เจ้านกน้อยตัวนิดๆ ปีกขนสีเขียวจัด จะงอยปากสีเหลืองอร่ามคาดสีแดงสดนั้น ดูมันช่างไม่มีทุกข์โศกเสียเลย แม้ว่ามันจะถูกจำกัดอิสรภาพอยู่ภายในวงล้อมตาข่ายลวด ซึ่งวนอ้อมอยู่เป็นวงกลม มีเส้นผ่าศูนย์กลางเพียงไม่เกินสองเมตร ซ้ำเบื้องบนยังมีหลังคาไม้รูปฝาชีครอบอยู่อีกด้วยเล่า แต่มันก็ยังโผผินบินขึ้นลงตามกิ่งไม้แห้งที่ปักตรึงอยู่ในตรงกลางกรงนั้นอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย มันเอียงคอไซ้ขน และส่งเสียงร้องจิ๊บๆ อย่างร่าเริง บางครั้งก็บินถลาเข้าไปจับคู่เคียงกัน เจ้าตัวหนึ่งยื่นหน้าเข้าไปส่งภาษา ในขณะที่เจ้าอีกตัวหนึ่งเกาะคอนนิ่ง เอียงคอนิดๆ ราวกับตั้งอกตั้งใจฟัง บางที มันอาจจะกระซิบกระซาบกันด้วยความประหลาดใจเป็นล้นพ้น ว่า เราสิ แม้ว่าจะมีอิสรภาพอันถูกจำกัดอยู่ภายในขอบเขตอันแคบเพียงเท่านี้ ยังสามารถทำให้ใจรื่นเริงเป็นสุขได้ไม่เดือดร้อน ก็เหตุไฉนเล่ามนุษย์หนึ่งซึ่งกำลังนั่งแนบหน้าชิดกับเส้นลวดตาข่าย ณ เบื้องหน้านี้ อันมีอิสระ มิต้องตกอยู่ในสภาพถูกกักขังจำจองจึงได้มีดวงหน้าและท่าทางเศร้าสร้อยละห้อยละเหี่ยถึงปานนั้น
มนุษย์ผู้นั้น เป็นดรุณีในวัยรุ่นกำดัด ผิวแห่งดวงหน้าที่แนบชิดอยู่กับลวดตาข่ายนั้นละเอียดอ่อนและเปล่งปลั่งอยู่ด้วยความเยาว์แห่งวัย เส้นผมดำสนิทเป็นมันขลับ ถูกรวบก้าวขึ้นไว้อย่างง่ายๆ ร้อยรัดด้วยริบบิ้นเล็กๆ สีแดง สด สิ่งที่งามเด่นที่สุดในเรือนร่างของสาวน้อยผู้นี้ ก็เห็นจะเป็นดวงตาของหล่อนนั่นเอง ดวงตาที่กลมโตและใสซึ้งราวกับบ่อน้ำอันลึกล้ำมิมีที่สิ้นสุดซึ่งไม่อาจจะหยั่งได้
หล่อนนั่งลงอยู่บนขอนไม้ตัดเตี้ยๆ มือขาวยาวเรียวค่อนข้างแบบบางทั้งสอง ยกขึ้นเกาะเส้นตาข่ายและยึดไว้ แนบแก้มซีกซ้ายลงสัมผัสความเยือกเย็นของเส้นลวดนั้น ดวงตาของหล่อนจ้องจับอยู่ที่เจ้านกน้อย ซึ่งเกาะคอนเอียงคอมองตอบมาด้วยความประหลาดใจ แต่ทว่าด้วยดวงตานั่นแหละ ที่ถ้าผู้ใดได้เห็น ก็จะรู้ได้ทันที ว่าดวงใจของเจ้าของดวงตาคู่นี้ช่างล่องลอยเตลิดไปไกลตัวนัก ประดุจบ่อน้ำที่สะท้อนเงาให้แสงจันทร์ซึ่งอยู่ห่างไกลเหนือขึ้นไปมากมายฉะนั้น
