ดวงใจนี้ใครครอง

>> สุภาว์ เทวกุลฯ

ดวงใจนี้ใครครอง

บทที่ 29

รถยนต์สปอร์ตคันเล็กกะทัดรัดสีแดงสด   แล่นปราดแซงหน้ารถสามล้อคันหนึ่งขึ้นไป แล้วก็จอดเทียบบาทวิถีเบื้องหน้าชายหนุ่มผู้หนึ่ง     อาจจะเป็นเพราะว่าชายผู้นั้นกำลังยืนใช้ความคิดเพลินอยู่   หรือเป็นเพราะการเข้ามาอย่างรวดเร็วของรถคันนั้นก็มิรู้ได้   ทำให้เขาถึงกับสะดุ้งกระโดดถอยออกเบื้องหลังก้าวหนึ่ง   ต่อเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะสดใสดังขึ้น   เขาจึงได้รู้สึกตัว   กลับก้าวเข้ามาประชิด ยกมือทั้งสองขึ้นเกาะขอบประตูรถ   ก้มตัวชะโงกหน้า เข้าไปหัวเราะกับหญิงสาวสวยที่นั่งอยู่คนเดียวในที่นั่งคนขับ   กล่าวว่า

“แหม   นี่ถ้าผมตกใจแล้วแทนที่จะกระโดดถอยหลังแต่กระโดดเข้าไปหารถ   คุณจะว่ายังไง?”

“กรจะไปว่าอะไร” หญิงสาวหัวเราะ   “กรก็พากรันต์ไปส่งโรงพยาบาลเท่านั้นเอง”

“เท่านั้นเองหรือ”   เขาถาม   ดวงตาคมขำของเขาเป็นประกายรื่นเริง   “ไม่ได้หรอก   ผมต้องเรียกค่าทำขวัญด้วย”

“กรันต์ จะเรียกอะไรเป็นค่าทำขวัญจากกร?”   หญิงสาวถาม   หล่อนเอื้อมมือมาที่ประตู แล้วบอกว่า   “ขึ้นรถดีกว่าค่ะ คนมองกันใหญ่แล้ว   เบื่อเหลือเกิน   คนพวกนี้ละ ไม่รู้ว่าชอบมองอะไรกัน   ยังกับว่าไม่เคยเห็นคนอย่างนั้นแหละ”

ชายหนุ่มหัวเราะ

“เขามองคนสวยน่ะซี”   เขาบอกพร้อมกับก้าวเข้าไปนั่งในรถ   ปิดประตู แล้วรถก็พุ่งปราดออกจากที่โดยเร็ว

“นี่คุณไปไหนมาถึงได้ผ่านมาทางนี้ครับ กรวิภา?”

“ไม่ใช่ผ่านหรอกคะ   กรตั้งใจมารับคุณเลยทีเดียว”

“เอ๊ะ”   ชายหนุ่มร้องอย่างพิศวง   “ราวกับรู้ว่าผมจะมาสมัครงานที่บริษัทนี้แน่ะ   หรือรู้?”

หญิงสาวทำเป็นอมยิ้ม นิ่งเฉยเสีย ไม่ตอบว่ากระไร   ซึ่งเร้าความสงสัยของชายหนุ่มให้มีมากขึ้น   เขาซักต่อไปว่า

“ทำไมถึงรู้ล่ะครับ   บอกหน่อยไม่ได้หรือ   แล้วก็ทำไมถึงได้รู้ว่าผมจะมาสมัครงานตอนนี้ด้วย”

“ขี้เกียจบอกค่ะ” กรวิภา พูดยิ้มๆ   “เอาเป็นว่ากรรู้ก็แล้วกัน   แล้วเป็นยังไงบ้างล่ะ   มีหวังว่าจะสำเร็จไหม?”

