ดวงใจนี้ใครครอง

>> สุภาว์ เทวกุลฯ

ดวงใจนี้ใครครอง

บทที่ 28

อีกสามวันต่อมา   คู่บ่าวสาวก็เดินทางไปท่องเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่นดังที่ได้กำหนดไว้     คุณวินิจมิได้มาส่งลูกชายและลูกสะใภ้ที่ท่าอากาศยาน   ท่านอวยพรให้การเดินทางเป็นไปโดยสวัสดี   เมื่อคู่หนุ่มสาวเข้าไปกราบลา   ชลารู้สึกตื้นตันเป็นล้นพ้นเมื่อได้ยินเสียงที่สั่นเครือของท่าน   ได้เห็นน้ำตาที่หล่อล้นดวงตาอันแห้งผากของท่าน   และได้รับการสัมผัสลูบไล้เรือนผมจากมืออันแห้งเหี่ยวบอบบาง แต่อิ่มไปด้วยความเมตตากรุณาของท่าน   หญิงสาวรู้สึกในบัดนั้นเองว่าเธอช่างรักท่านจับใจ

ญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงที่สนิทหลายคนพากันไปส่งที่ดอนเมือง   กรวิภาแต่งตัวสวยหรูตามเคย ยืนอยู่ท่ามกลางวงล้อมของชายหนุ่มกลุ่มหนึ่ง   หัวเราะต่อกระซิกพูดคุยอย่างร่าเริงอยู่ตลอดเวลา

“แหม นี่ถ้าเขาไม่ไปฮันนิมูนกันละก็   ฉันเป็นขอติดไปด้วยคนจริงๆ”

กรวิภาว่า   ดวงตามองดูพี่ชายและญาติสาว ผู้ซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นพี่สะใภ้ของหล่อนแล้ว   กวีและเจ้าสาวของเขากำลังคุยอยู่กับญาติห่างๆ กลุ่มหนึ่งซึ่งมาส่ง

“ไปคนเดียวมันจะสนุกอะไรฮะ”   เพื่อนชายคนหนึ่งของหล่อนยั่วเย้า   “ไปอย่างนี้มันต้องไปสอง   เกินกว่านั้นก็ไม่ดี”

กรวิภายักไหล่เล็กน้อย   อีกคนหนึ่งถามว่า   “แล้วนี่เมื่อไรเราถึงจะได้มีโอกาสมาส่งคุณกรบ้างล่ะ   ผมจะได้หากลีบกุหลาบมาโปรดตั้งแต่ก้าวแรกที่คุณย่างลงมาจากรถ จนกระทั่งถึงเครื่องบินเลยทีเดียว”

“มากปาย.....”

กรวิภาลากเสียง   หันไปมองลานบิน ซึ่งขณะนั้นเครื่องบินไอพ่นลำหนึ่งกำลังค่อยๆ ร่อนลง แล้วแล่นเลี้ยวกลับมาจอดยังลานใน   หญิงสาวมองดูตัวอักษรตัวโตๆ ที่เขียนติดอยู่ลำตัวเครื่องบินนั้น   ถามขึ้นลอยๆ ว่า

“ลำนี้น่ะเรอะอ ที่พี่กวีจะไป”

“ใช่ฮะ”   เพื่อนชายคนหนึ่งรับรองความเข้าใจของหล่อน   “มาแวะจอดเช็คเครื่องแล้วก็เติมน้ำมันชั่วโมงเดียวก็บินไปต่อญี่ปุ่น”

“แหม ถ้ายังงั้นเราก็ต้องคอยอีกตั้งชั่วโมงน่ะซี กว่าเครื่องบินจะออก”

กรวิภา หันหน้ากลับมา ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่ผู้โดยสารกำลังเรียงแถวลงมาจากเครื่องบิน

“ก็เห็นจะต้องเป็นยังงั้น เพราะเครื่องบินมาล่าไปตั้งเกือบยี่สิบนาที   แต่ก็ไม่แน่   ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมแล้ว เขาอาจจะบินออกจากที่นี่ตามกำหนดก็ได้”

“กลุ่มนี้เสียงครึกครื้นดีจริงนะ”

กวีซึ่งละจากกลุ่มญาติเดินมาถึงพูดขึ้น   ชายหนุ่มสองสามคนถอยหลีกออกมาเล็กน้อยเพื่อละที่ยืนให้แก่คู่บ่าวสาว   กวียกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา   บอกว่า

“เหลือเวลาอีกตั้งนาน กว่าเครื่องบินจะออก   กรไม่พาสมัครพรรคพวกไปหาที่นั่งในห้องอาหารก่อนหรือ?”

