ดวงใจนี้ใครครอง

>> สุภาว์ เทวกุลฯ

ดวงใจนี้ใครครอง

บทที่ 25

คุณเวช โสภณา   เพิ่งอาบน้ำชำระร่างกายใหม่ๆ   หลังจากที่ท่านกลับมาจากที่ทำงาน และลงมานั่งเล่นอยู่ที่สนามหน้าบ้านอย่างเคย   เมื่อร่างสูงโปร่งบอบบางของพี่ชายของท่าน เดินผ่านช่องรั้วพู่เรือหงส์ซึ่งแบ่งเขตบ้านเข้ามา     ท่านลุกขึ้นยืนด้วยความประหลาดใจ   ร้องว่า

“เอ๊ะ... คุณพี่มา”

แล้วก็ก้าวเดินอย่างเร็วรีบรุดเข้าไปหา     ภรรยาของท่านซึ่งค่อย ๆ ลุกขึ้นอย่างลังเลใจ ได้ยินเสียงท่านร้องทักทายญาติผู้สูงวัยเอะอะว่า

“โอ้โฮ...คุณพี่     เป็นยังไงครับ วันนี้ถึงได้มาถึงที่นี่ได้   ตากวีเอาไปคุยว่ากับข้าวที่บ้านนี้อร่อยหรือยังไงกัน ?”

“นั่นนะซี....นั่นนะซี”   คุณวินิจรับคำทักทายของน้องชายอย่างอารมณ์ดี   “เจ้ากวีของพี่มาติดใจอะไรดีๆ ที่บ้านนี้เสียแล้วละ จะบอกให้”

ท่านมองเลยไปยังน้องสะใภ้ซึ่งเดินช้าๆ เข้ามาหา   ยิ้มด้วยแล้วบอกว่า

“นี่น่ะต้องขอโทษแม่ละเมียรทีเดียว   ที่เป็นต้นตำหรับทำแต่ของดีๆ จนเจ้าลูกชายของพี่ติดใจ   ร้อนถึงพี่ต้องกะย่องกะแย่งมาวันนี้”

“เอ....ต้นตำหรับอะไรกันคะ ดิฉันไม่เข้าใจ”   น้องสะใภ้ของท่านถามอย่างฉงน   “แล้วก็ทำไมคุณพี่ถึงต้องมาเองเล่าคะ   ชอบใจอะไร หรือมีอะไรจะไหว้วานดิฉันละก็ให้คนมาตามดิฉันไปที่โน่นก็ได้นี่คะ   ไม่น่าจะต้องลำบากมาเองเลยทีเดียว”

“อะ....เรียกให้ไปได้หรือ”   คุณวินิจว่า   “ไม่ได้...ไม่ได้   ต้องมาเองซี   ไม่ยังงั้นมันจะผิดธรรมเนียมไป   นี่จะให้พี่นั่งที่ไหนล่ะ   ข้างบนหรือข้างล่าง     ไอ้พี่น่ะมันไม่สมบูรณ์เหมือนคนอื่นเขา   ยืนนานๆ ไม่ได้   ยังไงๆ ขอให้มีที่พอจ่อมนิดก็ยังดี”

“เชิญคุณพี่ข้างบนเถอะครับ   สบายดีกว่าข้างล่าง”   คุณเวชกุลีกุจอรับรอง   “นี่มันก็จะมืดค่ำแล้ว   ที่ข้างล่างนี่มันน้ำค้างจัดนัก   ดีร้ายคุณพี่เจ็บไข้เป็นอะไรไปละก็   พ่อกวีจะได้มาหักคอผมตาย   แม่ละเมียรช่วยให้เด็กมันเปิดไฟในห้องรับแขกทีสิ”

“อะไร....ถึงกับจะต้องต้อนรับกันในห้องรับแขกทีเดียวเรอะ”   คุณวินิจว่าพร้อมกับหัวเราะ   “มันจะเต็มยศไปสักหน่อยละกระมัง   เอาตรงไหนก็ได้น่ะ ที่มันนั่งสบายๆ หน่อยละก็เป็นใช้ได้ทั้งนั้น”