“คิดว่าคงจะได้รับคำตอบที่เป็นข่าวดี”   ชายหนุ่มบอกและพูดต่อไปด้วยเสียงดังอย่างนึกขึ้นได้ว่า   “อ้อ ผมนึกออกแล้วละว่า ผมเคยบอกกรว่าจะมาสมัครงานที่บริษัทนี้   แต่เอแปลกจริงแฮะ   ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมกรถึงรู้ว่าผมจะมาวันนี้และในเวลานี้เสียด้วย”

“โธ่ ทำเป็นคนขี้สงสัยไปได้”   หญิงสาวว่า   “เอาเถอะ จะบอกให้ก็ได้ว่ากรมีสปายโทรศัพท์ไปบอก   คราวนี้คงจะหายสงสัยเสียทีละซีนะ”

“ก็ยังสงสัยอยู่อีกนั่นแหละ”   ชายหนุ่มบอก   “ว่าใครหนอที่เป็นสปายของกรวิภา และเขารู้จักผมได้ยังไง”

“แหม ช่างสงสัยมากนัก   ไม่บอกแล้วละ ปล่อยให้รู้เอาเองวันหลังดีกว่า”

“ตามใจ เมื่อไม่อยากบอกก็”   ชายหนุ่มว่า   “วันหลังผมก็ต้องรู้จนได้ละน่า   เขาว่ากันว่าความลับไม่มีในโลกนี้ จริงไหมล่ะครับ?”   แล้วก็ถามต่อไปว่า   “เอ นี่เราจะไปไหนกันครับ กรวิภา?”

“ไปหาของกลางวันทานกันน่ะซีคะ   เกือบเที่ยงแล้วนี่   กรันต์ ไม่หิวหรือ?”

“ผมยังรู้สึกเฉยๆ อยู่เลย   แต่ตามใจกรเถอะ ไปไหนก็ไปกัน   มีวาสนาได้นั่งรถสวย.. แล้วก็ยังมีสุภาพสตรีสาวสวยขับให้อย่างนี้   ปัญหาที่ว่าจะไปไหนนั้นจะมีความสำคัญไฉน”

เขากล่าวด้วยเสียงแจ่มใส   และเมื่อหญิงสาวชำเลืองค้อน ชายหนุ่มก็ยิ้มทำตาวาวกับหล่อน   แต่แล้วก็สะดุ้งร้องออกมาอย่างตกใจว่า

“โอ๊ะ   รถสวนครับ กรวิภา”

กรวิภา หักพวงมาลัยหลบรถคันที่สวนมาอย่างว่องไว   แล้วก็แซงขวาอีกคันหนึ่งพุ่งปราดขึ้นหน้าไปได้โดยปลอดภัย     กรันต์ถอนใจเฮือกใหญ่ แต่กรวิภากลับหัวเราะดังอย่างชอบใจ

หญิงสาวพารถเข้าจอดเทียบหน้าภัตตาคารมีชื่อแห่งหนึ่งอย่างคล่องแคล่วและชำนิชำนาญ   หล่อนเปิดประตูก้าวลงไปยืนบนบาทวิถี   เมื่อเห็นชายหนุ่มยังคงนั่งเฉยอยู่ กรวิภาก็หัวเราะ   ถามว่า

“นั่นยังขวัญหายอยู่อีกหรือคะ กรันต์   ลงมาเถอะนั่งเฉยอยู่ได้”

นั่นแหละ ชายหนุ่มจึงได้ลงจากรถ เดินตามหล่อนเข้าไปในภัตตาคารนั้น     กรวิภา เดินนำขึ้นบันไดไปชั้นบน   ตั้งแต่กลับมาจากต่างประเทศ   กรันต์เคยมากินอาหารกับหล่อนที่นี่ 2-3 ครั้งแล้ว   จึงรู้ดีว่าชั้นบนของภัตตาคารนี้จัดเป็น ห้องพิเศษ   มีเครื่องทำความเย็น   เครื่องประดับห้องโก้หรูไม่แพ้ภัตตาคารดีๆ ในต่างประเทศ   และกรวิภา ก็ไม่เคยที่จะยอมนั่งบริโภคที่โต๊ะในห้องโถงข้าง ล่าง รวมกับคนอื่นๆ เลยสักครั้ง   หล่อนจะต้องกินอาหารในห้องพิเศษเสมอ

