ในที่สุด กรวิภาก็ได้แต่งงานกับชายที่หล่อนเฝ้าใฝ่ฝันถึงเขามาตั้งแต่เพิ่งเริ่มย่างเข้าสู่วัยแรกรุ่นดรุณีสมตามความปรารถนา หล่อนสดสวย แช่มชื่นและเบิกบานสำราญใจอยู่ในชุดเจ้าสาวที่มีราคาแพงลิบลิ่ว ปักด้วยเลื่อม และลูกปัดแพราวพราวไปหมดทั้งตัว แม้กระนั้น ก็ยังอดที่จะมีเสียงซุบซิบกันในหมู่แขกบางคนที่ได้รับเชิญมาในงานนั้นมิได้ แขกกลุ่มหนึ่งซึ่งที่แท้ก็เป็นเพื่อนร่วมสำนักศึกษาเดิมของหล่อนเองจับตามองดูคู่บ่าวสาว แล้วก็หันหน้าเข้าหากัน คนหนึ่งเอ่ยนำขึ้นก่อนว่า
“เออ...เกิดเป็นลูกเศรษฐีนี่ดีแท้นะ เราละอิจฉาเหลือเกิน อยากจะได้อะไรก็ได้ดังใจนึก แม้กระทั่ง....”
“สามี” อีกคนหนึ่งต่อให้ เมื่อเห็นเพื่อนหยุดอ้ำอึ้งอยู่เพราะรู้สึกกระดากปาก
“เฮ่ย อย่าพูดยังง้าน มันน่าเกลียด” อีกคนค้านออกมาด้วยเสียงยานคาง “มันไม่ดีกับเพื่อนเราเอง”
“ก็จริงนี่นา” คนแรกว่า “ตัวไม่เห็นหรือว่าแม่กรเขาเครซี่คุณกรันต์มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เขาคุยอยู่เสมอว่า จะต้องแต่งงานกับคุณกรันต์ให้ได้ แล้วเขาก็ทำได้จริงๆ ไหมล่ะ ?”
“อือ...เขาก็อาจจะรักกันอยู่แล้วก็ได้นี่นะ ตัวอย่าคิดให้มันอกุศลไปหน่อยเลยน่า ให้ความยุติธรรมต่อเพื่อนเราบ้างซี”
“เอ...นี่เราพูดด้วยความยุติธรรมจริงๆ นา”
สุ้มเสียงของผู้พูดแสดงว่าช่างรัก และบูชาความยุติธรรมเสียนี่กระไรเลย หล่อนมองไปทางเจ้าสาวผู้กำลังสรวลเสอยู่กับแขกอีกกลุ่มหนึ่งทางด้านริมสนามสุดโน้น ลดเสียงลงเมื่อพูดต่อไปว่า
“ตัวนี่ไม่รู้ดอกหรือว่า การแต่งงานคราวนี้น่ะสำเร็จขึ้นมาได้ ก็เพราะว่าแม่กรของเรายอมเป็นฝ่ายควักกระเป๋าจ่ายหมดทุกอย่าง ตั้งแต่เรือนหอเอย ค่างานเลี้ยงเอย รถยนต์คันที่คุณกรันต์ขับอยู่นั่นก็เป็นของแม่กร แล้วยิ่งกว่านั้น...”
