แม้คำว่าพูดและกิริยาท่าทางของพี่สาวต่างมารดาจะก่อให้บังเกิดความขุ่นมัวขึ้นในใจของชลาอยู่บ้างก็ตาม แต่ความขุ่นมัวนั้นก็ไม่อาจจะลบล้างความสดชื่นแจ่มใสที่เธอได้รับมาตั้งแต่เมื่อค่ำวานนี้เสียได้ ดังนั้นชลาจึงไม่ได้รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใดเมื่อสันทัดมองดูเธออย่างพินิจในเช้าวันนั้น และทักว่า
“เมื่อคืนนี้คุณชลาคงจะฝันดี เพราะเช้านี้ดูคุณแจ่มใส หน้าตาสุกสว่างเหลือเกิน”
ชลาหัวเราะ เธอรู้ว่ามันเป็นความจริงอย่างที่เขาพูด เพราะแม้แต่ตัวเอง ขณะที่ส่องกระจกในตอนเช้านั้นก็ยังอดที่จะรู้สึกถึงความแจ่มใสที่เปล่งประกายออกมาประจักษ์แก่สายตาเสียมิได้
“ไม่ใช่ฝันหรอกค่ะ” ชลาบอกเขา “เมื่อคืนนี้ดูเหมือนจะไม่ได้ฝันถึงอะไรด้วยซ้ำ เป็นแต่ว่าดิฉันเองดีใจที่จู่ๆ พอกลับไปถึงบ้านเมื่อวานนี้ก็ได้พบกับพี่ชาย”
“พี่ชาย?”
สันทัดทวนคำ เลิกคิ้วมองเธออย่างสงสัยเหมือนจะถาม ชลาจึงอธิบายต่อไปว่า
“ค่ะ พี่ชาย ลูกของคุณลุง น้องชายคุณกิติมาที่ดิฉันเคยเล่าให้ฟังยังไงคะ คุณสันทัดรู้จักกับคุณกิติมาแล้วนี่คะ”
“อย่าใช้คำว่า ‘กับ’ ดีกว่า” สันทัดท้วง “ใช้คำว่ารู้จักเฉยๆ ก็เหมาะดีแล้ว ดูเหมือนเมื่อวานนี้เราจะคุยกันถึงเรื่องนี้แล้วไม่ใช่หรือครับ?”
ชลาหัวเราะ “จริงซีคะ ดิฉันลืมไป” เธอว่าแล้วก็เล่าต่อไป “พี่กวีไปอยู่เมืองนอกมาตั้งสี่ปี เมื่อก่อนนี้เราสนิทกันม้ากมากค่ะ พอเธอจากไปเมืองนอก ดิฉันชักใจคอไม่ดี เพราะไม่แน่ใจว่าเธอจะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมหรือไม่ แต่เมื่อวานพอกลับไปถึงบ้าน ก็พบเธอเข้าโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว แล้วก็ดีเหลือเกินที่เธอไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมเลย เป็นแต่ว่าเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเท่านั้น”
สันทัดมองดูชลานิ่งและนานก่อนที่หันกลับไปแฟ้มตั้งสูงที่วางคอยเขาอยู่บนโต๊ะ
มิใช่เพียงแต่สันทัดเท่านั้นที่สังเกตเห็นความผิดปกติของชลา แม้กระทั่งตัวผู้จัดการเอง ก็ยังอดออกปากทักไม่ได้ว่า
“สวยจริง วันนี้ คุณชลา” เขาหยุดยืนมองดูเธออย่าเอาใจใส่ “ไปทำผมมาใหม่หรือ?”
ชลาอดหัวเราะไม่ได้ ขณะที่เธอดึงผมอันหยิกสลวยปอยหนึ่งของตนเองมาดูและใช้นิ้วม้วนเล่น
“ตั้งแต่เกิดมาดิฉันยังไม่เคยเข้าร้านเสริมสวยเลยค่ะ” เธอบอกกับเขาไปตามตรง “เคยแต่สระ แล้วม้วนทิ้งเอาไว้เท่านั้น เคราะห์ดีที่เกิดมามีผมหยักโศกเองเลยไม่ต้องเสียสตางค์จ้างเขาดัด”
“อือ ก็ดีนี่” อารีย์รับคำอยู่ในคอ ยังไม่ละสายตาไปจากดวงหน้าของชลา ถามต่อไปว่า
“กลางวันวันนี้จะไปรับอาหารที่ไหนกันล่ะ?”
