“นี่ คุณรู้หรือยังคะว่าแม่กรเขาตกลงจะแต่งงานต้นเดือนหน้านี่แน่นอนแล้วละ”
กิติมา พงษ์ศรี กล่าวกับสามีของหล่อนในตอนค่ำวันหนึ่ง ขณะที่นั่งอยู่ด้วยกันตามลำพัง ในห้องนั่งเล่นหลังเวลาอาหารค่ำแล้ว ลูกหญิงชายของหล่อนถูกไล่ให้ขึ้นไปนอนหมดแล้ว คงเหลือแต่สองสามีภรรยาเท่านั้นที่นั่งอยู่ด้วยกัน สำราญมีอาการคล้ายคนใจลอยไปไกลตัว ทั้งๆ ที่เบื้องหน้าของเขานั้น เครื่องรับวิทยุโทรทัศน์ขนาดใหญ่ กำลังส่งภาพและเสียงอยู่อย่างครึกครื้น เขาหันมาทางภรรยา เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยถามว่า
“หือ คุณว่าอะไรนะ?”
เมื่อกิติมากล่าวซ้ำอีกครั้งหนึ่ง สามีของหล่อนก็พยักหน้าอย่างไม่เอาใจใส่ บอกว่า
“ก็รู้กันอยู่แล้วนี่ แต่งเร็วๆ ก็ดี ออกควงกันหามรุ่งหามค่ำ ขืนแต่งช้ากว่านี้จะลำบาก”
กิติมาไม่สู้จะขอบใจในคำพูดของสามีนัก แต่ความที่เคยเกรงกันมานานนั้นทำให้หล่อนไม่กล้าพูด อะไรออกไปนอกจากจะกล่าวเป็นเชิงบ่นว่า
“กระบวนใจร้อน เอาใจตัวละก็ไม่มีใครเกินยายกร แล้วนี่เรือนหอจะเสร็จทันหรือ เครื่องเรือนก็ดูเหมือนจะยังไม่ได้เลือกแบบเลย”
“ยากอะไร คุณพ่อเธอออกมีเงินมากมาย จะเนรมิตอะไรก็ได้ทั้งนั้น”
กิติมาเหลือบตาดูสามี พูดเสียงอ่อนๆ “ความจริง ก็เพราะเงินของคุณพ่อ เราถึงได้พ้นจากเรื่องเดือดร้อนมาได้ คราวนี้ ถ้าท่านไม่ยอมให้ยายกรซื้อที่ที่พระโขนง เราก็แย่”
“อ้อ นี่คิดจะทวงบุญทวงคุณงั้นรึ” สำราญย้อนถามด้วยเสียงเยาะๆ “คุณพ่อของเธอเสียเงินมากแล้วท่านก็ได้ที่ดินของเราไป ต่างคนต่างแลกเปลี่ยนกันยังจะมีใครเป็นหนี้บุญคุณใครอีกรึ”
“แต่เราขายให้ท่านเกินราคาที่เราควรจะได้นะคะ ถ้าคนอื่นซื้อ เราก็ไม่ได้เงินเท่านี้”
“นั่นมันไม่ใช่ความผิดของเรานี่นา ก็ท่านอยากไม่ต่อเองนี่ ของซื้อของขายก็ต้องบอกราคาผ่านให้ต่อกันทั้งนั้น เมื่อไม่ต่อก็ตามใจน่ะซี ช่วยอะไรไม่ได้”
“ก็เพราะว่าท่านเชื่อเราน่ะซีคะ” กิติมาว่า “เราบอกคำไหนก็คำนั้น แล้วยังมียายกรช่วยหนุนอีกแรงหนึ่งด้วย”
“นี่เกิดอะไรขึ้นมาล่ะ” สำราญพูดอย่างรำคาญ หรี่ตามองดูภรรยาอย่างจะแทงใจดำ “มโนธรรมรบกวนหรือยังไง อย่าลืมชิว่า การที่น้องสาวของเธอสนับสนุนให้นั่นน่ะ ก็เพราะต้องการให้เราช่วยหางานให้พ่อเจ้าประคุณนักเรียนนอกคนนั้นทำไม่ใช่หรือ ไม่ใช่ว่าช่วยเพราะมีใจเมตตาอย่างแท้จริงหรอกนะ เธอก็รู้อยู่แล้ว ไม่ใช่เล่นเหมือนกันนา น้องสาวของเธอนี่”