พนักงานรับใช้ที่เดินนำไปนั้น ตรงไปเปิดประตูห้องหนึ่งออก   และโค้งคำนับอย่างอ่อนน้อมในขณะที่กรวิภาเดินเข้าไปด้วยท่าทีที่สง่างดงามราวกับนางพญา   กรันต์ ซึ่งเดินตามหลังหล่อนเข้าไปนั้น   ร้อง “เอ๊ะ” ออกมาดังๆ อย่างแปลกใจ   แล้วก็ยกมือขึ้นทำความเคารพบุคคลอีกสองคน ซึ่งนั่งอยู่ในห้องนั้นก่อนแล้ว

“กรชวนคุณสำราญกับคุณกิติมาทานข้าวด้วย”

กรวิภา บอกแก่ชายหนุ่ม   ทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ประจำโต๊ะอาหารซึ่งมีรูปร่างประหลาดตามแบบศิลปสมัยใหม่เจี๊ยบทีเดียว   พนักงานรับใช้ซึ่งเป็นผู้เลื่อนเก้าอี้ให้หล่อนถอยออกมายืนคอยรับคำสั่งอยู่ไม่ห่างนัก   กรวิภาหยิบเมนูขึ้นมาพลิกดู ถามพี่สาวว่า

“คุณกิติมา มาถึงนานแล้วหรือยังคะ   ทำไมยังไม่สั่งอะไรอีก?”

“เพิ่งมาถึงได้สักห้านาทีเท่านั้น”

พี่เขยของหล่อนบอก   กรวิภารู้สึกว่าระยะหลังๆ นี้   ทั้งพี่สาวและพี่เขยของหล่อนไม่สู้จะมีสีหน้าที่แสดงความสบายใจนัก   เสียงหัวเราะดังๆ อย่างไม่แยแสต่อความสนใจของผู้ใดของสำราญหายไป   ดูเหมือนจะมีความเคร่งเครียดแทรกอยู่ในความรู้สึกของสามีภรรยาคู่นี้ไม่น้อย   แต่จะเป็นเพราะเรื่องอะไรนั้น กรวิภาไม่สนใจ   ใครจะมัวไปนั่งสนใจกับเรื่องของคนอื่นอยู่เพื่ออะไรกัน   ไม่มีประโยชน์อะไรสักนิด

“ถ้าอย่างนั้นก็สั่งอาหารเสียซีคะ”   หล่อนบอก แล้วก็หันมาทางชายหนุ่ม   ถามว่า   “กรันต์จะทานอะไร   อาหารชุดไหมคะ?”

“อย่าเลย”   ชายหนุ่มบอก   “ผมยังเหม็นเบื่อกลิ่นนมกลิ่นเนยไม่หาย   ขอบะหมี่ผัดราดหน้าไก่กับหน่อไม้ดีกว่า   กินเท่าไรไม่รู้จักเบื่อสักที”

“โธ่” กรวิภาร้อง   “ไอ้นั่นน่ะกินที่ไหนๆ ก็กินได้แต่ก็ตามใจกรันต์เถอะค่ะ   ของกรขออาหารฝรั่งชุดหนึ่งก็แล้วกัน   คุณกิติมากับคุณสำราญเล่าคะ จะทานอะไร”

สำราญสั่งอาหารจีน   ส่วนกิติมาบอกว่า   “พี่ก็เอาอย่างกรนั่นแหละ”


เกือบจะทันทีที่พนักงานรับใช้ออกจากห้องไป   กิติมา ก็ถามขึ้นว่า

“คุณพ่อเป็นยังไงบ้าง?”

“สบายดีค่ะ”   กรวิภาตอบ   “กำลังปลื้มลูกสะใภ้   คุณกิติมาไม่ทราบหรอกหรือคะ ว่าพี่กวีกลับมาถึงแล้วเมื่อวานนี้เอง”

กรันต์ อดมิได้ที่จะอุทานออกมาอย่างดีใจว่า   “อ้าวกลับมาแล้วหรือ”   พร้อมกันกับที่กิติมากล่าวว่า

“งั้นหรือ   ไหนว่าจะไปเพียงสองอาทิตย์ยังไงล่ะ   ทำไมถึงได้อยู่เสียตั้งเดือนกว่า   คุณพ่อมิหมดเงินเข้าไปตั้งหลายรึ”