เสียงที่กระซิบอยู่แล้วนั้นยิ่งกระซิบลงไปอีก
“เขาว่ากันว่า แม่กรจัดแจงหางานให้คุณกรันต์เรียบร้อยทีเดียว”
“โอ้โฮ หาเจ้าสาวที่ไหนได้ยังงี้บ้าง คุณกรันต์ได้กับแม่กร ก็เหมือนกับได้แก้วสารพัดนึกเอาไว้ในมือทีเดียวนะนี่”
“แต่ถ้าเราเป็นกร” อีกคนหนึ่งพูดขึ้นช้า ๆ อย่างใช้ความคิด “เราไม่ยักทำแบบนี้หรอก มันเป็นการแสดงออกมาอย่างชัดแจ้งเกินไปกว่า เราต้องการเขา ถึงได้ต้องลงทุนทุ่มเททุกอย่างแบบนี้”
“เออ...แม่นี่เขาแก่กลัวเสียเหลี่ยม” อีกคนหนึ่งขัดคอ “เขามันทิฐิจัดถึงแม้ว่าจะต้องการให้ใจจะขาดยังไง แต่ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งไม่แสดงตอบแล้ว ให้ตายเสียแม่ก็ไม่ยอมแสดงให้ใครรู้ แต่นี่กรเขาเป็นอีกประเภทหนึ่ง แม่คนนั้นเขาต้องการอะไรแล้วเขาต้องเอาให้ได้ ถึงแม้ว่าจะต้องเสียอะไรไปเท่าไรก็ไม่แคร์ ขอแต่ให้ได้สมใจเท่านั้น”
“แต่นี่มันไม่เหมือนกับเมื่อเวลาที่เขาอยากจะได้อะไรที่มันเป็นเพียงสิ่งของที่ไม่มีชีวิตจิตใจนะยะ อย่าลืม นี่มันเป็นเรื่องของการแต่งงาน เป็นการรวมชีวิตของคนสองคนเข้าด้วยกัน ไม่ใช่เป็นการรวมสิ่งของเข้ากับคน ฉันเกรงว่าแม่กรของเราจะต้องพบกับความลำบากใจต่อไปในภายหน้า”
“เอ...แม่พวกนี้” แม่สาวคนที่มีท่าทางเป็นผู้หลักผู้ใหญ่กว่าเพื่อนปรามขึ้น “นี่เรามาในงานแต่งของเขานะยะ อย่าลืม จะพูดจะคุยอะไรก็ให้เป็นมงคลแก่เจ้าภาพเขาหน่อยซี”
นั่นแหละ การซุบซิบวิพากษ์วิจารณ์จึงได้เพลาเสียงลงไปได้ แต่กระนั้นก็ยังมีคนหนึ่งที่ยังไม่ยอมหยุดง่ายๆ ยังคงมองไปที่คู่บ่าวสาวแล้วก็เอนตัวเข้าไปกระซิบกับเพื่อนที่นั่งติดอยู่นั้นว่า
“ตัวไม่ได้สังเกตดูเจ้าบ่าวบ้างหรือ เห็นแกหัวเราะๆ อย่างนั้นแหละ แต่ดูนัยน์ตาซี นัยน์ตาแกเศร้าๆ เบื่อๆ ยังไงก็ไม่รู้”
“จุ๊ๆ เอาอีกแล้วตัวนี่ ประเดี๋ยวพี่ใหญ่เขาก็เอ็ดเอาอีกหรอก เขายิ่งห้ามไม่ให้พูดถึงสิ่งที่ไม่เป็นมงคลกับเจ้าของงานอยู่” แม่คนนั้นห้ามอย่างเป็นเด็กดี แต่แล้วก็อดที่จะมองตามสายตาของเพื่อน แล้วกระซิบตอบรับไม่ได้ว่า “อือ...จริงด้วยซี ดูตาแกไม่ได้อยู่กับเจ้าสาวเสียเลย มองสอดส่ายไปทางไหนก็ไม่รู้”
ผู้ที่ไม่ได้เอาใจใส่หรือสนใจต่อสายตาของผู้ใดเลยแม้แต่น้อยก็เห็นจะเป็นชลา อาจจะเป็นเพราะว่าเธอเหน็ดเหนื่อยจนเกินไปก็เป็นได้ แทบจะพูดได้ทีเดียวว่างานสมรสในวันนั้น สำเร็จขึ้นได้ด้วยความเหน็ดเหนื่อยของเธอทั้งสิ้น กรวิภาเองไม่ได้มีความรู้อะไรเกี่ยวกับการจัดงานเลยแม้แต่น้อย หล่อนไม่ได้สนใจแม้แต่ว่าของชำร่วยที่จะแจกแขกที่มาในงานนั้นเรียบร้อยแล้วหรือยัง หล่อนวุ่นวายอยู่กับการที่จะตกแต่งร่างกายและดวงหน้าของหล่อนให้สวยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ หล่อนรู้อยู่แต่เพียงอย่างเดียวว่าหล่อนเป็นคนสำคัญที่สุดในงาน เพราะฉะนั้นหล่อนก็จะต้องเป็นคนที่สวยที่สุดด้วย
ส่วนกิติมา พี่สาวใหญ่ของหล่อนนั้น จริงอยู่ แม้ว่ากิติมาจะมาขลุกอยู่กับน้องสาวตั้งแต่เช้า แต่กิติมาก็ช่วยทำแต่เฉพาะงานที่ผู้อื่นสามารถเห็นได้เท่านั้น เช่นช่วยรับแขกและออกคำสั่งแก่คนรับใช้ให้รู้จักปฏิบัติตัวให้เรียบร้อยเมื่อเวลาที่มีงานมีการเช่นนี้ บ่อยครั้งที่มีผู้ได้ยินหล่อนเอ่ยปากเป็นเชิงตำหนิน้องสะใภ้ที่ไม่รู้จักอบรมกิริยามารยาทให้แก่คนรับใช้ แต่ชลาเองมิได้มีโอกาสที่จะได้ฟังคำพูดเหล่านั้น เธอยุ่งอยู่กับงานต่าง ๆ จนไม่มีเวลาแม้แต่จะหัวเราะกับใคร จิตใจของเธอในวันนั้นแม้แต่ตัวเธอเองก็บอกไม่ได้ ว่ามันเป็นอย่างไร ดูมันมึนชาอ่อนโหยไปหมด กวีซึ่งครั้งหนึ่ง โผล่เข้าไปทางหลังบ้านในขณะที่ชลากำลังดูแลให้คนจัดของว่างออกไปเลี้ยงดูแขกผู้ใหญ่ที่มารดน้ำแล้วยังไม่กลับ ได้มองดูหน้าภรรยาอย่างพินิจแล้วออกปากว่า
“หยุดพักเสียสักครู่ก่อนไม่ดีหรือจ๊ะ ชลา พี่รู้สึกว่าเธอเหนื่อยเต็มทีแล้วนี่ ปล่อยให้คนอื่นเขาดูแทนก็ได้น่า”
นางละเมียร ผู้ช่วยอย่างแท้จริงคนเดียวของชลาพลอยเงยหน้าขึ้นมองดูหน้าบุตรีบ้าง แล้วก็เออออไปกับบุตรเขยว่า
“จริงนั่นแหละ หนูน่ะหน้าซีดเต็มทีแล้วนะ ชลา ตั้งแต่เข้ามาไม่ได้หยุดพักเลยนี่ ไปนอนพักเสียเถอะลูก แม่จะดูทางนี้เอง ประเดี๋ยวก็ต้องแต่งตัวสำหรับงานเลี้ยงกลางคืนอีกแล้ว”
แต่ชลาไม่ต้องการพัก เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเหตุใดในวันนั้นเธอจึงรู้สึกกลัวการที่จะต้องอยู่คนเดียวนัก หลังจากที่คะยั้นคะยออยู่อีกหลายครั้งและไม่เป็นผลแล้ว ทั้งกวีและนางละเมียรต่างก็รู้สึกอ่อนใจและเลิกราไปเอง ชลาแต่งตัวลงมาในงานเลี้ยงคืนนั้นล่ากว่าทุกคน ไม่มี ผู้ใดอยู่บนตึกชั้นล่างเลย เธอได้ยินเสียงทักทายสรวลเสเฮฮาดังอยู่ที่สนามหน้าบ้าน ซึ่งตั้งโต๊ะอาหารเต็มพรึ่บไปหมด และโดยมิได้คาดฝัน พอเธอเลี้ยวตรงเชิงบันไดจะออกประตูด้านหน้า ก็เผชิญเข้ากับกรันต์พอดี
ชลาหยุดชะงัก เธอไม่คิดว่าจะเป็นเขา เพราะในเวลานี้ กรันต์ควรจะอยู่ที่หน้าบ้าน คอยรับแขกและรับคำอวยพรเคียงคู่กับเจ้าสาวของเขา ความไม่คาดฝันนี้เอง ที่ทำให้เธอยืนงงไปเป็นครู่กว่าจะหาคำทักทายเขาได้
“อ้าว คุณกรันต์ ต้องการอะไรหรือคะ ทำไมถึงขึ้นมาเอาเอง ใช้ใครมาก็ได้ ?”