“อย่าเลยครับ”   ชายหนุ่มคนหนึ่งค้าน   “พวกเรามันนิสัยเสีย   พอลองได้นั่งล้อมโต๊ะละก็เป็นอดเรียกเบียร์เย็นเฉียบไม่ได้   แล้วก็พอหนักขวดเบียร์เข้า เราก็มักจะลืมอะไร หมด   ประเดี๋ยวคุณกวีขึ้นเครื่องบินไปเมื่อไหร่ ก็เลยจะไม่รู้”

“พวกขี้เมา   เกลียดนัก”

กรวิภาค้อน และเพื่อนชายของหล่อนก็สวนคำขึ้นมาทันทีว่า

“คร้าบ   ผมมันพวกขี้เมา”

และคนอื่นก็พากันหัวเราะรับอย่างครื้นเครง   กรวิภา ไม่พูดว่าอะไรต่อไป   ได้แต่ขมวดคิ้วค้อนซ้ำให้อีกครั้งหนึ่ง   หัวคิ้วของกวีย่นเข้าหากันนิดหนึ่งทั้งที่ริมฝีปากยังยิ้ม ละไมอยู่     แต่ก่อนที่เขาจะทันพูดอย่างใด ก็มีเสียงประกาศเรียกทางเครื่องขยายเสียงให้ผู้โดยสารไปรับหนังสือเดินทางคืน   ชายหนุ่มจึงกล่าวคำขอโทษ และพาเจ้าสาวของเขาเดินจากไป   ดวงตาทุกคู่มองตามไป   ใครคนหนึ่งทำเสียงซี้ดปาก พูดว่า

“ทำไมพี่ชายของคุณถึงโชคดีนักนะ   คุณกรวิภา   หาพี่สะใภ้ให้คุณได้หยดย้อยเหลือเกิน   ให้ตายซี   คนสวยๆ ยังงี้ทำไมถึงไปซ่อนตัวเงียบอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้   นัยน์ตาของแกร้ายเหลือเกิน   ทำผมใจคอไม่ดี ไม่กล้ามองนานๆ เลย”

“คลื่นไส้”   กรวิภาว่า   “ถึงคุณจะได้พบกับเขาก่อนหน้านี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอกย่ะ   ฉันจะบอกให้ว่าพี่กวีเขาจองของเขาไว้ตั้งแต่เด็กๆ มาแล้ว   แต่จะบอกให้เอาบุญว่า พี่สาวของชลาเขายังเหลืออยู่อีกคนหนึ่งนะ   สนใจไหม?”

“สนใจซี”   มีเสียงรับโดยเร็ว   แล้วผู้พูดก็หันไปกวาดตามองดูโดยรอบ   “ไหนล่ะ   ยืนอยู่ตรงไหน ช่วยแนะนำให้ผมรู้จักหน่อยซี”

“แหม.. พวกจิ้งจอกนี่ ได้กลิ่นองุ่นเข้าละเป็นไม่ได้”   กรวิภาว่ายิ้มๆ   “เสียใจจ้ะ วันนี้เขาไม่ได้มาด้วยหรอก   ถ้าอยากรู้จักจริงๆ ละก็   วันหลังไปที่บ้านฉันซี จะแนะนำให้รู้จัก”

“อ้าว ทำไมถึงไม่มา”   คนที่พูดทำเสียงเหมือนผิดหวังเสียเต็มประดา   “มีอย่างหรือ น้องจะเดินทางไปต่างประเทศทั้งทีทำใจดำไม่มาส่งได้นี่   แย่จริง”

“ฮึ.. ใครจะมาส่ง   ก็เขากำลังเป็นโรค.....”

คำพูดของกรวิภาสะดุดหยุดลงเพียงนั้น เมื่อดวงตาของหล่อนมองไปเห็นภาพชายหนุ่มผู้หนึ่งเข้าโดยมิได้ตั้งใจ     ชายหนุ่มผู้นั้นสวมชุดสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำ   มือทั้งสองของเขาหิ้วกระเป๋าเดินทางขนาดย่อมทั้งสองมือ   มีโอเวอร์โค้ตพาดอยู่บนแขนข้างหนึ่ง   ลักษณะของเขาบอกให้รู้ว่าเขาเป็นผู้โดยสารคนหนึ่งที่มากับเครื่องบินที่เพิ่งมาถึงนั้น   เขากำลังเดินมาตามทางเดินยาวซึ่งมาจากที่ทำงานศุลกากร   ดวงตาของกรวิภาเบิกกว้างอย่างไม่แน่ใจ   และหัวใจของหล่อนก็เต้นระทึกขึ้นด้วยความยินดี   และก่อนที่เพื่อนชายทั้งหลายที่ยืนอยู่ด้วยนั้นจะทันรู้ว่าอะไรเป็นอะไร   คนหนึ่งก็ต้องเซถลา ไปด้วยแรงชนของกรวิภา   ขณะที่หล่อนวิ่งผวาตรงเข้าไปยังชายหนุ่มผู้นั้น

“กรันต์”

กรวิภาเรียกเสียงดัง   ชายนั้นหยุดเดินทันที หันมาตามเสียงเรียก   ก่อนที่เขาจะทันมองเห็นว่าใครเป็นผู้ที่เรียกเขานั้น กรวิภาก็มาถึงตัวพอดี   มือทั้งสองของหล่อนเกาะแน่นอยู่ที่แขนอันปกคลุมด้วยเสื้อนอกเนื้อหนาหยาบของเขาแน่น   จนดูราวกับว่าหล่อนกำลังจะสวมกอดเขาอยู่ฉะนั้น

“กรันต์”   หญิงสาวเรียกซ้ำ   ดวงตาเป็นประกายวาววับด้วยความยินดีที่บังเกิดขึ้นอย่างมากมายและปัจจุบันทันด่วน   “อะไรกันนี่   ทำไมถึงได้กลับมาเงียบๆ อย่างนี้ ไม่บอกใครบ้างเลย”

“กรวิภา”

ชายหนุ่มทักด้วยความยินดี เมื่อแน่ใจแล้วว่าหญิงสาวที่วิ่งเข้ามาทักทายเขาอย่างสนิทสนมผู้นี้คือใคร   เขาย่อกายวางกระเป๋าลง แล้วจับแขนทั้งสองของหล่อน เป็นการตอบรับการทักทายอันสนิทสนมที่หล่อนให้แก่เขานั้น

“นี่มารับใคร   ดีใจจริงที่ได้พบคุณอย่างไม่นึกฝันอย่างนี้”

เขาว่า เลื่อนมือลงมาจับมือของหล่อน   มองดูหล่อนทั่วตัวอย่างเปิดเผยพร้อมกับยิ้ม

“คุณไม่แปลกไปเท่าไรเลย   นอกจากว่าสวยขึ้นกว่าเมื่อก่อนนี้มากเท่านั้น”

“แต่คุณแปลกไปมาก”   กรวิภาบอก   มองดูเขาอย่างสำรวจตรวจตรา   “คุณเป็นผู้ใหญ่ขึ้น แล้วก็ท่าทางโก้กว่าเมื่อก่อนนี้ตั้งเยอะ จนทีแรกฉันเกือบจำไม่ได้”

“ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหลือเกินที่ดลใจกรวิภาให้จำผมได้”

เขาพูดยิ้มๆ   ละสายตาจากดวงหน้า สวยตรงหน้ามองกวาดไปรอบๆ และสะดุดลงตรงชายหนุ่มกลุ่มหนึ่งซึ่งกำลังยืนมองมาทางเขาและหญิงสาวอย่างสนใจยิ่ง   กรันต์หันกลับมามองดูกรวิภา   บอกว่า

“นั่นแน่ะ   สุภาพบุรุษกลุ่มนั้นกำลังมองดูเราอย่างสนใจทีเดียว   คุณรู้จักกับเขาหรือเปล่า   กรวิภา”

กรวิภาหันไปตามสายตาของเขา แล้วก็หันกลับมาพร้อมกับหัวเราะ   บอกว่า

“เพื่อนