เป็นอันว่า ในการเข้าทำงานวันแรกของชลา งานที่เธอทำก็คือ การนั่งอ่านหนังสือไม่รู้กี่ฉบับ หลังจากที่ได้บริโภคอาหารกลางวันที่ผู้จัดการสั่งขึ้นมากินกันแล้ว อารีย์ก็บอกแก่เธอว่า
“วันนี้ยังไม่มีงานอะไรทำ คุณจะกลับไปก่อนก็ได้ นั่งอยู่เฉยๆจะเบื่อ พรุ่งนี้ค่อยลงมือทำงานตามทึ่คุณสันทัดบอก”
แต่ชลามิได้กลับไปก่อนตามที่เขาอนุญาต เมื่อเราเป็นคนงานคนหนึ่งเหมือนคนอื่น เราก็ควรจะมาจะไปพร้อมกับเขาเหล่านั้น หญิงสาวบอกกับตัวเองและกลับมานั่งพลิกนิตยสารต่อไป จนกระทั่งมีสัญญาณเลิกงาน อารีย์ผู้ซึ่งหลักจากเวลากลางวันแล้วก็หายเงียบไป ได้โผล่เข้ามาอีกเมื่อสัญญาณเลิกงานดังขึ้น ถามชลาว่า
“คุณกลับบ้านยังไง คุณชลา มีใครมารับหรือเปล่า?”
“เปล่าค่ะ” ชลาตอบ “ดิฉันขึ้นรถประจำทางกลับเอง”
“ลำบากแย่” อารีย์บอก “ตอนเลิกงานอย่างนี้รถประจำทางแน่นเอี้ยด คุณจะเบียดกับเขาไหวหรือ ไปรถผมเถอะผมจะไปส่ง”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” ชลาปฏิเสธโดยเร็ว “ดิฉันกลับเองดีกว่า ดิฉันกลับได้”
“ทำไมล่ะ?” อารีย์ขมวดคิ้ว “หรือว่าเกรงใจ ไม่ต้องเกรงใจผมหรอกน่า ผมไปส่งให้ทุกวันก็ได้ บ้านคุณอยู่แค่นี้เอง มาเถอะ”
เขาพยักหน้าชวนอีกครั้งหนึ่ง ชลาอ้ำอึ้งอย่างไม่สบายใจ แล้วจึงตัดสินใจพูดออกไปตรงๆว่า
“ดิฉันขอกลับเองดีกว่าค่ะ ดิฉันกลัวคุณพ่อดุ ถ้าเห็นผู้จัดการไปส่งดิฉันถึงบ้าน”
“กลัวคุณพ่อดุ” อารีย์ทวนคำเสียงดังจนกระทั่งผู้ช่วยของเขา ซึ่งยังคงนั่งทำงานง่วนอยู่ ไม่มีทีท่าว่าจะลุกกลับบ้าน เงยหน้าขึ้นมามอง “คุณพ่อคุณดุนักหรือ ทำไมถึงต้องดุด้วยล่ะ ถ้าเห็นผมไปส่งคุณ”
“ท่านจะดุหรือไม่ดุก็ไม่ทราบ” ชลาอธิบาย “เพียงแต่ดิฉันคิดว่า ท่านคงจะดุเท่านั้น เพราะวันนี้เพิ่งเป็นวันแรกที่ดิฉันออกมาทำงานนอกบ้าน ถ้าหากว่าจะมี... เอ้อ...” คำว่า ‘ผู้ชาย’ กำลังจะหลุดออกไปจากปากอยู่แล้ว แต่ชลายับยั้งมันเอาไว้ได้ทัน “ถ้าจะมีคนไปส่งตั้งแต่วันแรกอย่างนี้ มันอาจจะไม่เหมาะก็ได้”
“อือ” อารีย์ครางอยู่ในลำคอ มองดูหญิงสาวด้วยสายตาประหลาดคล้ายๆชมเชย แต่ว่ามีสงสารแกมขันปนอยู่ด้วย “อายุเท่าไหร่แล้วนะ คุณน่ะ ขอโทษที่ถามเรื่องอายุ”
“สิบเก้าเกือบเต็มยี่สิบแล้วค่ะ” ชลาตอบอย่างประหลาดใจ