“ผมต้องการขึ้นมาดูว่าคุณเป็นอะไรไปเท่านั้น”
เขาตอบเรียบๆ ชลาเบิกตากว้างอย่างสงสัย เขาจึงอธิบายต่อไปว่า
“เวลานี้ทุกคนอยู่ที่สนามกันหมดแล้ว นอกจากคุณคนเดียว ผมก็เลยคิดว่า....คุณอาจจะไม่สบายไปก็ได้”
ชลาหลบสายตาที่จ้องจับดูเธอนั้น ถามว่า “ทำไมคุณถึงจะคิดว่าดิฉันจะไม่สบายล่ะคะ ในเมื่อดิฉันไม่เคยเจ็บไข้ให้ใครเห็นเลย ?”
“แต่วันนี้คุณทำงานหนักเหลือเกิน ผมรู้ว่าคุณเป็นคนที่เหนื่อยที่สุดในงานวันนี้ ”
“ดิฉันเต็มใจที่จะเหนื่อยค่ะ”
ชลาตอบได้เพียงนั้น เขาก็ถามสวนออกมาทันควันว่า “เพราะอะไร ?”
“เพราะกรเป็นน้องของพี่กวี แล้วคุณกรันต์ก็เป็นเพื่อนรักคนเดียวที่พี่กวีมีอยู่น่ะซีคะ”
กรันต์ถอนใจยาว ชลาไม่อยากจะเข้าใจว่า เขาถอนใจเพราะความผิดหวัง เขานิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดด้วยเสียงต่ำๆ ว่า
“ผมไม่มีความสุข ที่ได้เห็นคุณตั้งอกตั้งใจทำงานในวันนี้”
“เอ๊ะ...เพราะอะไรคะ ?”
คราวนี้เป็นฝ่ายที่เธอต้องการถามเขาด้วยคำถามประโยคเดียวกันนั้นบ้าง กรันต์มองสบสายตาเธอด้วยดวงตาที่เคร่งขรึม ขณะที่พูดช้าๆ และชัดเจนว่า
“เพราะว่า การที่ได้เห็นคุณกุลีกุจอเต็มอกเต็มใจทำงานในวันนี้ มันเป็นเหมือนเข็มที่ทิ่มแทงหัวใจของผมน่ะซีครับ”
และก่อนที่ชลาจะทันทำความเข้าใจในคำพูดของเขา กรันต์ก็หันกลับ เดินออกจากประตูลงไปข้างล่าง และนั่นเป็นคำพูดที่แฝงไว้ด้วยปริศนาประโยคสุดท้ายที่เธอได้ยินจากปากของเขานับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
หลังจากที่ได้ไปพักผ่อนหลังจากการแต่งงานแล้ว กรวิภาและสามีของหล่อนก็ย้ายไปอยู่บ้านหลังใหม่ที่พระโขนง นานครั้ง หล่อนจึงจะมาเยี่ยมบิดาสักหนหนึ่ง คุณวินิจเล่าก็มีสุขภาพอ่อนแอลงไปทุกวัน แต่ท่านพยายามปิดบังมิให้อาการนั้นปรากฏแก่สายตาของผู้ใด โดยเฉพาะบุตรชายคนเดียว ทุกครั้งที่อยู่ต่อหน้าเขา ท่านจะพูดและหัวเราะอย่างสนุกสนาน ซักถามเขาถึงเรื่องการงานที่เขาทำอยู่นั้น เมื่อกวีเล่าให้ฟัง ท่านก็แสดงความชื่นชมในความสามารถของเขา และก็หลายครั้งเหมือนกัน ที่ท่านจะมองมาทางชลา และพูดกับลูกชายด้วยเสียงอ่อนว่า
