ดวงใจนี้ใครครอง

>> สุภาว์ เทวกุลฯ

ดวงใจนี้ใครครอง

บทที่ 27

มือที่มีผิวคล้ำซึ่งจับอยู่ที่บัตรสีขาวสะอาดขลิบทองนั้นสั่นน้อยๆ ด้วยความรู้สึกสะเทือนใจอันยากที่จะบังคับได้   ดวงตาที่มีแววเลื่อนลอยนิดๆ อย่างคนช่างคิด เพ่งจับอยู่ที่ตัวอักษรสีเขียวสดใสซึ่งเด่นนูนขึ้นมาเหนือแผ่นกระดาษนั้น   อ่านทวนกลับไปกลับมาครั้งแล้วครั้งเล่า   ทั้งๆ ที่ถ้อยความอันน้อยนิดก็ได้ประทับอยู่กับความทรงจำแล้วจนขึ้นใจ

ชลา-กวี   มีความยินดีขอเชิญร่วมรับประทานอาหารเนื่องในงานมงคลสมรส   ณ บ้านโสภณา   ในเวลา 19.00 น.

กวีและชลาคงจะเป็นคู่บ่าวสาวที่เหมาะสมกันยิ่งนัก     เขานึกถึงภาพเจ้าสาวผู้มีเรือนร่างสมส่วนงดงาม และดวงหน้าที่อ่อนหวาน   อันประกอบด้วยดวงตาที่งามเลิศอย่างน่าพึงพิศวง ในอาภรณ์อันวิจิตรประณีต   ซึ่งยืนเคียงคู่อยู่กับบุรุษหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งอ่อนโยนและสุขุม   มีทีท่าที่บ่งบอกว่าฉลาดรอบรู้และเป็นสุภาพบุรุษทุกกระเบียดนิ้ว   สายตาของเขาละจากแผ่นกระดาษนั้น   เหลือบแลไปยังกล่องของขวัญรูปเล็กยาวค่อนข้างแบน ซึ่งห่อกระดาษและผูกริบบิ้นไว้อย่างเรียบร้อยแล้ว   ซึ่งวางอยู่ตรงมุมโต๊ะเขียนหนังสือที่เขานั่งอยู่นั้น   ในทันทีที่ได้รับบัตรเชิญ เขาก็ตัดสินใจว่าจะต้องไปในงานนี้แน่นอน   แต่ครั้นถึงเวลาเข้าจริงสิ หัวใจก็ให้กลับนึกลังเลและหวาดหวั่นยิ่งนัก   เปล่า มิได้หวาดหวั่นเพราะความเกรงกลัวผู้ใดหรอก   หากแต่ความรู้สึกในหัวใจของตัวเองนั่นสิที่เขากลัวนัก   กลัวว่ามันจะสำแดงความพิรุธออกมาให้ประจักษ์แก่สายตาคนอื่น   อันอาจจะก่อให้เกิดความสะเทือนใจขึ้นแก่ใครคนหนึ่ง... หรือมากกว่านั้นในวันมงคลนี้ได้

เสียงนาฬิกาตั้งบนโต๊ะดูเหมือนจะเดินดังผิดปกติ   เสียงของมันดัง ติ๊ก ติ๊กๆๆๆ บอกเวลาที่ล่วงไปทุกที   ใกล้จะถึงเวลาที่ระบุบ่งไว้ในบัตรแข็งนั้นเต็มทีแล้ว   ยังขาดอยู่อีกเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น   แต่เขาก็ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะไปในงานนั้นหรือไม่

ขณะนั้น มีเสียงรถคันหนึ่งแล่นมาจอดที่หน้าบ้าน   เขาไม่ได้สนใจใยดีว่ามันจะเป็นรถของใคร   จนกระทั่งได้ยินเสียงแหลมๆ โต้ตอบน้องชายและน้องหญิงของเขาอยู่ข้างล่าง   เขาผุดลุกขึ้นอย่างตัดสินใจไม่ถูกว่าจะทำอย่างไรต่อไป   แล้วร่างในกระโปรงสีสดสลับกันเป็นริ้วยาว ทั้งชุดก็เดินผ่านช่องประตูเข้ามา

“นึกแล้วเทียวว่าต้องอยู่   เชื่อว่าวันนี้สันทัดคงจะไม่ไปในงานของแม่คนนั้นหรอก   หรือว่าไม่ได้รับเชิญ ?”

