ดวงใจนี้ใครครอง

>> สุภาว์ เทวกุลฯ

ดวงใจนี้ใครครอง

บทที่ 1

เจ้านกน้อยตัวนิดๆ ปีกขนสีเขียวจัด   จะงอยปากสีเหลืองอร่ามคาดสีแดงสดนั้น  ดูมันช่างไม่มีทุกข์โศกเสียเลย  แม้ว่ามันจะถูกจำกัดอิสรภาพอยู่ภายในวงล้อมตาข่ายลวด   ซึ่งวนอ้อมอยู่เป็นวงกลม   มีเส้นผ่าศูนย์กลางเพียงไม่เกินสองเมตร  ซ้ำเบื้องบนยังมีหลังคาไม้รูปฝาชีครอบอยู่อีกด้วยเล่า  แต่มันก็ยังโผผินบินขึ้นลงตามกิ่งไม้แห้งที่ปักตรึงอยู่ในตรงกลางกรงนั้นอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย  มันเอียงคอไซ้ขน และส่งเสียงร้องจิ๊บๆ อย่างร่าเริง   บางครั้งก็บินถลาเข้าไปจับคู่เคียงกัน  เจ้าตัวหนึ่งยื่นหน้าเข้าไปส่งภาษา ในขณะที่เจ้าอีกตัวหนึ่งเกาะคอนนิ่ง เอียงคอนิดๆ ราวกับตั้งอกตั้งใจฟัง   บางที  มันอาจจะกระซิบกระซาบกันด้วยความประหลาดใจเป็นล้นพ้น  ว่า  เราสิ   แม้ว่าจะมีอิสรภาพอันถูกจำกัดอยู่ภายในขอบเขตอันแคบเพียงเท่านี้ ยังสามารถทำให้ใจรื่นเริงเป็นสุขได้ไม่เดือดร้อน   ก็เหตุไฉนเล่ามนุษย์หนึ่งซึ่งกำลังนั่งแนบหน้าชิดกับเส้นลวดตาข่าย   ณ  เบื้องหน้านี้  อันมีอิสระ มิต้องตกอยู่ในสภาพถูกกักขังจำจองจึงได้มีดวงหน้าและท่าทางเศร้าสร้อยละห้อยละเหี่ยถึงปานนั้น

มนุษย์ผู้นั้น เป็นดรุณีในวัยรุ่นกำดัด   ผิวแห่งดวงหน้าที่แนบชิดอยู่กับลวดตาข่ายนั้นละเอียดอ่อนและเปล่งปลั่งอยู่ด้วยความเยาว์แห่งวัย   เส้นผมดำสนิทเป็นมันขลับ ถูกรวบก้าวขึ้นไว้อย่างง่ายๆ  ร้อยรัดด้วยริบบิ้นเล็กๆ  สีแดง สด  สิ่งที่งามเด่นที่สุดในเรือนร่างของสาวน้อยผู้นี้ ก็เห็นจะเป็นดวงตาของหล่อนนั่นเอง  ดวงตาที่กลมโตและใสซึ้งราวกับบ่อน้ำอันลึกล้ำมิมีที่สิ้นสุดซึ่งไม่อาจจะหยั่งได้

หล่อนนั่งลงอยู่บนขอนไม้ตัดเตี้ยๆ   มือขาวยาวเรียวค่อนข้างแบบบางทั้งสอง ยกขึ้นเกาะเส้นตาข่ายและยึดไว้   แนบแก้มซีกซ้ายลงสัมผัสความเยือกเย็นของเส้นลวดนั้น  ดวงตาของหล่อนจ้องจับอยู่ที่เจ้านกน้อย ซึ่งเกาะคอนเอียงคอมองตอบมาด้วยความประหลาดใจ   แต่ทว่าด้วยดวงตานั่นแหละ ที่ถ้าผู้ใดได้เห็น ก็จะรู้ได้ทันที ว่าดวงใจของเจ้าของดวงตาคู่นี้ช่างล่องลอยเตลิดไปไกลตัวนัก ประดุจบ่อน้ำที่สะท้อนเงาให้แสงจันทร์ซึ่งอยู่ห่างไกลเหนือขึ้นไปมากมายฉะนั้น