กรงนกนั้น ตั้งอยู่ตรงมุมรั้วด้านหลังของบ้าน อันเป็นที่พักอาศัยของหล่อน ตรงสุดมุมรั้วนั้นคือต้นชมพู่ที่มีใบตกหนา สามารถให้ความร่มรื่นแก่ที่ว่างน้อยๆ ตรงบริเวณนั้นได้เกือบตลอดเวลา ห่างจากกรงไปไม่ถึงสิบก้าวก็ถึงด้านข้างของเรือนไม้ชั้นเดียวค่อนข้างเก่า เรือนไม้นี้เป็นเรือนยาวแบ่งออกเป็นห้องเล็กๆ ติดต่อกันถึงสามห้อง
มีทางเดินเป็นระเบียง มีหลังคาติดกับเรือนใหญ่ซึ่งเป็นเรือนปั้นหยาแบบสมัยเก่าค่อนข้างกว้างขวาง สีเขียวอ่อนที่ทาไว้นานนักหนาแล้วนั้น ตกลอกจนเกือบหมดสิ้นปราศจากความสวยงาม แต่ถึงกระนั้น เมื่อมองเข้ามาจากภายนอก บ้านหลังนี้ยังสามารถก่อให้เกิดความนิยมแอบแฝงอยู่ในความรู้สึกส่วนลึกของผู้ที่ได้เห็น ด้วยเหตุที่มันประกอบขึ้นด้วยความร่มรื่นจากไม้ผลยืนต้นที่เรียงรายอยู่รอบบ้าน สนามรูปรีที่เรียงรายห่างๆ ด้วยเก้าอี้แบบเก่าที่ขึ้นสนิมบ้างแล้ว รวมทั้งกระถางตะโกดัดวางเรียงอยู่บนม้ายาวชิดกับลูกกรงเฉลียงหน้าบ้านนั้นอีกเล่า ที่ช่วยเพิ่มบรรยากาศอันร่มเย็นขึ้นอีกโข เสน่ห์อันดึงดูดใจอย่างลึกซึ้งของบ้านหลังนี้นั้น อยู่ที่ความสงบร่มรื่น อันเป็นสัญลักษณ์พิเศษของบ้านแบบไทยแท้นั่นเอง
รั้วด้านข้างทั้งสองอันติดต่อกับบ้านเคียงข้างนั้น ก่อรูปขึ้นด้วยแนวพู่เรือหงส์ค่อนข้างหนา ที่แนวรั้วด้านขวาของบ้าน ถูกเจาะเป็นช่องเปิดไว้ติดต่อกับบริเวณบ้านถัดไป ซึ่งขณะที่กล่าวถึงอยู่นี้ ณ ช่องที่เจาะทิ้งไว้นั้น กำลังมีร่างค่อนข้างสูงเพรียวของเด็กหนุ่มคนหนึ่งก้าวเข้ามา เขาเดินทอดขาช้าๆ ผิวปากเบาๆ อย่างอารมณ์เย็น ทีท่าแสดงให้เห็นว่ามีความคุ้นเคยกับสถานที่นี้เป็นอย่างดี ราวกับล่วงรู้อยู่แล้วว่าจะตามหาผู้ที่ปรารถนาจะพบนั้นได้ที่ไหน เขาเดินตัดสนามผ่านหน้าตัวเรือน อ้อมซุ้มนมแมวตรงมุมเรือนด้านหน้าอีกครั้ง เขาก็มองไปเห็นผู้ที่เขาต้องการพบนั้นได้ในทันที
ขาที่กำลังก้าวต่อไปหยุดชะงักลง คำร้องทักทายที่เตรียมไว้แล้วก็เลยพลอยติดค้างอยู่แค่ริมฝีปากด้วย เขายืนนิ่งอยู่กับที่คล้ายมนต์สะกดใจให้จังงัง ดวงตาจับจ้องอยู่ที่ดวงหน้าขาวเรียวซึ่งแนบสนิทอยู่กับกรงนกนั้น ทั้งสีหน้าดวงตาและท่าที่หล่อนยกมือขึ้นยึดลวดตาข่ายไว้นั้นเล่า ดูช่างละห้อยสร้อยเศร้าจับตาจับใจนัก จนเขาไม่กล้าที่จะขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกาย ด้วยกลัวว่าจะทำให้เกิดเสียงและความไหวสะเทือน อันเป็นเหตุให้ภาพที่งามซึ้งราวภาพในฝันนั้นสลายลงไปเสีย และขณะที่กำลังยืนตะลึงแลอยู่นั้น เขาก็ได้บังเกิดความรู้สึกชนิดหนึ่งอย่างเร้นลับในเรือนใจ แล้วก็แผ่ซ่านออกไปอย่างรวดเร็วแต่นุ่มนวลยิ่งนัก มันเป็นปรากฏการณ์อย่างใหม่ซึ่งไม่เคยปรากฏขึ้นแก่เขามาก่อนเลย มันทำให้ชีพจรของเขาเต้นแรงและเร็ว แต่พร้อมกันนั้น หัวใจก็กลับเต็มไปด้วยความอ่อนโยนละมุนละไมลงอย่างประหลาดน่าพิศวงนัก
เขาจะได้ยืนนิ่งราวถูกมนต์สะกดอยู่เช่นนั้นนานเท่าใดสุดจะประมาณได้ คล้ายกับว่ากาลเวลาจะได้หยุดนิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง และเมื่อเจ้าสุนัขขนปุยสีขาวตัวน้อย กระโจนด้วยฤทธิ์คะนองผ่านช่องรั้วออกมานั่นแล้ว จึงได้ก่อให้เกิดเสียงอันสามารถปลุกมนต์สะกดให้คลายตัวลง เขาขยับกายถอนใจยาว พร้อมๆ กันกับร่างที่ซบอยู่กับกรงนกนั้นก็ขยับเขยื้อนลดมือลง ศีรษะกลับตั้งตรงขึ้น และก่อนที่หล่อนจะเปลี่ยนอิริยาบถเป็นอย่างอื่นต่อไป เจ้าสุนัขน้อยตัวนั้นก็กระโจนผ่านผู้ที่ยืนอยู่ พรวดขึ้นไปบนตักหล่อน
สาวน้อยเปล่งเสียงร้องอุทานเบาๆ อย่างตกใจ แล้วก็กลับสวมกอดเจ้าตัวที่อุดมไปด้วยเส้นขนยาวนุ่มนิ่มนั่นไว้ ส่ายหน้าหลบหนีเมื่อมันยื่นจมูกและขากระดิกเข้ามาเพื่อจะเลียประจบ หล่อนหัวเราะชอบใจ พลางร้องปรามว่า
“อย่า ซุกซนเสียใหญ่แล้วนะเจ้าก้อนแป้ง ดูซิเดี๋ยวนี้หัดลามปามเลียหน้า เลียตาทีเดียว”
ทั้งที่ปากเอ็ดเช่นนั้น หล่อนก็ยังแนบหน้าลงชิดกับใบหูยาวที่ตกลงมาถึงใต้คางของมัน ด้วยการกระทำดังว่านั้นเอง ที่ทำให้หล่อนแลเลยมาพบเขาเข้า พลันดวงตาคู่งามนั้นก็เปล่งประกายยินดี
“เอ๋ พี่กวี มายืนอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่คะนี่?”
หล่อนร้องทักด้วยเสียงที่บอกความหมายเดียวกับดวงตา พร้อมกับปล่อยให้เจ้าก้อนแป้งตัวซนลงจากตัก มันทำท่าระริกตัวอ่อนตัวไหว เดินตามเคล้าเคลียประจบมาอีก ประเดี๋ยวเดียวก็ผละออกโลดแล่นไปทางอื่น เจ้าก้อนแป้งคุ้นเคยกับบ้านหลังนี้ดี พอที่จะรู้ว่ามันสามารถจะซอกซอนไปซุกซนได้ตามสบายใจ โดยปราศจากอันตรายและศัตรูที่จะมาจู่โจมทำร้ายหรือขู่กรรโชกให้ตกใจกลัว
“พี่กวีมาตามเจ้าก้อนแป้งหรือคะ?”