โดยมิได้ตั้งใจ ชลาหันไปมองดูสันทัด อารีย์ซึ่งจับตามองดูหญิงสาวอยู่ตลอดเวลาได้มองตามไปด้วย ดวงตาที่ค่อนข้างเล็กยาวของเขาหรี่ลงเล็กน้อย เขายืนอยู่นิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็เดินไปนั่งลงที่โต๊ะ
ชลาอดรู้สึกไม่ได้ว่า วันนี้ผู้จัดการได้มองดูเธอบ่อยๆ จนเธอรู้สึกผิดสังเกต เขามองดูเธอแล้วก็เหลือบแลไปทางสันทัด ท่าทางคล้ายกำลังขบคิดปัญหาอะไรอยู่อย่างหนึ่งซึ่งชลาเองก็อยากรู้เหลือเกินว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ และมันมีส่วนใดเกี่ยวข้องกับเธอด้วยหรือไม่
“คุณชลาช่วยผมหน่อยได้ไหม?”
อารีย์พูดขึ้น ทั้งชลาและผู้ช่วยของเขาต่างก็เงยหน้าขึ้นมองดูเขาพร้อมกัน อารีย์ยิ้มกับหญิงสาวอย่างที่ผู้ใหญ่ที่ยิ้มกับเด็กที่ตนเอ็นดู
“ช่วยไปบอกให้เขาค้นหาสถิติรายละเอียดนักท่องเที่ยวที่เราบริการไปแล้ว ตั้งแต่เริ่มตั้งบริษัทมาให้ผมทีเถิด ผมจะเตรียมไว้สำหรับเข้าประชุมวันเสาร์ต้นเดือนนี้”
ชลาลุกขึ้นอย่างเต็มอกเต็มใจ เมื่อเธอเดินถึงประตูก็ได้ยินเสียงผู้จัดการบอกว่า
“คุณสันทัดจะไม่ไปช่วยคุณชลาสักหน่อยหรือ เธอยังเป็นคนใหม่อยู่ คงจะยังไม่รู้จักใครๆ นัก”
ครู่เดียวต่อมา สันทัดก็ก้าวออกมาจากห้องนั้น หญิงสาวรู้สึกประหลาดใจที่เห็นหัวคิ้วของเขาขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ปากของเขาเม้มสนิทคล้ายกับว่ากำลังมีความไม่พอใจในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เธอจึงบอกกับเขาว่า
“ถ้าคุณสันทัดมีงานต้องทำก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ดิฉันลงไปคนเดียวได้”
นั่นแหละ สันทัดจึงยิ้มออกมาได้เล็กน้อย แต่ดวงตายังไม่คลายความครุ่นคิด
“ไม่เป็นไรหรอก ผมจะลงไปกับคุณด้วย งานของผมวันนี้ไม่มีงานเร่งอะไร”
เขาพาเธอลงไปแนะนำแก่เจ้าพนักงานผู้ทำหน้าที่เก็บรวบรวมรายงานต่างๆ ของบริษัท ชลารู้สึกว่าเขามีท่าทางคล้ายกับกังวลอะไรอยู่ตลอดเวลาที่ยืนคอยให้เจ้าพนักงานผู้นั้นค้นหาสิ่งที่ผู้จัดการต้องการนั้น ครู่หนึ่งเขาก็บอกแก่เธอว่า
“คุณชลาคอยอยู่คนเดียวได้ไหมครับ ผมจะกลับขึ้นไปก่อน?”