กรงนกนั้น ตั้งอยู่ตรงมุมรั้วด้านหลังของบ้าน อันเป็นที่พักอาศัยของหล่อน   ตรงสุดมุมรั้วนั้นคือต้นชมพู่ที่มีใบตกหนา สามารถให้ความร่มรื่นแก่ที่ว่างน้อยๆ ตรงบริเวณนั้นได้เกือบตลอดเวลา ห่างจากกรงไปไม่ถึงสิบก้าวก็ถึงด้านข้างของเรือนไม้ชั้นเดียวค่อนข้างเก่า   เรือนไม้นี้เป็นเรือนยาวแบ่งออกเป็นห้องเล็กๆ ติดต่อกันถึงสามห้อง

มีทางเดินเป็นระเบียง  มีหลังคาติดกับเรือนใหญ่ซึ่งเป็นเรือนปั้นหยาแบบสมัยเก่าค่อนข้างกว้างขวาง   สีเขียวอ่อนที่ทาไว้นานนักหนาแล้วนั้น ตกลอกจนเกือบหมดสิ้นปราศจากความสวยงาม   แต่ถึงกระนั้น  เมื่อมองเข้ามาจากภายนอก   บ้านหลังนี้ยังสามารถก่อให้เกิดความนิยมแอบแฝงอยู่ในความรู้สึกส่วนลึกของผู้ที่ได้เห็น   ด้วยเหตุที่มันประกอบขึ้นด้วยความร่มรื่นจากไม้ผลยืนต้นที่เรียงรายอยู่รอบบ้าน   สนามรูปรีที่เรียงรายห่างๆ ด้วยเก้าอี้แบบเก่าที่ขึ้นสนิมบ้างแล้ว  รวมทั้งกระถางตะโกดัดวางเรียงอยู่บนม้ายาวชิดกับลูกกรงเฉลียงหน้าบ้านนั้นอีกเล่า ที่ช่วยเพิ่มบรรยากาศอันร่มเย็นขึ้นอีกโข   เสน่ห์อันดึงดูดใจอย่างลึกซึ้งของบ้านหลังนี้นั้น  อยู่ที่ความสงบร่มรื่น อันเป็นสัญลักษณ์พิเศษของบ้านแบบไทยแท้นั่นเอง

รั้วด้านข้างทั้งสองอันติดต่อกับบ้านเคียงข้างนั้น  ก่อรูปขึ้นด้วยแนวพู่เรือหงส์ค่อนข้างหนา   ที่แนวรั้วด้านขวาของบ้าน ถูกเจาะเป็นช่องเปิดไว้ติดต่อกับบริเวณบ้านถัดไป  ซึ่งขณะที่กล่าวถึงอยู่นี้  ณ ช่องที่เจาะทิ้งไว้นั้น กำลังมีร่างค่อนข้างสูงเพรียวของเด็กหนุ่มคนหนึ่งก้าวเข้ามา เขาเดินทอดขาช้าๆ   ผิวปากเบาๆ  อย่างอารมณ์เย็น  ทีท่าแสดงให้เห็นว่ามีความคุ้นเคยกับสถานที่นี้เป็นอย่างดี  ราวกับล่วงรู้อยู่แล้วว่าจะตามหาผู้ที่ปรารถนาจะพบนั้นได้ที่ไหน   เขาเดินตัดสนามผ่านหน้าตัวเรือน อ้อมซุ้มนมแมวตรงมุมเรือนด้านหน้าอีกครั้ง เขาก็มองไปเห็นผู้ที่เขาต้องการพบนั้นได้ในทันที

ขาที่กำลังก้าวต่อไปหยุดชะงักลง   คำร้องทักทายที่เตรียมไว้แล้วก็เลยพลอยติดค้างอยู่แค่ริมฝีปากด้วย   เขายืนนิ่งอยู่กับที่คล้ายมนต์สะกดใจให้จังงัง   ดวงตาจับจ้องอยู่ที่ดวงหน้าขาวเรียวซึ่งแนบสนิทอยู่กับกรงนกนั้น   ทั้งสีหน้าดวงตาและท่าที่หล่อนยกมือขึ้นยึดลวดตาข่ายไว้นั้นเล่า ดูช่างละห้อยสร้อยเศร้าจับตาจับใจนัก  จนเขาไม่กล้าที่จะขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกาย   ด้วยกลัวว่าจะทำให้เกิดเสียงและความไหวสะเทือน อันเป็นเหตุให้ภาพที่งามซึ้งราวภาพในฝันนั้นสลายลงไปเสีย   และขณะที่กำลังยืนตะลึงแลอยู่นั้น   เขาก็ได้บังเกิดความรู้สึกชนิดหนึ่งอย่างเร้นลับในเรือนใจ   แล้วก็แผ่ซ่านออกไปอย่างรวดเร็วแต่นุ่มนวลยิ่งนัก มันเป็นปรากฏการณ์อย่างใหม่ซึ่งไม่เคยปรากฏขึ้นแก่เขามาก่อนเลย   มันทำให้ชีพจรของเขาเต้นแรงและเร็ว   แต่พร้อมกันนั้น   หัวใจก็กลับเต็มไปด้วยความอ่อนโยนละมุนละไมลงอย่างประหลาดน่าพิศวงนัก