หล่อนวางกระเป๋าฟางสีเขียวสด หุ้มพลาสติกเป็นมันวับลงบนโต๊ะ   ดวงตาที่ได้รับการตบแต่งครบถ้วนตามวิธีการเสริมสวยแบบสมัยใหม่   มองปราดสำรวจไปยังบนสิ่งของที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างรวดเร็วว่องไว แล้วก็ร้องว่า

“อ้อ....ก็ได้รับเชิญเหมือนกันนี่   ของขวัญก็ซื้อเตรียมไว้แล้วด้วยซี   แต่ทำไมยังไม่เตรียมตัวไปอีกเล่า   ถึงเวลาแล้วไม่ใช่หรือ ?”

ชายหนุ่มมิได้ตอบว่ากระไร   แต่ดวงตาที่เขามองดูหญิงสาวนั้นบอกชัดถึงความเบื่อหน่ายเอือมระอายิ่งนัก   แม้แต่หญิงสาวเองก็ดูเหมือนจะรู้ตัวอยู่   แต่ทว่าหล่อนแกล้งทำเฉยเหมือนทองไม่รู้ร้อนเสีย

“ทำไมถึงไม่ไปชื่นชมกับผลงานของเธอที่ได้ทำไปแล้วล่ะ สันทัด?”   หล่อนกล่าวต่อไปด้วยสีหน้ายิ้มนิดๆ และเสียงเยาะหน่อยๆ   “ไม่ใช่เพราะเธอดอกหรือ งานแต่งงานคืนนี้จึงเกิดขึ้นได้   หรือว่าเธอเกิดใจแคบนึกสงสารตัวเองขึ้นมาละกระมัง   ถึงได้แข็งใจไปเห็นเขามีความสุขกันไม่ไหว”

“หยุดทีเถอะ สายรุ้ง   เสียงของเธอ   คำพูดของเธอมันรำคาญหูฉันนัก”   สันทัดพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ   ดวงตาภายใต้คิ้วดกดำของเขา ส่อประกายแห่งความเหยียดหยามดูถูกเต็มที่   “เธอเองเล่า   ไม่พอใจดอกรึที่หมดอุปสรรคสำคัญที่เธอกลัวนักกลัวหนานั้นไปแล้ว   การแต่งงานของชลา ช่วยให้เธอกลับคืนเข้าสู่ตำแหน่งคนโปรดอีกตามเดิมไม่ใช่หรือ ?”

“ตามเคยนะ สันทัด”   ดวงตาของสายรุ้งหรี่เล็กด้วยความขุ่นเคือง   “เธอก็พยายามที่จะกลบเกลื่อนปิดบังความพ่ายแพ้ และความอ่อนแอของเธอด้วยการเยาะเย้ยป้ายสีคนอื่นให้เด่นชัดขึ้นมาเสมอ     แต่ความจริง ตัวเธอนั่นแหละที่รู้ดีว่าใครจะสะเทือนใจมากกว่าใคร”

“กลับไเสียเถอะ สายรุ้ง”   สันทัดตัดบทอย่างไม่มีเยื่อใย   “ฉันรู้ชัดแล้วว่า การคบหาสมาคมกับเธอนั้นมีแต่จะเป็นการทำลายตัวฉันเองลงไปทุกขณะ   กลับไปแล้วอย่ากลับมาอีกเลย   ขอให้เราเลิกเกี่ยวข้องกันอย่างเด็ดขาดเสียตั้งแต่บัดนี้เถิด   มันจะเป็นผลดีแก่เราด้วยกันทั้งสองฝ่าย”

“ไม่ต้องไล่ฉันหรอก สันทัด   ที่ฉันมาวันนี้ก็เพื่อจะมาแสดงความยินดีกับเธอเท่านั้น   ที่ได้ช่วยให้ผู้หญิงกับผู้ชายคู่หนึ่งมีความสุข   เธอคงจะได้บุญอยู่ไม่น้อยทีเดียว”