ขณะนั้น พอดีกับชลากำลังลงบันไดมาจากชั้นบน   หญิงสาวทำตาโตอย่างประหลาดใจที่ได้เห็นภาพที่เธอไม่คิดว่าจะได้เห็น   นั่นคือคุณลุงผู้อ่อนแอในบ้านของเธอ   หญิงสาวหยุดชะงักนิดหนึ่งแล้วก็วิ่งลงบันไดมาอย่างรวดเร็ว     คุณวินิจแหงนหน้าขึ้นมองดูยิ้มๆ แล้วกล่าวกับหญิงสาวเมื่อหล่อนลงมายืนอยู่เบื้องหน้าของท่านแล้วว่า

“นั่นเป็นอะไรไปยายชลา   พอเห็นลุงเข้าก็ทำหน้าตื่นเทียวนะ   แปลกใจมากนักเทียวหรือที่ลุงมาหาพ่อกับแม่ของแกถึงที่นี่ ”

ชลายิ้มกับท่านอย่างเปิดเผย เมื่อตอบว่า

“ค่ะ ก็คุณลุงไม่เคย... เอ้อ...ไม่ค่อยจะได้มานี่คะ”

คุณวินิจมิได้พูดว่ากระไรต่อไป   ดวงหน้าอันซูบซีดของท่านยังคงยิ้มอยู่ ในขณะที่ท่านมองดูหลานสาวอย่างพิจารณา     ต่อเมื่อสังเกตเห็นความพิศวงฉายขึ้นในดวงตาและดวงหน้าของหล่อนนั่นแหละ   ท่านจึงได้รู้สึกตัว และถามเพื่อกลบเกลื่อนความสงสัยของหญิงสาวเสียว่า

“ลุงเพิ่งสังเกตเห็นเดี๋ยวนี้เองว่า แกโตขึ้นผิดตาไปมาก   ปีนี้อายุเท่าไหร่แล้วล่ะ ชลา”

“ยี่สิบ... เอ๊ย... สิบเก้ากว่าๆ ค่ะ”

“อือ.... ย่างเข้ายี่สิบก็เป็นสาวเต็มตัวแล้วซีนี่”     ท่านมองดูหล่อนอย่างพินิจอีกครั้งหนึ่งก่อนที่จะบอกว่า   “ได้ยินเจ้ากวีมันบอกว่ามีอะไรจะอวดแกแน่ะ   ไม่อยากดูหรือ   ลุงมีธุระจะพูดอะไรกับพ่อและแม่ของแกสักหน่อย”

ชลาอดสงสัยไม่ได้   ว่าคุณลุงท่านมีธุระอะไรสำคัญหนักหนากับคุณพ่อและแม่ของเธอ   จึงต้องมาถึงที่นี่ด้วยตัวเอง   โดยปกติแล้ว ถ้ามีเรื่องอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ท่านก็มักจะให้คนมาเชิญน้องชายไปพบท่านที่บ้านโน้นเสมอ     แต่ชลาถูกอบรมมาให้รู้จักระงับความอยากรู้อยากเห็น ไม่ไปวุ่นวายในเรื่องของผู้อื่น โดยเฉพาะเรื่องของผู้ใหญ่   เธอจึงสลัดความสงสัยนั้นทิ้งเสีย   ละจากท่านผู้ใหญ่ทั้งสาม ลงมาจากเรือนตรงไปยังบ้านของกวี

กวีมีอะไรจะอวดเธอนะ อยากรู้จริง   เมื่อเขามารับประทานอาหารเช้าที่นี่เมื่อเช้านี้   ทำไมเขาจึงมิได้ปริปากพูดกับเธอเลย   แต่เธอเองก็อยากจะพบเขาด้วยเช่นกัน   เธออยากจะขอความเห็นจากเขาว่า พรุ่งนี้เธอควรจะทำอย่างไร   จะไปทำงานตามปกติเหมือนหนึ่งว่ามิได้มีสิ่งใดเกิดขึ้น   หรือว่าจะหยุดต่อไปอีกจนกว่าความรู้สึกของเธอจะดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้