“พักนี้คุณพ่อหมดเข้าไปหลาย” กิติมาพูดต่อไป “ตอนลูกชายแต่งงานน่ะ ถึงแม้ว่าจะไม่ต้องปลูกเรือนหอให้ใหม่ แต่ก็ต้องเสียเงินให้พ่อเจ้าประคุณพาเมียไปเที่ยวรอบโลกเสียตั้งเดือน แล้วยังตอนแต่งงานอีกล่ะ ค่าสินสอดทองหมั้นอีกล่ะ แม่นั่นน่ะมาแต่งกับกวีโดยที่ไม่ต้องชักเนื้อสักแดงเดียว”
“ฉลาดดีนี่ คุณพ่อเธอน่ะ” สำราญหัวเราะอยู่ในคอ
“ลูกชายจะมีเมียก็ต้องควักกระเป๋า มาถึงคราวลูกสาวจะมีผัว ก็ต้องควักกระเป๋าอีก แต่ก็ไม่แปลกหรอก เงินทองท่านมีมากมายถมเถไป ตายก็เอาไปด้วยไม่ได้”
กิติมานิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วจึงเปลี่ยนเรื่องสนทนาใหม่ว่า
“คืนนี้คุณจะอยู่บ้านไม่ไปไหนหรือ?”
“ก็จะให้ไปไหนกันล่ะ เสี่ยชมมันไปฮ่องกงเสียแล้ว กว่าจะกลับก็อีกตั้งเกือบเดือน ไอ้ห....” เขาสบถอย่างหยาบคาย “ไอ้เงินที่มันเอาไปเที่ยว เอาไปสนุกฉุยฉายตามสบายนั่นน่ะ มันเงินของเราทั้งนั้นแหละ มันถ่ายประเป๋าเราไปเสียเยอะแยะทีเดียว”
“แล้วก็ไม่ให้โอกาสแก้ตัวเสียด้วย” กิติมาว่าอย่างเจ็บใจ “คุณก็เหมือนกันน่ะแหละ มือเติบ ใจป้ำเกินไป รู้อยู่แล้วว่าคนอย่างเสี่ยชมน่ะ ตั้งตัวจนร่ำรวยเป็นเศรษฐีมาได้ก็เพราะการพนัน เล่ห์เหลี่ยมแกออกพราวไปทั้งตัว คุณควรจะระวังตัวให้มาก ดูซิค่าต๋งแกก็เก็บ แล้วก็ยังเล่นได้อีกทุกเที่ยวไป ฉันน่ะคิดอยู่เสมอว่าแกคงจะไม่ซื่อนักหรอก”
“อย่าพูดมากเลยน่ะ” สำราญแบฝ่ามือตีฉาดลงบนโต๊ะอย่างหัวเสีย “ไอ้เรื่องเล่นนี่มันก็ต้องมีได้มีเสียเป็นของธรรมดา ก็ทีเราได้มาล่ะ ไม่เห็นเธอพูดบ้างเลยนี่”
“แต่ไอ้ที่ได้น่ะมันน้อยกว่าเสีย” กิติมาแย้ง “พอได้เข้าทีไร คุณก็ทำใจใหญ่พาคนโน้นไปเลี้ยง เลี้ยงข้าวเลี้ยงเหล้ายังไม่พอ ยังเลยไปถึงตามบ้านตามโฮเต็ลอีก หมดเข้าไปทีหนึ่งเป็นพันๆ แต่เวลาที่เราเสียน่ะ มีใครเขาช่วย เราเสียบ้างล่ะ เราก็ต้องหน้าดำคร่ำเครียดวิ่งเต้นจำนำจำนองไปคนเดียว แล้วถ้าพวกนี้รู้เข้า ยังกลับจะสมน้ำหน้าเราเข้าให้ด้วย”
“นี่ หยุดทีเถอะ” สำราญตวาดเสียงเขียว “ให้ตายซี ไม่รู้ว่าจะพูดให้มันเกิดอะไรขึ้นมา พูดแล้วใช่ว่าจะเอาไอ้ที่เสียไปนั่นคืนมาได้เมื่อไหร่ ก็เปล่าทั้งเพ เล่นก็ไปเล่นด้วยกัน พอเสียกลับมาด่าเราคนเดียว แทนที่จะช่วยคิดช่วยหาวิธีแก้เอามันกลับคืนมาได้บ้าง วิเศษจริงๆ”
