ดวงใจนี้ใครครอง

>> สุภาว์ เทวกุลฯ

ดวงใจนี้ใครครอง

บทที่ 2

“ชลา…  ชลา...  แต่งตัวเสร็จหรือยัง   ชักช้าอยู่นั่นแหละ   ประเดี๋ยวไม่ทันนะ”

เสียงร้องเรียกนั้นดังมาจากนอกห้อง   อีกชั่วอึดใจเดียวต่อมา ก็มีเสียงเดินค่อนข้างหนักมาหยุดที่ประตู   แล้วก็มีเสียงเคาะพร้อมกับเสียงร้องตามเข้ามาว่า

“ชลา  ร่ำไรอยู่ได้  ประเดี๋ยวก็ไปส่งไม่ทันเท่านั้นเอง”

เด็กสาวขยับกายจากท่าที่ซุกนิ่งพิงปลายเตียงอยู่นั้นเล็กน้อย   ร้องตอบออกไปอย่างเสียไม่ได้ว่า   “เสร็จแล้วจ้ะ   ประเดี๋ยวจะออกไป”

“เร็วๆ นะ”

เสียงนั้นกำชับเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง แล้วจึงมีเสียงเดินห่างไปทางบันได   ชลาขยับกายลุกขึ้นยืน   เดินมาหยุดที่หน้ากระจก   มองดูเงาตนเองที่สะท้อนออกมานั้นอย่างเหม่อๆ

ภาพที่มองจ้องตอบออกมาจากกระจกเงาแผ่นนั้นเป็นภาพของเด็กสาวในวัยรุ่นผู้ซึ่งแต่งกายงดงามสะสวยด้วยเสื้อกระโปรงชุดสีฟ้าจางคอตัด   มีลายเขียนเป็นรูปช่อกุหลาบสีสวยสดราวกับกุหลาบจริงๆ   ที่ทรวงอกเบื้องซ้าย ผมอันงามสลวยดกดำของหล่อน ถูกหวีเลยเรียบไปทางด้านหลัง มีริบบิ้นสีเดียวกับเสื้อคาดทับ   ลูกผมอ่อนๆ   ตกเป็นวงอยู่เหนือหน้าผากอันผุดผาด จะมองดูสวยเรี่ยมไปทั่วทั้งสรรพางค์กายหาที่ติไม่ได้เลยทีเดียว   ถ้าหากภาพของเด็กสาวผู้นั้นจะยิ้มเพียงสักนิด   ไม่เลื่อนลอยเหงาหงอยถึงเพียงนั้น

ถอนใจเบาๆ มองดูภาพในกระจกอีกแวบหนึ่งแล้วจึงเดินไปเปิดตู้   หยิบเอากระเป๋าฟางถักแบบหนีบสีขาวออกมา   รองเท้าฟางเข้าชุดกันส้นสูงเพียงนิ้วครึ่ง ถูกจัดเตรียมไว้แล้ว   ชลาหยิบมันขึ้น   หิ้วออกจากห้องลงบันไดมาข้างล่าง

ผู้ที่ออกเสียงเร่งหล่อน นั่งคอยอยู่ที่ม้ายาวระเบียงหน้าเรือนพร้อมด้วยสตรีในวัยกลางคนอีกคนหนึ่ง   เมื่อชลาก้าวออกไปพ้นประตูเรือน   ผู้นั้นก็ส่งเสียงต่อว่าขึ้นมาทันทีว่า

“ชักช้าอยู่นั่นแหละ  หัดแต่งตัวเร็วๆ เสียบ้างซี   ชักช้าอย่างนี้ละก็ไม่ทันกินละ”

ชลามิได้โต้ตอบ   หล่อนเดินตรงเข้าไปนั่งลงข้างสตรีกลางคนนั้น วางรองเท้าที่หิ้วมาลงกับพื้น   ก้มลงสวม   รู้สึกว่ามีฝ่ามืออันอ่อนนุ่มบอบบาง แต่ทว่าเต็มเปี่ยมไปด้วยความปรานี ลูบไล้ที่ต้นแขนของหล่อนเบาๆ

“เครื่องบินจะออกกี่โมงกันลูก?”

