ดวงใจนี้ใครครอง

>> สุภาว์ เทวกุลฯ

ดวงใจนี้ใครครอง

บทที่ 19

หญิงสาวผู้นั้นก็คือสายธาร โสภณา

กวียิ้มรับหล่อนอย่างมีไมตรี   เมื่อสายธารมาถึง เขาก็มองดูหล่อนอย่างเปิดเผย   ชมว่า   “วันนี้สายธารแต่งตัวสวย”

วันนี้สายธารแต่งตัวสวยจริงๆ   หล่อนสวมกระโปรงชุดแคบๆ ตัดด้วยผ้าไหมไทยเนื้อละเอียดตาสี่เหลี่ยมเล็กๆ สีแดงสลับดำ   เข็มขัดเส้นใหญ่   กระเป๋าถือและรองเท้าเป็นสีแดงเข้าชุดกัน   แม้แต่ประคำที่สวมคออยู่นั้นก็สีเดียวกัน   สายธารมีความ มั่นใจว่าหล่อนแต่งกายได้สวยงามเหมาะเจาะจริงๆ ในวันนี้   เพราะได้รับคำทักทายชมเชยมาตั้งแต่หล่อนออกจากบ้านมาแล้ว   แต่คำชมเชยใครอื่น แม้จะยึดยาวหรือไพเราะเพราะพริ้งสักปานใด   ก็หาได้ทำให้สายธารรู้สึกปลาบปลื้มยินดีเทียบเท่ากับคำชมเชยเพียงสั้นๆ ที่ได้รับจากบุรุษผู้เป็นญาติคนนี้ไม่

“เอ๊ะ...วันนี้ไม่ได้ไปทำงานหรอกหรือ?”   กิติมาถาม   สายธารหัวเราะบอกว่า

“ไม่ค่ะ วันนี้วันธนาคารยังไงคะ   ธนาคารปิดตรวจบัญชี คุณพี่ลืมเสียแล้ว   ตอนบ่ายนี่ดิฉันเลยแวะไปรับเสื้อที่ร้านมาให้คุณพี่ด้วย   คุณวิภาบอกว่าจะส่งบิลมาเก็บทีหลัง   เอาไว้ให้รวมกันหลายๆ ชุดเสียก่อน”

“แหม จะให้เราล่มจนให้ได้เทียวนะ พวกเจ้าของร้านตัดเสื้อนี่”   กิติมาบ่น แต่ดวงหน้าของหล่อนยิ้มแย้มและภาคภูมิอยู่   หันมาพูดกับน้องชายว่า   “เชื่อไหมกวี   สมัยนี้น่ะ ค่าจ้างตัดแพงกว่าค่าผ้าตั้งหลายเท่า   ไอ้เราจะไม่ตัดบ่อยๆ ก็ไม่ได้   ต้องติดต่อคบหาสมาคมกับใครต่อใครอยู่ทุกวี่ทุกวัน   คุณสำราญไม่ชอบให้พี่แต่งตัวปอนๆ   กลัวคนอื่นเขาจะดูถูก   ต้องให้สวยเรี่ยมอยู่เสมอ   เวลาชำระบิลค่าเสื้อคราวหนึ่งๆ ยังงี้พี่เสียดายใจแทบขาดทีเดียว”

กวียิ้มเฉยมิได้ต่อเติมคำพูดของพี่สาวแต่ประการใด   กิติมาจึงหันไปถามสายธารว่า

“เธอมานานแล้วหรือ   สายธาร?”

“ไม่ถึงชั่วโมงหรอกค่ะ” สายธารบอก   “พอดีทราบว่าคุณพี่จะเลี้ยงน้ำชาแขกเหรื่อ ก็เลยช่วยหยิบๆ ฉวยๆ อะไรนิดๆ หน่อยๆ   กำลังจะกลับอยู่แล้ว ก็พอดีคุณพี่มาถึง”

“คุณสำราญเขาจะเลี้ยงเพื่อนฝูงเขาน่ะ”   กิติมาว่ามองดูญาติผู้น้องอย่างพินิจครู่หนึ่งแล้วจึงชวนว่า   “แต่งตัวสวยๆ อย่างนี้อยู่กินน้ำชาด้วยกันซี สายธาร”

สายธารแสดงอาการยินดีที่ได้รับคำชวนนั้น   หล่อนมองดูกวีเป็นเชิงถามว่าเขาจะอยู่ร่วมในการเลี้ยงนั้นด้วยหรืออย่างไร   ก็พอดีกวีกล่าวขึ้นเสียก่อนว่า

“แต่ที่ผมไม่อยู่น่ะ ไม่ใช่เพราะผมแต่งตัวไม่สวยหรอกนะครับ   คุณกิติมา”

“อ้าว...คุณกวีไม่อยู่ด้วยดอกหรือคะ?”   สายธารออกอุทานอย่างผิดหวัง   กิติมาทำท่าคล้ายจะค้อนน้องชาย

“พ่อคนนี้ เขาเป็นคนยากมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว”   หล่อนว่า   “ไปอยู่เมืองนอกเมืองนามาเป็นหลายปีนึกว่านิสัยประหลาดๆ จะหายไปบ้างก็เปล่า   ดูๆ รู้สึกว่าจะยิ่งประหลาดมากขึ้นทุกวันด้วยซ้ำ”   แล้วหล่อนก็หันมาพยักหน้ากับสายธารว่า   “ถ้างั้นเธออยู่ซีนะ?”

“แต่...แหม”   สายธารชักอิดเอื้อน   “สายอยากจะขอตัวมากกว่าค่ะ   นึกขึ้นมาได้ว่าจะไปธุระที่ทางล่างเสียหน่อย   นัดกับเพื่อนเขาไว้”

“เฮ่ย...เรื่องมากอีกเหมือนกัน”   กิติมาว่า   “ตามใจเถอะ   ใครอยากอยู่ก็อยู่   ใครไม่อยากอยู่ก็ตามใจ   ฉันไม่บังคับใจใครทั้งนั้นแหละ”

กวียิ้ม หันมาถามสายธารว่า   “สายจะไปเดี๋ยวนี้หรือเปล่า   ถ้าจะไปก็ไปพร้อมกันได้ จะไปส่งให้”

สายธารยิ้มอย่างยินดี   แต่ปากของหล่อนพูดว่า   “แหมอย่าให้สายต้องกวนคุณกวีถึงขนาดนั้นเลยค่ะ   เพียงแต่ให้สายอาศัยนั่งไปลงกลางทางเท่านั้นก็เป็นพระคุณแล้ว”

“ไม่เป็นไรหรอก” กวีบอก   “นานๆ จะได้มีเกียรติได้ขับรถให้คนสวยๆ นั่งสักที   ขอรับใช้ด้วยความเต็มใจ”

เขาเปิดประตูรถให้หล่อนอย่างมีกิริยาดี   สายธารหันไปกล่าวคำอำลากิติมา   แล้วจึงก้าวขึ้นรถ   กวีบอกกับพี่สาวก่อนที่จะเปิดประตูขึ้นนั่งในที่คนขับคู่กับสายธารว่า

“ขอฝากความระลึกถึงไว้ให้คุณสำราญด้วยครับคุณกิติมา”


สายธารถอนใจยาวอย่างเป็นสุข เมื่อชายหนุ่มพารถเคลื่อนออกจากบริเวณเคหาสน์อันหรูหราของกิติมาสู่ถนนใหญ่   กวีขับรถไม่เร็วนักแต่ทว่ากลับจะดูสง่างามและเรียบร้อย   สายธารอดที่จะรู้สึกภาคภูมิใจมิได้ที่สังเกตเห็นว่ามีคนมิใช่น้อยที่แสดงความสนใจในรถคันนี้   แน่ละ   หล่อนเชื่อว่า เขาเหล่านั้นจะต้องมิได้สนใจแต่เฉพาะความหรูเรี่ยมและรูปทรงอันแปลกตาน่าดูของรถเท่านั้นดอก   เขาจะต้องมีความสนใจในชายหนุ่มผู้มีร่างลักษณะสมเป็นสุภาพบุรุษทุกกระเบียดนิ้วที่ทำหน้าที่บังคับขับขี่มันอยู่   และความสนใจนั้นย่อมจะต้องเลยมายังหญิงสาวสวยที่นั่งเคียงคู่อยู่กับเขานั้นด้วย   ความรู้สึกดังกล่าวนี้ ทำให้สายธารต้องขยับกายนั่งหลังตรง   ยกปลายคางขึ้นนิดๆ เพื่อให้ดูงามสง่าเหมาะสมกับสุภาพบุรุษคมสันผู้ขับ   และยานพาหนะอันโก้หรูราคาแพงคันนี้

“เธอจะให้ผมไปส่งที่ไหนดี   สายธาร?”