“ก็คุณพ่อเองนั่นแหละค่ะเป็นคนอนุญาตให้เขาอยู่กันต่อ”   กรวิภาบอก   “จัดแจงส่งเงินทองไปให้เสร็จ   พี่กวีก็เลยพาเมียเที่ยวสบายไป   แหมกรละอิจฉาพี่กวีจริง   เพิ่งกลับมาได้ไม่กี่เดือน ก็ได้ไปเที่ยวรอบโลกอีกแล้ว”

“รอบโลกเทียวรึ?”   กิติมาถาม   “โอย นี่ก็แปลว่าคุณพ่อต้องออกเงินให้ลูกชายไปฮันนีมูนเป็นแสนละซี... นี่ท่านไม่คิดบ้างหรือว่าลูกคนอื่นจะนึกน้อยใจยังไงบ้าง”

“กรไม่น้อยใจหรอกค่ะ   ตอนนี้เป็นเวลาของเขาก็ให้เขาไป   เอาไว้ถึงเวลาเราบ้างก็แล้วกัน   แต่ความจริงตอนนี้ กรก็เอาเงินคุณพ่อมาตั้งหลายหมื่นแล้ว   กรเปลี่ยนรถใหม่.. คุณกิติมาไม่เห็นหรอกหรือคะ?”

“ยังไม่เห็น”   กิติมาตอบเพียงแค่นั้นก็นิ่งเงียบไป   ไม่มีใครรู้ว่าหล่อนคิดอะไรอยู่ในใจ   กรวิภาพูดต่อไปว่า

“นี่กรกำลังคิดจะซื้อที่สักแห่งหนึ่ง   พี่กวีเขาจะได้อยู่ของเขาตามลำพัง   กรเองก็รู้สึกว่าโตเป็นผู้ใหญ่แล้วขี้เกียจอยู่รวมกับคนอื่น”

“จะต้องไปซื้อใหม่ทำไม”   พี่สาวว่า   “ที่ของคุณพ่อก็มีอยู่ 2-3 แห่ง ทำไมถึงต้องไปซื้อใหม่ให้เสียเงินอีก”

“กรไม่ชอบนี่”   กรวิภา ย่นจมูกกับริมฝีปากเข้าหากัน   “ที่ของคุณพ่อมีบ้านแล้วทุกแห่ง   แล้วเวลานี้คนก็เช่าอยู่   ถ้ากรจะมีบ้านของกรเองละก็ต้องขอปลูกใหม่ตามใจตัวเองละค่ะ   ไม่ขออยู่บ้านที่มีคนอยู่แล้วเป็นอันขาด”

“นี่ดีแต่คุณพ่อมีเงินพอที่จะตามใจเธอละซี   เธอถึงได้พูดอย่างนี้ได้”   กิติมาว่า   “ไอ้เราเสียอีก   ทั้งๆ ที่กำลังเดือดร้อนเรื่องเงินแทบแย่   จะพูดกับคุณพ่อก็ไม่กล้า   กลัวท่านจะว่าเอา   กลุ้มจะแย่อยู่แล้ว”

“เอ๊ะ   คุณกิติมา มีเรื่องเดือดร้อนอะไรหรือคะ?”

กรวิภา ซักอย่างสนใจ   รู้ดีว่าที่พี่สาวไม่กล้าออกปากเรื่องเงินกับท่านบิดานั้น ก็เพราะว่าเมื่อตอนที่กิติมา แต่งงานไปนั้น   ท่านได้แบ่งเงินให้หล่อนมาแล้วเป็นจำนวนมาก   สำหรับให้สำราญลงทุนค้าขายและกอบกู้กิจการของเขา ซึ่งกำลังทรุดอยู่นั้นให้กลับฟื้นคืนตัวขึ้นมาได้   แต่เมื่อสำราญมีฐานมั่งคั่งขึ้นแล้ว   ก็ดูเหมือนเขาจะพร่ำพูดถึงแต่ความสามารถของตนเองแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น   เขาลืมความช่วยเหลือเกื้อกูลที่เคยได้รับจากพ่อตาเสียโดยสิ้นเชิง   แต่วิสัยของกรวิภา นั้น   ไม่ชอบที่จะสนใจในเรื่องราวของใคร   มุ่งหน้าแต่จะหาความสุขใส่ตนเองถ่ายเดียว   หล่อนจึงไม่นึกเดือดร้อนในความรู้สึกนึกคิดของพี่สาวและพี่เขยเลยแม้แต่น้อย