“ก็คุณเชื่อดิฉันเสียเมื่อไหร่” กิติมาว่า “ฉันเตือนเสมอว่า เวลาเล่นน่ะให้ทำใจให้เย็นๆ เข้าไว้ แต่คุณไม่เคยเชื่อเลย พอเสียเข้าหน่อยละก็เป็นหน้ามืดทีเดียว โหมเข้าไปโหมเข้าไป จะเอาคืนมาให้ได้ มันก็จมเร็วเข้าเท่านั้นเอง”
“มัวใจเสาะอย่างเธอเมื่อไรถึงจะได้คืน แต่เลิกพูดถึงเรื่องนี้ทีเถอะ ถ้าเธออยากจะให้ฉันอยู่บ้านวันนี้ เธอจะเอาอะไรกับฉันอีก กิติมา เป็นคนอื่นถ้าเขาเป็นอย่างฉันนี่น่ะ เขาก็คงมีเมียน้อยยุ่บยับไปแล้ว แต่นี่ฉันไม่เคยนอกใจเธอเลย ฉันอยู่กับเธอตลอดทั้งวัน ไปไหนก็ไปด้วยกัน ความสุขของฉันก็อยู่ที่การเล่นอย่างเดียวเท่านั้น เพียงเท่านี้เธอก็ตามใจฉันไม่ได้งั้นหรือ หรือว่าเธอต้องการให้ฉันเลิกเล่นแล้วหันมาสะสมเมียน้อยแทน บอกมาซิ”
โดนเข้าไม้นี้ กิติมาก็จำต้องนิ่งอึ้งไป โฉนดที่ดินที่พระโขนงบินไปแล้ว และฉบับอื่นยังอยู่ในกำมือของคนอื่นอีกครึ่งหนึ่ง ไม่รู้ว่าจะหลุดลอยไปเมื่อไร แต่กิติมาก็จำต้องนิ่งมองดูอยู่ด้วยดวงใจอันหวาดหวั่น ทั้งนี้ก็เพราะหล่อนเป็นหญิงชนิดที่ถือภาษิตว่า “เสียทองเท่าหัว” นั่นเอง
ในเวลาเดียวกันกับที่ลูกสาวคนโตของคุณวินิจ และสามีของหล่อนกำลังถกเถียงกันอยู่นี้ ลูกสาวคนเล็กของท่าน ก็กำลังวุ่นวายอยู่กับการเลือกแบบเครื่องเรือน ที่จะใช้ตกแต่งเรือนหอของหล่อนอยู่ในห้องนั่งเล่นชั้นบนของบ้าน มีพี่สะใภ้นั่งปักผ้าคลุมเตียงซึ่งทำด้วยผ้าต่วนเนื้อหนาสีฟ้าหม่นมันระยับอยู่ใกล้ๆ เพื่อให้ความเห็นและการติชมสุดแต่หล่อนจะต้องการ
“เตียงนอนแบบนี้ดี๊ดีนะ ชลา”
กรวิภายื่นนิตยสารต่างประเทศเล่มหนึ่งที่เกี่ยวกับการตกแต่งบ้านเรือนไปตรงหน้าพี่สะใภ้ ชลาลดมือที่ถือสะดึงมือลงวางบนตัก มองดูภาพพิมพ์สอดสีสดสวยเป็นรูปเตียงนอนคู่ตรงหน้า พยักหน้า รับว่า
“จ้ะ น่ารัก แต่กลัวว่าจะสวยอย่างนี้ไปไม่ได้นานเท่าไร เพราะว่าเมืองไทยเราฝุ่นมันมาก แล้วเตียงที่มีพนักสูงบุนวมปักเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนอย่างนี้ มันรักษาลำบาก กลัวขี้ฝุ่นจะเข้าไปจับอยู่ตามร่อง นั่นน่ะซี กรวิภา”
