รถยนต์คันใหญ่ยาวสีอิฐซึ่งเป็นรถประจำบ้านโสภณา แล่นไปตามถนนสุขุมวิทอย่างเชื่องช้าและเรียบสนิท คนขับแต่งกายด้วยเสื้อผ้าชุดสีขาวนั่งตัวตรงกุมมาลัยอย่างระมัดระวัง ผู้ที่นั่งอยู่ในที่นั่งตอนใน คือหญิงสาวสามนางซึ่งแต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์อันสวยงาม มีดวงหน้าอันผ่องใสแช่มชื่นเปล่งปลั่งอยู่ด้วยความพึงพอใจ ในรูปโฉมของตนเองหนึ่ง และด้วยความนึกสนุกตื่นเต้นที่จะได้นำรูปโฉมนั้นไปปรากฏในงานรื่นเริงอีกหนึ่ง
จะมีอยู่เพียงคนเดียว ที่นอกจากจะมีความรู้สึกสองประการดังกล่าวแล้ว ยังมีความหวาดวิตกแทรกแซงอยู่ด้วย ผู้นั้นคือหญิงสาวผู้นั่งอยู่ริมขวาสุด นุ่งห่มด้วยพัสตราภรณ์อันตัดเย็บด้วยผ้าไหมไทยทั้งชุด พื้นสีม่วงยกดอกละเอียดเป็นลายดอกมะเขือด้วยไหมสีจำปา ท่อนล่างเป็นซิ่นยาวรัดรูป ท่อนบนเป็นรูปเสื้อที่เลียนแบบสไบเฉียง กล่าวคือมีแขนเพียงข้างเดียวคือบนไหล่ซ้าย ไหล่ขวาเปิดเปลือยอวดเนื้ออันละเอียดนวลและความกลมกลึงของช่วงบ่า เมื่อชลาแต่งกายเสร็จและออกจากห้องของมารดาก่อนที่จะออกจากบ้านมายังบ้านของกรวิภาเพื่อสมทบมากับเจ้าหล่อนผู้นั้น ชลารู้สึกว่ามารดาได้ใช้สายตามองดูหล่อนอย่างพินิจพิเคราะห์เป็นพิเศษกว่าที่เคยมาแล้ว ท่านจึงถามว่า
“เสื้อชุดนี้หนูตัดเองหรือจ๊ะ?”
“ตัดเองค่ะ” ชลาก้มลงมองดูตัวเอง “โป๊มากไปไหมคะ แม่?”
“ไม่น่าเกลียดหรอกจ้ะ มันดูคล้ายแบบไทยๆ เราดี” มารดาตอบ “หนูคิดว่าจะใช้เครื่องประดับอะไรบ้างเล่าจ๊ะ?”
“ไม่ทราบหรอกค่ะ” ชลาบอกไปตรงๆ “ความจริงจะไม่ใส่อะไรเลยก็ไม่น่าเกลียดไม่ใช่หรือคะ?”