หล่อนจบคำพูดด้วยอาการหัวเราะเย้ยหยัน   สันทัดมองดูดวงหน้าอันตกแต่งไว้เข้มจัดซึ่งสิ้นสวยไปด้วยจริตอันเหนือธรรมชาติที่หล่อนเสแสร้งทำขึ้นเพราะความรู้สึกไม่งามภายในใจ   สีหน้าของเขาเคร่งขรึมและในใจเต็มไปด้วยความสมเพชในหญิงสาวผู้นี้ยิ่งนัก

“ถ้าจะได้บุญก็ควรจะนับว่าฉันย่อมได้บุญจากการที่ได้ช่วยทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งได้ตำแหน่งที่กำลังจะหลุดลอยไปของหล่อนกลับคืนมาด้วย   ฉันขออวยพรเธอ   จงมีความสุขอยู่กับความเป็นไปที่เธอปรารถนาตลอดไป   จนกว่า...”   ดวงตาของเขาเป็นประกายขึ้นแวบหนึ่งก่อนที่จะพูดต่อไปให้จบประโยคว่า   “ท่านของเธอจะคิดจัดงานขึ้นบ้านใหม่อีกครั้งหนึ่ง”

เขาหัวเราะในคอค่อยๆ เมื่อเห็นดวงตาของหญิงสาวเขียวปัดขึ้นพร้อมๆ กันที่ใบหน้าแดงก่ำ   และโดยไม่รอฟังหรือดูว่าหล่อนจะแสดงกิริยาต่อไปอย่างไร   ชายหนุ่มก็หมุนตัวกลับเดินออกไปจากห้องนั้นทันที

เป็นเวลาเกือบจะ 20.20 น. แล้ว เมื่อเขาถึงบ้านโสภณา   ชายหนุ่มสั่งให้รถแทกซี่จอดส่งเขาตรงหน้าบ้านซี่งมียวดยานจอดเรียงรายกันไปเป็นทิวแถวยาวเหยียดทั้งสองฟากถนน   ภายในบ้านสว่างไสวด้วยไฟหลากสี     โต๊ะอาหารที่ตั้งอยู่เต็มบริเวณสนามกว้างหน้าบ้านนั้น   สะพรั่งไปด้วยบรรดาแขกหญิงชายที่มาในงาน   ซึ่งกำลังปรนเปรอความสุขให้แก่ตนเองด้วยการเสพและสนทนากันอย่างสนุกสนานเป็นอย่างยิ่ง   เขาก้าวเท้าเดินเอื่อยๆ ไปตามถนนที่ตัดอ้อมสนามไปสู่ตัวตึก   บรรดาคนที่นั่งอยู่ตามโต๊ะใกล้ขอบสนามนั้นพากันหันมามองดูเมื่อเขาเดินผ่านไป   แต่เมื่อเห็นว่าเป็นเพียงชายหนุ่มลักษณะท่าทางธรรมดาคนหนึ่ง ก็มิได้สนใจ   หันกลับไปสู่ความสำราญที่กำลังเป็นไปอยู่นั้นตามเดิม   จนกระทั่งครู่หนึ่งต่อมา   ชายหนุ่มจึงได้ยินเสียงหนึ่งเป็นกังวานใสเต็มไปด้วยความตื่นเต้นปิติยินดีเป็นล้นพ้นดังแหวกเสียงจอแจขึ้นมาอย่างชัดเจน

“อุ๊ย...คุณสันทัด   นั่นคุณสันทัดนี่คะ พี่กวี”

สันทัดหยุดยืนอยู่กับที่   อีกเพียงครู่เดียวต่อมาร่างซึ่งแสนจะสวยงามน่ารักของเจ้าสาวก็เดินหลีกลัดโต๊ะอาหารที่ค่อนข้างจะแออัดนั้นอย่างว่องไวมาถึงตัวเขา

“แหม คุณสันทัด   นึกว่าจะไม่มาเสียแล้วซีคะ”