เขาจะได้ยืนนิ่งราวถูกมนต์สะกดอยู่เช่นนั้นนานเท่าใดสุดจะประมาณได้   คล้ายกับว่ากาลเวลาจะได้หยุดนิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง   และเมื่อเจ้าสุนัขขนปุยสีขาวตัวน้อย  กระโจนด้วยฤทธิ์คะนองผ่านช่องรั้วออกมานั่นแล้ว จึงได้ก่อให้เกิดเสียงอันสามารถปลุกมนต์สะกดให้คลายตัวลง   เขาขยับกายถอนใจยาว พร้อมๆ กันกับร่างที่ซบอยู่กับกรงนกนั้นก็ขยับเขยื้อนลดมือลง  ศีรษะกลับตั้งตรงขึ้น   และก่อนที่หล่อนจะเปลี่ยนอิริยาบถเป็นอย่างอื่นต่อไป   เจ้าสุนัขน้อยตัวนั้นก็กระโจนผ่านผู้ที่ยืนอยู่ พรวดขึ้นไปบนตักหล่อน

สาวน้อยเปล่งเสียงร้องอุทานเบาๆ อย่างตกใจ   แล้วก็กลับสวมกอดเจ้าตัวที่อุดมไปด้วยเส้นขนยาวนุ่มนิ่มนั่นไว้ ส่ายหน้าหลบหนีเมื่อมันยื่นจมูกและขากระดิกเข้ามาเพื่อจะเลียประจบ   หล่อนหัวเราะชอบใจ พลางร้องปรามว่า

“อย่า   ซุกซนเสียใหญ่แล้วนะเจ้าก้อนแป้ง   ดูซิเดี๋ยวนี้หัดลามปามเลียหน้า เลียตาทีเดียว”

ทั้งที่ปากเอ็ดเช่นนั้น  หล่อนก็ยังแนบหน้าลงชิดกับใบหูยาวที่ตกลงมาถึงใต้คางของมัน ด้วยการกระทำดังว่านั้นเอง   ที่ทำให้หล่อนแลเลยมาพบเขาเข้า   พลันดวงตาคู่งามนั้นก็เปล่งประกายยินดี

“เอ๋ พี่กวี มายืนอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่คะนี่?”

หล่อนร้องทักด้วยเสียงที่บอกความหมายเดียวกับดวงตา  พร้อมกับปล่อยให้เจ้าก้อนแป้งตัวซนลงจากตัก   มันทำท่าระริกตัวอ่อนตัวไหว   เดินตามเคล้าเคลียประจบมาอีก   ประเดี๋ยวเดียวก็ผละออกโลดแล่นไปทางอื่น   เจ้าก้อนแป้งคุ้นเคยกับบ้านหลังนี้ดี พอที่จะรู้ว่ามันสามารถจะซอกซอนไปซุกซนได้ตามสบายใจ โดยปราศจากอันตรายและศัตรูที่จะมาจู่โจมทำร้ายหรือขู่กรรโชกให้ตกใจกลัว

“พี่กวีมาตามเจ้าก้อนแป้งหรือคะ?”

หล่อนถามเมื่อเดินมาถึงตัวเขาแล้ว   เขาสั่นหน้าตอบว่า

“เปล่า เจ้าก้อนแป้งต่างหากเล่าที่ตามพี่มา”

ประหลาดเหลือ   รู้สึกว่าวันนี้สุ้มเสียงมันปร่าแปร่งพิกลไปหมด   แม้แต่ความสัมพันธ์อันใสสะอาดกระจ่างแจ้งที่เคยรู้สึกต่อสาวน้อยผู้นี้ก็ดูเหมือนจะพลอยสะเทือนพร่าพรายไปด้วย   ดูซิ  เขาไม่กล้าแม้แต่จะมองสบตาอันใสซึ้งที่เต็มไปด้วยความสนิทสนมอย่างบริสุทธิ์ใจนั้น   เขาจะสามารถประสานสายตากับดวงตาที่บริสุทธิ์คู่นั้นได้อย่างไร   ในเมื่อบัดนี้ความรู้สึกที่เขามีอยู่ต่อหล่อนนั้นไม่บริสุทธิ์เสียแล้ว   เขาเพิ่งจะได้ประจักษ์เมื่อเพียงไม่กี่อึดใจก่อนหน้านี้เอง

แต่เด็กสาวก็หาได้หยั่งรู้ถึงจิตใจอันอ่อนไหวหวั่นของเขาไม่   หล่อนเอียงคอมองดูเขา  ริมฝีปากที่เหมือนใบไม้อ่อนนั้น  ระบายด้วยรอยยิ้ม เมื่อหล่อนเอ่ยถามเขาอย่างล้อเลียนว่า

“เอ วันนี้พี่กวีมีท่าแปลกนัยน์ตา   ทำท่าเหมือนคนมีความในใจอย่างนั้นแหละ   มีความในใจจริงหรือเปล่าเอ่ย”

เด็กอะไร ช่างสรรหาคำถามมาแทงใจคนนัก   เขาพยายามหัวเราะกลบเกลื่อนแต่ยังไม่ยอมสบตาคู่นั้น มองไปเสียที่กรงนก   พูดว่า

“อย่ามาทำล้วงความลับคนอื่นเขาหน่อยเลยใคร  กันแน่ที่มีความในใจ  เมื่อตะกี้นี้เรามาถึงก็เห็นนั่งเกาะกรงนกทำตาฝันเคว้งคว้างอยู่คนเดียว   ฝันถึงใครกันเอ่ย  บอกบ้างได้ไหม?”

“โอ๊ย  ฝันถึงอะไรต่ออะไรเรื่อยเปื่อยไปเลย”   หล่อนร้องบอกเสียงใส “ฝันกลางวันทั้งกำลังลืมตานี่ก็สนุกดีเหมือนกันนะคะ   อยากฝันเห็นอะไรก็เห็นได้ตามใจชอบไม่เหมือนฝันกลางคืน   มันก็เหมือนกับเราปลูกบ้านอยู่เอง กับไปเช่าบ้านอยู่นั่นแหละค่ะ”

คำเปรียบเทียบของหล่อนทำให้เขาอดหัวเราะออกมาไม่ได้   เขาค่อยรู้สึกหายใจคล่องขึ้น ความประหม่าอันพิสดารนั้นปลาสนาการไปจนเกือบหมดสิ้น  เขามองสบตาหล่อนตรงๆ  เป็นครั้งแรกพร้อมกับบอกว่า

“แต่ขอเตือนว่า  อย่าฝันกลางวันให้บ่อยนักแหละดี   ระวังจะควบคุมไว้ไม่อยู่นะ”

“นั่นแน่ พี่กวีจะมาหาว่าเขาเป็นบ้าล่ะซิ”   หล่อนถอยหลังออกไปก้าวหนึ่ง พร้อมกับยกมือขึ้นชี้หน้าเขา แต่ปากและนัยน์ตายังคงยิ้มพรายอยู่

“เปล่าม่ายช่าย”   เขาลากเสียงตอบ   “พี่เพียงแต่จะเตือนว่าอย่าฝันให้บ่อยนักเท่านั้นเอง”

“แต่ชลาชอบฝันค่ะ”

หล่อนว่า ลดมือลงกอดอกหลวมๆ  รอยยิ้มในดวงตาหายไป   เออแน่ะ  เด็กหญิงผู้นี้มีดวงตาที่ค่อนข้างเคลิ้มฝันจริงๆ เสียด้วย   เขาเพิ่งสังเกตเห็นเดี๋ยวนี้เอง

“เวลาที่เราฝันเป็นเวลาที่เรามีความสุขอย่างที่สุด”

“สุขที่สุดอะไรได้”   เขาขัดคอ  “พี่ฝันกลางวันทีไรเป็นมีทุกข์ทุกที ไม่สิบทีก็ห้าที”