“นั่นน่ะซี” กรวิภา ขมวดคิ้วอย่างไม่ถูกอารมณ์ “ไอ้เรื่องฝุ่นกับแดดนี่แหละเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตกเลย ไอ้เราเห็นแบบบ้านฝรั่งมันสวยๆ อยากจะเอาอย่างบ้างก็ทำไม่ได้ เดี๋ยวกลัวแดดจะเลียสี เดี๋ยวกลัวฝุ่นจะจับ สารพัดไปแหละ น่าเบื่อเต็มทน คิดแล้วอยากจะไปอยู่เมืองนอกให้รู้แล้วรอดไปเลย”
ชลามองดูภาพห้องนอนที่งดงาม เหมือนห้องในฝันในหน้ากระดาษตรงหน้านั้นอย่างพินิจอีกครั้งหนึ่ง แล้วจึงพูดช้าๆ ว่า
“แต่ก็พอจะทำได้นี่จ๊ะ กร ถ้าเธออยากได้เครื่องประดับห้องเหมือนในรูปนี่จริงๆ ก็ทำห้องนอนที่ใช้เครื่องปรับอากาศเสียซีจ๊ะ เขาว่าห้องที่มีเครื่องทำความเย็นน่ะฝุ่นไม่เข้าไม่ใช่หรือจ๊ะ?”
“เออ จริงซีนะ ดูเหมือนจะเป็นยังงั้นแหละ”
ดวงตาของกรวิภา มีประกายขึ้นด้วยความยินดี โดยปกติแล้วความเป็นลูกคนเล็ก ได้รับการพะเจ้าพะนอเอาใจมามาก ทำให้กรวิภา มุ่งเอาความคิดเห็นของตนเองเป็นใหญ่ มิค่อยจะยอมรับเอาความเห็นของผู้อื่นนัก แต่ในเวลานี้ คงเป็นเพราะว่าหล่อนกำลังมีความสุขที่จะได้แต่งงานกับชายที่หล่อนรักนั่นเอง หัวใจของหล่อนจึงได้รู้จักอ่อนโยนลง
“เธอช่วยถามพี่กวี ให้ทีซีนะ ชลา ว่าเราพอจะทำห้องนอนแบบนี้ได้ไหม แต่แหม... เฮอ...” กรวิภา ทำหน้าเศร้า ถอนใจเฮือกใหญ่ “ถ้าทำได้จริงๆ ก็คงต้องลำบากใจเรื่องต้องพูดกับคุณพ่ออีก มันต้องเปลืองเงินเข้าไปอีกหลายทีเดียว แต่ค่าที่ ค่าปลูกบ้านนี่ก็เข้าไปตั้งเยอะแล้ว ยังจ่ายไม่หมดด้วยซ้ำ เหลืออีกงวดหนึ่ง นี่จะไปขอทำห้องเย็นอีกแล้ว
“ท่านคงไม่ว่าอะไรหรอกจ๊ะ ก็เราแต่งงานเพียงครั้งเดียว หลายครั้งเมื่อไร ฉันเชื่อว่าคุณลุงคงจะอยากให้เธอได้รับความสุขสบายเต็มที่ในการออกเรือนของเธอนี่”
“แหม ออกเรือน” กรวิภา หัวเราะคิก “ใช้คำพูดโบราณเหลือเกินนะเธอน่ะ เอาเป็นว่าฉันจะลองอ้อนวอนขอคุณพ่อดูก็แล้วกัน แล้วก็เธอช่วยถามพี่กวี ดูให้ทีนะจ๊ะ ว่าถ้าเราใส่เครื่องทำความเย็นแล้วละก็จะพอแต่งห้องอย่างในหนังสือนี่ได้ไหม ต้องปรึกษาผู้ชำนาญเขาเสียหน่อย”
ชลา ก้มลงมองดูผ้าต่วนที่วางอยู่บนตักครู่หนึ่ง แล้วจึงกล่าวว่า
“ฉันคิดว่าเธอไปหาเขาที่สำนักงานเลยไม่ดีกว่าหรือจ๊ะกรวิภา จะได้พูดกันให้รู้เรื่อง”
“แหม ขี้เกียจออก” กรวิภา ว่า “ฉันไม่ค่อยชอบไปหาใครที่ที่ทำงานเลย ดูมันเป็นงานเป็นการมากเกินไป ทำไม เธอช่วยถามให้ทีไม่ได้หรือ?”