“สิบเอ็ดครึ่งค่ะ คุณน้า”   มีเสียงตอบแทนชลา

“นี่ตั้งสิบครึ่งเข้าไปแล้ว   กว่าจะถึงท่าอากาศยานก็หวุดหวิดทีเดียว   เราต้องไปแท็กซี่ มีรถส่วนตัวเสียด้วย”

“แม่สายธารต้องคอยเตือนให้รถเขาขับระวังหน่อยนะจ๊ะ”   สตรีกลางคนกำชับอย่างเป็นห่วง   “คนขับแท็กซี่บางคนคะนองนัก ไว้ใจไม่ค่อยได้เลย   ยิ่งคนโดยสารเป็นหญิงด้วยยิ่งเอาใหญ่   จะอวดว่าฉันนี่ขับรถเก่ง เลยตะบึงเสียจนลืมระมัดระวังตัว”

ชลาซึ่งสวมรองเท้าเสร็จแล้วได้ลุกขึ้นยืน   ยื่นหน้าเข้าไปใช้แก้มแนบกับต้นแขนที่เริ่มเหี่ยวย่นแต่เยือกเย็นหอมกรุ่นอยู่ด้วยกลิ่นน้ำปรุงอ่อนๆ ชวนให้ชื่นใจนั้นบอกว่า

“ชลาไปละค่ะ คุณแม่”

“จ้ะ บอกพ่อกวีด้วยว่าแม่ฝากใจมาส่ง   ขอให้เขาเดินทางโดยสวัสดิภาพไปศึกษาให้สำเร็จนำความภาคภูมิและเกียรติยศชื่อเสียงมาสู่ครอบครัวและบ้านเมืองให้ได้”

ชลารับคำแล้วหันไปทางผู้ที่ยืนคอยอยู่   ให้สัญญาณว่าไปกันได้ละ   ซึ่งอีกฝ่ายหนึ่งก็ไม่รอช้า   ก้าวฉับๆ นำหน้าลงบันไดไปทันที   ทั้งสองคนเดินออกมาคอยเรียกรถแท็กซี่ที่หน้าประตูบ้าน   สายธารผู้ซึ่งแต่งกายสดสวยด้วยผ้าไหมไทยสลับตาม่วงและขาวแซมด้วยสีเขียว ถือกระเป๋าใบโตและรองเท้าสีเขียวสดเข้าชุดกัน   ไม่วายบ่นกะปอดกะแปดอยู่จนกระทั่งเรียกรถได้   และว่าจ้างให้ไปส่งที่ท่าอากาศยานดอนเมือง

ชลาแทบจะไม่รู้สึกตัวเลยว่ารถได้พาตนเองผ่านถนนอะไรต่ออะไรมาบ้าง   ในใจของเธอนั้นเฝ้าแต่ร่ำร้องอยู่ว่านับแต่นี้ต่อไป เธอจะต้องประสบกับความเหงาหงอยว้าเหว่เป็นอย่างยิ่ง กวีเพื่อนสนิทคนเดียวของหล่อนจะต้องจากไปไกลดังคนละซีกโลก   แม้ว่าการจากของเขาจะเป็นการจากที่ดี   จากไปเพื่อความเจริญรุ่งเรืองกลับมา   ชลายังทำใจให้ยินดีมิได้ การจากพรากไม่ว่าจะจากไปดีหรือจากไปร้าย   ก็ล้วนแล้วแต่นำความทุกข์มาให้ทั้งสิ้น   จะบอกคนอื่นได้อย่างไรว่าดีใจ ในการที่กวีจะจากไปเรียนต่อที่อเมริกา   ในเมื่อมันตรงข้ามกับความจริงใจ   วันนั้น หลังจากที่กวีได้แจ้งแก่เธอว่าเขาจะได้ไปเรียนต่อเมืองนอกแล้ว   เขาได้ถามเธอว่า เธอดีใจกับเขาด้วยไหม   ชลาสั่นหน้าตอบว่า

“ชลาดีใจที่พี่กวีจะได้ไปเรียนถึงอเมริกา   แต่ก็เสียใจที่พี่กวีต้องจากไป ไม่มีพี่กวี   ชลาคงจะเหงาแย่ละ”

 

“ถ้าเผอิญเกิดอุปสรรคอะไรขึ้นมาทำให้พี่อดไปละก็   ชลาคงจะดีใจซินะ”

“ชลาก็คงเสียใจที่พี่กวีต้องอดไปชุบตัวที่เมืองนอก   แต่ก็ต้องรับว่าดีใจที่พี่กวีจะได้ไม่ไปไหน   ชลาจะได้ไม่ต้องหงอยเหงา  สรุปแล้วเป็นอันว่าพี่กวีจะไปหรือไม่ไปก็มีผลเท่ากันทั้งสองอย่าง  ทั้งดีและไม่ดี”