ชลากล่าวทันทีที่มาถึงตัวเขา   สันทัดมองดูดวงหน้าอันงดงามหวานแฉล้มนั้นนิ่งอยู่   ที่เขาพูดกันว่าผู้หญิงมักจะสวยที่สุดในวันแต่งงานนั้น เห็นจะจริงเป็นแน่แท้   ดูดังเช่นหญิงสาวผู้ซึ่งกำลังยืนอยู่เบื้องหน้าของเขาบัดนี้สิ   ผุดผาดเปล่งปลั่งและสุกสว่างราวกับว่ามีประกายแสงส่องออกมาจากภายใน   ชุดไทยที่ตัดเย็บเป็นแบบคล้ายสไบเฉียงกลาย ๆ ด้วยผ้าไหมสีเหลืองยกดิ้นเงินระยิบระยับไปหมดทั้งตัวนั้น   ช่างเหมาะเจาะกันกับรูปร่างและกิริยาท่าทางของหล่อนยิ่งนัก   สันทัดยังมิทันจะกล่าวตอบคำทักทายของหญิงสาว   เจ้าบ่าวผู้มีอารมณ์เยือกเย็นแจ่มใสก็เดินมาถึง และหยุดยืนอยู่หลังเจ้าสาวผู้งดงามน่ารักของเขา

“ชลาบ่นถึงคุณสันทัดตั้งแต่หัวค่ำแล้วครับ”   กวีกล่าวอย่างเป็นกันเอง   “กลัวว่าคุณสันทัดจะไม่มาเสียให้ได้”

“พวกที่บริษัทไม่มีใครมาเลยสักคนเดียวค่ะ”   ชลาบอกแก่สันทัดพร้อมกับหัวเราะด้วยเสียงซึ่งแสดงความขบขันอย่างจริงใจเมื่อพูดต่อไปว่า   “ขันจริง”

“ผมตั้งใจไว้แล้ว   ว่า ถึงยังไงก็จะต้องขอมาเป็นพยานร่วมรับรู้ในความสุขของคุณวันนี้ให้ได้”

สันทัดกล่าวด้วยเสียงเรียบๆ   ดวงตาของเขาแลเลยเจ้าสาวไปสบกับสายตาของเจ้าบ่าวโดยมิได้ตั้งใจ   และพบว่าดวงตาคู่นั้นกำลังจ้องมองดูเขาอย่างเข้าใจและเห็นใจเป็นอย่างยิ่ง   สองชายมองประสานสายตากันอยู่ครู่หนึ่ง   แล้วสันทัดก็เป็นฝ่ายละสายตาจากกวีมามองดูชลา   ส่งกล่องของขวัญที่ถืออยู่ให้   บอกว่า

“นี่ของขวัญวันแต่งงานครับ   ผมขออวยพรให้คุณทั้งสองจงมีความสุขอยู่ร่วมกันไปจนตลอดชีวิต”

เขายื่นมือข้างหนึ่งออกไปข้างหน้า   ชลามองดูอย่างลังเล   เพียงอึดใจเดียวก็วางมือที่ขาวผ่องของตนลงในมือสีคล้ามนั้น   สันทัดบีบมือของหล่อนเบาๆ แล้วจึงปล่อย   หันไปส่งมือกับเจ้าบ่าว   เขารู้สึกว่ามือของกวีบีบกระชับเขาแน่นและนาน

“พาคุณสันทัดไปหาที่นั่งดีกว่า”

กวีบอกแก่ชลาหลังจากที่ปล่อยมือจากสันทัดแล้ว   ซึ่งหญิงสาวทำตามอย่างว่าง่าย   เธอพยักหน้ากับชายหนุ่มผู้เป็นแขก   ชวนว่า

“ไปนั่งเถอะนะคะ คุณสันทัด   แหม   ดิฉันก็ไม่ทราบเสียด้วยว่า คุณสันทัดรู้จักกับใครบ้าง   พวกที่บิรษัทก็ไม่มีใครมาเลยด้วยซี”

สันทัดยิ้มเล็กน้อย   ก้าวเท้าเดินตามหญิงสาว   เดินมาได้เพียงไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อมาจากโต๊ะหนึ่ง   ชลาหยุด หันไปมอง   เมื่อเห็นชายผู้หนึ่งกำลังยกมือขึ้นโบกกับสันทัดพร้อมกับชูแก้วเครื่องดื่มที่เขาถืออยู่นั้นขึ้น   หญิงสาวก็หันมาหัวเราะกับสันทัดบอกว่า

“นั่นไงคะ คุณสันทัดพบเพื่อนแล้ว   จะนั่งกับเขาไหมค่ะ ดิฉันจะเดินไปส่ง ?”