“ได้น่ะได้หรอกจ๊ะ” ชลา บอก ตายังคงมองอยู่ ณ ที่เดิม “แต่ว่า หมู่นี้ฉันกับพี่กวี ไม่ค่อยจะได้มีเวลาพูดคุยกันเลย”
“เอ๊ะ ทำไมถึงอย่างนั้นล่ะ?” กรวิภา พูดอย่างประหลาดใจ “เป็นไปได้หรือนี่ที่คนแต่งงานกันใหม่ๆ ยังไม่ทันถึงครึ่งปีจะไม่มีเวลาพูดคุยกัน นี่เธอเล่าเรื่องตลกให้ฉันฟังหรือเปล่า?”
“ความจริงจ้ะ”
ชลาเงยหน้าขึ้นมองสบตาน้องสามี ดวงตาคู่สวย ซึ่งกรวิภา เคยนึกอิจฉา อยู่เสมอนั้นมีแววหม่นหมองและกังวลใจอย่างเห็นได้ชัด
“พอเช้าขึ้น พี่กวีก็แต่งตัวไปทำงาน กว่าจะกลับก็ดึกอื่นห้าทุ่มสองยาม บางทีก็ตั้งตีหนึ่งตีสองยังเคย”
“ตายจริง” กรวิภาร้อง “ถึงอย่างนั้นเชียว หรือฉันไม่ยักสังเกตดูหรอก ว่า พี่กวีกลับบ้านเมื่อไร หรืออกจากบ้านไปตอนไหน”
“เธอจะไปรู้ได้อย่างไรกันเล่าจ๊ะ” ชลาว่า ฝืนยิ้มน้อยๆ “หมู่นี้เธอก็กลับบ้านดึกเหมือนกันนี่ แล้วกว่าเธอจะตื่นพี่กวีก็ออกจากบ้านไปแล้ว”
“แล้วเธอไม่คอยเขาจนโงกแย่ไปหรือ ชลา กว่าเขาจะกลับมา”
“เมื่อก่อนนี้ก็คอยเหมือนกันแหละ แต่เดี๋ยวนี้เลิกแล้ว กว่าพี่กวีจะกลับมา ฉันก็นอนหลับปุ๋ยไปตั้งนานแล้วละ”
ชลาพยายามทำเสียงที่พูดนั้นให้รื่นเริง แต่ทว่าตัวเองรู้ดีว่าในใจนั้นรู้สึกอย่างไร กรวิภา ขมวดคิ้วน้อยๆ กล่าวลอยๆ คล้ายพูดกับตัวเองว่า
“เอ เขาไปทำอะไรอยู่นะ จนดึกจนดื่นไม่กลับบ้านกลับช่อง จะไปติดใจแม่พนักงานสาวๆ ที่ไหนอยู่กระมัง?”