ที่บ้านของกวีเงียบเชียบ   สาวใช้คนหนึ่งบอกแก่เธอว่ากรวิภาไม่อยู่   ซึ่งชลาก็พอจะเดาได้ว่าหล่อนคงจะไปดูภาพยนตร์รอบเย็นกับสายธาร   เพราะคนทั้งสองชอบปฏิบัติดังนั้นจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นนิจศีล   เมื่อชลาถามถึงกวี   แม่สาวใช้ก็บอกว่าเขาอยู่ในห้องสมุด   แล้วก็เดินยอบๆ ตัวผ่านชลาเลยไปทางหลังบ้าน   ทิ้งให้หญิงสาวยืนลังเลใจอยู่คนเดียว ว่าเธอจะเข้าไปหาญาติหนุ่มในห้องนั้นดีหรือไม่   ในที่สุดก็ตกลงใจว่าเธอจะไปหาเขาที่ห้องนั้น

ด้วยฝีเท้าที่แผ่วเบา   ชลาพาตัวไปหยุดยืนหน้าห้องสมุด   นิ่งอยู่อึดใจหนึ่งก็ยกมือขึ้นเคาะประตูเบาๆ   เธอได้ยินเสียงเดินเบาๆ ตรงมาที่ประตู   แล้วอึกอึดใจต่อมานั้นประตูก็เปิดออก   ร่างสูงโปร่งของกวียืนอยู่ตรงหน้า   เขาเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจแกมยินดี เมื่อมองเห็นเธอ   ถามว่า

“เอ๊ะ...ชลา   ไม่นึกเลยว่าจะเป็นเธอ   มีธุระอะไรกับพี่หรือจ๊ะ ถึงต้องอุตส่าห์มาค่ำๆ อย่างนี้”

“คุณลุงบอกว่าพี่กวีมีอะไรจะอวดชลาไม่ใช่หรือคะ   ชลาก็มาดูน่ะสิ”

คิ้วของกวียังไม่ลดลงสู่ระดับเดิม

“คุณพ่อบอกว่าพี่จะอวดอะไรเธอหรือ   เอ   ท่านรู้ได้ยังไงกันนะ”

เขาทำหน้ายิ้มๆ อย่างที่ชลาไม่เข้าใจ   แต่เธอก็มิได้ติดใจสงสัยอะไรนัก   เพราะการที่หญิงสาวจะได้เห็นชายหนุ่มที่หล่อนนิยมแสดงความยินดีออกมาอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเขาได้พบหล่อนโดยมิได้คาดหมายนั้น   ก็เป็นความชื่นใจมากเพียงพออยู่แล้ว   ชลาจึงมิได้คิดที่จะละความชื่นใจที่ได้รับนั้น มาสนใจในเรื่องที่เธอเห็นว่าไม่มีสาระ

“วันนี้ทำไมคุณลุงถึงไปที่บ้านได้ล่ะคะ พี่กวี   แล้วทำไมพี่ถึงไม่ไปกับคุณลุงด้วย   ปล่อยให้ท่านเดินไปคนเดียว ”

“คุณพ่อมีธุระกับอาทั้งสองน่ะสิ ท่านถึงได้ไม่ให้พี่ไปด้วย”   ชายหนุ่มตอบยิ้มๆ   “เธอพบกับท่านหรือเปล่า ”

“พบค่ะ” ชลารับ แล้วเล่าต่อไปว่า   “ท่านยังทักชลาเลยว่า ชลาเป็นสาวเต็มตัวแล้ว   แปลกเหลือเกินนะคะ   ความจริงแม่บอกกับชลาว่า ชลาเป็นสาวเต็มตัวมาตั้งแต่ชลาอายุสิบแปด   แล้วชลาก็มาหาคุณลุงที่นี่บ๊อยบ่อย   ทำไมท่านถึงได้เกิดมาเห็นชลาเป็นสาวเต็มตัวเอาวันนี้ก็ไม่รู้ซีคะขำจัง”

กวียังคงยิ้มอยู่เช่นเดิม มิได้ออกความเห็นประการใดต่อคำปรารภนั้น   เป็นแต่บอกว่า

“เข้ามานั่งคุยกันในนี้ไหมจ๊ะ   หรือว่าจะออกไปนั่งที่ลานหิน   ที่นั่นลมเย็นสบายดี”

“แต่คุณลุงว่าพี่กวีมีอะไรจะอวดชลายังไงล่ะคะ   ท่านไล่ให้ชลามาหาพี่นะคะนี่”   ชลาทวง   กวียิ้มขันๆ อย่างที่เธอไม่อาจจะเข้าใจได้อีกครั้งหนึ่ง   เขานิ่งไปครู่หนึ่งแล้วจึงบอกว่า