“แหม ไม่ต้องส่งหรอก   คุณไปต้อนรับแขกเถอะ   เป็นคนสำคัญของงานเสียด้วย อย่าเป็นห่วงผมเลย”

สันทัดว่า แล้วก็เดินตรงไปยังที่เพื่อนของเขานั่งอยู่นั้น

“นั่งด้วยกันที่นี่ซี”

เพื่อนของเขาชวน   สันทัดหย่อนกายลงนั่งบนเก้าอี้ตัวว่าง   โต๊ะนี้ดูเหมือนจะมีสมาชิกน้อยกว่าโต๊ะอื่นๆ   เพราะเก้าอี้ที่ตั้งไว้แปดตัวนั้น มีคนนั่งอยู่เพียงห้าคนเท่านั้น   แล้วก็เป็นบุรุษล้วนเสียด้วย

“ไม่ต้องแนะนำกันละนะ กันเองทั้งนั้น   คุยกันไปประเดี๋ยวก็รู้จักกันเอง   กันไม่ยักรู้ว่าแกจะรู้จักกับกวี   ไม่งั้นก็ชวนมาด้วยกันแล้ว”

“ฉันไม่รู้จักกับคุณกวีหรอก”   สันทัดตอบเรียบๆ   เพื่อนของเขาเลิกคิ้ว ร้องว่า

“ถ้าอย่างนั้นก็รู้จักกับเจ้าสาวน่ะซี   บา   นายนี่สำคัญนัก   รู้จักกับคนสวยๆ ก็ไม่ยักบอกกันมั่ง   รู้จักกันมานานแล้วหรือยัง   สนิทสนมกันมากไหม   เอ...แล้วทำไมแกถึงได้ปล่อยให้หลุดมือไปล่ะ   แกมันก็ยังโสดอยู่ทั้งแท่งนี่นา   หุ่นก็หล่อเหลาไม่เลว”

สันทัดยิ้ม   “แกมันบ้า   คอยแต่จะคิดอกุศลเสียเรื่อย   ฉันกับคุณชลาชอบพอกันอย่างเพื่อนเท่านั้นหรอก   นี่เขา....ชอบกันมานานแล้ว   แกไม่รู้หรอกหรือว่าเขาเป็นญาติกัน”

“อ้อ.....มิน่าล่ะ”   อีกฝ่ายหนึ่งอุทาน   ตามองตามร่างในชุดเหลืองอ่อน ระยิบระยับที่เดินเคียงคู่กับร่างสูงโปร่งในชุดสูทสีเข้มไปตามโต๊ะต่างๆ   “นั้นน่ะซี   กันถึงได้นึกว่าเจ้ากวีนี่มันโชคดีแท้ๆ   เพิ่งกลับมาจากนอกเมื่อไม่นานมานี่เอง ก็คว้าได้เจ้าสาวงามหยดย้อยถึงขนาดนี้   เฮอ...เขาสมกันดีหรอก   ผู้หญิงสวยๆ อย่างนี้ ถ้ามาอยู่กับไอ้คนจนๆ อย่างเราก็น่าสงสาร   เราไม่มั่งคั่งพอที่จะทะนุถนอมความสวยของหล่อนได้เท่าที่ควร   เจ้ากวีมันลูกนายธนาคาร   เงินทองมากมายใช้ไปตลอดชาติก็ไม่หมด”

“ฉันไม่รู้จักคุณกวีนักหรอก   แต่เมื่อได้ยินแกพูดอย่างนี้ ฉันก็พลอยดีใจที่คุณชลาจะได้มีความสุขสบาย”

“สบายแน่”   สหายของเขารับรองอย่างแน่นแฟ้น   หยิบขวดเหล้าที่วางอยู่กลางโต๊ะมารินเติมลงในแก้วของตน   “กวีมันเป็นลูกชายคนเดียว   พ่อทำพินัยกรรมยกทรัพย์สมบัติให้ตั้งครึ่งหนึ่ง   อีกครึ่งหนึ่งแบ่งให้ลูกสาวสองคน   น้องสาวของเจ้ากวีก็ไม่เลวเลย   แกรู้จักหรือเปล่า   นั่นไง”   เขาลดเสียงลง   “อยู่ที่โต๊ะติดกันนี่แหละ ทางขวามือของแก   คนที่แต่งสีม่วงสดนั่นแหละ   ไอ้สร้อยคอมรกตสลับเพชรนั่นน่ะ ของจริงนาแกนา”