“ได้ค่ะ”
ชลาตอบอย่างแปลกใจ ไม่เข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ความจริงนั้นเธอรู้สึกประหลาดใจในตัวเขามาตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว การสนทนาโต้ตอบระหว่างตัวเขาและแม่สาวสวยที่ชื่อสายรุ้งนั้น ก่อให้เกิดความสงสัยขึ้นมาในใจเธอมิใช่น้อยเลย เพราะเธอแน่ใจทีเดียวว่าการสนทนานั้นได้มีส่วนพาดพิงมาถึงตัวเธอด้วย
เกือบยี่สิบนาทีที่เธอต้องคอยอยู่จึงได้รับแฟ้มรวบรวมสถิติทั้งหมดที่ผู้จัดการต้องการกลับขึ้นไป ชลาได้ยินเสียงของสันทัดดังออกมา เธอไม่ทันฟังว่าเขาพูดว่ากระไร เป็นแต่รู้สึกแปลกใจที่ไม่เคยได้ยินสันทัดพูดดังถึงขนาดนี้ เมื่อผลักประตูเข้าไปเขาก็หยุดพูด เธอเห็นแต่เพียงด้านหลังของเขา เพราะขณะนั้นเขากำลังยืนอยู่หน้าโต๊ะผู้จัดการและมิได้หันมามองดูเธอแม้แต่แวบเดียว แต่จากสีหน้าของอารีย์ในขณะนั้นทำให้ชลาอดคิดไม่ได้ว่าเรื่องที่บุรุษทั้งสองกำลังพูดกันอยู่นั้น ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ชวนสนุกนัก แต่เมื่ออารีย์หันมาเห็นเธอเข้า เขาก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้มแจ่มใสขึ้นมาทันที
“ได้ไหมคุณชลา?” เขาถาม และเมื่อชลาวางแฟ้มลงบนโต๊ะ อารีย์ก็พูดต่อไปอย่างยกย่องชมเชยว่า “แหมขอบใจจริง วานให้คุณลงไปนี่เจ้าพวกนั้นมันทำงานว่องไวดีแท้ๆ ต่อไปนี้คุณเห็นจะต้องเหนื่อยมากขึ้นเสียแล้ว”
“ใช้เถอะค่ะ ดิฉันไม่กลัวเหนื่อยหรอก”
ชลาตอบ มองดูสันทัดซึ่งหันกลับมาจากโต๊ะผู้จัดการเดินกลับไปที่โต๊ะของเขา ดวงหน้าของเขาสงบขรึมเป็นปกติ แต่ดวงตานั่นสิที่ทอประกายกล้ายิ่งนัก มันเป็นประกายแห่งความมีโทสะอันแรงกล้านั่นเทียว ชลาแน่ใจ
“เขาจะต้องมีปากเสียงกับผู้จัดการเป็นแน่” ชลาคิด กิริยาท่าทางที่บุรุษทั้งสองประพฤติต่อกันนั้นสะดุดใจของชลานับตั้งแต่วาระแรกที่เธอเข้ามาในที่นี้ ดูมันไม่เหมือนกับนายและลูกน้องตามปกติธรรมดาเสียเลย มีอะไรหลายอย่างที่เธอพบและสังเกตเห็นมันตั้งแต่เข้ามาทำงานที่นี่ ทำให้เธอพิศวงสงสัยและไม่สบายใจ แต่ก็ช่างเถิด เวลานี้พี่กวีของเธอกลับมาแล้ว สักวันหนึ่ง เธอจะต้องเล่าให้เขาฟังให้หมด และเขาจะได้ช่วยเธอขบคิดและคลี่คลายปัญหาว่าอะไรเป็นอะไร