กวีถามขึ้นหลังจากที่ได้นำรถแล่นมาตามถนนนานพอสมควร   และสายธารยังมิได้ระบุถึงสถานที่ที่หล่อนต้องการจะไป   คำถามนั้นทำให้ความรู้สึกเป็นสุขของสายธารหายวับไป   หล่อนรู้สึกใจหายและอาวรณ์ที่จะต้องลงจากรถ และจากเขาไปในเวลาอันรวดเร็วนัก   ตั้งแต่กวีกลับมาจากต่างประเทศจนกระทั่งเขาซื้อรถคันนี้   สายธารยังมิได้เคยมีโอกาสที่จะไปไหนกับเขาด้วยกันตามลำพังสองต่อสองเลยแม้สักครั้งเดียว   จนกระทั่งถึงวันนี้ โชคช่างเป็นของหล่อนโดยบังเอิญอะไรเช่นนั้น   สายธารไม่ปรารถนาเลยที่ปล่อยให้มันผ่านไปอย่างรวดเร็ว   หล่อนมุ่งหมายใฝ่ฝันในชายผู้นี้มานานนักหนาแล้ว นับตั้งแต่เริ่มเติบโตเป็นหนุ่มสาวขึ้นมาด้วยกัน   หล่อนต้องการจะอยู่ใกล้ชิดเขาให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้

“ว่ายังไง?”

เขาถาม   ลากหางเสียง และเหลือบมองดูหล่อนพลางยิ้ม   สายธารนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงบอกว่า

“คุณกวีเลี้ยงน้ำชาสายธารสักมื้อหนึ่งไม่ได้หรือคะ?”

“อ้าว!” ชายหนุ่มอุทาน “ไหนเมื่อกี้นี้บอกกับคุณกิติมาว่าอยู่กินน้ำชาไม่ได้เพราะมีนัดกับเพื่อนไว้ข้างล่างยังไงเล่า   แล้วนี่ทำไม...?”

“สายหาข้อแก้ตัวไปอย่างนั้นเอง”   สายธารพูดโดยเร็ว   “ที่แท้ก็เพราะไม่อยากอยู่เท่านั้นหรอกค่ะ   สายไม่ค่อยรู้จักกับพวกเพื่อนๆ ของคุณสำราญ   ขี้เกียจไปนั่งเป็นใบ้อยู่คนเดียวก็ เลยแกล้งบอกว่านัดกับเพื่อนไว้”

หัวคิ้วของกวีมุ่นเข้าหากันเล็กน้อย แล้วคลายออกโดยเร็ว   ถามว่า   “เธอหิวหรือ?”

v“โธ่ หิวซีคะ”   สายธารรีบรับคำ   เสริมต่อไปเพื่อให้เป็นจริงเป็นจังขึ้นอีกว่า   “เมื่อตอนกลางวันนี้สายรับสลัดจานเดียวเท่านั้น”

“อดอาหารเพราะกลัวรูปไม่สวยหรือยังไง?”   ลักษณะแสดงความเป็นกันเอง ที่เขาใช้คำพูดนั้นทำให้สายธารรู้สึกปลื้มใจนัก   “เอาซี   แวะหาอะไรรับทานกันก่อนก็ได้   สายชอบที่ไหนล่ะ   บอกมาเถอะ   อนุญาตให้เป็นช้างเท้าหน้าเพราะผมไม่ค่อยมีความรู้เรื่องนี้เลย   ตั้งแต่กลับมานี่รู้สึกว่าเดี๋ยวนี้กรุงเทพฯ กว้างขวางกว่าที่เคยรู้จักมามากนัก”

“โถ น่าสงสาร”