“คุณนี่คิดมากนะ” อารีย์ว่า
“คุณพ่อคุณแม่ของดิฉันท่านเป็นผู้ใหญ่ที่เคร่งครัดในระเบียบประเพณีอยู่สักหน่อย” ชลาอธิบายต่อไป “เท่าที่ท่านอนุญาตให้ออกมาทำงานได้นี่ก็เป็นบุญนักหนา แล้ว ถ้าดิฉันขืนทำอะไรที่ท่านไม่ชอบใจ และเห็นว่าไม่เหมาะไม่สมควรลงไปแล้ว ท่านอาจจะสั่งให้ลาออก กลับไปนั่งๆ นอนๆ อยู่ที่บ้านอย่างเก่าก็ได้ค่ะ”
“หัวโบราณ” อารีย์ยักไหล่หลังจากที่ได้นิ่งฟังคำอธิบายอันยืดยาวนั้นจบลงแล้ว “ถ้าอย่างนั้นก็ตามสบายของคุณเถิด ผมไปละ”
“คุณสันทัดล่ะ ยังไม่กลับอีกหรือ กลับพร้อมกันก็ได้ มาซีผมจะไปส่ง”
“ยังไม่กลับละครับ ขอบคุณ” สัดทันเงยหน้าขึ้นตอบ “งานยังไม่เสร็จ ผมจะอยู่ทำให้เสร็จก่อน”
“ขยันตามเคย” อารีย์ว่าพร้อมกับหัวเราะอ “ถ้างั้นผมก็กลับละ อ้อ คุณชลา ตอนเช้าน่ะคุณไม่ต้องรีบร้อนมาก็ได้ มาเรื่อยๆ ตามสบายก็แล้วกัน” แล้วเขาก็ผลักบังตาเดินออกไปจากห้อง ชลารออยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงตามออกไปบ้าง ก่อนที่จะออกจากห้องไปนั้น เธอชำเลืองมองผู้ช่วยผู้จัดการแวบหนึ่ง ก็เห็นเขาผู้นั้นกำลังก้มหน้าก้มตาทำงานอย่างไม่เอาใจใส่ในสิ่งใดทั้งสิ้น
เมื่อชลาลงมาถึงชั้นล่าง ปรากฏว่าเจ้าพนักงานทั้งหลายกลับกันเกือบจะหมดสิ้นแล้ว เธอเดินออกจากบริษัทไปยืนคอยรถประจำทางที่ป้าย รถแน่นทุกคันจริงอย่างที่อารีย์บอก แต่ละคันล้วนแต่เบียดเสียดยัดเยียดกันอย่างน่ากลัวจะเป็นลมตาย ชลาต้องปล่อยให้มันผ่านไปคันแล้วคันเล่า เธอยืนเสียจนรู้สึกเมื่อยขา ยิ่งเมื่อยเข้าหญิงสาวก็ยิ่งนึกถึงรถยนต์คันสวยของผู้จัดการ ถ้าเธอตกลงรับคำชวนของเขา เธอก็คงจะได้นั่งไปบนเบาะที่อ่อนนุ่มแสนสบาย และป่านนี้ก็คงจะได้กลับถึงบ้าน อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าสบายใจสบายตัวไปแล้ว แทนที่จะมายืนขาแข็งเมื่อยแล้วเมื่อยอีก อยู่อย่างนี้ แต่ถึงกระนั้นชลาก็มิได้รู้สึกเสียที่ได้ปฏิเสธความเอื้อเฟื้อของอารีย์ไป เธอรู้ว่าเธอทำถูกแล้วที่ไม่ยอมให้เขาพาเธอไปส่งบ้าน