“เห็นแก่ตัวเหลือเกินนะเรา”   กวีว่า ตายังคงกระพริบอยู่   “แต่เชื่อว่าคงจะไม่มีอะไรขัดข้องหรอก   เอาเถอะยังอยู่อีกหลายเดือนนักกว่าพี่จะสอบเสร็จและได้รับปริญญา   เมื่อถึงเวลาแล้วคงจะได้รู้เองแหละว่าจะได้ไปหรือไม่”

เวลาหลายเดือนที่กวีว่าช่างผ่านไปรวดเร็วราวกับบิน   จนกระทั่งมาวันนี้   วันที่ชลาต้องจำใจแต่งตัวสวย นั่งรถไปท่าอากาศเพื่อไปส่งกวีขึ้นเครื่องบินไปเมืองนอก   จะต้องไปแสดงความยินดีตามแบบอย่างที่คนอื่นเขาทำกัน   แสดงความยินดีที่กวีจะต้องไปไกลจากเธอ! ช่างน่าขันเสียจริงๆ

รถแล่นปราดเข้าจอดเทียบส่งเกือบถึงหน้าทางขึ้นลงของตัวอาคาร   สายธารชำระค่ารถแล้วก้าวฉับๆ ขึ้นบันไดไปอย่างองอาจ โดยมิได้สะทกสะท้านต่อดวงตาหลายสิบคู่ที่หันมาจ้องเกือบจะเป็นตาเดียวกันนั้น   สายธารเก่งกล้าและคล่องแคล่วในเรื่องการสมาคมนัก   หล่อนเดินนำหน้าชลา   เที่ยวค้นหากวีและคณะของเขาจนกระทั่งมาพบเข้าที่หน้าช่องทำการของสายบินที่กวีจะโดยสารไป

กวีอยู่ในกลุ่มญาติมิตรและเพื่อนฝูงที่พากันมาส่ง   มีพวงมาลัยสวมทับอยู่เต็มคอ เขาแต่งชุดสีน้ำเงินเข้มดูกลายเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ขึ้นถนัดตา   ขณะนั้นเขากำลังยืนพูดคุยและหัวเราะอยู่   แต่กระนั้นก็ยังมีอะไรบางอย่างในดวงหน้าและท่าทางที่แสดงให้รู้ว่าการพูดคุยและการหัวเราะนั้นมิได้เป็นไปอย่างเต็มที่นัก   เขาเปลี่ยนขาพักบ่อยๆ และสอดส่ายสายตามองผ่านผู้คนที่รุมล้อมอยู่นั้นออกมายังทางเดินที่ตรงไปสู่ห้องกว้างอันเป็นทางเข้าด้านหน้าเสมอ   ด้วยเหตุนี้   เมื่อชลาและพี่สาวของหล่อนปรากฏกาย   เดินหลีกลัดมาตามทางนั้นไม่เท่าไหร่กวีก็มองเห็น

ทันใดดวงหน้าท่าทางของเขาก็เปลี่ยนไป   อะไรบางอย่างที่ขาดหายอยู่นั้นดูเหมือนจะกลับเต็มขึ้นมาทันที เขาสาวเท้าฝ่าคนที่รุมล้อมอยู่ตรงเข้ามาหา   ส่งเสียงร้องทักมาก่อนตัวว่า

“ชลา..   นึกว่าจะไม่มาส่งพี่เสียแล้ว   สายธาร..   ขอบใจนะที่อุตส่าห์มาส่ง”

“หนอยแน่ะ ทำไมต้องใช้คำว่าอุตส่าห์”   สายธารว่า   หล่อนกับกวีมีอายุใกล้เคียงกันมาก จนกระทั่งไม่มีใครยอมลงใครให้เป็นพี่   “พูดอย่างกับว่าเราต้องฝืนใจมาอย่างนั้นแหละ”

ขณะที่พูดกับกวีอยู่นั้น   สายธารก็หันไปยกมือไหว้คนนั้น   ยิ้มทักกับคนนี้ อย่างกว้างขวาง   ในขณะที่ชลายืนซึม   แทบจะไม่รู้ว่ามีใครต่อใครมาส่งกวีกันบ้าง

“ขอโทษครับที่กระผมใช้คำพูดผิดไป”   กวีโค้งคำนับล้อๆ เหลือบตามาดูชลา รู้สึกว่าช่างลำบากยากใจเสียจริงที่จะกล่าวคำพูดใดๆ  มาทักทายหล่อนผู้นี้   ดูมันอัดอั้นตันใจไปเสียหมด

“นึกว่าจะมาไม่ทันเสียอีกแล้วล่ะ”   สายธารกล่าวต่อไป   ชลาน่ะซิที่มัวโอ้เอ้แต่งตัวช้าอยู่   เจ้าแท็กซี่ก็ขับช้าอย่างกับเต่าคลาน”

“เสื้อยังเย็บไม่เสร็จกระมังชลา?”