หล่อนถามเมื่อเดินมาถึงตัวเขาแล้ว เขาสั่นหน้าตอบว่า
“เปล่า เจ้าก้อนแป้งต่างหากเล่าที่ตามพี่มา”
ประหลาดเหลือ รู้สึกว่าวันนี้สุ้มเสียงมันปร่าแปร่งพิกลไปหมด แม้แต่ความสัมพันธ์อันใสสะอาดกระจ่างแจ้งที่เคยรู้สึกต่อสาวน้อยผู้นี้ก็ดูเหมือนจะพลอยสะเทือนพร่าพรายไปด้วย ดูซิ เขาไม่กล้าแม้แต่จะมองสบตาอันใสซึ้งที่เต็มไปด้วยความสนิทสนมอย่างบริสุทธิ์ใจนั้น เขาจะสามารถประสานสายตากับดวงตาที่บริสุทธิ์คู่นั้นได้อย่างไร ในเมื่อบัดนี้ความรู้สึกที่เขามีอยู่ต่อหล่อนนั้นไม่บริสุทธิ์เสียแล้ว เขาเพิ่งจะได้ประจักษ์เมื่อเพียงไม่กี่อึดใจก่อนหน้านี้เอง
แต่เด็กสาวก็หาได้หยั่งรู้ถึงจิตใจอันอ่อนไหวหวั่นของเขาไม่ หล่อนเอียงคอมองดูเขา ริมฝีปากที่เหมือนใบไม้อ่อนนั้น ระบายด้วยรอยยิ้ม เมื่อหล่อนเอ่ยถามเขาอย่างล้อเลียนว่า
“เอ วันนี้พี่กวีมีท่าแปลกนัยน์ตา ทำท่าเหมือนคนมีความในใจอย่างนั้นแหละ มีความในใจจริงหรือเปล่าเอ่ย”
เด็กอะไร ช่างสรรหาคำถามมาแทงใจคนนัก เขาพยายามหัวเราะกลบเกลื่อนแต่ยังไม่ยอมสบตาคู่นั้น มองไปเสียที่กรงนก พูดว่า
“อย่ามาทำล้วงความลับคนอื่นเขาหน่อยเลยใคร กันแน่ที่มีความในใจ เมื่อตะกี้นี้เรามาถึงก็เห็นนั่งเกาะกรงนกทำตาฝันเคว้งคว้างอยู่คนเดียว ฝันถึงใครกันเอ่ย บอกบ้างได้ไหม?”
“โอ๊ย ฝันถึงอะไรต่ออะไรเรื่อยเปื่อยไปเลย” หล่อนร้องบอกเสียงใส “ฝันกลางวันทั้งกำลังลืมตานี่ก็สนุกดีเหมือนกันนะคะ อยากฝันเห็นอะไรก็เห็นได้ตามใจชอบไม่เหมือนฝันกลางคืน มันก็เหมือนกับเราปลูกบ้านอยู่เอง กับไปเช่าบ้านอยู่นั่นแหละค่ะ”
คำเปรียบเทียบของหล่อนทำให้เขาอดหัวเราะออกมาไม่ได้ เขาค่อยรู้สึกหายใจคล่องขึ้น ความประหม่าอันพิสดารนั้นปลาสนาการไปจนเกือบหมดสิ้น เขามองสบตาหล่อนตรงๆ เป็นครั้งแรกพร้อมกับบอกว่า
“แต่ขอเตือนว่า อย่าฝันกลางวันให้บ่อยนักแหละดี ระวังจะควบคุมไว้ไม่อยู่นะ”
“นั่นแน่ พี่กวีจะมาหาว่าเขาเป็นบ้าล่ะซิ” หล่อนถอยหลังออกไปก้าวหนึ่ง พร้อมกับยกมือขึ้นชี้หน้าเขา แต่ปากและนัยน์ตายังคงยิ้มพรายอยู่
“เปล่าม่ายช่าย” เขาลากเสียงตอบ “พี่เพียงแต่จะเตือนว่าอย่าฝันให้บ่อยนักเท่านั้นเอง”
“แต่ชลาชอบฝันค่ะ”
หล่อนว่า ลดมือลงกอดอกหลวมๆ รอยยิ้มในดวงตาหายไป เออแน่ะ เด็กหญิงผู้นี้มีดวงตาที่ค่อนข้างเคลิ้มฝันจริงๆ เสียด้วย เขาเพิ่งสังเกตเห็นเดี๋ยวนี้เอง
“เวลาที่เราฝันเป็นเวลาที่เรามีความสุขอย่างที่สุด”
“สุขที่สุดอะไรได้” เขาขัดคอ “พี่ฝันกลางวันทีไรเป็นมีทุกข์ทุกที ไม่สิบทีก็ห้าที”
“อะไรคะ ความทุกข์อะไรกัน สิบทีห้าที?” หล่อนทำตาพิศวง
“อ้าว ก็ความทุกข์ที่บรรดาคุณครูเป็นผู้บันดาลให้นะซี”
เขาตอบพร้อมกับหัวเราะซึ่งทำให้อีกฝ่ายหนึ่งพลอยหัวเราะไปด้วย หล่อนค้านว่า
“ไม่เชื่อหรอก อย่างพี่กวีน่ะหรือคะจะถูกครูลงโทษ เรียนหนังสือเก่งออกจะตายไป ขยันก็ปานนั้น ดูซิคะ พี่กวีแก่กว่าชลาเพียงสิบปีเท่านั้น แต่พี่กวีจวนจะได้รับปริญญาอยู่แล้ว”
“อนุปริญญา” เขาแก้ให้ถูกต้อง แล้วถามว่า “นี่เราจะยืนพูดกันอยู่ที่นี่น่ะหรือจ๊ะ ชลา ไม่เมื่อยขาบ้างหรือยังไง?”