ชลาตั้งใจไว้ว่า เธอจะต้องหาโอกาสเลียบเคียงถามสันทัดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นแก่เขาและผู้จัดการในขณะที่เธอลงไปข้างล่างวันนี้ในเวลากินอาหารกลางวันให้ได้ แต่แล้ว โดยมิได้คาดฝัน ก่อนที่จะถึงอาหารกลางวันราวสิบห้านาที บุคคลผู้หนึ่งก็ก้าวเข้ามาในห้องนั้น บุคคลผู้นั้นคือผู้ที่สำราญและกิตติมาได้แนะนำ ให้เธอรู้จักในคืนวันเกิด ของกิติมานั่นเอง
เขาคือบุรุษร่างสมบูรณ์ ดวงหน้ากลมป้อมที่ประกอบด้วยดวงตาค่อนข้างเล็ก แต่สุกใสเป็นประกายวับวาวอย่างมีอารมณ์สนุกสนานครื้นเครงอยู่เป็นเนืองนิจ ที่ใครๆ พากันเรียกว่า‘ท่าน’ นั่นแหละ
ชลาจำเขาไม่ได้อยู่ครู่หนึ่ง ต่อเมื่อเธอเห็นท่าทางอันกุลีกุจอ และอ่อนน้อมอย่างน่าสังเกตที่อารีย์แสดงออกมานั่นแหละ เธอจึงได้ฉุกใจคิดขึ้นมาว่า ได้เคยเห็นบุรุษผู้นี้มาจากที่ใดก่อนแล้ว พอดีกับอารีย์หันมาหัวเราะกับเธอบอกว่า
“อ้าวไงครับ คุณชลา ท่านมาอย่างไรล่ะ” แล้วก็หันกลับไป ‘แป้น’ กับผู้ที่เขาเรียกว่า ‘ท่าน’ ว่า
“คุณชลาเปลี่ยนไปไหมครับ ท่าน?”
‘ท่าน’ หันมามองดูเธออย่างเต็มตา เป็นการเปิดโอกาสให้ชลาได้ทำความเคารพ ‘ท่าน’ ยกมือข้างหนึ่งขึ้นรับความเคารพ หัวเราะอย่างอารมณ์ดี บอกว่า
“จำเกือบไม่ได้ แต่เห็นจะเป็นด้วยเมื่อพบกันนั้นมันเป็นเวลากลางคืน เสื้อผ้าเครื่องแต่งตัวก็เป็นคนละอย่างกันไม่เหมือนอย่างนี้”
“น่าเสียดายที่ผมไม่ได้เห็นคุณชลาในวันนั้น”
อารีย์หยอดเข้ามา ดูท่าทางเตรียมพร้อมที่จะเข้า ‘ รับลูกคู่’ อยู่ตลอดเวลา ชลาอยากจะรู้เหลือเกินว่าสันทัดมีความรู้สึกอย่างไรต่อท่าทางของผู้จัดการในขณะนี้ เธอหันไปมองดูก็เห็นเขาก้มหน้าก้มตาเก็บข้าวเก็บของอยู่อย่างไม่สนใจกับอะไรทั้งสิ้น
“สวย” ท่านบอกแก่อารีย์ “ผมชอบมองดูผู้หญิงไทยที่แต่งตัวเรียบร้อยแบบคนไทยแท้ๆ ยิ่งอายุน้อยๆ ยิ่งน่าเอ็นดูเพราะเด็กสมัยนี้หายากเต็มทนที่จะนิยมการแต่งกายแบบไทย หันไปเอาอย่างแบบฝรั่งมังค่ากันเสียละมาก ที่จะแต่งแบบไทยก็เห็นจะเป็นพวกคนมีอายุเสียแล้วเป็นส่วนมาก แต่ถึงแม้ว่าจะแต่งแบบนี้….” ดวงตาเล็กที่สุกใสนั้นมองทั่วร่างของชลาอีกครั้งหนึ่งอย่างรวดเร็ว “….ก็สวยเหมือนกัน น่าดูไปคนละอย่างกับเมื่อแต่งแบบไทย”
ชลาได้แต่ยิ้มเฉยอยู่ เสียงสันทัดปิดลิ้นชักค่อนข้างแรง แล้วเขาก็เดินหนักๆ ออกจากห้องไป ชลาบังเกิดความรู้สึกว้าเหว่ขึ้นมาในทันทีคล้ายกับเด็กหลงทาง สันทัดไปไหน เขาจะไม่ออกไปกินอาหารกลางวันกับเธออย่างเคยดอกหรือนี่?
“นี่กินของกลางวันกันที่ไหนล่ะ?”
