ดวงใจนี้ใครครอง

>> สุภาว์ เทวกุลฯ

ดวงใจนี้ใครครอง

บทที่ 15

แม้คำว่าพูดและกิริยาท่าทางของพี่สาวต่างมารดาจะก่อให้บังเกิดความขุ่นมัวขึ้นในใจของชลาอยู่บ้างก็ตาม   แต่ความขุ่นมัวนั้นก็ไม่อาจจะลบล้างความสดชื่นแจ่มใสที่เธอได้รับมาตั้งแต่เมื่อค่ำวานนี้เสียได้   ดังนั้นชลาจึงไม่ได้รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใดเมื่อสันทัดมองดูเธออย่างพินิจในเช้าวันนั้น และทักว่า

“เมื่อคืนนี้คุณชลาคงจะฝันดี   เพราะเช้านี้ดูคุณแจ่มใส   หน้าตาสุกสว่างเหลือเกิน”

ชลาหัวเราะ   เธอรู้ว่ามันเป็นความจริงอย่างที่เขาพูด   เพราะแม้แต่ตัวเอง ขณะที่ส่องกระจกในตอนเช้านั้นก็ยังอดที่จะรู้สึกถึงความแจ่มใสที่เปล่งประกายออกมาประจักษ์แก่สายตาเสียมิได้

“ไม่ใช่ฝันหรอกค่ะ”   ชลาบอกเขา   “เมื่อคืนนี้ดูเหมือนจะไม่ได้ฝันถึงอะไรด้วยซ้ำ   เป็นแต่ว่าดิฉันเองดีใจที่จู่ๆ พอกลับไปถึงบ้านเมื่อวานนี้ก็ได้พบกับพี่ชาย”

“พี่ชาย?”

สันทัดทวนคำ   เลิกคิ้วมองเธออย่างสงสัยเหมือนจะถาม   ชลาจึงอธิบายต่อไปว่า

“ค่ะ พี่ชาย   ลูกของคุณลุง   น้องชายคุณกิติมาที่ดิฉันเคยเล่าให้ฟังยังไงคะ   คุณสันทัดรู้จักกับคุณกิติมาแล้วนี่คะ”

“อย่าใช้คำว่า ‘กับ’ ดีกว่า”   สันทัดท้วง   “ใช้คำว่ารู้จักเฉยๆ ก็เหมาะดีแล้ว   ดูเหมือนเมื่อวานนี้เราจะคุยกันถึงเรื่องนี้แล้วไม่ใช่หรือครับ?”

ชลาหัวเราะ   “จริงซีคะ ดิฉันลืมไป”   เธอว่าแล้วก็เล่าต่อไป   “พี่กวีไปอยู่เมืองนอกมาตั้งสี่ปี   เมื่อก่อนนี้เราสนิทกันม้ากมากค่ะ   พอเธอจากไปเมืองนอก ดิฉันชักใจคอไม่ดี เพราะไม่แน่ใจว่าเธอจะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมหรือไม่   แต่เมื่อวานพอกลับไปถึงบ้าน ก็พบเธอเข้าโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว   แล้วก็ดีเหลือเกินที่เธอไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมเลย   เป็นแต่ว่าเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเท่านั้น”

สันทัดมองดูชลานิ่งและนานก่อนที่หันกลับไปแฟ้มตั้งสูงที่วางคอยเขาอยู่บนโต๊ะ

มิใช่เพียงแต่สันทัดเท่านั้นที่สังเกตเห็นความผิดปกติของชลา   แม้กระทั่งตัวผู้จัดการเอง ก็ยังอดออกปากทักไม่ได้ว่า

“สวยจริง วันนี้ คุณชลา”   เขาหยุดยืนมองดูเธออย่าเอาใจใส่   “ไปทำผมมาใหม่หรือ?”