เข็มนาฬิกาที่ข้อมือชี้บอกเวลาล่วงไปอีกหนึ่งชั่วโมง รถประจำทางค่อยมีผู้โดยสารเบาบางลงบ้าง แต่ยังไม่มีที่นั่งต้องโหนกันอยู่ตามเคย อากาศเย็นค่ำลงทุกที ชลาเริ่มรู้สึกไม่สบายใจ เธออยากจะเรียกแท็กซี่ แต่ก็รู้สึกกลัว ตั้งแต่เกิดมาเธอยังไม่เคยนั่งรถแท็กซี่คนเดียวเลยสักที เวลาออกจากบ้านไปไหนต้องไปกับเพื่อน หรือไม่ก็ต้องเอาเด็กคนใช้ไปด้วย
แต่ขณะนี้เธอต้องผจญกับปัญหาเฉพาะหน้าเสียแล้ว นั่งแท็กซี่กลับบ้านคนเดียว หรือไม่ก็ยืนคอยรถประจำทางอยู่อย่างนี้ต่อไปจนกว่าจะมีที่นั่ง ซึ่งอาจจะกินเวลานานจนถึงมืดค่ำก็ได้ นั่นจะยิ่งซ้ำร้ายใหญ่ทีเดียว
ขณะที่ชลากำลังตัดสินใจว้าวุ่นอยู่นั้น เธอก็มองไปเห็นผู้ช่วยผู้จัดการก้าวออกมาจากบริษัท เขาเดินมาทางทิศเดียวกับที่เธอยืนอยู่ ท่าทางที่เขาเดินนั้นดูจะไม่สนใจกับคนทั้งโลก ชลารู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ดูจะเป็นคนที่ช่างคิดและมีอะไรซ่อนเร้นอยู่ในใจ มันอาจจะเป็นความทุกข์ร้อน หรืออาจจะเป็นปัญหาที่เขาแก้ไม่ตกก็เป็นได้ หัวคิ้วของเขาจึงได้มุ่นเข้าหากันอยู่เกือบตลอดเวลาเช่นนั้น
กำลังที่หญิงสาวมองดูเขาเพลินอยู่นั้น ชายหนุ่มก็เหลียวมาทางเธอ ตาต่อตาสบกันพอดี
สันทัดหยุดเดิน มีท่าทางลังเลอยู่อึดใจหนึ่ง แล้วจึงเดินตรงเข้ามายังที่หญิงสาวยืนอยู่ “ยังไม่ไปอีกหรือ” เขาถามด้วยเสียงลอยๆ ทอดหางเสียงอย่างไม่แน่ใจว่าควรจะใช้คำลงท้ายประโยคว่าอย่างไร
“รถแน่นเหลือเกิน ต้องคอยให้ว่างเสียก่อน” ชลาตอบไปด้วยเสียงและวิธีพูดอย่างเดียวกัน ชายหนุ่มยกแขนขึ้นดูนาฬิกา บอกว่า
“ถ้าจะให้ว่างจริงๆ คุณจะต้องคอยต่อไปอีกประมาณครึ่งชั่วโมง” เขามองดูหน้าชลา พูดคล้ายปรารภกับตัวเองมากกว่าจะตั้งใจพูดกับเธอว่า “เมื่อกี้ก็ได้ยินผู้จัดการอาสาจะไปส่งให้ถึงบ้าน ถ้าไปพร้อมผู้จัดการเสียคงไม่ต้องมาแกร่วคอยรถประจำทางอยู่อย่างนี้”
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็คงจะได้ยินที่ดิฉันตอบผู้จัดการไปแล้วเช่นเดียวกัน” ชลาว่า “ดิฉันจะคอยจนกว่ารถประจำทางจะมีที่ว่าง”
“อาจจะค่ำเสียก่อนก็ได้” เขากล่าวพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองดูท้องฟ้า “แล้วฟ้าก็ดูมัวๆ คล้ายว่าจะมีฝนเสียด้วยซี คุณอาจต้องเปียกฝน แล้วก็กลับถึงบ้านมืดค่ำก็ได้”