“อะไรคะ  ความทุกข์อะไรกัน สิบทีห้าที?”  หล่อนทำตาพิศวง

“อ้าว ก็ความทุกข์ที่บรรดาคุณครูเป็นผู้บันดาลให้นะซี”

เขาตอบพร้อมกับหัวเราะซึ่งทำให้อีกฝ่ายหนึ่งพลอยหัวเราะไปด้วย   หล่อนค้านว่า

“ไม่เชื่อหรอก   อย่างพี่กวีน่ะหรือคะจะถูกครูลงโทษ  เรียนหนังสือเก่งออกจะตายไป   ขยันก็ปานนั้น   ดูซิคะ  พี่กวีแก่กว่าชลาเพียงสิบปีเท่านั้น  แต่พี่กวีจวนจะได้รับปริญญาอยู่แล้ว”

“อนุปริญญา”   เขาแก้ให้ถูกต้อง แล้วถามว่า  “นี่เราจะยืนพูดกันอยู่ที่นี่น่ะหรือจ๊ะ ชลา  ไม่เมื่อยขาบ้างหรือยังไง?”

“พี่กวีเมื่อยหรือคะ?”  เด็กสาวย้อนถาม  “ถ้าเมื่อยก็ไปนั่งคุยกันที่ม้าที่สนามหน้าบ้านดีกว่า”

“ร้อนตายละ”   เขาว่า

“ประเดี๋ยวก็หายร้อนคะ   เย็นกว่านี้อีกสักนิดสนามก็ร่ม”   หล่อนบอก   “หรือว่าจะขึ้นไปนั่งบนห้องรับแขก”

“ไม่เอาละ”

เขาสั่นหน้าเมื่อนึกถึง   ‘ห้องรับแขก’   ที่เด็กสาวพูดถึง   ห้องรับแขกที่บ้านนี้ก็มีลักษณะเก่าแก่เช่นเดียวกับตัวบ้านเหมือนกัน  เขานึกมองเห็นภาพเก้าอี้นวมตัวสูงทึบตรงแน่ว   เท้าแขนสูง  พนักสูงเลยหัว  มีปลอกเย็บด้วยผ้าขาวเนื้อหนาหุ้มอยู่ทั้งสี่ตัว ที่ตั้งล้อมโต๊ะไม้สักรูปกลมสูงแค่เอว  แกะสลักลวดลายตามขอบโต๊ะอย่างประณีต   ทั้งสี่มุมห้องตั้งตู้ทึบขาสูงอย่างที่เขาเรียกกันว่าตู้น้ำลายทอง    และบนฝาผนังก็เรียงรายไปด้วยภาพถ่ายของบรรพบุรุษ ตั้งแต่สมัยไหนต่อสมัยไหนไม่รู้จักกี่คน   แต่ละคนมองตรงลงมาด้วยสายตาที่สงบแน่วแน่และเพ่งเล็งราวกับจะคอยจับผิดหรือจ้องมองให้ทะลุเข้าไปถึงหัวใจ   มันทำให้เขารู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ   อึดอัดทุกครั้งที่ได้ย่างเหยียบเข้าไปในห้องนั้นๆ   ทั้งๆ ที่ท่านเหล่านั้นก็มิใช่ใครอื่น   มีความสัมพันธ์เกี่ยวโยงกันมาถึงเขาด้วยเช่นเดียวกัน

“ไปคุยกันที่บ้านพี่ดีกว่า   พี่มีอะไรจะอวดเธอด้วย”

หล่อนตกลงอย่างว่าง่าย  ก้มตัวลงมองสอดส่ายเข้าไปยังใต้ถุนบ้านซึ่งตีล้อมไว้ด้วยลูกกรงโปร่งๆ บ่นว่าเจ้าก้อนแป้งหายไปไหนเสียแล้ว   พร้อมกับเดาะปาก และส่งเสียงเรียกมัน ๒-๓ ครั้ง

“ช่างมันเถอะ”  เขาบอก  “มันไม่เป็นอะไรหรอก ซนจนเหนื่อยแล้ว ประเดี๋ยวมันก็ตามหาเราเอง”