สันทัดเหลือบมองไปยังทิศที่เพื่อนบอก   สีม่วงสดสะดุดตาเขาในทันที   หญิงสาวสวยผู้นั้นมิสู้จะเป็นที่แปลกตาเขานัก   เขาจำได้ว่าเคยเห็นหล่อนมาก่อนแล้วหลายครั้ง   รวมทั้งบนปกหนังสือพิมพ์ด้วย   ขณะนั้น หล่อนกำลังคุยอยู่กับสหายชายผู้หนึ่งด้วยสุ้มเสียงและท่าทางที่เป็นอิสระอย่างเหลือเกิน

“เมื่อไรจะถึงงานของคุณกรบ้างล่ะฮะ”   สันทัดได้ยินเพื่อนชายของหล่อนกล่าวอย่างล้อเลียน   “ได้ยินข่าวว่าเจ้าบ่าวกำลังจะเดินทางกลับแล้วไม่ใช่หรือ ?”

“เอ๊ะ....คุณนี่   อย่าทำพูดดีไปนะ”   เจ้าหล่อนตอบ   ยกแก้วบรรจุน้ำสีเหลืองอ่อนขึ้นดื่ม   “กรันต์เขาบอกว่าจะแต่งงานกับฉันเมื่อไรกัน   อย่ามาทำเจ้ากี้เจ้าการบรรจุเขาเข้าตำแหน่งหน่อยเลย”

“พุทโธ่.... เรื่องนี้ใครๆ เขาก็รู้กันทั่วไปแล้วทั้งนั้น   รู้ตัวหรือเปล่าว่าคุณกรน่ะทำให้หนุ่ม ๆ อกหักกันไปเป็นร้อยๆ คนทีเดียว”

“ดี ฉันชอบ   คุณด้วยหรือเปล่าล่ะ ?”

“โอ๊ย...ผมน่ะอาการหนักกว่าใครทีเดียว”   เพื่อนหนุ่มของหล่อนครวญคราง   ชูแก้วที่ว่างเปล่าของตนขึ้นสูง   ร้องว่า   “เร็วเพื่อน ช่วยเติมยาแก้อกหักให้เต็มที   นึกว่าเห็นแก่พระเจ้าเถิด”

แล้วก็บังเกิดเสียงหัวเราะครื้นเครงดังมาจากโต๊ะนั้น

“เป็นไง น้องสาวเจ้ากวี ?”   สหายของสันทัดถาม   “ไม่เลวเลยใช่ไหม   ทั้งเก่งและทั้งแก่น   เต้นรำเป็นไฟ   ดื่มเหล้าเก่งกว่าผู้ชายบางคน เช่นแกเป็นต้น   แล้วยังทั้งสวยทั้งรวย   น่าเสียดายที่หล่อนมีคู่รักเสียแล้ว”

สันทัดมิได้ออกความเห็นอย่างหนึ่งอย่างใด   เป็นแต่หันไปมองโต๊ะทางขวามือนั้นอีกครั้งหนึ่ง   ครั้งนี้ เขาจึงได้สังเกตเห็นว่า ติดกันกับหญิงสาวสวยในชุดสีม่วงสดนั้น คือหญิงสาวผู้หนึ่ง ซึ่งมีดวงหน้าค่อนข้างละม้ายคล้ายคลึงกับชลา   ต่างกันก็แต่ว่า รูปหน้าของหญิงผู้นี้ยาวกว่าชลา   เบ้าตาค่อนข้างลึกกว่า   คิ้วดกกว่า และที่ผิดกันมาก   ก็คือสีหน้าของหญิงผู้นี้กระด้างและดุดันยิ่งนัก

“นั่นใคร ?”   อดมิได้ที่จะต้องหันมาถามเพื่อน   “ผู้หญิงที่นั่งติดกับน้องสาวเจ้าบ่าวน่ะ ?”