“แต่พ่อคิดว่า แกไม่ความเคร่งเครียดกับงานให้มากนักนะกวี พ่อรู้สึกว่าแกไม่มีเวลาพักผ่อนเสียบ้างเลย ว่าง ๆ ก็ควรหาโอกาสพายายชลาไปเที่ยวเสียบ้าง พ่อเห็นแกจับเจ่าอยู่กับบ้านทั้งวันๆ แล้วอดสาสารแกไม่ได้”
“ชลาเขาไม่ใช่คนชอบเที่ยวนี่ครับ คุณพ่อ”
กวีมองดูภรรยายิ้มๆ ชลาอยากจะร้องค้านออกไปดังๆ ว่า ไม่เป็นความจริงแม้แต่น้อย เธอต้องการที่จะได้อยู่ใกล้ชิดเขา ต้องการที่จะได้ไปไหนต่อไหนกับเขาบ้างแม้แต่เพียงจะได้ดูหนังสักรอบหนึ่งต่อหนึ่งสัปดาห์ก็ยังดี แต่แล้วเธอก็ได้แต่นิ่งเงียบ เมื่อเขาพูดต่อไปว่า
“แล้วอีกอย่างหนึ่ง เวลานี้งานของผมกำลังเดินดีเหลือเกิน งานก่อสร้างชิ้นสำคัญๆ หลายชิ้นกำลังเข้ามาสู่มือของผม ผมต้องการให้ลูกค้าของผมเห็นความสามารถว่าเราทำจริง เราเอาใจใส่กับงานของเขาไม่ปล่อยปละละเลย ผมยอมทำงานหนักวันนี้ยอมลำบากวันนี้ เพื่อความสบายในวันข้างหน้าครับ คุณพ่อ ชลาเขาเข้าใจดี ใช่ไหมจ๊ะ ชลา ?”
ประโยคสุดท้ายเขาหันมาถามเธอ ชลาจะทำอย่งไรได้ นอกจากจะยิ้มรับ ทั้งที่ในใจนั้นอยากจะร้องไห้เสียเต็มประดา และคุณวินิจก็ได้แต่ถอนใจ
หลายครั้งที่ท่านเคยเลียบเคียงถามชลาถึงความหวังของท่านที่จะได้เป็นปู่ แต่ท่านก็ได้รับแต่ความผิดหวัง ชลาเอง ทั้งที่รู้สึกกระดากไม่น้อยเมื่อคิดถึงการมีลูก เธอก็ต้องยอมรับว่า เธอปรารถนาอย่างเหลือเกินที่จะได้เลือดในอกของเธอเอาไว้รักใคร่อุ้มชูสักคนหนึ่ง ลูกอย่างเดียวเท่านั้น ที่จะเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวใจและความคิดได้อย่างประเสริฐ และบางทีถ้าเธอมีลูก ลูกอาจจะช่วยดึงกวีให้เขามาใกล้ชิดเธอได้มากกว่าที่เป็นอยู่ในเวลานี้ละกระมัง
แต่แล้ว กลับเป็นกรวิภภา ผู้แสนที่จะรักและหวงแหนในความสุขสำเริงสำราญนั้นแล้วที่มีโอกาสจะได้เป็นแม่ก่อนเธอ ชลาตกใจเมื่อวันหนึ่งกรวิภาโผล่พรวดพราดเข้าไปในห้องของเธอด้วยใบหน้าที่หมองคล้ำ และเต็มไปด้วยอารมณ์รุนแรงที่เตรียมพร้อมจะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ ชลาตะลึงจ้องดูอาการของญาติสาวอย่างไม่รู้ต้นสายปลายเหตุครู่ใหญ่ เพราะไม่รู้ว่าจะทักทายหล่อนอย่างไรดี ก็พอดีกรวิภาระเบิดขึ้นมาเสียก่อนว่า
“บ้าที่สุด โลกนี้มันบ้าที่สุด รู้ไหม ชลา ไม่มีอะไรจะบ้าเท่านี่อีกแล้ว”
“ทำไม เธอเป็นอะไรไปน่ะ กร ?”