หล่อนเชื่อฟังเช่นทุกคราว   ก้าวเท้าเดินนำหน้าเขาไป  ขณะที่เดินตามมาเบื้องหลังนั้น  เขาอดที่จะพินิจพิจารณาดูร่างที่เคลื่อนไหวอยู่เบื้องหน้ามิได้   หล่อนเป็นเด็กสาวที่กำลังอยู่ในวัยเติบโต   แม้ว่าแขนขายังจะยาวอยู่บ้าง   แต่ทรวดทรงก็จัดว่าต่อไปเมื่อเติบโตเต็มที่แล้ว สาวน้อยผู้นี้จะมีรูปทรงไม่ด้อยน้อยหน้ากว่าสาวงามคนอื่นๆ อย่างแน่นอน  แต่เรื่องรูปทรงนั้นช่างมันเถอะ   เขาไม่สู้จะพะวงถึงเท่าใดนักดอก   แต่ดวงหน้าของหล่อนนั่นสิ ดวงหน้าเรียวสลวยที่มีดวงตาอันสวยงามอย่างมหัศจรรย์คู่นั้นทั้งคู่นั่นแหละ   ที่ช่างมีอิทธิพลเหนือจิตเขาเสียเหลือเกิน   ความรู้สึกเช่นว่านี้เกิดขึ้นแก่เขามานานหนักหนาแล้ว   หากเขารับรู้แต่เพียงว่า  เขามีความรู้สึกเป็นมิตรสนิทสนมชอบพอหล่อนเกินกว่ารู้สึกกับญาติพี่น้อง หรือเพื่อนฝูงคนอื่นๆ   เขาชอบคุยกับหล่อน   อยากเห็นหน้าหล่อน   แต่มิได้ค้นให้พบถึงสาเหตุอันเป็นบ่อเกิดแห่งความรู้สึกนั้นเลย   จนกระทั่งจู่ๆ  มันก็ปุบปับจู่โจมเข้ามาให้เขาได้สำนึกเอาเมื่อสักครู่นี้เอง   เมื่อเขามาพบหล่อนนั่งปล่อยใจปล่อยอารมณ์อยู่ที่กรงนกนั้น

ทั้งสองเดินผ่านหน้าเรือน ย้อนกลับมาทางช่องรั้ว   เพียงก้าวเดียวที่ผ่านจากบ้านโน้นมาบ้านนี้ บรรยากาศและทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไปทันที ราวกลับหน้ามือเป็นหลังมือ หรือจากโลกหนึ่งมาสู่อีกโลกหนึ่ง  บ้านหลังโน้นดูมืดครึ้มสงบและร่มเย็น   แต่บ้านหลังนี้กลับสว่างไสวโล่งโถง โอ่อ่า คึกคักอะไรเช่นนั้น  นับตั้งแต่ตัวตึกแบบทันสมัยทาสีอ่อนสลับหลากสี   ลานดินอันกว้างประดับด้วยกระถางไม้ดอกสีสดสวย   สนามหญ้าที่ราบรื่นเตียนกว้างสีเขียวขจี   ตลอดไปจนถึงรถยนต์คันงามสีแดงสดสว่างเป็นมันระยับที่จอดอยู่หน้าโรงรถนั้น

กวีและสหาย หรืออีกนัยหนึ่งญาติสาวของเขา พากันเดินอ้อมไปทางหลังตึก   ตรงไปยังศาลากลมหลังหนึ่ง ซึ่งปลูกอยู่ตรงริมสระขุดด้านข้าง  ศาลาหลังนี้ปลูกติดกับดิน   ปูด้วยกระเบื้องยกเหลี่ยมสีแดงสลับขาว  มีระเบียงกว้างประมาณหนึ่งวา ก่อนที่จะถึงห้องกว้างห้องเดียว บุด้วยกระจกตลอด   เป็นที่ที่กวีใช้ต้อนรับเพื่อนฝูงและท่องหนังสือ  รวมทั้งทำงานเบ็ดเตล็ดที่เขารักไปด้วย

ชลาเป็นคนหนึ่งที่คุ้นกับศาลาหลังนี้อย่างที่สุด   หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือว่า หล่อนคุ้นเคยต่อความเป็นอยู่ของกวีนั่นเอง   หล่อนจึงสามารถที่จะเดินนำหน้าเขาตรงมายังศาลานี้ได้ทันที โดยเขาไม่ต้องบอก   เมื่อก้าวเข้าไปในห้องแล้ว หล่อนก็มองกวาดตาไปโดยรอบพร้อมกับถามว่า

“ไหนล่ะ  พี่กวีจะอวดอะไรชลา?”