“ไม่น่าเกลียดหรอกจ้ะ แต่ว่าควรจะใส่อะไรเสียบ้างนิดหน่อย หนูอย่าลืมว่างานอย่างนี้เป็นที่รวมของคนหลายชนิดด้วยกัน แม่ไม่อยากให้ใครเขาว่าได้ว่าเราช่างไม่มีอะไรติดตัวเสียบ้างเลย”
ท่านหยุดพูด เดินไปที่หีบเหล็กซึ่งวางอยู่บนม้าไม้สี่เหลี่ยมเตี้ยๆ ตรงมุมห้องด้านหัวนอน ปลดพวงกุญแจจากเอวออกไขเปิดฝาหีบออก ค้นอะไรกุกกักอยู่ครู่หนึ่งก็กลับมาพร้อมด้วยกำไลก้านแข็งวงหนึ่ง ส่งให้บุตรีพร้อมกับบอกว่า
“เอานี่เถอะจ้ะ รู้สึกว่าจะเข้าทีกว่าอย่างอื่น”
“อู! สวยเหลือเกินค่ะ แม่” ชลาร้องอุทานอย่างตื่นเต้น สองมือพยายามคลำหาทางง้างกำไลออก มารดาจึงดึงกลับไปอีกครั้งหนึ่ง บอกว่า
“แหม เปิ่นเหลือเกินลูกสาวฉัน ใช้กำไลยังไม่เป็น มานี่จ้ะ แม่จะใส่ให้”
ท่านกดสปริง ง้างกำไลออกสวมเข้าไปใต้ต้นแขนเหนือศอกขวาของบุตรี กดให้ปลายเลื่อนเข้าหากัน แล้วจึงถอยออกมา บอกว่า
“สวยแล้วจ้ะ”
ชลาจึงหันไปทางกระจกเงา และอดมิได้ที่จะร้องอุทานออกมาเบาๆ ด้วยความตื่นเต้นอีกเป็นคำรบสองว่า “อู้ฮู! สวยจังค่ะแม่”
รอบกลางแขนอันสาวผ่องกลมกลึงของหล่อนนั้น กำไลก้านแข็งอันประดับด้วยพลอยสีดอกผักตบสลักเพชรส่งประกายวับๆ ล้อแสงไฟอยู่แวววาว ช่วยเสริมส่งให้ชุดผ้าไหมไทยสีม่วงยกดอกสีจำปางามสง่าน่าดูยิ่งนัก ชลาเพ่งมองด้วยความพิศวงยิ่งนัก นี่หรือคือนางสาวชลา โสภณา หญิงสาวที่เติบโตขึ้นมาท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่เต็มไปด้วยกลิ่นไอของประเพณีไทยแท้ แม้ว่าชลาเองจะได้เห็นสายธารผู้เป็นพี่สาวตกแต่งร่างกายตามแบบที่เลียนจากสตรีตะวันตกอยู่เป็นเนืองนิจเสมอมา แต่หญิงสาวก็ยังมิได้รู้สึกถึงความขัดแย้งกันมากเท่ากับที่ได้เห็นภาพตนเองในขณะนี้ ชลาเด็กสาวผู้มีความเป็นอยู่อย่างง่ายๆ และกลมกลืนกับสิ่งแวดล้อม ดูเหมือนจะได้หายไปดุจปาฏิหาริย์ ชลาที่ปรากฏอยู่นี้ คือนางสาวชลาคนใหม่ที่กำลังจะลอยห่างจากถิ่นกำเนิดเดิมไปทุกที
สายธารได้หอบเสื้อผ้าของหล่อนไปแต่งที่บ้านของกรวิภา ดังนั้นชลาจึงต้องเดินไปจากบ้านของหล่อนไปแต่ลำพังผู้เดียว ขณะที่เดินผ่านช่องระหว่างรั้วกั้นเขตบ้าน ความรู้สึกที่แปลกและใหม่อย่างหนึ่งได้บังเกิดขึ้นแก่หญิงสาว เธอเคยเดินผ่านช่องนี้ไม่รู้จักกี่ร้อยกี่พันครั้งมาแล้ว แต่มิได้มีครั้งใดที่เธอจะบังเกิดความรู้สึกประหลาดเช่นครั้งนี้มาก่อนเลย ในชั่วขณะนั้นที่ ชลาอยากจะให้มีกวียืนอยู่ ณ ชาลาหน้าตึก และคอยเธออยู่ดังที่เคยเป็นมาอยู่เนืองนิตย์ เมื่อสมัยก่อนที่เขาจะจากไปต่างประเทศ ชลาอยากนักที่จะให้กวีมาเห็นเธอในสภาพใหม่นี้ แต่มันก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ กวียังคงอยู่ต่างประเทศ และที่ชาลาหน้าตึกก็ว่างเปล่าไร้ผู้คน ชลารู้สึกหดหู่ลงเล็กน้อยอย่างหาเหตุผลไม่ได้ ขณะที่ก้าวผ่านชาลาอันเงียบเหงานั้นขึ้นบันไดสู่ตัวตึกชั้นบน ตรงไปยังห้องส่วนตัวของกรวิภา
สายธารแต่งกายเสร็จเรียบร้อยแล้ว เมื่อชลาไปถึง หล่อนสวมชุดราตรีตัดเย็บด้วยแพรสีน้ำทะเลเนื้อมันระยับไม่มีแขน มีแต่โยงไหล่เส้นเล็กๆ อยู่ข้างละสองเส้น ตรงอกเสื้อปักเลื่อมแพรวพราว แต่กรวิภานั้นยังคงอยู่ในเสื้อคลุมที่คลุมเข้าไว้หลวมๆ กระโปรงราตรีสีทองแวววาบแบบไม่มีแขน ตัวกระโปรงสั้นและพองตะคุ่มราวกับกุหลาบกำลังจะแย้ม พาดอยู่บนเตียง คอยท่าอยู่แล้ว ทั้งสายธารและกรวิภาหันมาดูพร้อมกัน เมื่อชลาก้าวเข้าไป ดวงตาทั้งสองคู่จับอยู่ที่ร่างของชลานิ่งและนานเป็นครู่ใหญ่ แล้ว กรวิภาจึงถามว่า
“ใครตัดเสื้อให้หรือ ชลา?”
เมื่อชลาตอบออกไปว่าตัดเอง หล่อนก็ยกไหล่เล็กน้อยบอกว่า “สวยดีนี่” แล้วก็หันไปสนใจกับการใช้แปรงอันจิ๋วป้ายน้ำมันแต่งขนตาต่อไป ส่วนสายธารร้องออกมาลอยๆ ด้วยเสียงต่ำๆ ลึกๆ ในคอว่า
“เอ๊ะ น้าละเมียรไปเอากำไลอันนี้มาจากไหน?”
แต่กรวิภาก็ยังมีใจดีต่อเธอก่อนที่จะออกมาจากห้องนั้น หล่อนได้หยิบเอาแคทลียาคู่หนึ่งที่ปักอยู่ในแจกันเงินใบจิ๋วหน้าโต๊ะแต่งตัวขึ้นมาส่งให้ชลา บอกว่า
“เอาไอ้นี่ปักผมเสียหน่อยซี ผมเรียบเหมือนจะตาย”
ชลาจึงเอาบุปผาสีม่วงสดนั้นแซมที่ผม ซึ่งเธอเกล้าขัดขึ้นไว้ด้วยมือที่ไม่สู้ชำนาญนัก ใช้คลิปเสียบยึดให้แน่น ชำเลืองดูเงาในกระจกด้วยความพอใจ กลีบอันแข็งคงรูปแต่อ่อนช้อยงดงามตามธรรมชาติและสีสวยของดอกไม้ขับสีผมของเธอให้มองดูดำสนิทยิ่งขึ้น ทั้งมันยังทำให้ต้นคอขาวผ่อง และเรียวระหงขึ้นอีกด้วย
“แหม น่าถ่ายรูปส่งไปให้พี่กวีดูจังเลย” กรวิภาว่า แต่สายธารกลับบอกว่า
“ใส่ทั้งกำไลเพชรแล้วยังติดดอกไม้ สวยแย่ละทีนี้”
คำชมและคำติมีอยู่ก้ำกึ่งกันดังนี้ ชลาจึงอดที่จะมีความรู้สึกหวาดวิตกแทรกแซงอยู่ในความตื่นเต้นเสียมิได้ ขณะที่รถเลี้ยวเข้าไปในคฤหาสน์ใหญ่ของกิติมา ครั้งนี้นับว่าเป็นการออกงานสังคมอย่างแท้จริงของชลาเป็นครั้งแรกโดยแท้ แสงไฟอันสว่างเจิดจ้าอยู่ทั่วทุกมุมบ้าน และผู้คนมากหน้าหลายตาที่แต่งตัวหรูหราสดสวยเดินผ่านไปมาอยู่สับสนนั้น ทำให้ชลาบังเกิดความรู้สึกพร่าพราวตา เหงื่อมือออกจนเย็นขึ้น เมื่อรถแล่นเลี้ยวเข้าไปจอดเทียบหน้าบันไดตึก เพื่อส่งให้ทั้งสามสาวลงก่อนที่คนรถจะนำรถเคลื่อนไปจอดยังที่ที่จัดไว้เป็นที่จอดรถนั้น ชลาต้องลงทีหลังสุด ลงมาแล้วก็ยืนงงๆ อยู่ ตาลายจนมองไม่รู้ว่าใครเป็นใคร จนกระทั่งได้ยินเสียงแหลมของกิติมา ร้องทักขึ้นตรงหน้าว่า