“ไม่รู้ว่ะ”   เป็นคำตอบประกอบด้วยการสั่นหน้า   “เคยเห็นติดสอยห้อยตามกรวิภาอยู่บ่อย ๆ   ผู้หญิงสีหน้าอย่างนี้อั้วคร้ามว่ะ     ดูคล้ายๆ กับว่าแกกำลังอยากจะฆ่าใครสักคนยังงั้นแหละ”

สันทัดอดยิ้มมิได้   ในคำวิจารณ์ง่ายๆ นั้นก็ตรงกับความจริงที่สุด   เขากวาดตามองต่อไป จึงได้เห็นว่า ถัดไปอีกเพียงสองโต๊ะ คือพี่สาวและพี่เขยของกวี   คนทั้งสองกำลังสนทนากับเพื่อนร่วมโต๊ะอยู่อย่างสนุกสนาน   แต่มีอะไรในท่าทางบางอย่างที่บอกให้ชายหนุ่มรู้ว่ากิริยาเหล่านั้นเป็นเพียงการเสแสร้งและฝืนใจมากกว่า   ก็แน่ละ   จะรู้สึกสนุกสนามไปได้อย่างไรไหว   สันทัดนึกหัวเราะอยู่ในใจ

“นี่ได้ข่าวว่าเจ้ากวีจะพาเจ้าสาวไปฮันนิมูนที่ญี่ปุน”   เพื่อนของเขาขยายความรู้ต่อไป   “เฮ้อ...น่าอิจฉามันจริงนะ   ไอ้อย่างเรา ลูกเมียบ่นอยากจะไปเที่ยวหัวหินมาสามปีเข้านี่แล้ว   ยังไม่มีปัญญาจะพาไปเลย”

“ก็จะมีปัญญาได้ยังไง”   อีกคนหนึ่งขัดคอ   “นายมันเล่นเอาปัญญาไปทิ้งเสียตามขวดเหล้าในบาร์หมดนี่   ปัญญามันก็ไม่มีเหลือถึงลูกเมียน่ะซี”

“ไอ้แกละมันพูดเกินไป”   คนถูกขัดคอพูดเสียงอ่อย   “อาทิตย์หนึ่งฉันเที่ยวอย่างมากก็สองวันเท่านั้น”

“จริง” อีกฝ่ายหนึ่งรับ   “คือวันฝนตกกับวันฝนไม่ตกยังไงล่ะ”

ทุกคนพากันหัวเราะขึ้นพร้อมกันอย่างขบขัน ซึ่งทำให้สันทัดอดยิ้มไปด้วยมิได้   อย่างไม่ได้ตั้งใจสันทัดหันไปมองทางโต๊ะขวามืออีกครั้งหนึ่ง   เขาเห็นหญิงสาวผู้มีดวงหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับเจ้าสาวผู้นั้นกำลังจับตามองดูคู่บ่าวสาวที่กำลังเดินแจกของชำร่วยคู่กันอยู่   เจ้าสาวผู้น่ารักทำหน้าที่เป็นผู้กลัดช่อดอกไม้ให้กับแขก   โดยมีเจ้าบ่าวเดินประคองขันเงินใบใหญ่ใส่ของชำร่วยเดินตามหลังมาด้วย ดวงหน้าอันยิ้มแย้มแจ่มใส   สันทัดเชื่อว่าสายตาของเขามิได้อุปาทานไปแน่   ที่ได้เห็นใบหน้าของหญิงสาวผู้นั้นบึ้งตึงขึ้น   ดวงตาของหล่อนส่งประกายเกลียดชังและปวดร้าว   แล้วหล่อนก็หันกลับมาด้วยอาการที่เกือบจะเป็นสะบัดหน้า


งานเลี้ยงคืนนั้นสิ้นสุดลงเมื่อใกล้จะยี่สิบสองนาฬิกา   ฤกษ์ส่งตัวนั้นประกอบกันเมื่อเวลายี่สิบสามนาฬิกาเศษ   หลังจากที่คนอื่นออกไปจากห้องกันหมดแล้ว กวีก็เดินเข้าไปหาเจ้าสาวของเขา ซึ่งยังคงอยู่ในเครื่องแต่งกายชุดเดิม   ยิ้มอย่างเอ็นดู ถามว่า

“เป็นยังไงจ๊ะ เหนื่อยมากไหม ?”