‘ท่าน’ ถามขึ้น อารีย์มีทีท่าไม่สู้สบายใจนัก เขาเหลือบตามองดูชลาก่อนที่จะพูดออกไปอย่างไม่สู้เต็มเสียงนักว่า
“ผม... เอ้อ... กระผมสั่งให้ที่เหลาทำมาส่งให้ที่นี่ครับ”
“อ้อ” ท่านพยักหน้าอย่างช้าๆ มองดูชลาไม่วางตาจนเธอเริ่มรู้สึกอึดอัดใจ “ก็สะดวกดี ว่าแต่ว่าเบื่อที่จะนั่งอุดอู้กินอยู่แต่ในนี้หรือยังล่ะหนู?”
“ไม่เบื่อดอกค่ะ” ชลาตอบ “แล้วก็ความจริงดิฉันก็มิได้รู้สึกอุดอู้เลย เพราะว่าเดี๋ยวนี้ดิฉัน…..”
“คุณชลาแกเป็นคนขี้เกรงใจครับ” อารีย์ขัดขึ้นมาเสียก่อนที่หญิงสาวจะทันพูดจบประโยค “ความจริงน่ะผมพอจะทราบได้ว่าเธอเบื่อที่จะนั่งรับจำเจอยู่ที่นี่เต็มทีแล้ว จริงไหมครับ คุณชลา?”
ชลารู้สึกงง ยังไม่ทันที่เธอจะทำความเข้าใจกับคำพูดของอารีย์และตอบคำถามของเขา ‘ท่าน’ ก็พูดเสียขึ้นก่อนว่า
“อ้าว…. .ถ้าอย่างวันนี้เราออกไปหาอะไรกินข้างนอกเถอะ ดีไหมจ๊ะ หนู?”
ชลาลังเล แต่ยังไม่ทันที่เธอจะตัดสินใจ อารีย์ก็ตอบแทนออกไปเสียแล้วว่า
“ดีแน่ทีเดียวครับผม คุณชลาจะได้เปลี่ยนบรรยากาศเสียบ้าง ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวอีกหน่อยจะเบื่อแล้วลาออกไปผมจะแย่ ยิ่งทำงานได้ถูกใจผมอยู่ด้วยซี”
“งั้นรึ” ท่านเสริมแล้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องขึ้นเงินเดือนให้เร็วๆ ซี จริงไหมหนู เอ้า จะไปกันหรือยังไงเล่าจ๊ะ เที่ยงแล้วนี่ คุณไปด้วยนะ อารีย์?”
“คุณชลาจะผัดหน้าแต่งตัวอะไรก่อนก็เชิญซีครับ”
อารีย์เร่งรัดอย่างไม่ยอมให้ชลามีโอกาสได้ตั้งตัวติด ชลารู้สึกคล้ายกับคนหมดหวัง มองไม่เห็นทางที่จะต่อสู้ได้ อยากจะให้สันทัดเปิดประตูเข้ามา แล้วร้องชวนเธอออกไปกินอาหารกลางวันกับเขาเหลือเกิน เธอจะเดินออกไปกับเขาอย่างองอาจและเต็มใจอย่างยิ่ง แต่จนนาทีสุดท้ายก็มิได้ปรากฏแม้แต่เงาของสันทัด ชลาจึงต้องหยิบกระเป๋าถือขึ้นพูดด้วยเสียงของคนที่ยอมแพ้โดยสิ้นเชิงว่า
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ไปกันได้เลย”
เธอเดินตาม ‘ท่าน’ ลงบันไดมา โดยมีอารีย์ติดสอยห้อยตามมาข้างหลัง อย่างไม่สู้จะสบายนัก อดรู้สึกไม่ได้ว่า ขณะที่ใครต่อใครในบริษัทพากันทำความเคารพ ‘ท่าน’ อย่างนอบน้อมนั้น สายตาของเขามักจะแลเลยมาที่เธออย่างมีเลศนัยพิกลอย่างไรอยู่ นึกน้อยใจสันทัดที่แอบหนีออกไปเสียก่อน ชลาไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่า เหตุใดเขาจึงได้ทำเช่นนั้น