหมุนตัวกลับเดินปังๆ ออกจากห้องไปอีก ส่งเสียงคำรามอย่างเดือดดาลและอารมณ์เสียสุดขีดว่า
“อยากเผามันทิ้งเสียให้รู้แล้วรู้รอดไป ไอ้สำนักงานห่าเหวนี่”
สันทัดนิ่งฟังจนเสียงเดินนั้นลับลงข้างล่างไปแล้วจึงยิ้มอย่างเศร้าๆ หันไปมองยังโต๊ะทำงานอีกตัวหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ทางด้านซ้ายของเขา โต๊ะตัวนั้นยังคงว่างเปล่า มันทำให้เขาบังเกิดความรู้สึกอ้างว้างเยือกเย็นขึ้นมาในดวงใจด้วยความสังหรณ์ ว่าชะรอยเจ้าของของมันคงจะมิได้กลับมานั่ง ณ ที่นั้นอีกแล้ว