“มีซี   จะอวดเดี๋ยวนี้แหละ”

กวีก้าวขายาวๆ  ไปที่มุมห้องด้านหนึ่ง ซึ่งมีโต๊ะสี่เหลี่ยมยาวๆ ตั้งอยู่   บนโต๊ะมีผ้าสีน้ำเงินเข้มคลุมอะไรไว้อย่างหนึ่ง  กวีหยิบเอาผ้าคลุมนั้นขึ้นด้วยท่าทางกรีดนิ้ว   ทำสีหน้าลึกลับวางเชิงราวกับเป็นนักแสดงมายากลคนสำคัญ   เขาก้มศีรษะมาทางหล่อน ถามว่า

“เป็นยังไง  สวยไหมครับ?”

เจ้าสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้ผ้าสีน้ำเงินผืนนั้น คือหุ่นจำลองของบ้านทันสมัยหลังหนึ่ง   ที่ออกแบบและประกอบขึ้นอย่างประณีต มีสีสันงดงามราวกับบ้านจริงๆ   กวีช่างบรรจงสร้างสรรค์จำลองเอามาตั้งไว้ มันมีพร้อมแม้กระทั่งสนามหญ้าหน้าบ้าน  สวนดอกไม้ซึ่งมีทางเดินปูด้วยอิฐวกวนเคี้ยวคดอย่างมีศิลปะ  ตรงกลางสวนเป็นเนินสูง   เหนือเนินดินนั้นเป็นศาลาพักร้อนโปร่งๆ   กวีช่างจำลองแม้กระทั่งสระน้ำที่ทำเป็นรูปยาวคดเคี้ยวเว้าๆ แหว่งๆ แบบธรรมชาติ มีสะพานแบบญี่ปุ่นโค้งข้าม

“วิเศษจริง”   ชลาร้อง  ตาเป็นประกาย   ประสานมือทั้งสองเข้าด้วยกันอย่างตื่นเต้น   “พี่กวีสร้างเองหรือคะนี่”

เขามิได้ตอบ   หากแต่ทำท่าคำนับ   ก้มศีรษะอย่างภาคภูมิ   ชลาเดินเข้าไปชิดโต๊ะ  ใช้ปลายนิ้วแตะโน่นแตะนี่เบาๆ  อย่างระมัดระวัง ราวกับเกรงว่าถ้าออกแรงหนักเกินไปสักนิดหนึ่งแล้วละก็ จะทำให้มันบุบสลายไป

“ช่างคิดช่างทำราวกับบ้านจริงๆ”

“อีกหน่อยเถอะ  มันจะต้องเป็นบ้านจริงๆ ขึ้นมาสักวันหนึ่ง”  กวีกล่าวด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ

“อีกหน่อย   คือเมื่อพี่กวีได้รับพระราชทานปริญญาแล้วหรือคะ?”

“ไม่ใช่ดอก  ไม่เร็วถึงเพียงนั้น”

กวีว่า   ดวงตาอันเป็นประกายของเขาสลดลงเล็กน้อย   เขาล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกง  หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาส่งให้เด็กสาวผู้ซึ่งรับไปคลี่ดูอย่างไม่เข้าใจ   หล่อนมองดูตัวอักษรภาษาอังกฤษซึ่งเรียงรายอยู่เกือบเต็มหน้ากระดาษนั้นเพียงปราดเดียว ก็ร้องออกมาว่า

“จดหมายอะไรกันคะ   ภาษาฝรั่งเมืองค่า   ชลามีภูมิพอที่จะอ่านออกเสียเมื่อไร”

“จดหมายจากเพื่อนของคุณพ่อพี่ที่อเมริกา   บอกมาว่าจัดหาที่เรียนให้พี่ได้แล้ว”

“จดหมายจากเมืองนอก”   ดวงตาใสซึ้งคู่นั้นเบิกกว้าง  “แปลว่าพี่กวีจะไปเรียนต่อเมืองนอกหรือคะ?”

เขาก้มศีรษะลงรับว่า  “จ้ะ   ถูกแล้ว   เมื่อใด้อนุปริญญาแล้วพี่จะไปเรียนต่อที่อเมริกา”

จบบทที่ 1