“ตายจริง ชลา จำไม่ได้แน่ะ แต่งอย่างนี้แปลกตาไปเป็นกอง”
นั่นแหละ ชลาจึงได้รู้สึกตัว และยกมือขึ้นทำความเคารพกิติมาผู้ซึ่งพยักหน้ารับการทักทายอย่างยิ้มแย้มแจ่มใสพลางใช้สายตาเหลือบมองสำรวจดูทั่วร่างของญาติผู้น้อยอย่างรวดเร็วและชำนาญ แล้วก็มองเลยไปด้านหลังที่สตรีผู้เยาว์วัยกว่าทั้งสามยืนอยู่นั้น บอกว่า
“นั่นแน่ะ คุณสำราญเดินตัวปลิวมานั่นแล้ว”
ชลาหันไปมองตามสายตาของกิติมา จึงได้เห็นบุรุษผู้เป็นสามีของเจ้าหล่อนผู้นั้นเดินออกจากสนามอันกว้าง ซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนตรงมายังที่ที่ภรรยายืนอยู่ด้วยท่าทางที่คล่องแคล่วอย่างน่าพิศวง ถ้าจะเปรียบเทียบกับความสมบูรณ์ของร่างกายของเขา วันนี้นายสำราญ พงศ์ศรี แต่งกายด้วยชุดผ้าไหมไทยสีน้ำตาลไหม้ เน็คไทสีอ่อนกว่าเล็กน้อย กลัดเข็มกลัดเน็คไทฝังเพชรแพรวพราว
“พวกสาวๆ นี่มาทำให้สดชื่นกันดีเหลือเกิน” เขาทักอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส พลางยกมือขึ้นรับการเคารพแล้วหันมากล่าวกับภรรยาว่า “แขกเห็นจะหมดแล้วกระมังคุณ ลงมือกินกันได้ละ พวกขาลวดดอกไม้ไหวบ่นอยากจะประลองฝีเท้าเต็มทีแล้ว”
“ตามใจซีคะ” กิติมาคล้อยตามความเห็นของสามีหันมาทางน้องสาว ชวนว่า “จะไปนั่งโต๊ะพี่หรือจะหาที่นั่งเอง?”
กรวิภาเบ้ปาก บอกว่า “อย่าเลย ขืนไปนั่งกับคุณกิติมาก็ต้องแขม่วท้องหมดสนุกไปเท่านั้น กรไปเลือกหาที่นั่งของกรเองดีกว่า สมัครพรรคพวกออกเยอะแยะไป กลัวอะไร”
แล้วกรวิภาก็หันมาพยักหน้ากับญาติสาวทั้งสองที่มาพร้อมกัน ชลาขยับจะก้าวเดินตามไปด้วย แต่แล้วสำราญกลับร้องเรียกเอาไว้ว่า
“อ้าว ชลาจะไปไหนกับเขาด้วยล่ะ มานั่งโต๊ะเดียวกันซี จะได้แนะนำให้รู้จักท่านผู้หลักผู้ใหญ่ไว้ เห็นบอกว่าอยากได้งานทำไม่ใช่หรือ?”