“อย่างเพิ่งเลย เอ้อ....มันมืดเสียแล้วนี่จ๊ะ   ไปนั่งคุยกันดีกว่า   วันนี้ชลาทานข้าวกับพี่ที่นี่นะ”

“ก็ได้ค่ะ แต่ต้องไปบอกแม่ให้รู้ก่อน   ไม่อย่างนั้นประเดี๋ยวแม่จะคอย แล้วชลาก็จะโดนดุเท่านั้น”

“ถ้าอย่างนั้นประเดี๋ยวพี่จะให้คนไปเรียนคุณอาให้   รอให้ท่านพูดธุระกับคุณพ่อให้เสร็จเสียก่อนนะจ๊ะ”

ทั้งสองเดินออกมาสู่เฉลียงหิน   ชลาทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง มองตามชายหนุ่มซึ่งเดินไปหยุดยืนหันหลังพิงกำแพงหินเตี้ยๆ ที่ล้อมรอบลานหินนั้น หันหน้ามาทางเธอ   ดวงตาของหญิงสาวปรากฏแววกังวลเล็กน้อย เมื่อกล่าวขึ้นว่า

“ชลาเองก็มีเรื่องที่จะปรีกษาพี่กวีเหมือนกัน”

เมื่อกวีมองเธออย่างสงสัย หญิงสาวก็กล่าวต่อไปถึงสิ่งที่เธอเป็นกังวลอยู่นั้นว่า

“ชลายังติดสินใจไม่ถูกเลยค่ะว่าพรุ่งนี้จะไปทำงานดีหรือไม่ไปดี   ความจริงชลาไม่อยากไปเลย   ไม่รู้ว่าจะไปมองหน้าคนที่นั่นได้ยังไงเมื่อเกิดเรื่องนี้ขึ้นแล้ว   แล้วก็ถ้าไม่ไป   ชลาก็ไม่ทราบว่าจะบอกกับแม่ว่ายังไงดี ?”

“ทิ้งให้เป็นภาระของพี่เถิด”   เขาเดินมาหย่อนกายลงนั่งบนเก้าอี้ตัวถัดไปจากที่เธอนั่งอยู่นั้น   ขยับเก้าอี้ให้หันมาทางเธอ   “เมื่อไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป   แล้วพี่จะจัดการให้เรียบร้อย ไม่ต้องเป็นกังวลไปหรอก”

ชลาสงสัยอยู่ไม่น้อยว่าเขาจะจัดการได้โดยวิธีใด   แต่เมื่อเธอได้มอบความไว้วางใจให้แก่เขาแล้ว เธอก็ควรที่จะนิ่งเสีย   ไม่ควรจะซักไซ้ต่อไปอีกให้เขารำคาญ   ทั้งสองนังคุยกันด้วยเรื่องที่ไม่เป็นสาระอีกครู่หนึ่ง กวีก็ลุกไปสั่งคนใช้ให้ไปเรียนอาและอาสะใภ้   ว่าชลาจะรับประทานอาหารเย็นกับเขาที่บ้านนี้   สาวใช้หายไปสักครู่ก็กลับมารายงานว่า

“คุณคะ   ท่านที่บ้านโน้นให้มาเรียนเชิญคุณไปรับประทานข้าวที่โน่นทั้งสองคนค่ะ   ท่านที่นี่ก็จะรับประทานที่โน่นด้วย”

ทั้งกวีและชลาหัวเราะออกมาพร้อมกัน   กวีบอกว่า

“เออ...เข้าใจพูดให้มันฟังดูยุ่งกันดีจริงนี่   ท่านที่โน่นให้มาเชิญไปทานที่โน่น   ท่านที่นี่ก็จะทานที่โน่น”

เขาลุกขึ้นยืน ส่งมือให้ชลา บอกว่า

“ไปกันเถอจ้ะ ชลา   ประเดี๋ยวคุณพ่อกับคุณอาจะต้องคอยเรา   เออ....แปลก   วันนี้คุณพ่อรับประทานข้าวที่บ้านโน้นได้   หวังว่าท่านคงจะทานได้ไม่น้อยทีเดียว”

ชลาจับมือเรียวยาวและสะอาดสะอ้านที่เขาส่งมาให้นั้น   เหนี่ยวเป็นหลักดึงตัวเองให้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ พร้อมกับสนองถ้อยคำของเขาว่า

“นั่นน่ะซีคะ   วันนี้เป็นวันฤกษ์ดีอะไรก็ไม่รู้ซี   คุณลุงเกิดเดินมาที่บ้านของชลา แล้วยังรับประทานข้าวที่นั่นด้วย”

กวีชำเลืองมองดวงหน้ารูปหัวใจขาวผุดผ่อง ที่อยู่ต่ำกว่าระดับบ่าของเขาพร้อมกับยิ้มอยู่ในหน้าโดยไม่พูดว่ากระไร

ท่านผู้ใหญ่ทั้งสามยังคงนั่งคุยกันอยู่ในห้องรับแขกเมื่อสองหนุ่มสาวไปถึง   คุณวินิจซึ่งนั่งหันหน้ามาทางประตูเป็นผู้มองเห็นก่อน   ท่านร้องทักอย่างอารมณ์ดีว่า

“นั่นแน่ะ มากันแล้ว   ว่ายังไงกวี อาเขาชวนให้กินข้าวที่นี่ด้วย พ่อก็เลยคิดจะฉลองศรัทธาเขาเสียให้สมใจ   ฝีมือปลาร้าหลนของแม่ละเมียรน่ะขึ้นชื่อนักไม่ใช่หรือ ?”

ชลามิได้ยินมารดาของเธอตอบว่ากระไร   เพราะว่าขณะนั้นเธอรู้สึกว่าสายตาของท่านได้จับจ้องอยู่ที่เธออย่างพินิจพิเคราะห์อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเลย   มันทำให้เธอรู้สึกพิกลอย่างไรขึ้นมาจนบอกไม่ถูก   จนกระทั่งก้าวขาเกือบไม่ออก   ชะรอยนางละเมียรจะรู้สึกตัว และหยั่งรู้ถึงความรู้สึกของบุตรีได้ดี   นางจึงได้ยิ้มออกมาแล้วตบมือลงบนเท้าแขนเก้าอี้ตัวที่อยู่ใกล้ บอกว่า

“มานั่งที่นี่ซิลูก”

รอยยิ้มและคำพูดที่อ่อนโยนของมารดา ทำให้ชลาหายใจคล่องขึ้น   เธอยอบตัวเดินผ่านคุณลุงไปนั่งลงบนเก้าอี้ตัวนั้นอย่างว่าง่าย   ส่วนกวีนั้นก็นั่งลงบนเก้าอี้ยาวตัวเดียวกับที่บิดาของเขานั่งอยู่แล้วนั่นเอง

ก่อนที่จะมีใครดำเนินการสนทนาต่อไป ก็ปรากฏเสียงรองเท้าส้นสูงดังซ้อนกันขึ้น   แล้วเสียงสายธารถามคนรับใช้ว่า

“เจียน ใครมาหาคุณพ่อหรือ   เห็นไฟในห้องรับแขกเปิดสว่าง”   เสียงสาวใช้ตอบค่อยๆ ฟังไม่ได้ถนัด   แต่เสียงต่อมานั้น เป็นเสียงของกรวิภาซึ่งอุทานออกมาอย่างประหลาดใจคล้ายไม่เชื่อหูของตนเองว่า

“ฮะ..! ว่ายังไงนะ   คุณพ่อฉันน่ะรึมาที่นี่   ตายจริงนี่คุณพ่อเกิดนึกสนุกอะไรขึ้นมาล่ะนี่ เดินมาถึงนี่ได้”

คุณวินิจหัวเราะ ออกอุทานว่า

“เออแน่ะ   การที่ฉันเดินมากินข้าวที่นี่เลยกลายเป็นข่าวใหญ่ไปได้   นี่แหละนะ ฤทธิ์ที่เจ็บออดแอดเสียจนเคยตัวไม่เคยได้ย่างกรายไปไหน   พอเดินมาเพียงแค่นี้ ก็เลยกลายเป็นข่าวใหญ่ไปได้   ออกจะสนิมสร้อยไปเสียหน่อยแล้วซีพี่นี่   หรือพ่อเวชว่ายังไง ?”

คุณเวชยังไม่ทันตอบ กรวิภาก็จูงมือสายธารเข้ามา   พอเห็นหน้า   คุณวินิจก็รีบยกมือขึ้นโบกห้าม

“ไม่ต้องเอะอะไปหรอก ยายกรวิภา   อะไรพ่อเดินมาแค่นี้เองก็ทำเป็นข่าวใหญ่ไปได้นี่   กินข้าวมาแล้วหรือยังเล่านี่   ถ้ายังไม่ได้กินก็กินด้วยกันเสียที่นี่ซิ   วันนี้เลยขอข้าวอาเขากินเสียทั้งครอบครัวเลย   ทุ่นไปวันหนึ่ง   จะว่ายังไงแม่ละเมียร”

“ดิฉันไม่มีอะไรจะว่าค่ะ”   ชลาเพิ่งจะได้ยินมารดาพูดด้วยอารมณ์รื่นเริงในวันนี้เอง   “จะมารับประทานทุกวันก็ไม่เป็นไร ดิฉันเต็มใจเสมอ   แต่เกรงว่ากับข้าวบ้านนี้รสจะไม่ถูกปากคุณพี่และหลานๆ น่ะซีคะ   ดิฉันคงเสียใจแย่”

“สำคัญ....สำคัญ”   คุณวินิจหัวเราะชอบใจ   “ไม่นึกเลยว่าเงียบๆ หงิมๆ อย่างนี้ แม่ละเมียรก็รู้จักพูดเล่นลิ้นกับเขาเป็นเหมือนกัน     เอา ถ้าอย่างนั้นก็เป็นอันว่าวันนี้ขอเหมากินข้าวที่นี่เสียทั้งครอบครัวก็แล้วกันนะ   เปลี่ยนที่กินบ้างก็คงจะทำให้พี่เจริญอาหารก็ได้”

“ดีซีครับ   คุณพ่อจะได้อยู่กับผมไปอีกนานๆ”

กวีว่า   แต่แล้วเขาก็รู้สึกเสียใจขึ้นมาทันใดที่พูดออกมาโดยไม่ทันคิดเช่นนั้น   เพราะดวงหน้าที่อิ่มเอิบชื่นบานของบิดาได้สลดลงไปเป็นดวงหน้าของคนเจ็บตามเดิมของท่านอีกทันทีที่เขาพูดจบ   แต่เพียงชั่วอึดใจเดียว คุณวินิจก็หัวเราะออกมาได้   ท่านกล่าวว่า

“คนเราเมื่อถึงคราวจะต้องไป   ต่อให้เอาอะไรมายึดไว้มันก็ยึดไม่ไหว มันต้องไปจนได้ละลูก   พ่อน่ะไม่หวังที่จะมีอายุยืนนักหรอก   ขอเพียงแค่ให้ได้เห็นหลานปู่เท่านั้นเป็นพอแล้ว”

เมื่อเห็นบุตรชายคนเดียวทำหน้าซีดลงไปท่านก็เอื้อมมือออกมาตบไหล่เขาเบาๆ   บอกว่า

“เฮ่ย....ทำหน้าอย่างนั้นทำไม พ่อยังไม่ตายง่ายๆ หรอกน่า   ดูตอนที่แกอยู่เมืองฝรั่งมังค่าโน่นซี   หมอเขาว่าพ่อจะไปเสียหลายหนแล้ว   แต่พอตั้งใจว่าจะคอยให้แกกลับเสียก่อน พ่อก็ยังอยู่จนได้   นี่เมื่อพ่อตั้งใจว่าจะอยู่จนกว่าจะได้เห็นหลานปู่เสียก่อน พ่อก็จะต้องอยู่ได้ซีน่า”

แล้วท่านก็หันไปทางน้องชาย ชวนว่า

“ไปกินข้าวกันเสียทีดีไหมล่ะ   พ่อเวช   พี่ชักหิวขึ้นมาแล้วละ   เห็นไหม กวี   ลงพ่อรู้จักหิวข้าวบ่อยๆ อย่างนี้ละก็   แกอย่าเพิ่งกลัวว่าพ่อจะตายเลย   มามะ ลุกขึ้นมากินข้าวกัน   แล้วก็ยายกรกับยายสายล่ะ   นั่นจะกินข้าวทั้งที่หน้ามันย่องอย่างนั้นและหรือหือ?”