ชลาอดหัวเราะไม่ได้   ขณะที่เธอดึงผมอันหยิกสลวยปอยหนึ่งของตนเองมาดูและใช้นิ้วม้วนเล่น

“ตั้งแต่เกิดมาดิฉันยังไม่เคยเข้าร้านเสริมสวยเลยค่ะ”   เธอบอกกับเขาไปตามตรง   “เคยแต่สระ แล้วม้วนทิ้งเอาไว้เท่านั้น   เคราะห์ดีที่เกิดมามีผมหยักโศกเองเลยไม่ต้องเสียสตางค์จ้างเขาดัด”

“อือ ก็ดีนี่”   อารีย์รับคำอยู่ในคอ   ยังไม่ละสายตาไปจากดวงหน้าของชลา   ถามต่อไปว่า

“กลางวันวันนี้จะไปรับอาหารที่ไหนกันล่ะ?”

โดยมิได้ตั้งใจ   ชลาหันไปมองดูสันทัด   อารีย์ซึ่งจับตามองดูหญิงสาวอยู่ตลอดเวลาได้มองตามไปด้วย   ดวงตาที่ค่อนข้างเล็กยาวของเขาหรี่ลงเล็กน้อย   เขายืนอยู่นิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็เดินไปนั่งลงที่โต๊ะ

ชลาอดรู้สึกไม่ได้ว่า วันนี้ผู้จัดการได้มองดูเธอบ่อยๆ จนเธอรู้สึกผิดสังเกต   เขามองดูเธอแล้วก็เหลือบแลไปทางสันทัด   ท่าทางคล้ายกำลังขบคิดปัญหาอะไรอยู่อย่างหนึ่งซึ่งชลาเองก็อยากรู้เหลือเกินว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่   และมันมีส่วนใดเกี่ยวข้องกับเธอด้วยหรือไม่

“คุณชลาช่วยผมหน่อยได้ไหม?”

อารีย์พูดขึ้น   ทั้งชลาและผู้ช่วยของเขาต่างก็เงยหน้าขึ้นมองดูเขาพร้อมกัน   อารีย์ยิ้มกับหญิงสาวอย่างที่ผู้ใหญ่ที่ยิ้มกับเด็กที่ตนเอ็นดู

“ช่วยไปบอกให้เขาค้นหาสถิติรายละเอียดนักท่องเที่ยวที่เราบริการไปแล้ว ตั้งแต่เริ่มตั้งบริษัทมาให้ผมทีเถิด   ผมจะเตรียมไว้สำหรับเข้าประชุมวันเสาร์ต้นเดือนนี้”

ชลาลุกขึ้นอย่างเต็มอกเต็มใจ   เมื่อเธอเดินถึงประตูก็ได้ยินเสียงผู้จัดการบอกว่า

“คุณสันทัดจะไม่ไปช่วยคุณชลาสักหน่อยหรือ   เธอยังเป็นคนใหม่อยู่   คงจะยังไม่รู้จักใครๆ นัก”

ครู่เดียวต่อมา สันทัดก็ก้าวออกมาจากห้องนั้น   หญิงสาวรู้สึกประหลาดใจที่เห็นหัวคิ้วของเขาขมวดเข้าหากันเล็กน้อย   ปากของเขาเม้มสนิทคล้ายกับว่ากำลังมีความไม่พอใจในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เธอจึงบอกกับเขาว่า

“ถ้าคุณสันทัดมีงานต้องทำก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ   ดิฉันลงไปคนเดียวได้”

นั่นแหละ สันทัดจึงยิ้มออกมาได้เล็กน้อย   แต่ดวงตายังไม่คลายความครุ่นคิด

“ไม่เป็นไรหรอก   ผมจะลงไปกับคุณด้วย   งานของผมวันนี้ไม่มีงานเร่งอะไร”

เขาพาเธอลงไปแนะนำแก่เจ้าพนักงานผู้ทำหน้าที่เก็บรวบรวมรายงานต่างๆ ของบริษัท   ชลารู้สึกว่าเขามีท่าทางคล้ายกับกังวลอะไรอยู่ตลอดเวลาที่ยืนคอยให้เจ้าพนักงานผู้นั้นค้นหาสิ่งที่ผู้จัดการต้องการนั้น   ครู่หนึ่งเขาก็บอกแก่เธอว่า

“คุณชลาคอยอยู่คนเดียวได้ไหมครับ   ผมจะกลับขึ้นไปก่อน?”