“อยากซื้อที่จริงๆ หรือ”   สำราญถามแล้วพูดทีเล่นทีจริง   “ถ้าอย่างนั้นก็ซื้อที่ของพี่ที่พระโขนงเอาไหมล่ะ   พี่ขายให้”

“ที่ที่พระโขนง”   กรวิภาทวนคำ พลางขมวดคิ้วอย่างสงสัย   “ที่เพิ่งปลูกบ้านเสร็จเมื่อเร็วๆ นี้น่ะหรือคะ?”

“ฮือ” กิติมาพยักหน้ารับ   “มันมีอยู่ตั้งสองไร่นี่นะ   พี่จะแบ่งขายเสียไร่หนึ่งเอาไหมล่ะ   ริมถนนเสียด้วยนะ   จะได้ไปอยู่ใกล้ๆ กัน”

“ทำไมจะขายเสียเล่าคะ   เก็บเอาไว้ให้หลานๆ เถอะ   อีกหน่อยแกก็โตขึ้นมาแล้ว ไปซื้อตอนที่แกโตแล้วน่ะหายากนะคะ   แล้วก็แพงด้วย”

“ยังอีกนานหรอกกว่าเจ้าพวกนั้นจะโตขึ้นมา”   สำราญว่า   “แล้วก็ยังมีที่อื่นอยู่อีกตั้งหลายแห่งนี่นะ   ซื้อเถอะน่ะ   ถ้าตกลงพี่จะได้ให้เขาจัดการแบ่งโฉนดให้เลย   ตารางวาละพันเดียวเท่านั้น   ถมแล้วด้วยนะ   ไม่แพงเลย”

“แล้วก็อยู่ริมถนนด้วย”   กิติมา เสริม   “พี่ต้องการเงินมาทำธุระสักอย่างหนึ่ง   ราคานี้น่ะเป็นถูกที่สุดแล้ว หาที่ไหนไม่ได้หรอก   ที่ถมแล้ว แล้วก็อยู่ริมถนนอย่างนี้”

กรวิภา หรี่ตาลงเล็กน้อย   ถึงแม้ว่าหล่อนจะไม่สนใจในเรื่องของคนอื่น แต่ก็มิได้หมายความว่าหล่อนจะโง่เสียจนไม่รู้ความต้องการของพี่สาวและพี่เขยไม่   หญิงสาวนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วจึงบอกว่า

“กรต้องบอกคุณพ่อก่อนค่ะ   ยังให้คำตอบทันทีไม่ได้หรอก   ที่หนึ่งไร่ ตารางวาละพันบาท ก็เป็นเงินตั้งสี่แสน   โอ้โฮ   น่ากลัวคุณพ่อจะไม่ให้   เงินมันตั้งมากมายเหลือเกินนี่คะ   แล้วยังจะปลูกบ้านอีกล่ะ”

“อะไร   นี่จะออกเสียคนเดียวละหรือ   ทั้งที่ทั้งบ้าน”

กิติมา ร้อง   แต่แล้วหล่อนดูเหมือนจะนึกขึ้นมาได้ว่านอกจากน้องสาวและสามีของหล่อนเองแล้ว   ยังมีบุรุษหนุ่มอีกผู้หนึ่งนั่งอยู่ด้วย   และบุรุษผู้นี้ก็มีทีท่าว่าจะเป็นคนสำคัญสำหรับน้องสาวของหล่อนยิ่งนัก     ถ้าหล่อนพูดจากสิ่งใดให้เป็นการกระทบกระเทือนแก่เขาละก็   ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ผลประโยชน์ที่หล่อนกำลังจะตักตวงจากน้องสาวจะต้องหดหายไปหมดสิ้นแน่นอน   กิติมา จึงพูดต่อไปว่า

“มันอยู่ที่เธอคนเดียวหรอกน่า   ถ้าเธอจะเอาให้ได้จริงๆ คุณพ่อก็ต้องตามใจนะ   ช่วยพี่หน่อยเถอะ น้องจ๋า   พี่กำลังเดือนร้อนจริงๆ”