อาหารค่ำมื้อนั้นนับว่ามีรสโอชะมิใช่น้อยแล้วก็ครึกครื้นพอดู   เป็นครั้งแรกในเวลาร่วมสิบปี ที่ครอบครัวทั้งสองได้นั่งโต๊ะบริโภคอาหารร่วมกันพร้อมหน้าเช่นนี้   คุณวินิจพูดคุยอย่างสนุกสนานตลอดเวลา   จนกระทั่งทำให้คนอื่นลืมนึกถึงสุขภาพอันไม่สมบูรณ์ของท่านเสียได้ชั่วระยะหนึ่ง     ชลารู้สึกว่า มันเป็นวันที่แสนจะชื่นบานมีความสุขอะไรเช่นนั้น   ดวงใจของเธอเปี่ยมไปด้วยความรื่นเริงจนกระทั่งลืมนึกถึงเหตุการณ์ร้ายที่เกิดกับเธอโดยสิ้นเชิง

เธอฮัมเพลงอยู่ในคอตลอดเวลาหลังจากที่ครอบครัวของคุณลุงกลับไปแล้ว   แม้กระทั่งขณะที่กำลังอาบน้ำ   แต่เมื่อเธอออกจากห้องน้ำเปิดประตูห้องเข้าไปนั้น   หญิงสาวก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นมารดานั่งอยู่ที่ปลายเตียงดวงตามองตรงมาที่เธอ

“เป็นยังไงจ๊ะ วันนี้สบายใจมากหรือ   ได้ยินเสียงร้องเพลงหงิงๆ อยู่ตลอดเวลาเทียวนี่”

นางละเมียรเป็นผู้กล่าวขึ้นก่อน   เมื่อเห็นธิดาทำตาโตอย่างประหลาดใจ และเมื่อชลายังคงยืนงง มือจับลูกบิดประตูค้างอยู่ ก็บอกว่า

“ดูซี จะเข้ามาก็ไม่เข้า ยืนอยู่ได้ยังงั้น   สวมเพียงเสื้อคลุมอาบน้ำตัวเดียวแท้ๆ   ไม่เรียบร้อยเลย”

นั่นแหละ ชลาจึงได้ก้าวเข้ามาในห้องพร้อมกับงับประตูตามหลัง   กระชับเสื้อคลุมให้เรียบร้อย   คว้าสายผูกเอวที่ปล่อยลงระพื้นอยู่นั้นขึ้นมาผูก แล้วจึงเดินไปนั่งลงข้างมารดา   ถามว่า

“แม่คอยจะพูดอะไรกับชลาหรือคะ   ชลาไม่ทราบก็เลยอาบน้ำเสียนาน”

“ก็ไม่ใช่ธุระร้อนอะไรหรอกจ้ะ   แต่แม่เข้ามาแล้วก็เลยขี้เกียจออกไปอีก   เลยนั่งคอยหนูอยู่ในนี้”

ชลามองดูมารดาด้วยดวงตาที่ฉงนฉงาย ไม่เข้าใจ   ลักษณะนั้นคงจะเป็นที่น่ารักจับใจมารดานัก   ท่านจึงได้กระทำกิริยาที่ไม่ค่อยจะได้ทำบ่อยนักเมื่อเธอโตขึ้นมาแล้ว   คืออ้าแขนออกโอบร่างของบุตรีเข้าไปกอดไว้   เสียงของท่าสั่นเครือเมื่อกล่าวว่า

“วันนี้เป็นวันที่แม่มีความสุขที่สุด   สบายใจที่สุด   รู้หรือเปล่าแม่หนู”

กิริยาของท่านเป็นที่สนเท่ห์แก่ใจของชลายิ่งนัก   เธอกอดตอบมารดานิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเงยหน้าขึ้นถามว่า

“อะไรทำให้แม่มีความสุขความสบายใจถึงขนาดนี้คะ   บอกหนูบ้างซิ   หนูจะได้ช่วยสุข ช่วยสบายใจด้วยคนหนึ่ง ?”