ชลาพูดออกมาได้ในที่สุด เดินตามไปนั่งลงข้างกรวิภาซึ่งทอดกายลงนอนคว่ำลงบนเตียง หลังจากที่ได้สะบัดรองเท้าที่สวมมานั้นออกกระเด็นไปข้างละทางแล้ว กรวิภานอนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพลิกกายขึ้น ผมของหล่อนยุ่งเหยิง ดวงตาของหล่อนคล้ำยิ่งกว่าที่ได้เสริมแต่งไว้ด้วยเครื่องสำอาง หล่อนพูดด้วยเสียงที่ชลาไม่แน่ใจว่าเป็นเสียงหัวเราะหรือร้องไห้ว่า
“บ้าไหมล่ะชลา หมอเขาบอกว่าฉันกำลังจะมีลูก บ้าที่สุด บ้าที่สุดเลย”
“อ้าว”
ชลาร้องออกมาได้คำเดียวก็นิ่งงันไป รู้สึกวูบอยู่ในใจ แต่กรวิภามิได้สนใจต่ออาการใดๆ ของพี่สะใภ้ หล่อนระเบิดความรู้สึกในใจต่อไปว่า
“ฉันไม่ต้องการเลย ฉันยังไม่อยากมีลูกในเวลานี้ ฉันยังต้องการใช้ชีวิตให้สนุกสนานให้เต็มที่ต่อไปอีกให้นานเท่าที่จะนานได้ ลูกที่เกิดมาจะทำให้ฉันหมดสวย มันจะทำให้ฉันร่วงโรยลงไป โธ่...ฉันไม่อยากได้เลย ทำไมมันถึงมาเกิดเร็วนักก็ไม่รู้ ฉันเพิ่งจะแต่งงานได้ยังไม่ถึงสี่เดือน เธอเสียอีก เธอแต่งงานก่อนฉันตั้งครึ่งค่อนปี ทำไมเธอถึงยังไม่มี”
นั่นน่ะซี ทำไมเธอถึงยังไม่มี ชลาเองก็อยากรู้เหลือเกิน โลกเราช่างเล่นตลกอะไรเช่นนี้ เธอต่างหากที่ควรจะเป็นฝ่ายตั้งครรภ์ มิใช่ภรวิภาซึ่งหลงใหลพะวงอยู่แต่กับความสนุกสนานเช่นนี้
ชลาไม่มีความสามารถในการพูดปลอบประโลมใจให้ผู้ใดคลายทุกข์ได้ ถ้าหากว่าคำพูดเหล่านั้นมิได้ออกมาจากใจจริงของเธอ เธอไม่เห็นด้วยกับกรวิภาในการที่หล่อนจะต้องเป็นทุกข์เป็นร้อนตีโพยตีพายไปถึงอย่างนั้น เธอจึงปล่อยให้กรวิภาคร่ำครวญไปคนเดียว จนกระทั่งหล่อนบังเกิดความอ่อนใจและกลับไปในที่สุด”
คืนนั้น ชลานั่งอยู่บนเก้าอี้ริมหน้าต่างคนเดียวจนดึก เธอมองดูเตียงนอนซึ่งกว้างใหญ่และมองดูเวิ้งว้างราวกับผืนแผ่นดินที่เธอไม่เคยรู้จักก็มิปานนั้น พลางนึกไปถึงคืนแรกแห่งชีวิตวิวาห์ของตนเอง ดูว่ามันช่างล่วงไปนานเหลือเกินจนดูคล้ายจะเป็นความฝันมากว่าความจริง เธอพยายามนึกถึงภาพของกวีในคืนนั้น กวีที่เต็มไปด้วยความอ่อนหวานและความร้อนแรงคละเคล้ากัน การเคลื่อนไหวทุกอิริยาบถของเขาช่างมีอิทธิพลเหนือเธอและดึงดูดดวงใจตลอดจนความรู้สึกนึกคิดของเธอให้ละลายรวมเข้าไปอยู่ในตัวเขาได้อย่างน่าอัศจรรย์ แต่บัดนี้เล่า กวีที่อยู่กับเธอทุกวันนี้ มิใช่กวีคนเดิมที่เธอแต่งงานด้วยเสียแล้ว เขากลับไปเป็นกวีที่เธอเคยวิ่งตามต้อยๆ เมื่อสมัยที่เธอยังเป็นเด็กอยู่ เป็นกวีที่ตั้งตัวประดุจเป็นพี่ชายใหญ่ของเธอ กวีคนนี้ ทุกครั้งที่ได้พบดูเขาช่างเต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลียเสียจนลืมแม้แต่จะยิ้มกับเธอ ในดวงตาของเขามีแต่ความครุ่นคิด ในสมองของเขามีแต่คำว่า งาน งาน งาน เขาจะนอนหลับสนิทราวกับท่อนไม้ทุกคืน ดูเหมือนเขาจะลืมเสียด้วยซ้ำไปว่า เคียงข้างกับเขา ห่างกันไม่ถึงเอื้อมมือนั้น ได้มีเธอนอนลืมตาโพลงอยู่ในความมืดนั้นด้วย
หลังจากวันนั้นแล้ว กรวิภาก็หายเงียบไป ชลาได้รายงานข่าวที่เขากำลังจะมีหลานลุงนี้ให้กวีฟัง แต่ดูเหมือนว่าเขาไม่สู้มีความปิติยินดีหรือตื่นเต้นเท่าใดนัก เขาย่นหัวคิ้วนิดๆ นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมาว่า
“น่าเสียใจแทนเด็กที่จะเกิดมานั้น พี่รู้ดีว่ายายกรไม่นิยมชมชื่นในเรื่องนี้เท่าไหร่หรอก ตรงกันข้าม แกกลับจะเห็นว่าเด็กเกิดมาเป็นตัวขัดขวางความสุขของแกเสียด้วยซ้ำไป แล้วเด็กก็จะเลยถูกเกลียด ถูกทอดทิ้งทั้งที่ไม่มีความผิดเลยแม้แต่น้อย”
เขาช่างรู้จักน้องสาวของเขาได้อย่างถ่องแท้อะไรเช่นนั้น กวีพูดเพียงแค่นั้นแล้วก็เปลี่ยนเรื่องไปเป็นอย่างอื่นซึ่งทำให้ชลาได้แต่ถอนใจด้วยความผิดหวังอยู่เงียบ ๆ ในใจ ทำไมหนอ เขาจึงไม่พูดสักนิดว่า เธอต่างหากเล่าที่สมควรจะเป็นผู้ให้กำเนิดแก่เด็ก เธอต่างหากเล่าที่สมควรแก่ตำแหน่งของมารดา และเธอก็จะได้บอกแก่เขาว่า เธอจะมีความสุขยิ่งนัก ถ้าหากว่าเธอจะได้เป็นแม่ของลูกของเขา
ชลามิได้เล่าเรื่องนี้ให้คุณวินิจฟัง เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร มันอาจจะเป็นสัญชาตญาณประหลาดอะไรอย่างหนึ่งที่กระซิบห้ามเธอไว้จนกว่าจะแน่ใจเสียก่อนก็ได้ จนกระทั่งคืนหนึ่งขณะที่ชลาเตรียมตัวจะเข้านอน เธอได้ยินเสียงรถแล่นเข้ามาในบ้าน ชลามองดูนาฬิกาที่ตั้งอยู่บนโต๊ะเล็กข้างเตียงด้วยความรู้สึกประหลาดใจแกมยินดี เพิ่งจะสี่ทุ่มเท่านั้น กวีไม่เคยกลับบ้านหัวค่ำเช่นนี้เลย หญิงสาวรีบคว้าเสื้อคลุมยาวทำด้วยแพรซีฟองสีชมพูประดับด้วยลูกไม้เนื้อบางละเอียดที่กวีซื้อให้เธอ ขณะที่ท่องเที่ยวด้วยกัน ณ ต่างประเทศนั้น แล้วก็รีบรุดลงบันไปไปข้างล่าง แต่แล้ว เธอก็ต้องได้รับความประหลาดใจเป็นอันมาก เมื่อได้เห็นว่า ร่างที่ยืนตระหง่านอยู่กลางช่องประตูระหว่างห้องโถงกลางและมุขหน้าบ้านนั้น มิใช่กวี แต่เป็น กรันต์