“ได้ค่ะ”

ชลาตอบอย่างแปลกใจ   ไม่เข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่   ความจริงนั้นเธอรู้สึกประหลาดใจในตัวเขามาตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว   การสนทนาโต้ตอบระหว่างตัวเขาและแม่สาวสวยที่ชื่อสายรุ้งนั้น ก่อให้เกิดความสงสัยขึ้นมาในใจเธอมิใช่น้อยเลย   เพราะเธอแน่ใจทีเดียวว่าการสนทนานั้นได้มีส่วนพาดพิงมาถึงตัวเธอด้วย

เกือบยี่สิบนาทีที่เธอต้องคอยอยู่จึงได้รับแฟ้มรวบรวมสถิติทั้งหมดที่ผู้จัดการต้องการกลับขึ้นไป   ชลาได้ยินเสียงของสันทัดดังออกมา   เธอไม่ทันฟังว่าเขาพูดว่ากระไร   เป็นแต่รู้สึกแปลกใจที่ไม่เคยได้ยินสันทัดพูดดังถึงขนาดนี้   เมื่อผลักประตูเข้าไปเขาก็หยุดพูด   เธอเห็นแต่เพียงด้านหลังของเขา   เพราะขณะนั้นเขากำลังยืนอยู่หน้าโต๊ะผู้จัดการและมิได้หันมามองดูเธอแม้แต่แวบเดียว   แต่จากสีหน้าของอารีย์ในขณะนั้นทำให้ชลาอดคิดไม่ได้ว่าเรื่องที่บุรุษทั้งสองกำลังพูดกันอยู่นั้น ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ชวนสนุกนัก   แต่เมื่ออารีย์หันมาเห็นเธอเข้า เขาก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้มแจ่มใสขึ้นมาทันที

“ได้ไหมคุณชลา?” เขาถาม   และเมื่อชลาวางแฟ้มลงบนโต๊ะ อารีย์ก็พูดต่อไปอย่างยกย่องชมเชยว่า   “แหมขอบใจจริง   วานให้คุณลงไปนี่เจ้าพวกนั้นมันทำงานว่องไวดีแท้ๆ   ต่อไปนี้คุณเห็นจะต้องเหนื่อยมากขึ้นเสียแล้ว”

“ใช้เถอะค่ะ   ดิฉันไม่กลัวเหนื่อยหรอก”

ชลาตอบ   มองดูสันทัดซึ่งหันกลับมาจากโต๊ะผู้จัดการเดินกลับไปที่โต๊ะของเขา   ดวงหน้าของเขาสงบขรึมเป็นปกติ   แต่ดวงตานั่นสิที่ทอประกายกล้ายิ่งนัก   มันเป็นประกายแห่งความมีโทสะอันแรงกล้านั่นเทียว   ชลาแน่ใจ

“เขาจะต้องมีปากเสียงกับผู้จัดการเป็นแน่”   ชลาคิด   กิริยาท่าทางที่บุรุษทั้งสองประพฤติต่อกันนั้นสะดุดใจของชลานับตั้งแต่วาระแรกที่เธอเข้ามาในที่นี้   ดูมันไม่เหมือนกับนายและลูกน้องตามปกติธรรมดาเสียเลย   มีอะไรหลายอย่างที่เธอพบและสังเกตเห็นมันตั้งแต่เข้ามาทำงานที่นี่   ทำให้เธอพิศวงสงสัยและไม่สบายใจ   แต่ก็ช่างเถิด   เวลานี้พี่กวีของเธอกลับมาแล้ว   สักวันหนึ่ง เธอจะต้องเล่าให้เขาฟังให้หมด   และเขาจะได้ช่วยเธอขบคิดและคลี่คลายปัญหาว่าอะไรเป็นอะไร

ชลาตั้งใจไว้ว่า   เธอจะต้องหาโอกาสเลียบเคียงถามสันทัดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นแก่เขาและผู้จัดการในขณะที่เธอลงไปข้างล่างวันนี้ในเวลากินอาหารกลางวันให้ได้   แต่แล้ว โดยมิได้คาดฝัน ก่อนที่จะถึงอาหารกลางวันราวสิบห้านาที   บุคคลผู้หนึ่งก็ก้าวเข้ามาในห้องนั้น   บุคคลผู้นั้นคือผู้ที่สำราญและกิตติมาได้แนะนำ ให้เธอรู้จักในคืนวันเกิด ของกิติมานั่นเอง