กวีถามอย่างล้อๆ   การที่ได้รับคำบอกเล่าว่าชลาแต่งตัวช้าในการมาส่งเขานี้ได้ทำให้เขาบังเกิดความรู้สึกอย่างหนึ่งขึ้นในใจ   มันเป็นคล้ายๆ กับความหวัง  เพราะเขารู้ดีว่าโดยปกติวิสัยแล้ว ชลามิได้เป็นหญิงที่จะมัวเสียเวลาชักช้าอยู่กับการแต่งตัวประดับประดาร่างกายเลยแม้แต่น้อย ก็เมื่อหล่อนมาช้าในการแต่งตัวมาส่งเขาในวันนี้   มันมิได้แสดงว่าได้มีความรู้สึกพิเศษอย่างหนึ่งอย่างใดเกิดขึ้นแก่หล่อนดอกหรือ

ชลามิได้ตอบคำถามอันเป็นเชิงล้อเลียนของเขานั้น   หล่อนเพียงแต่มองตอบเขาด้วยดวงตาเศร้าซึ้งอย่างเงียบๆ   ดวงตาที่เขาอ่านออกและเข้าใจดีว่าหล่อนต้องการจะบอกเขาว่า หล่อนกำลังมีความรู้สึกอย่างไร   และเขาเอง ก็ได้มองตอบหล่อนไปด้วยดวงตาอันมีลักษณะเดียวกันนั้นมิได้ผิดเพี้ยน

เสียงประกาศเรียกผู้โดยสารให้เตรียมตัวไปขึ้นเครื่องบิน   กวีมองเห็นชลาสะดุ้งน้อยๆ ยกมือขึ้นประสานกันแน่น   พลันเขาก็รู้สึกเหมือนกับว่ามีก้อนอะไรอย่างหนึ่งวิ่งขึ้นมาจุกในลำคอ   เขาพยายามกลืนมันลงไป   หันไปกราบบิดาบังเกิดเกล้า   ล่ำลาญาติมิตรและพี่น้องคนอื่นๆ และมาถึงชลาเป็นคนสุดท้าย

ไม่มีคำพูดคำหนึ่งคำใดออกมาจากปากของกวี   และชลาเล่าก็ได้แต่ยืนนิ่งงัน   คำอวยพรอันเพราะพริ้งที่เธออุตส่าห์นึกเรียบเรียงและท่องจำมาตลอดอาทิตย์นั้น ไม่ทราบว่าได้หนีออกไปจากความทรงจำเมื่อไร   ขณะที่ต่างคนต่างยืนอ้ำอึ้งจ้องมองกันอยู่นั้น  ก็มีเสียงประกาศเร่งเตือนผู้โดยสารขึ้นอีกครั้งหนึ่ง   อย่างรวดเร็ว   กวีเอื้อมมือออกไปรวบเอามือเรียวๆ บางๆ ทั้งคู่มาบีบไว้แน่น   พูดด้วยเสียงเกือบเป็นกระซิบว่า

“อีกห้าปีเท่านั้นเราก็จะได้พบกันอีก”

และยังไม่ทันที่ชลาจะได้กล่าวตอบ   เขาก็ปล่อยมือเธอ   หันกลับก้าวขายาวๆ ห่างออกไปโดยเร็ว   และอีกเพียงชั่วเวลาไม่กี่นาทีต่อมา   เครื่องบินก็เหินขึ้นสู่ท้องฟ้า   พาเอาเขา กวี โสภณา  ญาติและมิตรสนิทคนเดียวไปจากเธอ

สายธารจูงมือเธอออกไปยืนรวมกลุ่มอยู่กับคนอื่นที่ลานหินข้างสนามบิน   ทุกๆ คนโบกมือส่งให้เครื่องบินที่ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าตามไปจนหายลับไป   ชลายืนนิ่งเฉย มิได้ยกมือขึ้นโบกดังที่คนอื่นกระทำ   เธอรู้แต่ว่ากวีไปแล้ว   และเธอจะต้องทนเงียบเหงาและว้าเหว่ไปอีกถึงห้าปีกว่าจะพบกับเขา   อีกตั้งห้าปีทีเดียว

“เป็นอะไรน่ะ ชลา?”

มีเสียงร้องทักขึ้นใกล้ๆ เกือบจะชิดกับใบหู มือของชลาถูกกระตุกเบาๆ ชลากระพริบตาติดๆ กันหลายครั้ง พยายามเรียกใจที่ฟุ้งซ่านล่องลอยตามกวีไปนั้นกลับคืนมาจน กระทั่งสามารถเห็นได้ชัดว่าผู้ที่กำลังยืนยิ้มแฉ่ง แต่งสีชมพูเจิดจ้าสดใสไปทั้งเนื้อทั้งตัวในขณะนี้นั้นก็คือ กรวิภา น้องสาวคนเดียวของกวีนั่นเอง   กรวิภากระตุกมือชลาซ้ำกล่าวว่า

“เรียกอยู่ตั้งหลายคำแล้วไม่ยักได้ยิน   ใจขึ้นเครื่องบินตามพี่วีไปด้วยแล้วหรือ?”

กรวิภาล้อโดยไม่ประหยัดคำ   ความสนิทสนมระหว่างกวีและชลา   เป็นที่รู้ดีอยู่แก่ใจของหล่อนและแก่ทุกคนในบ้านโสภณา  จนกระทั่งในบางครั้งก็ยังก่อให้เกิดความน้อยใจขึ้นแก่หล่อนบ่อยๆ   เมื่อรู้สึกว่าพี่ชายคนเดียวกลับไปเอาอกเอาใจในผู้อื่นยิ่งเสียกว่าหล่อนซึ่งเป็นน้องแท้ๆ

ชลายิ้ม   ตอบออกไปตรงๆ ตามที่ใจคิดว่า   “ใจหาย   อดคิดไม่ได้ว่าไม่มีพี่กวีเสียแล้วฉันคงจะเหงาแย่ทีเดียว”

“แน่ละซี ฉันเห็นตามกันออกจี๋อยู่ตลอดเวลานี่นะ   เออ  นี่สมมุติว่าเผื่อพี่กวีเขาไปคว้าเอาแหม่มกลับมา   เธอจะทำยังไง?”

“จะว่ายังไง”   ชลาทวนคำ  “แหม่มที่พี่กวีพามาด้วยก็ต้องเป็นพี่สะใภ้ของเธอและของฉันน่ะซี”

“ไอ้ข้อนั้นน่ะมันแน่ละ   แต่เธอมิช้ำใจแย่หรือ”

“ช้ำใจเรื่องอะไรกัน”   ชลาเลิกคิ้วมองดูญาติสาวรุ่นราวคราวเดียวกันนั้นอย่างแปลกใจ “ทำไมถ้าพี่กวีไปพาแหม่มมาละก็ เธอถึงคิดว่าฉันจะต้องช้ำใจ   มันเกี่ยวอะไรกัน”

“อ้าว ไม่เกี่ยวได้หรือ”   กรวิภาเลิกคิ้วตอบ   “ก็ฉันแน่ใจนี่นะว่าเธอกับพี่กวีน่ะระ...”

กรวิภาพูดไม่จบประโยค เพราะว่าขณะนั้นได้มีสิ่งอื่นมาดึงเอาความสนใจไปเสียจากการสนทนาที่กำลังดำเนินอยู่นั้น   สิ่งอื่นที่ว่านั้นคือร่างของชายคนหนึ่งที่วิ่งออกจากห้องโถงใหญ่ออกมาสู่ลานบินอย่างเร่งร้อน  เขาวิ่งผ่านกลุ่มคนที่ยังยืนคุยกันอยู่นั้น   ไปยังรั้วตาข่ายเหล็กที่กั้นอยู่   มองออกไปยังลานบิน  ครั้นประสบกับความว่างเปล่า   เขาทำท่าผิดหวังคอตกหันหลังมาอย่างละห้อยละเหี่ย   กรวิภาซึ่งยังคงพูดกับชลาค้างอยู่นั้น เบิกตากว้าง ร้องว่า

“คุณกรันต์”