“พี่กวีเมื่อยหรือคะ?” เด็กสาวย้อนถาม “ถ้าเมื่อยก็ไปนั่งคุยกันที่ม้าที่สนามหน้าบ้านดีกว่า”
“ร้อนตายละ” เขาว่า
“ประเดี๋ยวก็หายร้อนคะ เย็นกว่านี้อีกสักนิดสนามก็ร่ม” หล่อนบอก “หรือว่าจะขึ้นไปนั่งบนห้องรับแขก”
“ไม่เอาละ”
เขาสั่นหน้าเมื่อนึกถึง ‘ห้องรับแขก’ ที่เด็กสาวพูดถึง ห้องรับแขกที่บ้านนี้ก็มีลักษณะเก่าแก่เช่นเดียวกับตัวบ้านเหมือนกัน เขานึกมองเห็นภาพเก้าอี้นวมตัวสูงทึบตรงแน่ว เท้าแขนสูง พนักสูงเลยหัว มีปลอกเย็บด้วยผ้าขาวเนื้อหนาหุ้มอยู่ทั้งสี่ตัว ที่ตั้งล้อมโต๊ะไม้สักรูปกลมสูงแค่เอว แกะสลักลวดลายตามขอบโต๊ะอย่างประณีต ทั้งสี่มุมห้องตั้งตู้ทึบขาสูงอย่างที่เขาเรียกกันว่าตู้น้ำลายทอง และบนฝาผนังก็เรียงรายไปด้วยภาพถ่ายของบรรพบุรุษ ตั้งแต่สมัยไหนต่อสมัยไหนไม่รู้จักกี่คน แต่ละคนมองตรงลงมาด้วยสายตาที่สงบแน่วแน่และเพ่งเล็งราวกับจะคอยจับผิดหรือจ้องมองให้ทะลุเข้าไปถึงหัวใจ มันทำให้เขารู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ อึดอัดทุกครั้งที่ได้ย่างเหยียบเข้าไปในห้องนั้นๆ ทั้งๆ ที่ท่านเหล่านั้นก็มิใช่ใครอื่น มีความสัมพันธ์เกี่ยวโยงกันมาถึงเขาด้วยเช่นเดียวกัน
“ไปคุยกันที่บ้านพี่ดีกว่า พี่มีอะไรจะอวดเธอด้วย”
หล่อนตกลงอย่างว่าง่าย ก้มตัวลงมองสอดส่ายเข้าไปยังใต้ถุนบ้านซึ่งตีล้อมไว้ด้วยลูกกรงโปร่งๆ บ่นว่าเจ้าก้อนแป้งหายไปไหนเสียแล้ว พร้อมกับเดาะปาก และส่งเสียงเรียกมัน ๒-๓ ครั้ง
“ช่างมันเถอะ” เขาบอก “มันไม่เป็นอะไรหรอก ซนจนเหนื่อยแล้ว ประเดี๋ยวมันก็ตามหาเราเอง”
หล่อนเชื่อฟังเช่นทุกคราว ก้าวเท้าเดินนำหน้าเขาไป ขณะที่เดินตามมาเบื้องหลังนั้น เขาอดที่จะพินิจพิจารณาดูร่างที่เคลื่อนไหวอยู่เบื้องหน้ามิได้ หล่อนเป็นเด็กสาวที่กำลังอยู่ในวัยเติบโต แม้ว่าแขนขายังจะยาวอยู่บ้าง แต่ทรวดทรงก็จัดว่าต่อไปเมื่อเติบโตเต็มที่แล้ว สาวน้อยผู้นี้จะมีรูปทรงไม่ด้อยน้อยหน้ากว่าสาวงามคนอื่นๆ อย่างแน่นอน แต่เรื่องรูปทรงนั้นช่างมันเถอะ เขาไม่สู้จะพะวงถึงเท่าใดนักดอก แต่ดวงหน้าของหล่อนนั่นสิ ดวงหน้าเรียวสลวยที่มีดวงตาอันสวยงามอย่างมหัศจรรย์คู่นั้นทั้งคู่นั่นแหละ ที่ช่างมีอิทธิพลเหนือจิตเขาเสียเหลือเกิน ความรู้สึกเช่นว่านี้เกิดขึ้นแก่เขามานานหนักหนาแล้ว หากเขารับรู้แต่เพียงว่า เขามีความรู้สึกเป็นมิตรสนิทสนมชอบพอหล่อนเกินกว่ารู้สึกกับญาติพี่น้อง หรือเพื่อนฝูงคนอื่นๆ เขาชอบคุยกับหล่อน อยากเห็นหน้าหล่อน แต่มิได้ค้นให้พบถึงสาเหตุอันเป็นบ่อเกิดแห่งความรู้สึกนั้นเลย จนกระทั่งจู่ๆ มันก็ปุบปับจู่โจมเข้ามาให้เขาได้สำนึกเอาเมื่อสักครู่นี้เอง เมื่อเขามาพบหล่อนนั่งปล่อยใจปล่อยอารมณ์อยู่ที่กรงนกนั้น
ทั้งสองเดินผ่านหน้าเรือน ย้อนกลับมาทางช่องรั้ว เพียงก้าวเดียวที่ผ่านจากบ้านโน้นมาบ้านนี้ บรรยากาศและทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไปทันที ราวกลับหน้ามือเป็นหลังมือ หรือจากโลกหนึ่งมาสู่อีกโลกหนึ่ง บ้านหลังโน้นดูมืดครึ้มสงบและร่มเย็น แต่บ้านหลังนี้กลับสว่างไสวโล่งโถง โอ่อ่า คึกคักอะไรเช่นนั้น นับตั้งแต่ตัวตึกแบบทันสมัยทาสีอ่อนสลับหลากสี ลานดินอันกว้างประดับด้วยกระถางไม้ดอกสีสดสวย สนามหญ้าที่ราบรื่นเตียนกว้างสีเขียวขจี ตลอดไปจนถึงรถยนต์คันงามสีแดงสดสว่างเป็นมันระยับที่จอดอยู่หน้าโรงรถนั้น
กวีและสหาย หรืออีกนัยหนึ่งญาติสาวของเขา พากันเดินอ้อมไปทางหลังตึก ตรงไปยังศาลากลมหลังหนึ่ง ซึ่งปลูกอยู่ตรงริมสระขุดด้านข้าง ศาลาหลังนี้ปลูกติดกับดิน ปูด้วยกระเบื้องยกเหลี่ยมสีแดงสลับขาว มีระเบียงกว้างประมาณหนึ่งวา ก่อนที่จะถึงห้องกว้างห้องเดียว บุด้วยกระจกตลอด เป็นที่ที่กวีใช้ต้อนรับเพื่อนฝูงและท่องหนังสือ รวมทั้งทำงานเบ็ดเตล็ดที่เขารักไปด้วย
ชลาเป็นคนหนึ่งที่คุ้นกับศาลาหลังนี้อย่างที่สุด หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือว่า หล่อนคุ้นเคยต่อความเป็นอยู่ของกวีนั่นเอง หล่อนจึงสามารถที่จะเดินนำหน้าเขาตรงมายังศาลานี้ได้ทันที โดยเขาไม่ต้องบอก เมื่อก้าวเข้าไปในห้องแล้ว หล่อนก็มองกวาดตาไปโดยรอบพร้อมกับถามว่า
“ไหนล่ะ พี่กวีจะอวดอะไรชลา?”
“มีซี จะอวดเดี๋ยวนี้แหละ”
กวีก้าวขายาวๆ ไปที่มุมห้องด้านหนึ่ง ซึ่งมีโต๊ะสี่เหลี่ยมยาวๆ ตั้งอยู่ บนโต๊ะมีผ้าสีน้ำเงินเข้มคลุมอะไรไว้อย่างหนึ่ง กวีหยิบเอาผ้าคลุมนั้นขึ้นด้วยท่าทางกรีดนิ้ว ทำสีหน้าลึกลับวางเชิงราวกับเป็นนักแสดงมายากลคนสำคัญ เขาก้มศีรษะมาทางหล่อน ถามว่า
“เป็นยังไง สวยไหมครับ?”
เจ้าสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้ผ้าสีน้ำเงินผืนนั้น คือหุ่นจำลองของบ้านทันสมัยหลังหนึ่ง ที่ออกแบบและประกอบขึ้นอย่างประณีต มีสีสันงดงามราวกับบ้านจริงๆ กวีช่างบรรจงสร้างสรรค์จำลองเอามาตั้งไว้ มันมีพร้อมแม้กระทั่งสนามหญ้าหน้าบ้าน สวนดอกไม้ซึ่งมีทางเดินปูด้วยอิฐวกวนเคี้ยวคดอย่างมีศิลปะ ตรงกลางสวนเป็นเนินสูง เหนือเนินดินนั้นเป็นศาลาพักร้อนโปร่งๆ กวีช่างจำลองแม้กระทั่งสระน้ำที่ทำเป็นรูปยาวคดเคี้ยวเว้าๆ แหว่งๆ แบบธรรมชาติ มีสะพานแบบญี่ปุ่นโค้งข้าม
“วิเศษจริง” ชลาร้อง ตาเป็นประกาย ประสานมือทั้งสองเข้าด้วยกันอย่างตื่นเต้น “พี่กวีสร้างเองหรือคะนี่”
เขามิได้ตอบ หากแต่ทำท่าคำนับ ก้มศีรษะอย่างภาคภูมิ ชลาเดินเข้าไปชิดโต๊ะ ใช้ปลายนิ้วแตะโน่นแตะนี่เบาๆ อย่างระมัดระวัง ราวกับเกรงว่าถ้าออกแรงหนักเกินไปสักนิดหนึ่งแล้วละก็ จะทำให้มันบุบสลายไป
“ช่างคิดช่างทำราวกับบ้านจริงๆ”
“อีกหน่อยเถอะ มันจะต้องเป็นบ้านจริงๆ ขึ้นมาสักวันหนึ่ง” กวีกล่าวด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ
“อีกหน่อย คือเมื่อพี่กวีได้รับพระราชทานปริญญาแล้วหรือคะ?”
“ไม่ใช่ดอก ไม่เร็วถึงเพียงนั้น”
กวีว่า ดวงตาอันเป็นประกายของเขาสลดลงเล็กน้อย เขาล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกง หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาส่งให้เด็กสาวผู้ซึ่งรับไปคลี่ดูอย่างไม่เข้าใจ หล่อนมองดูตัวอักษรภาษาอังกฤษซึ่งเรียงรายอยู่เกือบเต็มหน้ากระดาษนั้นเพียงปราดเดียว ก็ร้องออกมาว่า
“จดหมายอะไรกันคะ ภาษาฝรั่งเมืองค่า ชลามีภูมิพอที่จะอ่านออกเสียเมื่อไร”
“จดหมายจากเพื่อนของคุณพ่อพี่ที่อเมริกา บอกมาว่าจัดหาที่เรียนให้พี่ได้แล้ว”
“จดหมายจากเมืองนอก” ดวงตาใสซึ้งคู่นั้นเบิกกว้าง “แปลว่าพี่กวีจะไปเรียนต่อเมืองนอกหรือคะ?”
เขาก้มศีรษะลงรับว่า “จ้ะ ถูกแล้ว เมื่อใด้อนุปริญญาแล้วพี่จะไปเรียนต่อที่อเมริกา”