เปียกฝน ! กลับถึงบ้านมืดค่ำ ! คนบ้า.. ช่างมาพูดขู่ให้คนกลัวแท้ๆ คนยิ่งใจไม่ดีอยู่ด้วย ชลานิ่งอยู๋ครู่ใหญ่แล้วจึงตัดสินใจบอก
“ถ้าอย่างนั้นดิฉันจะกลับแท็กซี่”
กลับได้น่ะ ทำไมคนอื่นเขาถึงนั่งแท็กซี่ไปไหนต่อไหนได้ตามลำพังคนเดียว แม้แต่ในเวลาค่ำคืน เราก็ไม่ใช่เด็กเล็กๆที่ควรจะกลัวใครลักพาไปไหนต่อไหนได้แล้ว เมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะกลับแท็กซี่ ก็ควรจะรีบกลับเสียตั้งแต่ตอนนี้ ดีกว่าจะลังเลใจอยู่จนกระทั่งมืดค่ำลง
“ถ้าอย่างนั้นคุณต้องเดินเลยไปตรงนั้นอีกหน่อย” เขาบอก “ตรงนี้เป็นป้ายรถประจำทาง แท็กซี่จอดไม่ได้”
เขาออกเดินนำไปก่อน แล้วชลาจึงก้าวตามไปบ้าง สันทัดมิได้เอาใจใส่กับเธอ เขาหันหน้าออกถนน เมื่อมีแท็กซี่ว่างคันหนึ่งแล่นผ่านมา เขาก็โบกมือเรียก แล้วหันมาบอกกับเธอว่า
“บอกตำบลบ้านของคุณกับเขาซี”
เขาถอยออกไปห่างเมื่อเธอต่อรองราคากับคนขับแท็กซี่ หลังจากที่ได้ตกลงราคากันเรียบร้อยแล้ว ชลาก็หันไปขอบใจเขาและก้าวขาที่ค่อนข้างสั่นเข้าไปนั่งในรถ สันทัดยังคงยืนอยู่ ณ ที่เดิม เมื่อรถเคลื่อนออกมาเป็นครู่เธอจึงเห็นเขาก้าวเดินต่อไปตามบาทวิถีอย่างเชื่องช้า
ชลากลับมาถึงบ้านอย่างปลอดภัย แม้ว่าจะนั่งใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวมาตลอดทาง ทั้งบิดาและพี่สาวต่างก็กลับมาถึงบ้านแล้วทั้งคู่ นางละเมียรออกมานั่งคอยบุตรสาวที่ระเบียงด้วยความเป็นห่วง พอชลาก้าวเข้าประตูบ้านนางก็ถอนใจอย่างโล่งอก คอยจนบุตรีเดินมาถึงบันไดเรือนแล้ว นางจึงถามว่า
“ทำไมถึงกับเอามืดค่ำนักเล่าจ๊ะ แม่ออกเป็นห่วง?”
“คอยรถน่ะซีคะ” ชลาบอก ก้าวขึ้นบันไดมาถอดรองเท้าออกแล้วจึงทิ้งกายลงนั่งข้างมารดา เหยียดขาทั้งสองข้างให้ตึงและชิดกัน “ยืนคอยเสียเมื่อยขา ตั้งชั่วโมงกว่าก็ไม่รู้จักว่างสักที หนูกลัวจะมืดเสียก่อนเลยตัดสินใจมาแท็กซี่”
“เอ แล้วนี่หนูมิต้องยืนคอยรถจนขาแข็งอย่างนี้ทุกวันหรอกหรือ?” นางละเมียรกล่าว อย่างวิตก “ถ้าฝนฟ้าตกจะทำอย่างไรกัน”
“หนูคิดว่าต่อไปนี้จะลองเดินมาเรื่อยๆ ก่อนค่ะ ถ้าว่างเมื่อไหร่ถึงค่อยขึ้น”
“ถ้ารถมันแน่นตลอดสาย หนูก็ต้องเดินจนถึงบ้านน่ะซีจ๊ะ?” มารดาว่า ชลาทำตาเหลือก ทิ้งหลังลงปะทะเก้าอี้ ร้องว่า
“ตายเลย หนูต้องขาลากแน่”
“ความจริง” นางละเมียรกล่าวขึ้นหลังจากที่ได้นั่งคิดแล้ว “ให้รถแท็กซี่คันที่เขารับคุณพ่อตอนเช้าไปรับหนูตอนเลิกงานก็ได้นี่นะ รับหนูแล้วก็มารับคุณพ่อ แล้วก็รับแม่สายธาร อย่างตอนเช้า”
“อย่าเลยค่ะแม่ ต้องเปลืองเงินเปล่าๆ” ชลาว่า
“แล้วอีกอย่างหนึ่ง เผอิญเราต้องทำงานพิเศษ กลับช้าหรือเร็วกว่ากัน คนขับเขาจะต้องคอยนาน เสียเวลาเขาแย่ หนูจะลองหาทางกลับทางอื่นที่มันสะดวกกว่านี้ดูก่อนค่ะ ถ้าไม่ไหวก็ค่อยพูดกันใหม่”
“ถ้าคิดอย่างนั้นก็ตามใจ” มารดาคล้อยตาม วางมือลงบนแผ่นหลังบุตรีเบาๆ บอกว่า “ไปอาบน้ำอาบท่าเสียซีจ๊ะ จะได้ลงมาทานข้าวกัน”
ชลาจึงก้มลงฉวยรองเท้าที่ถอดวางไว้ ฉวยกระเป๋าถือลุกขึ้นบันไดไปบนเรือน
สายธารโผล่เข้ามาในห้อง เมื่อชลาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดที่สวมออกไปทำงาน มาเป็นซิ่น และเสื้อผ้าป่านอย่างที่เคยใช้อยู่กับบ้านเรียบร้อยแล้ว และกำลังแปรงผมอยู่หน้ากระจก
“เป็นยังไงบ้าง?” เป็นคำแรกที่สายธารซักเมื่อก้าวเข้ามาในห้องของน้องสาว “งานสบายหรือลำบาก?”
“ยังไม่ทราบเลย” ชลาบอก มองพี่สาวจากในกระจก
“อ้าว ทำไมล่ะ?” สายธารถาม ตามองกวาดไปทั่วห้องที่จัดไว้อย่างเป็นระเบียบ “ก็วันนี้ไปทำงานไม่ใช่หรือ?”
“ไป แต่ยังไม่ได้ทำหรอกจ้ะ” ชลาบอกแล้วลุกขึ้นยืนวางแปรงลงในพานเงินที่ใช้ใส่ของกระจุกระจิกเกี่ยวกับการแต่งผม “เลยยังไม่รู้ว่างานยากหรือง่ายแค่ไหน พรุ่งนี้ถึงจะลงมือทำ แต่ก็คิดว่าคงจะไม่ยากหรอก”
“เขาให้เงินเดือนเท่าไหร่?”
ชลาแบมือ หัวเราะ บอกว่า “ยังไม่รู้อีกเหมือนกัน ผู้จัดการ ไม่เห็นเคยพูดถึงเรื่องเงินเดือนเลยสักคำเดียวนี่”
“วิเศษจริง” สายธารทำเสียงสูง “นี่ถ้าเผื่อว่าเขาหลอกใช้งานฟรีๆ แล้วก็ไม่ให้เงินเดือนล่ะ เราจะมีเสียงคัดค้านอะไรเขาได้ มีอย่างหรือ เข้าไปทำงานให้เขาทั้งอๆ ที่ยังไม่รู้ว่าจะได้เงินเดือนเท่าไหร่ เกิดมาไม่เคยเห็น”
“เขาคงจะไม่โกงหรอกจ้ะ” ชลาบอก มองดูพี่สาวต่างมารดา ด้วยดวงตาที่สุกใสเป็นประกาย “อีกอย่างหนึ่งพี่สายลืมเสียแล้วหรือจ๊ะว่า คุณสำราญเป็นคนที่มีส่วนสำคัญในการฝากงานนี้ให้ชลา พี่คิดว่าคนที่คุณสำราญคบหาสมาคมด้วยนั่นนี่ จะเป็นคนโกงเทียวหรือจ๊ะ?”