สายธารทำเสียงอ่อนหวานสัพยอกเขา   แล้วหล่อนก็ออกชื่อร้านอาหารแห่งหนึ่งและถนนที่ร้านนั้นตั้งอยู่แก่เขา   ซึ่งกวีนำรถแล่นไปตามทิศทางที่หล่อนบอกนั้นแต่โดยดี

อีกเพียงสิบนาทีต่อมา   กวีก็นำรถเข้าจอดชิดบาทวิถีเยื้องหน้าภัตตาคารที่สายธารเอ่ยนั้น   ขณะที่ทั้งสองกำลังเข้าไปนั้นเอง ก็มีชายหญิงคู่หนึ่งเปิดประตูกระจกออกมาเสียก่อน   ลักษณะท่าทางตลอดจนรูปร่างของคนคู่นั้นสะดุดใจกวีไม่น้อย   ผู้หญิงเป็นสาวสวยตามแบบสาวสมัยใหม่ทั้งหลาย   หล่อนสวมกระโปรงบาน ตัดด้วยแพรค่อนข้างมันพื้นสีขาวมีลวดลายเป็นดอกไม้ช่อใหญ่ สีค่อนข้างเปรอะแต่สด   ขณะเสื้อเล็กและแคบเกือบจะเหมือนเสื้อราตรี   หล่อนแต่งหน้าจัด และเขียนขอบตาเสียจนเข้มคมเหมือนตาสาวแขก   ส่วนชายหนุ่มที่เดินตามเยื้องๆ หล่อนออกมานั่นสิ กลับมีลักษณะอันขัดแย้งตรงกันข้ามกับหล่อนยิ่งนัก   เขานุ่งกางเกงสีน้ำเงินเข้มค่อนข้างแก่   เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว และผูกเนคไทสีดำเรียบๆ   ดวงหน้าของเขาเคร่งเครียด   และคิ้วที่ดกดำนั้นขมวดมุ่น   ทั้งหญิงสาวและชายหนุ่มต่างก็หยุดชะงักมองเมื่อสวนกับกวีและสายธารแวบหนึ่ง   แล้วก็เดินเลยไปยังรถกลางเก่ากลางใหม่ที่จอดอยู่เหนือรถของกวีไปเล็กน้อย   ส่วนชายหนุ่มนั้น เมื่อเห็นหน้ากวีได้ถนัดตา   ดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นอย่างแสดงว่าจำได้   ริมฝีปากของเขาเผยอออกจากกันนิดๆ คล้ายจะยิ้ม   และเมื่อกวีทักว่า

“สวัสดีครับ”

เขาก็ก้มศีรษะเล็กน้อย แล้วเดินตามแม่สาวสวยผู้นั้นไป โดยไม่ได้พูดว่ากระไรแม้แต่คำเดียว

“ที่นี่น่าสบายจริง”

กวีพูดหลังจากที่ได้หย่อนกายนั่งลงบนเก้าอี้พนักสูง   บุด้วยเบาะหนังสีเหลืองสดซึ่งตัดกันกับม่านกำมะหยี่สีฟ้าใสที่แขวนจากเพดานลงมาจรดพื้นอยู่เกือบรอบห้องอันกว้างใหญ่นั้น   แล้วสุดด้านหนึ่งของห้อง ซึ่งก่อกําแพงเป็นรูปเว้าลึกเข้าไป   มียกพื้นเตี้ยๆ อันเป็นที่ตั้งของวงดนตรีบางชิ้นอยู่   หน้ายกพื้นเป็นที่ว่างราบเรียบกว้างยาวไม่เกินสิบ ตารางวา   พื้นเป็นมันปลาบ   พื้นที่นอกนั้นตั้งโต๊ะกลมขนาดเดียวกัน   ผ้าปูสีขาวสะอาด   กลางโต๊ะตั้งแจกันอันเล็ก ปักกุหลาบแย้มเพียงสองดอกกับใบปริก   มองดูสะอาดสะอ้านสว่างไสวไปทั่วทั้งสถานที่

“มองดูคล้ายจะเป็นพวกไนต์คลับ”

“ใช่ค่ะ”   สายธารรับ มองดูเขาอย่างเอ็นดู   “คุณกวีไม่เห็นหรือคะ   ที่ข้างหน้าเขาเขียนบอกไว้”

“ไม่ทันเห็น”   เขาหัวเราะอย่างสารภาพ

“กลางคืนเขามีเต้นรำ   ตอนเที่ยงถึงบ่ายโมงครึ่งมีดนตรีเฉยๆ ค่ะ”   สายธารอธิบายต่อไป   “แต่ตอนนี้บ่ายแล้ว   พวกนักดนตรีเขาพักผ่อนกัน   เขาเลยเปิดแผ่นเสียงแทน”

กวีมองญาติสาวอย่างพินิจ ถามเรียบๆ ว่า

“สายธารมาที่นี่บ่อยๆ หรือ?”