ชลาจึงต้องชะงักหยุดอย่างลังเลใจ มองดูกรวิภาและสายธาร แต่เมื่อเห็นทั้งสองมิได้แสดงความเอาใจใส่ คงจูงมือกันเดินต่อไป มุ่งหน้าเข้าไปยังกลุ่มคนที่เริ่มจะเลือกจับจองนั่งลงล้อมรอบโต๊ะปูลาดด้วยผ้าสีขาวสะอาดที่ตั้งเรียงรายไปรอบสนามอันกว้างใหญ่นั้น ชลาจึงตัดสินใจเดินตามคู่สามีภรรยาผู้นั้นไปโดยดุษณี
ชลารู้สึกว่าขณะที่เดินมานั้น ได้มีสายตามากมายหลายคู่จับจ้องอยู่ที่ร่างของเธอ ด้วยลักษณะอันบ่งบอกถึงความรู้สึกต่างๆกัน ทั้งชมเชยและพิศวงสงสัยจนกระทั่งมาถึงโต๊ะๆ หนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ริมในสุด และชลาเพิ่งจะสังเกตเห็นเดี๋ยวนั้นเอง ว่าตรงกลางสนามที่ถูกละที่ไว้ว่างนั้น ที่แท้ก็เพื่อจะยกพื้นขึ้นสูงจนพ้นพื้นสนามขึ้นมาประมาณหนึ่งคืบ คงจะเป็นที่สำหรับให้นักลีลาศทั้งหลายประลองฝีเท้าเป็นแม่นมั่น ด้วยเหตุที่สุดปลายยกพื้นด้านโน้น ใกล้กับรั้วบ้านด้านหน้า ได้มีเวทีชั่วคราวตกแต่งด้วยแพรหลากสีเหมือนสีรุ้ง รวบยอดรวมกันอยู่เหนือเสาที่ตั้งอยู่มุมหนึ่งของเวที แล้วก็กระจายโยงลงมายังที่นักดนตรีเข้าประจำอยู่ แต่ละที่แต่ละสี แต่ชลาไม่มีเวลาพอที่จะพินิจสิ่งเหล่านี้ได้นานนัก เพราะขณะนั้นสำราญและกิติมาได้หยุดเดินแล้ว หันมาบอกกับเธอว่า
“ชลา กราบท่านเสียซี”
ชลามองดูผู้ที่สำราญกำลังยืนโค้งๆ พูดด้วยอย่างนอบน้อมและระมัดระวังตัวเป็นอย่างยิ่งนั้นเต็มตา แล้วก็เกือบจะร้องอ๋อออกมาดังๆ “ท่าน” ของสำราญคนนี้ช่างคุ้นตาชลาเสียจริงๆ ทั้งนี้คงเป็นเพราะ “ท่าน” นั้นเป็น “ข่าว” ที่ปรากฏทั้งชื่อและภาพ บนหนังสือพิมพ์บ่อยๆนั่นเอง
นอกจาก “ท่าน” ของสำราญแล้ว ชลายังต้องทำความเคารพใครต่อใครอีกหลายคน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นบุรุษเพศทั้งสิ้น แล้วจึงได้นั่งลงระหว่างสำราญกับผู้ชายอีกคนหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนว่าเป็นเจ้าของบริษัทอะไรบริษัทหนึ่ง หญิงสาวจำไม่ได้เสียแล้ว มันช่างมากมายหลายคนด้วยกัน นักเดินโต๊ะเริ่มนำอาหารมาเสิร์ฟ ชลานั่งเฉยไม่กล้าแตะต้องวุ่นวายคอยแต่รับการปรนนิบัติจากบุรุษที่นั่งขนาบข้างทั้งสองนายเท่านั้น
ขณะที่เธอพยายามก้มหน้าสนใจอยู่กับอาหารตรงหน้า หญิงสาวยังอดรู้สึกไม่ได้ว่า ตลอดเวลานั้นสายตาของ “ท่าน” ได้เพ่งมองอยู่ที่เธอหลายต่อหลายครั้งๆ ละนานๆ ครั้งหนึ่งเธอเงยหน้าขึ้นและได้ประสานสายตากับดวงตาของ “ท่าน” เข้าพอดี ท่านยิ้มให้แล้วเบนสายตาไปมองที่สำราญ ถามว่า
“ตอนที่แนะนำก็ลืมถามไป แม่หนูคนนี้เป็นน้องสาวของคุณหรือ?”
“เปล่าครับ” สำราญตอบ “น้องของคุณกิติมาเขาน่ะครับ”
“งั้นรึ” ท่านอุทานอย่างแปลกใจ “ทำไมหน้าไม่เหมือนกัน แล้วก็ไม่เคยเห็นคุณกิติมาพาไปออกงานไหน เคยเห็นแต่คนโน้น?”