เขาคือบุรุษร่างสมบูรณ์   ดวงหน้ากลมป้อมที่ประกอบด้วยดวงตาค่อนข้างเล็ก แต่สุกใสเป็นประกายวับวาวอย่างมีอารมณ์สนุกสนานครื้นเครงอยู่เป็นเนืองนิจ   ที่ใครๆ พากันเรียกว่า‘ท่าน’ นั่นแหละ

ชลาจำเขาไม่ได้อยู่ครู่หนึ่ง   ต่อเมื่อเธอเห็นท่าทางอันกุลีกุจอ และอ่อนน้อมอย่างน่าสังเกตที่อารีย์แสดงออกมานั่นแหละ   เธอจึงได้ฉุกใจคิดขึ้นมาว่า ได้เคยเห็นบุรุษผู้นี้มาจากที่ใดก่อนแล้ว   พอดีกับอารีย์หันมาหัวเราะกับเธอบอกว่า

“อ้าวไงครับ คุณชลา   ท่านมาอย่างไรล่ะ”   แล้วก็หันกลับไป ‘แป้น’ กับผู้ที่เขาเรียกว่า ‘ท่าน’ ว่า

“คุณชลาเปลี่ยนไปไหมครับ ท่าน?”

‘ท่าน’ หันมามองดูเธออย่างเต็มตา   เป็นการเปิดโอกาสให้ชลาได้ทำความเคารพ ‘ท่าน’ ยกมือข้างหนึ่งขึ้นรับความเคารพ หัวเราะอย่างอารมณ์ดี บอกว่า

“จำเกือบไม่ได้   แต่เห็นจะเป็นด้วยเมื่อพบกันนั้นมันเป็นเวลากลางคืน   เสื้อผ้าเครื่องแต่งตัวก็เป็นคนละอย่างกันไม่เหมือนอย่างนี้”

“น่าเสียดายที่ผมไม่ได้เห็นคุณชลาในวันนั้น”

อารีย์หยอดเข้ามา   ดูท่าทางเตรียมพร้อมที่จะเข้า ‘ รับลูกคู่’ อยู่ตลอดเวลา   ชลาอยากจะรู้เหลือเกินว่าสันทัดมีความรู้สึกอย่างไรต่อท่าทางของผู้จัดการในขณะนี้   เธอหันไปมองดูก็เห็นเขาก้มหน้าก้มตาเก็บข้าวเก็บของอยู่อย่างไม่สนใจกับอะไรทั้งสิ้น

“สวย” ท่านบอกแก่อารีย์   “ผมชอบมองดูผู้หญิงไทยที่แต่งตัวเรียบร้อยแบบคนไทยแท้ๆ   ยิ่งอายุน้อยๆ ยิ่งน่าเอ็นดูเพราะเด็กสมัยนี้หายากเต็มทนที่จะนิยมการแต่งกายแบบไทย   หันไปเอาอย่างแบบฝรั่งมังค่ากันเสียละมาก   ที่จะแต่งแบบไทยก็เห็นจะเป็นพวกคนมีอายุเสียแล้วเป็นส่วนมาก   แต่ถึงแม้ว่าจะแต่งแบบนี้….” ดวงตาเล็กที่สุกใสนั้นมองทั่วร่างของชลาอีกครั้งหนึ่งอย่างรวดเร็ว   “….ก็สวยเหมือนกัน   น่าดูไปคนละอย่างกับเมื่อแต่งแบบไทย”

ชลาได้แต่ยิ้มเฉยอยู่   เสียงสันทัดปิดลิ้นชักค่อนข้างแรง   แล้วเขาก็เดินหนักๆ ออกจากห้องไป   ชลาบังเกิดความรู้สึกว้าเหว่ขึ้นมาในทันทีคล้ายกับเด็กหลงทาง   สันทัดไปไหน   เขาจะไม่ออกไปกินอาหารกลางวันกับเธออย่างเคยดอกหรือนี่?

“นี่กินของกลางวันกันที่ไหนล่ะ?”