“ไม่มีหรอกจ๊ะ พนักงานสาวๆ น่ะ” ชลาบอก “เมื่อก่อนนี้ตอนที่เขากลับบ้านดึกใหม่ๆ ฉันเป็นห่วงเคยเอารถออกไปตามก็พบเขานั่งทำงานง่วนอยู่คนเดียว”
“งานอะไรกันนะถึงได้เพลินจนกระทั่งลืมนึกถึงเธอได้เช่นนั้น อยากรู้จริง”
“ก็งานออกแบบแปลนอะไรของเขานั่นแหละ ฉันเองก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่องราวอะไรนัก เป็นแต่พี่กวีบอกว่า เขาไปรับประมูลออกแบบแปลนสร้างโรงงานอุตสาหกรรมมาเท่านั้นเอง”
“เฮอ” กรวิภา ร้องเสียงดัง “หวังว่าเมื่อแต่งงานกันแล้ว กรันต์ของฉันคงจะไม่เป็นแบบพี่กวีของเธอหรอกนะ ฉันทนไม่ได้หรอก ถ้าเขาจะมาทำอย่างกับว่า เราน่ะเป็นรูปหุ่นหรือตุ๊กตาที่มีไว้สำหรับบ้านให้สวยๆ อย่างนี้เท่านั้น ฉันต้องบอกให้เขารู้ว่า ฉันต้องการการเอาอกเอาใจ ถ้าขาดการเอาอกเอาใจ การใกล้ชิดกันละก้อ อย่าอยู่ด้วยกันดีกว่า”
“คุณกรันต์ คงจะไม่เป็นเหมือนพี่กวีหรอกจ้ะ” ชลา พูด นึกถึงดวงตาคมเข้มที่เป็นประกายอย่างมีชีวิตจิตใจของชายที่เธอกล่าวนามนั้น “ฉันคิดว่าคุณกรันต์ กับพี่กวี มีอะไรหลายอย่างที่ไม่เหมือนกัน”
ขณะนั้นปรากฏว่ามีเสียงแตรรถดังยาวขึ้น กรวิภา ผุดลุกขึ้นยืนอย่างดีใจ
“นั่นไง พอพูดถึงมาพอดีทีเดียว” หล่อนวิ่งปราดไปที่หน้าต่าง เพื่อดูให้แน่ใจอีกครั้งหนึ่ง “จริงๆ น่ะแหละกรันต์มาแล้วจริงๆ กรันต์.... กรันต์คะ”
ชลา เห็นหล่อนชะโงกหน้าออกไปโบกไม้โบกมือกับคนที่อยู่ข้างล่าง
“กรอยู่บนนี้ค่ะ ขึ้นมาบนนี้เลย”
อย่างไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ชลา รู้สึกว่าหัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล เธอหยิบผ้าคลุมเตียงที่กำลังปักอยู่นั้นขึ้นมาปักต่อ พยายามที่จะทำใจให้สงบเป็นปกติโดยไม่สนใจต่อสิ่งใดอื่น แต่กระนั้นก็ยังอดที่จะคอยสดับเสียงเดินที่จะดังขึ้นนั้นมิได้ เธอได้ยินตั้งแต่เสียงเดินขึ้นบันไดมาเบาๆ และต้องบังคับใจเป็นอย่างยิ่งที่จะไม่เงยหน้าขึ้นในทันทีที่เสียงนั้นมาหยุดอยู่หน้าห้องที่นั่งอยู่นั้น
“เข้ามาซีคะ กรันต์”
กรวิภา ร้องบอกเสียงใส จากดวงตาที่หลุบลงต่ำนั้น ชลา ยังอุตสาห์มองเห็นน้องสามีของเธอถลาเข้าไปหาชายหนุ่ม แล้วชายกระโปรงยาวสีสวยนั้น ก็เคลื่อนเคียงกับขากางเกงสีเนื้อรีดเรียบจนขึ้นสันเข้ามายังที่เธอนั่งอยู่ นั่นแหละ ชลา นึงเงยหน้าขึ้นช้าๆ แล้วก็จริงอย่างที่เธอคาดไว้ วินาทีแรกที่เธอเงยหน้าขึ้น เธอก็ประสานกับสายตาของเขาทันที
“สวัสดีครับ คุณชลา”
ชายหนุ่มก้มศรีษะให้เธอเล็กน้อย ดวงตาของเขามองสบตาเธออยู่อึดใจหนึ่ง ก่อนที่มองต่ำลงเล็กน้อย เขาถามต่อไปว่า
“ขยันจริงนะครับ นั่นกำลังทำอะไรอยู่หนอ สีสวยจริง”
“กำลังปักผ้าคลุมเตียงค่ะ”
ชลา ตอบ ไม่แน่ใจว่าเธอควรจะลุกขึ้นแล้วออกไปจากห้องนี้เสีย เพื่อปล่อยให้เขาอยู่ด้วยกันตามลำพังดีหรือไม่ กรวิภา ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวยาว ฉุดมือชายหนุ่มให้นั่งลงเคียงข้างกับหล่อนด้วย
“เป็นยังไงบ้างคะ รถของกร ถูกมือกรันต์ หรือเปล่า?”