“ท่าน” พยักหน้าไปทางโต๊ะถัดไปอีกสองโต๊ะ ซึ่งชลามองเห็นชุดราตรีสีทองและสีน้ำเงินแพรว พราวอยู่ที่นั่น
“ไม่ใช่น้องแท้ๆ ของดิฉันหรอกเจ้าค่ะ” คุณกิติมาตอบอย่างอ่อนหวาน “ชลานี่เขาเป็นเพียงญาติ คุณพ่อของเขากับคุณพ่อของดิฉันเป็นลูกพี่ลูกน้องกันค่ะ น้องสาวแท้ๆ ของดิฉันมีเพียงคนเดียว คือกรวิภาเท่านั้น”
“เออ ได้ข่าวว่าคู่หมั้นคู่หมายของกรวิภา น้องสาวของคุณกิติมา ยังเรียนหนังสืออยู่เมืองนอกไม่ใช่หรือครับ?” ผู้ชายคนที่นั่งติดอยู่กับ “ท่าน” ถามขึ้น
“อุ๊ย ยังไม่ทันได้หมั้นกันหรอกค่ะ” กิติมาตอบฉาดฉานชัดเจน “เขาเพียงแต่รักชอบกันอยู่เท่านั้น ใจของดิฉันน่ะอยากจะให้ดูกันไปนานๆ เพราะพ่อคนนั้นน่ะ ความจริงเขาก็มีญาติมีตระกูลดีพอใช้อยู่หรอกค่ะ เสียอยู่อย่างเดียว คือแกจน”
“เอ๊ะ! จนทำไมจึงมีเงินไปเรียนเมืองนอก?” ผู้ถามคนเดียวกันแสดงความกังขา กิติมาจึงอธิบายต่อไปอีกว่า
“ที่แกได้ไปเรียนก็เพราะว่า แกชิงทุนได้น่ะซีคะ แต่อย่างนั้นเขายังว่ากันว่าพ่อแม่ของแกต้องวิ่งขอหยิบขอยืมเงินทองใครต่อใครให้วุ่นไป เพราะจะเอามาตัดเสื้อผ้าให้ลูกชายเอาไปใส่เมืองนอก”
“เข้าทำนองผู้ดีตกยากงั้นซีนะ” “ท่าน” พลอยสนทนาด้วยอย่างนึกสนุก
“เอ....ออกจนถึงขนาดนี้แล้ว คุณกิติมาไม่หนักใจบ้างหรือครับ ถ้าคุณน้องสาวจะไปตกลงปลงใจด้วยกับเขาจริงๆ น้องคุณออกเคยสบาย จับจ่ายใช้สอยได้ดังใจ ไปอยู่อย่างนั้นจะทำยังไง มิคับใจแย่หรือ?” คนหนึ่งแสดงความวิตกทุกข์ร้อนแทนอย่างน่าขอบใจยิ่งนัก
กิติมาหัวเราะเสียงใส “ใครจะปล่อยให้ลำบากได้คะ น้องสาวคนเดียวต้องช่วยกันไปตามเรื่องแหละค่ะ”
“แล้วคุณพ่อรู้เรื่องนี้ไหมครับ ท่านไม่ว่าอะไรบ้างหรือ”
“คุณพ่อจะทราบเรื่องนี้หรือเปล่า ดิฉันก็ไม่ทราบ” กิติมาตอบไปตามตรง “คุณพ่อท่านเป็นคนไม่ชอบพูด ทราบหรือไม่ทราบอะไร ท่านก็เก็บของท่านอุบนิ่งไว้คนเดียว บางเรื่องนะคะ เราคิดว่าท่านไม่รู้ แต่ที่ไหนได้ล่ะคะ พอท่านพูดขึ้นมาเท่านั้น ปรากฏว่าท่านรู้ละเอียดยิ่งกว่าเราไปเสียอีก”
“อย่างนี้ซีน่ากลัว ผู้ใหญ่อย่างนี้ลูกหลานไม่กล้าทำอะไรตบตา เออ....แล้วน้องชายของคุณเล่า เมื่อไหร่จะกลับจากนอก?”
“เร็วๆ นี้แหละค่ะ” กิติมาตอบ
“กลับมาแล้วจะทำงานอะไร?” ท่าน.. ถามพลางใช้ตะเกียบคีบชิ้นไส้หมูย่างกรอบจากจานเปลใบใหญ่มาจิ้มน้ำสีน้ำตาลเข้มข้นเหนียว และมีรสหวาน แล้วส่งเข้าปาก ตามด้วยผักดอง เคี้ยวตุ้ยๆ อย่างเอร็ดอร่อย
“ใครเจ้าคะ?”
“อ้าว ก็พ่อน้องชายของคุณกิติมาน่ะซี”
“อ๋อ” กิติมาร้องเบาๆ ตอบว่า “ไม่ทราบเขาเจ้าค่ะ เขาอาจจะตั้งบริษัทของเขาเองก็ได้ พ่อคนนี้เขาเป็นคนหัวแข็ง ไม่ค่อยจะมีใครไปยุ่งกับเขาหรอกค่ะ แม้แต่คุณพ่อเอง”
“คุณกิติมาเขาเชียร์น้องเขยมากกว่าน้องชายแท้ๆ เสียอีกซีครับ”
“น้องเขย?” ท่านเลิกคิ้วเอื้อมมือไปคีบไส้กรอกอีกครั้งหนึ่ง
“ขอประทานโทษ ผมหมายถึงว่าที่น้องเขยน่ะครับ” สำราญหัวเราะลงคออย่างชอบอกชอบใจ ทั้งที่ชลารู้สึกว่าเหตุที่จะทำให้หัวเราะนั้นออกจะอ่อนเต็มที “เขาเกณฑ์ให้ผมเอาตำแหน่งผู้จัดการธนาคารที่จะตั้งใหม่ไว้ให้”
“โธ่....ดิฉันช่วยน้องของดิฉันต่างหากเล่าคะคุณก็” กิติมาค้อนสามีของหล่อน “คิดดูซีคะว่า กรวิภาแกจะขายหน้า น้อยหน้าเพื่อนสักเพียงไหน ถ้าหากว่าแกจะแต่งงานกับคนว่างงาน หรือพนักงานพื้นๆ ตามบริษัทฝรั่ง เออ....ตำแหน่งผู้จัดการธนาคารนี่ค่อยสมน้ำสมเนื้อกันหน่อย!”
“ไปเรียนการธนาคารมาหรือ?” ท่าน.. ถามแล้วก็ร้อง “อ้าว” เมื่อได้รับคำตอบว่า
“มิได้เจ้าค่ะ”
“คุณกิติเขาจะให้ผมเป็นครูสอนให้ครับ ฮ่า ฮ่า” สำราญดูมีอารมณ์เป็นพิเศษ เขาบอกว่า “ทีแรกก็ให้ผมทำงานเป็นผู้จัดการไปก่อน ให้ว่าที่น้องเขยเป็นผู้ช่วย พอว่าที่น้องเขยเข้าใจงานดีแล้ว ก็ให้ผมลาออกได้ ฮ่า ฮ่า น่าฟังดีไหมครับ?”
“ก็ดีนี่นา” ท่าน.. บอก “คนกันเองจะได้ไว้ใจได้ เขาจะทำอะไรๆ ก็ยังต้องคิดหน้าคิดหลังอยู่บ้าง เอาคนนอกเข้ามาน่ะแกจะไปวางใจได้รึว่าเขาจะไม่โกง ผมว่ายังงี้แหละ ถูกไหม?”
“นับว่าคนคนนี้เป็นผู้ชายโชคดีเหลือเกิน” อีกคนหนึ่งว่า “ดูทีหรือได้ทั้งเจ้าสาวที่แสนสวย ทั้งยังรวย แล้วก็ยังมีตำแหน่งงานที่มั่นคงคอยอยู่อีกเล่า ยิ่งเสียกว่าถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งเสียอีกซี”
“ใครกันนะครับ พ่อหนุ่มโชคดีคนนั้น?”
ชลาได้ยินเสียงใครคนหนึ่งถามขึ้น แล้วก็ได้ยินเสียงกิติมาตอบว่า
“ชื่อ กรันต์ค่ะ นายกรันต์ กฤษณพงศ์ กำลังเรียนวิชาวิศวกรรมศาสตร์อยู่ที่อเมริกา”