กรวิภา หรี่ตาลงอีกครั้งหนึ่ง   ยิ้มนิดๆ บอกว่า

“เรื่องนี้เราเอาไว้พูดกันทีหลังดีกว่า   ถ้าคุณกิติมา อยากจะให้กรช่วยละก็   กรคิดว่าเราต้องมีอะไรที่จะตกลงกันนิดหน่อยค่ะ”

ใบหน้าของสามีภรรยาค่อยแช่มชื่น มีความหวังขึ้น


หลังจากการบริโภคอาหารกลางวันเสร็จสิ้นลงแล้ว   กรันต์ขอตัวแยกกลับก่อน   กรวิภา ร้องอย่างผิดหวังว่า

“อ้าว ทำไมล่ะคะ กรันต์   ไม่ไปด้วยกันกับกรหรอกหรือ   กรตั้งใจว่าจะชวนกรันต์ไปเดินซื้อของแล้วก็ดูหนังสักรอบหนึ่งทีเดียว”

“แหม วันนี้ต้องขอโทษทีเถอะ ทูนหัว”   เขายิ้มยิงฟันขาวกับหล่อนเหมือนเด็กๆ   “ผมมีนัดกับเพื่อนไว้เสียด้วย”

กรวิภา ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงถามว่า

“กรันต์จะไปไหนคะ กรจะไปส่ง”

“ไม่ต้องหรอกครับ ขอบใจมาก”

ชายหนุ่มพูด   เปิดประตูรถให้แก่หล่อน   กรวิภา จึงก้าวเข้าไป กระแทกตัวลงนั่งอย่างขัดใจ   พูดด้วยเสียงสะบัดๆ ว่า

“ถ้าไม่ต้องการให้ไปส่งก็ตามใจ   ขอโทษด้วยค่ะที่รบกวนเวลาของกรันต์ ชวนมากินอาหารกลางวัน   เลยทำให้คุณต้องเสียเวลาไปเพราะกรตั้งหนึ่งชั่วโมง”

ชายหนุ่มหัวเราะเฉย มิได้ตอบว่ากระไร   พอเขาปิดประตูให้   รถสปอร์ตสีแดงคันใหม่เอี่ยมนั้น ก็พุ่งปราดออกจากที่อย่างรวดเร็วเพราะแรงอารมณ์ของผู้ขับ   จนกระทั่งมันเกือบจะเฉี่ยวเอาตาแป๊ะแก่ผู้หนึ่งซึ่งยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ข้างถนน   กรันต์มองตามไปแล้วส่ายหน้า   หันมาพยักหน้าเรียกแท็กซี่คันหนึ่งให้เข้ามาจอดรับ   ก้าวขึ้นไปนั่ง และบอกตำบลที่จะไปแก่คนขับ   อีกสิบห้านาทีต่อมา   รถแท็กซี่คันนั้นก็มาจอดอยู่ที่ประตูบ้าน “โสภณา”     กรันต์ส่งเงินให้คนขับแล้วก้าวลงจากรถ   เดินไปหยุดยืนที่หน้าประตูอย่างลังเลใจเล็กน้อย   แล้วจึงผลักประตูเล็กเดินเข้าไป   ที่หน้าตึกไม่มีใครอยู่   เขาจึงเดินเรื่อยขึ้นบันไดไป   ตึกชั้นล่างเงียบกริบ   กรันต์ยังลังเลใจอยู่   ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะส่งเสียงร้องเรียกขึ้นมาดังๆ ดีหรือไม่ ก็พอดีกับสาวใช้คนหนึ่งเดินออกมาเห็นเข้า   แม่สาวใช้คนนั้นคุ้นเคยกับหน้าของเขาดีอยู่   เพราะถึง แม้ว่าตลอดเวลาเดือนเศษ ที่กวีไม่ได้อยู่บ้านนั้น   กรวิภาก็เคยชวนเขามาที่นี่หลายครั้งแล้ว   หล่อนจึงรายงานขึ้นเสียก่อนว่า

“คุณกรไม่อยู่ค่ะ”

กรันต์ยิ้ม   “คุณกวีล่ะอยู่หรือเปล่า?”   เขาถาม

“อยู่ค่ะ   คุณกวีกับคุณชลา เพิ่งรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ แล้วกลับขึ้นไปข้างบนเดี๋ยวนี้เอง”

“ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยขึ้นไปเรียนคุณกวี ทีเถอะว่ามีแขกมาหา”

“ค่ะ” สาวใช้รับคำ   “เชิญคุณเข้าไปนั่งคอยในห้องรับแขกก่อนค่ะ”


กรันต์ มิได้เดินเข้าไปนั่งในห้องรับแขกตามคำเชื้อเชิญของสาวใช้   แต่กลับเดินไปเรื่อยเข้าไปในห้องนั่งเล่น   ขาที่กำลังก้าวเดินอยู่นั้นชะงักหยุดลงในทันที เมื่อเขามองไปเห็นว่ามีใครคนหนึ่งนั่งอยู่ในห้องนั้นก่อนแล้ว

ใครคนนั้นแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีม่วงอ่อนทั้งชุด   หล่อนนั่งอยู่บนเก้าอี้นวมที่ยาวเกือบตลอดผนังด้านหนึ่ง   หล่อนไม่ทันเห็นเขาเพราะว่าขณะนั้นความสนใจทั้งสิ้นของหล่อนกำลังอยู่กับการทำไหมพรมสีน้ำเงินสดจากกลุ่มให้เป็นแผ่นผ้าขึ้นมาด้วย อุปกรณ์เล็กยาวสองอัน     กรันต์ยืนนิ่ง ตะลึงจ้องดูดวงหน้าอันผุดผดาแจ่มใสที่อยู่ในลักษณะก้มน้อยๆ   มองเห็นรอยหยักผมแหลมตรงกลางเหนือหน้าผากอันผุดผาด   ริมฝีปากอ่อนบางระเรื่อ ตามธรรมชาติ ของหล่อนเผยอยิ้มน้อยๆ อย่างพอใจในงานที่กำลังอยู่   อึดใจใหญ่ต่อมา   ชะรอยจะมีญาณอย่างหนึ่งบอกให้ หญิงสาวรู้สึกตัวว่า กำลังถูกใครคนหนึ่งจ้องมองอยู่   หล่อนจึงเงยหน้าขึ้น   และดวงตาที่งามซึ้งเหมือนน้ำในห้วยคู่นั้นก็ประสานกับสายตาของเขาเข้าพอดี

หญิงสาวมีอาการคล้ายตกตะลึง   หล่อนนั่งนิ่งเหมือนรูปปั้น   แต่ทว่าสีแดงระเรื่อที่ค่อยๆ แผ่ซ่านทั่วใบหน้านั้นแล้ว ที่เป็นเครื่องยืนยันว่าหล่อนไม่ใช่รูปปั้น  แต่เป็นสตรี ที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วย เลือดเนื้อและชีวิตจิตใจนั่นทีเดียว     ก่อนที่จะมีใครคนหนึ่งพูดอะไรออกมาก็ได้ยินเสียงเอะอะอย่างดีใจดังมาก่อนตัวว่า

“เฮ้ กรันต์   ฉันกำลังคิดจะไปหาแกอยู่ทีเดียว”

กรันต์ทำท่าคล้ายคนเพิ่งตื่นจากภวังค์   เขาหันกลับไปหัวเราะรับคำทักทายของเพื่อน   บอกว่า

“นั่นน่ะซี   ใจเรามักจะตรงกันเสมอนะกวี   แต่ทว่าแกก็เป็นฝ่ายที่มีโชคดีกว่าฉันเสมอไปเหมือนกัน”

ไม่มีใครรู้ว่าในประโยคเหล่านั้นเขาแฝงความหมายอะไรซ่อนไว้     กวีหัวเราะดังอย่างร่าเริงบอกว่า

“ฉันโชคดี เพราะว่า แกมาหาฉันก่อน   ทำให้ฉันไม่ต้องถ่อไปหาแกถึงไปที่บ้าน   แกมาก็ดีแล้ว   อยู่คุยกับฉันนานๆ หน่อยนะ   เลยกินข้าวเย็นด้วยกันก็แล้วกัน   มีธุระอะไรที่ไหนหรือเปล่า”