สายธารนิ่งอึ้งไป แล้วก็สะบัดหน้า พูดด้วยเสียงห้วนๆว่า “ตามใจซิ เมื่อจะคิดอย่างนั้นก็ ที่ฉันเตือนนี้ก็ด้วยความหวังดี เห็นว่าตัวเป็นน้องและอ่อนต่อโลก ไม่เคยโผล่ออกไปไหนหรอก กลัวว่าจะไม่ทันคนเขา เมื่อจะคิดว่าตนเองเก่งแล้วก็ตามใจ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นจ้ะ พี่สาย”
ชลาท้วง ถึงอย่างไรเธอก็ยังมีความรู้สึกเห็นใจและสงสารพี่สาวอยู่ไม่น้อย สายธารมีชีวิตอยู่ด้วยความหวาดระแวง มีอุปาทานยึดมั่นอยู่ว่า หล่อนมีเพียงตัวคนเดียวเท่านั้นในบ้านหลังนี้ ไม่มี ‘พวก’ เพราะนางละเมียรกับชลาก็เป็นแม่ลูกกัน และบิดาของหล่อนนั้นก็วางตัวเป็นกลาง ไม่ยอมเข้าข้างใคร เมื่อสายธารเริ่มเติบโตเป็นสาวขึ้นมานั้น หล่อนเริ่มมีความสำนึกและหวงแหนในสิทธิที่หล่อนคิดว่า หล่อนควรจะได้ นั่นคือการทำหน้าที่แม่บ้าน ดูแลคนในบ้านและค่าใช้จ่ายทั้งหมด ในฐานะที่หล่อนเป็น ‘ ลูกสาวคนแรกของเมียแรก’ เมื่อหล่อนร้องขอสิทธินี้ต่อบิดา นายเวชได้ให้คำตอบแก่หล่อนดังนี้
“สายธาร เวลานี้น้าละเมียรของแกเขาก็เป็นภรรยาของพ่อ และเป็นแม่บ้านอยู่แล้วอย่างถูกต้องและชอบธรรมทุกอย่าง เขาเป็นผู้ใหญ่ เป็นน้าแท้ๆของแกด้วย พ่อไม่เห็นว่าเป็นการสมควรที่แกจะทำแข็งข้อกับผู้ใหญ่ และจะไม่ยอมส่งเสริมให้เด็กมีอำนาจเหนือกว่าผู้ใหญ่อีกด้วย แกเป็นลูกของพ่อเช่นเดียวกับชลา จะเกิดก่อนหรือเกิดทีหลัง จะเกิดจากลูกเมียนี้หรือเมียไหน มันก็ลูกพ่อเหมือนกัน แล้วก็อีกอย่างหนึ่ง จำไว้นะ ว่าน้าละเมียรเขาไม่ได้เป็นเมียน้อยของพ่อ เขาเป็นเมียที่พ่อยกย่องออกหน้าออกตาเช่นเดียวกับแม่ของแกเหมือนกัน”
ตั้งแต่บิดากล่าวดังนั้นในครั้งนั้นแล้ว สายธารก็มิได้ปริปากเกี่ยวกับสิทธิของหล่อนอีกเลย พร้อมกันนั้นหล่อนได้ขีดเส้นคั่นไว้ แบ่งตัวเองออกมาจากคนอื่นๆ อีกด้วย
“เขาเป็นพ่อแม่ลูกกัน” คนที่สนิทสนมใกล้ชิดกับสายธาร มักจะได้ยินหล่อนกล่าวประโยคนี้อยู่อย่างขมขื่นเนืองๆ
ชลาเองนั้นรู้สึกเห็นใจทั้งพี่สาวและมารดาของตน นางละเมียรเคยได้รับความกระทบกระเทือนใจบ่อยครั้ง อันเนื่องมาแต่การแสดงออกถึงความไม่กลัวเกรงของหลานสาวหรือลูกเลี้ยงของนาง แต่เนื่องจากนางละเมียรเป็นคนไม่ชอบพูด รักหรือเกลียดก็เก็บเอาไว้ในใจ จึงไม่มีใครค่อยจะได้ล่วงรู้ว่าการกระทำของสายธารได้ก่อให้เกิดความกระทบกระเทือนแก่นางอย่างไรบ้าง คนภายนอกที่รู้ว่าสายธารเป็นหลานแท้ๆ ของนางละเมียร จะอดรู้สึกแปลกใจเสียมิได้ ที่เห็นอาการห่างเหิน มีบทบาทที่คนทั้งสองมีอยู่ต่อกัน แต่สำหรับคนภายในนั้นย่อมจะรู้ถึงสาเหตุของพฤติการณ์อันนี้ดี