“ผมขับมันได้อย่างสบายทีเดียว” กรันต์ตอบ “แต่ว่า คุณเอาคืนมาเสียทีไม่ดีหรือ กร ผมไม่จำเป็นต้องใช้มันเลยนี่”
“อย่ามาพูดหน่อยเลย” กรวิภา ค้อนเขาพร้อมกับทำเสียงเล็กเสียงน้อยอย่างตัดพ้อ “กรรู้หรอกน่าว่ากรันต์ อาย กลัวใครเขาจะหาว่าเอารถของกรมาขับ ฮึ ใครจะว่าก็ช่างหัวปะไร เราจะแต่งงานกันอยู่แล้วนี่คะ ไม่เห็นจะแปลกอะไรเลย รถของกร กรจะให้ใครขับก็ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับชาวบ้านนี่ จริงไหมจ๊ะชลา”
ชลา ยิ้มน้อยๆ ไม่มองไปทางชายหนุ่ม เพราะรู้ดีว่าเขากำลังมองดูเธออยู่ ตอบว่า
“ใช่ซีจ๊ะ มันเรื่องของเรา เราจะทำอะไร ถ้าไม่เป็นการเดือดร้อนกับใครแล้ว เขาก็ไม่น่าจะมายุ่งกับเรา”
“คุณชลา ไม่สนใจกับคำนินทาว่าร้ายหรอกหรือครับ”
กรันต์ ถาม เสียงของเขาดูเต็มไปด้วยความสนใจอย่างจริงจัง จนชลา ไม่อาจที่จะทำเฉยเมยไม่ตอบเสียได้ เธอนิ่งคิดครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบอย่างระมัดระวังว่า
“นินทากาเลเหมือนเทน้ำค่ะ คุณกรันต์ ไม่มีใครหรอกค่ะที่จะพ้นไปจากคำนินทาว่าร้ายได้ แม้แต่พระพุทธองค์ ถ้าเราถือเอาคำนินทาว่าร้ายมาเป็นเรื่องใหญ่นัก เราก็แย่ เพราะฉะนั้น ดิฉันถึงได้คิดเสียว่า ถ้าเราต้องการจะทำอะไร และการกระทำ ของเราไม่เป็นการเดือดร้อนรบกวนคนอื่นแล้ว เราก็ไม่น่าจะไปสนใจต่อคำนินทาของเขา ถ้าเขาอยากนินทาเราเพื่อเป็นการฆ่าเวลา ก็ช่างเขาเป็นไร”
“ผมดีใจที่ได้ยินคุณพูดอย่างนี้”
เขาพึมพำเบาๆ คำพูดของเขาอดที่จะทำให้ชลาต้องมองดูเขาด้วยความแปลกเสียมิได้ แต่แล้วเธอก็ต้องก้มหน้าลงโดยเร็ว เมื่อรู้สึกว่า ดวงตาคู่ที่มองตอบเธอนั้น ช่างเต็มไปด้วยแววประหลาด ทั้งอ้อนวอน ปลอบประโลม และอาวรณ์ น่าสะดุดใจนัก
“ประเดี๋ยวจะไปไหนกันดีคะ กรันต์?”
กรวิภา ซึ่งมิได้สังเกตเห็นดวงตาของคนรัก เพราะว่าเขานั่งหันข้างมาทางหล่อนกล่าวขึ้นอย่างผู้ที่ไม่คิดถึงเรื่องอื่นใดนอกความสนุกสนานแต่ประการเดียว
“หนังโรงไหนดีบ้างเอ่ย กรันต์รู้ไหมคะ?”