แล้วก็ผละจากชลา   เดินตรงไปหาเขาผู้นั้นทันที

ชลามองตามร่างในกระโปรงผ้าป่านปักดอกสีชมพูราคาแพงชุดนั้นไปอย่างงงๆ   เธองุนงงและเศร้าสร้อย จนเกินกว่าที่จะจับความหมายจากถ้อยคำของกรวิภาได้กระจ่างชัด   กรวิภากำลังเดินกลับมาพร้อมด้วยชายหนุ่มที่เพิ่งมาถึงนั้น   ชลาเห็นเขาตรงเข้าทักทายกับเพื่อนฝูงของกวีอย่างสนิทสนมและเป็นกันเอง   เขาคงจะเป็นใครหนึ่งในจำนวนเพื่อนฝูงอันมากหน้าหลายตาของกวีที่เธอไม่มีโอกาสได้รู้จักเป็นแน่

“ผมมัวนอนเสียเพลินเลยไม่ทัน”   เธอได้ยินเขาผู้นั้นเล่าอย่างรื่นเริง   “คุณกรต้องช่วยเขียนจดหมายไปบอกนายวีด้วยนะครับว่าผมมาส่งแล้ว   แต่เขาอยากไม่รอ ด่วนไปเสียก่อนเลยไม่ได้เจอกัน”

“กระบวนพูดจาหาประโยชน์ให้ตัวเองละก็ต้องยกให้คุณกรันต์เป็นที่หนึ่ง”   ญาติสาวของชลาเสียงใส

“เมื่อคืนนี้ไประเหเร่ร่อนอดหลับอดนอนอยู่ที่ไหนมาล่ะพ่อคุณ?”   เสียงชายคนหนึ่งถาม และอีกคนหนึ่งตอบแทนว่า

“จะอยู่ที่ไหน   ก็ตามไนท์คลับน่ะสิ   เขามันคัสซาโนว่า   พ่อหนุ่มเจ้าสำราญนี่”

“ให้ตายซี   เจ้าหมอนี่มันสอบผ่านขึ้นได้ยังไงกันนะ”   อีกคนหนึ่งแสดงความพิศวง   “ไม่เคยเห็นมันท่องหนังสือหนังหา   ค่ำลงก็แต่งตัวออก   กลางวันก็คอยซุกหัวนอนไม่ต่างกับพวกค้างคาว   ผลุบผลับปีหน้านี้มันก็จะได้รับปริญญาวิศวกรรมศาสตร์อยู่แล้ว”

ชลาไม่ได้ยินเขาตอบรับหรือโต้แย้งคำวิจารณ์นั้น   เธอเห็นเขาเพียงแต่ยักไหล่นิดๆ สองมือของเขาซุกอยู่ในกระเป๋ากางเกงอย่างทอดอารมณ์ตามสบาย   เขากวาดสายตามองไปรอบๆ อย่างมิได้สนใจนัก   สายตานั้นแลมาทางที่เธอยืนอยู่ ผ่านไปแล้วกลับตวัดกลับมาอีกอย่างรวดเร็ว คราวนี้มันหยุดอยู่ที่ดวงหน้าของชลาอย่างเพ่งพิศและนานพอดู   แล้วสายธารก็หันมาจากการสนทนากับญาติผู้หนึ่ง   คว้าต้นแขนชลา ชวนว่า

“กลับกันเถอะ ชลา”

ชลาหันกลับ เดินตามพี่สาวต่างมารดาออกมาอย่างว่าง่าย   เธอมิได้มีโอกาสล่วงรู้แม้สักนิดว่า ได้มีดวงตาคู่หนึ่งมองตามหลังเธอมาจนลับตา   เจ้าของดวงตาคู่นั้นได้กล่าวขึ้นเป็นเชิงรำพึงแกมปรารภว่า

“ใครรู้จักบ้างไหมหนอ   ว่าแม่สาวน้อยเจ้าของดวงตาโศกซึ้งตรึงใจคนนั้นคือใคร?”

“คนไหนกันคะ?”   กรวิภาถาม ขมวดคิ้วเข้าหากันน้อยๆ

“คนที่แต่งชุดสีฟ้าอ่อน มีลายกุหลาบนั้นยังไงเล่าครับ ที่เพิ่งจะเดินออกไปเดี๋ยวนี้”

“อ๋อ”   กรวิภาลากเสียงยาว   นิ่งไปครู่หนึ่ง   แล้วจึงตอบด้วยเสียงที่แจ่มใสชัดเจนว่า   “ว่าที่พี่สะใภ้ของกรเองค่ะ   เขาเป็นคู่รักของพี่วี”

จบบทที่ 2