“ยังจะมาถามอีกหรือ”   นางละเมียรย้อนถามอย่างเอ็นดู   “นึกแล้วทีเดียวว่า ที่คุณลุงอุตสาห์มาถึงที่นี่ในวันนี้ ท่านต้องมีเรื่องสำคัญมาพูด   แล้วดูจากสีหน้าของท่านก็รู้สึกว่าต้องเป็นเรื่องดี   แล้วก็เป็นเรื่องดีจริงๆ เสียด้วยซี   เฮอ...แม่สบายใจจริงๆ   เป็นความสบายใจที่หาไม่ได้มานานปีแล้ว”

“คุณลุงมาพูดอะไรกับคุณพ่อคะ แม่”

ชลาซักต่อไป   เธอเริ่มจะรู้รางๆ แล้วว่า อะไรเป็นอะไร   ความคิดนั้นทำให้ดวงหน้าที่ขาวนวลผุดผาดเป็นยองใยมากขึ้น   ซึ่งทั้งนี้หาได้พ้นจากความสังเกตอันถี่ถ้วนของผู้เป็นมารดาไม่   ท่านยิ้มอย่างเอ็นดู   บอกว่า

“ไม่ต้องตอบหนูก็รู้ดีแล้วนี่   แม่หวังไว้นานแล้วว่าเรื่องมันจะต้องเป็นเช่นนี้สักวันหนึ่ง   เมื่อมันมาความเป็นจริงอย่างที่หวังไว้ แล้วจะไม่ให้แม่ดีใจกระไรได้     พ่อกวีเป็นคนดีมาก   แม่ดีใจที่แม่หนูเลือกเขา   ทำให้ความหนักใจของแม่หายไปเป็นปลิดทิ้งทีเดียว รู้ไหมจ๊ะ”

พ่อกวีเป็นคนดีมาก   แม่ดีใจที่แม่หนูเลือกเขา   ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าที่เธอนึกเดาไว้นั้นเป็นความจริงน่ะสิ   เขาคงให้คุณลุงมาพูดจาสู่ขอเธอต่อคุณพ่อและแม่   แปลกเหลือเกิน   ทำไมเขาถึงไม่เคยปริปากพูดถึงเรื่องนี้กับเธอเลย   หรือเขาถือเอาข้อสัญญาของเธอที่ว่าจะทำตามเขาทุกอย่างนั้น ทำไปโดยหวังจะสร้างความประหลาดใจให้แก่เธอ

“เห็นได้ชัดทีเดียวว่า พ่อกวีเป็นคนที่มีใจหนักแน่นเชื่อถือได้”   นางละเมียรกล่าวต่อไปด้วยความปลิ้มปิติ   “แม่รู้ว่าเขาชอบแม่หนูอยู่ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะไปเรียนต่อเมืองนอกแล้ว   แล้วก็ดูซิ   เขาไปยังที่นั้นถึงสี่ห้าปีก็ยังไม่เปลี่ยนใจ   นับว่าแม่หนูเลือกได้คนดีแล้ว   ลูกผู้หญิงเรานั้น จะดีหรือจะชั่วก็ขึ้นอยู่กับสามีแหละลูกเอ๋ย”

มารดาจะได้พูดพร่ำสั่งสอนอะไรต่ออะไรอีกมากมายนั้น   ชลามิได้มีใจจดจำนัก   เธอกำลังใช้ความคิดหนักในการกระทำของกวี   มารู้สึกตัวเอาก็ต่อเมื่อท่านจับแขนของเธอเขย่าเบาๆ   ถามด้วยเสียงหัวเราะน้อยๆ ว่า

“เออ....ดูซิ.. แม่หนูนั่งคิดอะไรอยู่ก็ไม่รู้   แม่ถามว่าหนูตกลงอะไรไว้กับพ่อกวีจ๊ะ   เล่าให้แม่ฟังบ้างซี ?”

“หนูตกลงกับพี่กวีไว้ว่า”   ชลาหวนนึกถึงอ้อมแขนอันอบอุ่นและปลอดภัยของกวีซึ่งได้ช่วยเธอไว้ให้พ้นจากภัยอันตรายเลวที่สุดของลูกผู้หญิงในคืนก่อนนั้น   “หนูจะทำทุกอย่างตามที่พี่กวีเห็นว่าสมควรค่ะ”

จบบทที่ 25