“ไม่เหนื่อยเท่าไหร่หรอกค่ะ   ตื่นเต้นมากกว่า”

ชลาตอบซื่อๆ   เดินไปที่โต๊ะแต่งตัวซึ่งมีของขวัญ 2-3 ชิ้นวางอยู่   หยิบขึ้นมาชิ้นหนึ่ง ชูให้กวีดู กล่าวว่า

“อยากทราบเหลือเกินว่าคุณสันทัดเอาอะไรมาให้เรา”

“อยากรู้ก็แก้ออกดูซิจ๊ะ”

กวีบอก   เดินตามมาหยุดยืนใกล้ๆ   ชลาใช้ปลายนิ้วแก้เงื่อนริบบิ้นที่ผูกไว้อย่างประณีตนั้นออก   เมื่อแกะกระดาษที่หุ้มข้างนอกออกแล้ว จึงได้เห็นกล่องหนังสี่เหลี่ยมยาว ๆ ค่อนข้างบาง   และเมื่อหญิงสาวกดสปริงให้ฝากล่องเปิดออก   วัตถุเส้นเล็กยาวก็ส่งประกายระยิบระยับปรากฏแก่สายตาของคนทั้งสอง

“ตายจริง”   ชลาอุทาน   วางกล่องลงบนโต๊ะแต่งตัวหยิบวัตถุนั้นขึ้นมาถือไว้ให้มันทิ้งปลายข้างหนึ่งลง   “สร้อยข้อมือนพเก้าสลับเพชร   ทำไมคุณสันทัดถึงได้เอาของขวัญแพง ๆ อย่างนี้มาให้ชลาก็ไม่รู้”

กวีไม่ตอบว่ากระไร   ขณะนั้น ชลากำลังตื่นเต้นกับของขวัญสูงค่าของเธอเสียจนมิไดสังเกตเห็นความรู้สึกที่จุดขึ้นในดวงตาของเขา   เธอได้ยินแต่เสียงที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนลึกซึ้งไปด้วยความรู้สึกของเขาดังขึ้นในครู่หนึ่งต่อมาว่า

“สร้อยเส้นนี้ถ้าคนให้เป็นเศรษฐี มันก็แทบจะไม่มีความหมายอะไรเลย   แต่นี่คุณสันทัดมีฐานะอย่างไร เราก็รู้ดีอยู่แล้ว   จำนวนเงินที่เขาจ่ายไปเพื่อของขวัญชิ้นนี้ต้องมีความหมายสำหรับเขามาก   ชลา   พี่เชื่อว่าคุณสันทัดเป็นคนดีจริงๆ   และเขามีความหวังดีต่อเธออย่างบริสุทธิ์ใจจริงๆ   พี่นับถือน้ำใจของคนคนนี้มาก   แล้วพี่ก็ดีใจที่ได้ตัดสินใจแต่งงานเร็วอย่างนี้   ถ้าช้าไปกว่านี้ พี่อาจจะต้องเสียใจก็ได้”

“เอ๊ะ..... เสียใจทำไมคะ ?”

ชลาผู้ซึ่งเพิ่งเสร็จจากการสวมสร้อยลงในข้อมือเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างประหลาดใจ   กวียกมือทั้งสองขึ้นจับบ่าหญิงสาว   ดึงตัวเข้ามาใกล้อย่างอ่อนโยน   พูดเบา ๆ ว่า

“เสียใจเพราะว่า ชลาอาจจะตกเป็นทาสน้ำใจของคนดีคนหนึ่งที่ไม่ใช่พี่น่ะซีจ๊ะ”

ชลาเลิกคิ้ว   ทำตาโตมองดูเขาอย่างสงสัย   แต่หญิงสาวมิทันจะได้เอ่ยปากระบายความสงสัยนั้นออกมาเป็นคำพูด   เพราะว่าในอึดใจต่อมานั้น   กวีก็ได้ก้มหน้าลงประทับริมฝีปากของเขาลงบนริมฝีปากของหล่อน   และหัวใจของชลาก็เหมือนจะหลุดลอยจากร่าง   ปลิวลิ่วๆ ขึ้นไปสู่เบื้องสูง ยังดินแดนมหัศจรรย์ที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อน   ด้วยรสจุมพิตครั้งแรกจากชายอันได้ชื่อแล้วว่าเป็นสามีที่ถูกต้องตามกฎหมายของเธอ

จบบทที่ 27