“ก็... ไม่บ่อยนักหรอกค่ะ   กลับบ้านดึกบ่อยๆ ไม่อยากฟังคุณพ่อบ่น”

“เวลามา เธอมากับใครล่ะ?”

“โดยมากก็มักจะมากับกรวิภา” สายธารเล่า   “กรเป็นคนไปขออนุญาตคุณพ่อให้เสร็จ   แล้วสายก็มักจะค้างกับเขา”

“ชลาเล่า”   กวีซักต่อไป   “มาด้วยหรือเปล่า?”

สายธารเม้มริมฝีปากเล็กน้อย   ยักไหล่ ก่อนจะตอบว่า   “แม่คนนั้นน่ะเขาเป็นคนดี   ไม่โผล่หน้าออกมาคบหาสมาคมกับใคร จนจะพูดภาษามนุษย์ไม่ถูกอยู่แล้ว”

และดูเหมือนหล่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้   ม่านตาของหล่อนเบิกกว้างขึ้น   ชะโงกกายเข้ามาหาเขา ถามว่า

“เออ คุณกวีรู้จักผู้หญิงคนนั้นด้วยหรือคะ?”

“ผู้หญิงคนไหน?” กวีทำท่างง

“โธ่ ก็ผู้หญิงคนที่สวนออกไปตอนที่เราจะเข้ามาอย่างไรเล่าคะ”   สายธารว่า   “คนที่แต่งหน้าเข้ม   นุ่งกระโปรงบานเดินควงมากับผู้ชายท่าทางเหมือนพระเพิ่งสึกคนนั้น”

“อ๋อ” กวีหัวเราะแล้วส่ายหน้า   “ไม่รู้จักหรอก   รู้แต่ว่าผู้ชายที่เธอว่าท่าทางเหมือนพระเพิ่งสึกคนนั้นน่ะ   ทำอยู่ที่บริษัทไทยทัศนา”

เขาอยากจะพูดต่อไปว่า   เคยได้พบหน้ากันหลายครั้งแล้ว เมื่อเวลาที่เขาไปรับชลาออกมากินอาหารกลางวัน   แต่ก็มิได้พูดออกมาตามที่คิด

“สายธารรู้ดีว่า แม่หญิงคนนั้นเป็นใคร”   สายธารพูดพลางทำหน้าคล้ายคนที่กำความลับสุดยอดไว้ในมือ   “คุณกวีอยากรู้ไหมเล่าคะ?”

“ก็สายคิดว่า ผมควรจะรู้หรือเปล่า?”   เขาย้อนถามอย่างใจเย็น

“เอ...ยังไงก็ไม่ทราบซีคะ   สายไม่ใช่ตัวคุณกวีนี่   สายอ่านหัวใจคุณกวีไม่ออกหรอก   แต่สายจะบอกให้ก็ได้ว่าเขาเป็นใคร”

หล่อนจ้องตาเขา ทำยิ้มๆ อย่างพิกล ก่อนที่จะกล่าวต่อไปว่า   “หล่อนชื่อสายรุ้ง   เป็นภรรยาน้อยของเจ้าของบริษัทไทยทัศนานั้นแหละ”

กวีขมวดคิ้ว   แต่สายธารมิได้ปล่อยให้เขาคิดนาน   หล่อนพูดต่อไปอีกว่า   “คุณกวีจำได้ไหมเล่าคะที่สายธารเคยเล่าให้ฟังว่า พบชลาออกไปทานอาหารกลางวันกับผู้ชายคนหนึ่งบ่อยๆ   ผู้ชายคนนั้นแหละค่ะที่เป็นสามีของแม่สายรุ้งคนนี้”