“ไม่รู้เลย” ชายหนุ่มส่ายหน้า พร้อมกับหัวเราะ
เขาพูดต่อไปว่า “เอาเถอะ อยากจะเที่ยวไหนก็รีบเที่ยวเสียนะ อาทิตย์หน้านี่แหละผมก็จะลงมือทำงานแล้ว เห็นจะเที่ยวกันทุกวันอย่างนี้ไม่ได้อีกแล้ว ประเดี๋ยวจะถูกไล่ออกจากงาน”
“เอาอีกแล้ว” กรวิภาร้องทำปากยื่นอย่างไม่ชอบใจ “มาแบบพี่วี อีกคนหนึ่งแล้ว พวกผู้ชายนี่เป็นยังไงนะ พอทำงานเข้าละก็ หลงงานจนลืมคนทางบ้านทีเดียว อย่านะกรันต์ กรไม่ยอมให้คุณเป็นอย่างพี่กวีหรอก กรไม่อดทนอย่างชลาเขานี่”
“เอ๊ะ ทำไม กวีเป็นยังไงครับ เดี๋ยวนี้?” กรันต์ถามอย่างสนใจ คิ้วดกดำของเขามุ่นเข้าหากัน “หมู่นี้ผมไม่ค่อยจะพบกับเขา เลยไม่รู้ว่าเขาเป็นยังไงบ้าง แต่ฟังตามเสียงที่กรพูด คล้ายกับว่ากวีกำลังหลงงานอยู่เสียจนลืมคุณชลา ยังงั้นหรือครับ?”
“ถามชลาเขาดูเองก็แล้วกัน” กรวิภาพูด แล้วลุกขึ้นยืน “กรันต์ คุยกับชลา ไปสักครู่ก่อนนะคะ กรอาบน้ำแต่งตัวประเดี๋ยวเดียวเท่านั้นแหละค่ะ”
แล้วหล่อนก็เดินยกชายเสื้อคลุมยาวกรีดกรายออกไปจากห้อง ชลา รู้สึกอึกอัดใจขึ้นมาในทันทีนั้นเอง ใจเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะอีกแล้ว เมื่อต้องอยู่กับเขาตามลำพังสองต่อสอง น่าฉิวตัวเองเหลือเกิน ที่ทำใจให้เป็นปกติไม่ได้สักทีเดียวเมื่อต้องอยู่ตามลำพังกับผู้ชายคนนี้ เธอไม่เงยหน้าขึ้นมองดูเขา ก้มหน้าก้มตาปักเส้นไหมลงบนลายที่เขียนไว้บนต่วนสีฟ้ามันระยับนั้นอย่างตั้งอกตั้งใจ
“คุณชลา”
ได้ยินเสียงเขาเรียกชื่อเธอเบาๆ ฟังดูสิ แม้แต่เสียงที่เขาใช้เรียก ก็ดูผิดแปลกไปจากที่เธอได้ยินเขาเรียกผู้อื่น มันช่างเต็มไปด้วยความอ่อนโยน ออดอ้อนและดื่มด่ำลึกซึ้งอะไรเช่นนั้น
“เบื่อที่จะนั่งคุยกับผมเต็มที่แล้วหรือครับ?”
เขาถาม คำถามของเขาทำให้ชลา ต้องรีบเงยหน้าขึ้นโดยเร็ว
“เปล่านี่คะ” เธอตอบเร็ว “ทำไมคุณกรันต์ ถึงได้คิดอย่างนั้นล่ะคะ?”
“ก็เห็นคุณก้มหน้าก้มตาปักเอาๆ ไม่ยอมดูหน้าผมเสียบ้างเลยนี่” เขาว่า “ใครนะครับ จะเป็นคนโชคดี ได้นอนเตียงที่มีผ้าคลุมผืนนี้ ผมอยากรู้นัก?”
คราวนี้ชลา อดมิได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างรู้สึกขัน
“ผ้าคลุมเตียงผืนนี้ ดิฉันทำเพื่อให้เป็นเครื่องแต่งหอของคุณกับกรวิภา ยังล่ะคะ”