‘ท่าน’ ถามขึ้น   อารีย์มีทีท่าไม่สู้สบายใจนัก   เขาเหลือบตามองดูชลาก่อนที่จะพูดออกไปอย่างไม่สู้เต็มเสียงนักว่า

“ผม... เอ้อ... กระผมสั่งให้ที่เหลาทำมาส่งให้ที่นี่ครับ”

“อ้อ”   ท่านพยักหน้าอย่างช้าๆ   มองดูชลาไม่วางตาจนเธอเริ่มรู้สึกอึดอัดใจ   “ก็สะดวกดี   ว่าแต่ว่าเบื่อที่จะนั่งอุดอู้กินอยู่แต่ในนี้หรือยังล่ะหนู?”

“ไม่เบื่อดอกค่ะ”   ชลาตอบ   “แล้วก็ความจริงดิฉันก็มิได้รู้สึกอุดอู้เลย เพราะว่าเดี๋ยวนี้ดิฉัน…..”

“คุณชลาแกเป็นคนขี้เกรงใจครับ”   อารีย์ขัดขึ้นมาเสียก่อนที่หญิงสาวจะทันพูดจบประโยค   “ความจริงน่ะผมพอจะทราบได้ว่าเธอเบื่อที่จะนั่งรับจำเจอยู่ที่นี่เต็มทีแล้ว   จริงไหมครับ คุณชลา?”

ชลารู้สึกงง   ยังไม่ทันที่เธอจะทำความเข้าใจกับคำพูดของอารีย์และตอบคำถามของเขา ‘ท่าน’ ก็พูดเสียขึ้นก่อนว่า

“อ้าว…. .ถ้าอย่างวันนี้เราออกไปหาอะไรกินข้างนอกเถอะ   ดีไหมจ๊ะ หนู?”

ชลาลังเล   แต่ยังไม่ทันที่เธอจะตัดสินใจ   อารีย์ก็ตอบแทนออกไปเสียแล้วว่า

“ดีแน่ทีเดียวครับผม   คุณชลาจะได้เปลี่ยนบรรยากาศเสียบ้าง   ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวอีกหน่อยจะเบื่อแล้วลาออกไปผมจะแย่   ยิ่งทำงานได้ถูกใจผมอยู่ด้วยซี”

“งั้นรึ”   ท่านเสริมแล้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดี   “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องขึ้นเงินเดือนให้เร็วๆ ซี   จริงไหมหนู   เอ้า จะไปกันหรือยังไงเล่าจ๊ะ   เที่ยงแล้วนี่   คุณไปด้วยนะ อารีย์?”

“คุณชลาจะผัดหน้าแต่งตัวอะไรก่อนก็เชิญซีครับ”

อารีย์เร่งรัดอย่างไม่ยอมให้ชลามีโอกาสได้ตั้งตัวติด   ชลารู้สึกคล้ายกับคนหมดหวัง   มองไม่เห็นทางที่จะต่อสู้ได้   อยากจะให้สันทัดเปิดประตูเข้ามา แล้วร้องชวนเธอออกไปกินอาหารกลางวันกับเขาเหลือเกิน   เธอจะเดินออกไปกับเขาอย่างองอาจและเต็มใจอย่างยิ่ง   แต่จนนาทีสุดท้ายก็มิได้ปรากฏแม้แต่เงาของสันทัด   ชลาจึงต้องหยิบกระเป๋าถือขึ้นพูดด้วยเสียงของคนที่ยอมแพ้โดยสิ้นเชิงว่า

“ไม่ต้องหรอกค่ะ ไปกันได้เลย”

เธอเดินตาม ‘ท่าน’ ลงบันไดมา โดยมีอารีย์ติดสอยห้อยตามมาข้างหลัง อย่างไม่สู้จะสบายนัก   อดรู้สึกไม่ได้ว่า ขณะที่ใครต่อใครในบริษัทพากันทำความเคารพ ‘ท่าน’ อย่างนอบน้อมนั้น   สายตาของเขามักจะแลเลยมาที่เธออย่างมีเลศนัยพิกลอย่างไรอยู่   นึกน้อยใจสันทัดที่แอบหนีออกไปเสียก่อน   ชลาไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่า เหตุใดเขาจึงได้ทำเช่นนั้น

จบบทที่ 15