กวีมิได้ตอบรับคำถามของหล่อน   เขาเพียงแต่นั่งเฉยคิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อยอย่างใช้ความคิด   ครู่หนึ่งก็คลายออก   เขาบอกแก่หล่อนด้วยเสียงที่ราบเรียบเป็นปกติที่สุดว่า

“ได้ยินบอกว่าหิวไม่ใช่หรือ   สั่งอาหารเสียสิ   คนเดินโต๊ะมาคอยฟังคำสั่งอยู่นานแล้ว”

กว่ากวีจะพาสายธารกลับถึงบ้านในตอนเย็นวันนั้นก็ใกล้จะพลบ   เขาพารถเข้าไปเก็บที่บ้านของเขาก่อนตาม คำแนะนำของหล่อน   แล้วจึงเดินมาส่งหล่อนที่บ้าน   ก่อนที่สายธารจะขึ้นบันไดหน้า   ขณะที่ผ่านกอมะลิซ้อน   หล่อนหยุดยืน เด็ดดอกมะลิดอกหนึ่ง ซึ่งกลีบสีขาวสะอาดของมันซ้อนกันถี่ยิบดอกใหญ่ออกมาจากต้น แล้วหันไปหาชายหนุ่มอย่างสนิทสนม   หล่อนบรรจงปักก้านดอกไม้นั้นลงในรังดุมของเขา พร้อมกับบอกว่า

“นี่ค่ะ   ขอบคุณคุณกวีที่พาสายไปเลี้ยงน้ำชาเสียอิ่มแปล้ทีเดียว”

ชายหนุ่มก้มลงมองดูดวงหน้าอันคมขำที่ก้มอยู่ตรงหน้าเขานั้น อย่างรู้สึกขันนิดๆ   เขาพูดด้วยเสียงสนุกว่า

“เพี้ยง   คืนนี้ขอให้ดอกมะลิดอกนี้กลายเป็นทองขึ้นมาทีเถอะ   จะได้คุ้มกับทุนที่ได้ลงไป”

แล้วเขาก็หัวเราะ   ซึ่งสายธารทั้งที่ไม่สู้จะเข้าใจความหมายนัก ก็พลอยเงยหน้าขึ้นหัวเราะกับเขาไปด้วย   แต่ทั้งสองหาได้สังเกตไม่ว่า ขณะนั้นได้มีใครอีกคนหนึ่งปรากฏร่างขึ้นที่ช่องประตู และชะงักงันอยู่เมื่อมองมาประสบภาพกำลังสรวลสันต์ของหนุ่มสาว   แล้วก็ถอยกลับเข้าไปเสียในทันที ก่อนที่คนใดคนหนึ่งจะทันสังเกตเห็น


ด้วยขาที่รู้สึกว่ามีน้ำหนักผิดธรรมดา   ชลาค่อยๆ พาตัวเองขึ้นบันไดกลับขึ้นไปข้างบน   มีความรู้สึกว่าโลกนี้ช่างมืดมนและอ้างว้างยิ่งนัก

“ปรึกษากับพี่ชายของคุณดู”   สันทัดบอกกับเธอเช่นนี้   “เล่าให้ฟังให้หมดสิ้น   และจงทำตามที่แนะนำมานั้นทุกสิ่งทุกอย่างโดยไม่ต้องลังเลใจเลย”

ปรึกษากับพี่ชายของคุณ!

ชลาอยากจะหัวเราะและร้องไห้ออกมาพร้อมกันในขณะเดียว   ขณะที่ก้มลงมองดูเข็มกลัดที่ส่งแสงแวววาวประหนึ่งจะท้าทายและเยาะเย้ยอยู่กลางฝ่ามืออันเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อของตนเอง

ปรึกษากับพี่ชายของคุณ!

เสียงหัวเราะประสานกันอย่างมีความสุขของคนทั้งสองดังก้องขึ้นในหูของเธออีกครั้งหนึ่ง   ชลากำมือข้างนั้นแน่นจนรู้สึกว่าส่วนที่แหลมคมของเข็มกลัดชิ้นนั้นบาดลึกเข้าไปในเนื้อของเธอ

จบบทที่ 19