เมื่อสมัยที่นายเวช โสภณา ยังเป็นหนุ่มแน่นอยู่นั้น นายเวชได้มีความรักผูกพันอยู่กับหญิงสาวผู้หนึ่ง ซึ่งมีนิวาสสถานอยู่ในระหว่างทางที่นายเวชจะต้องผ่านไปทำงาน หญิงสาวผู้นั้นคือนางสาวละเมียร หนุ่มสาวทั้งสองมีโอกาสได้พบปะพูดจากันน้อยเต็มที แต่ดังคำที่เขาว่ากันว่า‘ ความรักย่อมไม่ต้องการเวลา’ คนทั้งสองก็ทำความเข้าใจกันได้ ต่อมาเมื่อความรักได้ทวีความรุนแรงสุมแน่นขึ้นทุกวัน จนอกใจแทบจะระเบิดออกมาอยู่แล้ว นายเวชก็ได้จัดการให้ผู้ใหญ่ไปติดต่อกับผู้ใหญ่ของคนรัก สู่ขอลูกสาวมาตบแต่งตามประเพณี และเหตุที่นายเวชเองเป็นบุรุษที่จัดได้ว่ามีกำเนิดอันดี มีฐานะที่เรียกได้ว่ามั่นคงเป็นปึกแผ่น มีตำแหน่งการงานที่มั่นคง และมีความประพฤติที่ทางผู้ใหญ่ของผู้หญิงสอดส่องสืบดูจนแน่แก่ใจแล้วว่า ไม่เป็นที่เสื่อมเสียแม้แต่อย่างหนึ่งอย่างใด การสู่ขอจึงได้รับการต้อนรับเป็นอันดี นายเวชดีใจจนแทบเป็นบ้า เมื่อเถ้าแก่มาแจ้งให้รู้ถึงความสำเร็จ เขาลงมือตบแต่งบ้านที่อยู่เพื่อให้งดงามเหมาะสมที่จะเป็นเรือนหอไว้ต้อนรับหญิงที่รักทันที
แต่แล้ววิมานที่สร้างไว้อย่างสวยงามแล้วนั้นก็ต้องพังทลายลงมาทันที เมื่อเวชมารู้ความจริงเอาในภายหลังก่อนที่จะถึงวันสุกดิบเพียงวันเดียว ว่า ผู้หญิงที่จะมาเป็นเจ้าสาวของเขานั้น หาใช่หญิงที่เขามีจิตใจผูกพันอยู่นั้นไม่ แต่กลับกลายเป็นพี่สาวของหล่อนไป ทั้งนี้ก็ด้วยความเข้าใจผิดของเถ้าแก่ที่ไปทำการสู่ขอ ประกอบกับการถือขนบธรรมเนียมอย่างเคร่งครัดของฝ่ายหญิง ที่ว่า ‘ น้องจะแต่งงานก่อนพี่ไม่ได้’ นั่นเอง วิมานรักจึงกลายเป็นวิมานทลาย
เวชอึดอัดจะล้มเลิกพิธีวิวาห์ที่ตระเตรียมการเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้น เจ้าสาวถึงกับร้องไห้ทั้งวันทั้งคืน ข้าวปลาไม่ยอมกิน พวกผู้ใหญ่ต้องพากันทั้งปลอบและทั้งอ้อนวอน ชี้แจงเจ้าบ่าวเป็นการใหญ่ ให้คิดถึงความเสื่อมเสียและความอับอายขายหน้าที่จะบังเกิดขึ้นด้วยประการทั้งปวงอยู่เป็นเวลาเนิ่นนานนักหนา จนอ่อนอกอ่อนใจไปด้วยกัน ทั้งผู้หว่านล้อมและผู้ถูกหว่านล้อม นั่นแหละนายเวช โสภณา จึงได้ยอมขึ้นนั่งตั่งหมอบรับน้ำสังข์เคียงคู่กับเจ้าสาวที่เขามิได้พึงปรารถนาในที่สุด