“ไม่มีหรอก   อยู่ก็ได้ ถ้าจะไม่ทำให้...”   เขาชำเลืองยิ้มๆ ไปทางชลาที่ยังนั่งเฉยอยู่ ณ ที่เดิม   “จะไม่ทำให้แม่บ้านของแกต้องยุ่งยากมากเกินไป”

“อพิโธ่ พูดเป็นบ้าไปได้   ยังกับว่าแกน่ะเป็นเด็กซนๆ ที่จะมาทำให้ชลาเวียนหัวเทียวนะ   นั่งซี กรันต์   ทำตัวตามสบายนะ   ชลา จะไปไหนล่ะจ๊ะ?”

ประโยคหลังเขากล่าวแก่ภรรยา เมื่อเห็นหล่อนขยับกายจะลุกขึ้น

“นั่งคุยกันก่อนซี   กรันต์เป็นเพื่อนสนิทที่สุดของพี่ที่พี่เคยพูดให้เธอฟังยังไงล่ะ”

กรันต์ทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง   มองดูหญิงสาวอย่างเปิดเผยเมื่อพูดว่า

“กวีก็เคยพูดถึงคุณชลาให้ผมฟังบ่อยๆ เหมือนกัน   ยิ่งตอนที่อยู่เมืองนอกด้วยแล้ว   เขาไม่เคยพูดถึงผู้หญิงอื่นเลย นอกจากคุณคนเดียว”

กวีนั่งลงข้างภรรยาสาวสวยของเขา   ถามเพื่อนด้วยเสียงแกมหัวเราะว่า

“นี่ทำไมแกถึงได้รู้ว่าฉันกลับมาแล้วล่ะ   ใครบอกหรือว่ามีโสตทิพย์”

“รู้มาจากกรวิภา”   กรันต์ตอบไปตามความจริง   “ไหนแกว่าจะไปเพียงสองอาทิตย์เท่านั้นไงล่ะ   ทำไมถึงเกินเวลาไปเป็นตั้งเดือนกว่า”

“มันเพลินไป”   กวีบอก   “แล้วก็คุณพ่อท่านบอกไปว่าให้เที่ยวให้สบาย   ท่านสบายดีไม่ต้องเป็นห่วงหรอก   กันก็เลยพาชลาเที่ยวเสียชื่นฉ่ำไปเลย   เวลาเดือนหนึ่งนี่มันผ่าน ไปเร็วเหลือเกิน   ยังกับสักสิบวันเท่านั้นเอง   ยังเที่ยวไม่จุใจเลย”

“ก็แน่ละซิ   ถ้าลองแกไปคนเดียวซี   สักสิบวันเท่านั้นก็คร้านที่จะรีบบินกลับไม่ทันเสียอีก   ไอ้เราเพิ่งกลับมาถึงใหม่ๆ อยู่ทางนี้ .... เหงาแทบแย่   นอนฝันร้ายแทบทุกคืน”

“อะไร ถึงกับฝันร้ายเอาเทียวหรือ?”   กวีหัวเราะ   “ถ้าอย่างนั้นก็รีบแต่งงานเสียเร็วๆ ซี จะได้เลิกฝันร้ายเสียที   มาพนันกันไหมล่ะ ว่าแกจะหาเจ้าสาวได้น่ารักเหมือนอย่างของกันไหม?”

เขาโอบแขนไปรอบกายภรรยา   ดึงหล่อนเข้ามาชิดพร้อมกับเขย่าร่างของหล่อนเบาๆ อย่างเอ็นดูและรักใคร่   ดวงหน้าของหญิงสาวแดงเรื่อขึ้น   กรันต์มองดูภาพนั้นด้วยความรู้สึกอันยากที่จะอธิบายได้   เขานิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วจึงส่ายหน้าช้าๆ   กล่าวด้วยเสียงต่ำๆ และแผ่วเบาว่า

“อย่าพนันเลย   เพราะฉันแน่ใจว่า ฉันไม่มีหวังที่จะหาเจ้าสาวได้น่ารักเท่าเทียมคุณชลาได้อีกแล้ว   แกโชคดีกว่าฉันเสมอ   ฉันบอกแล้วยังไงล่ะ กวี”

จบบทที่ 29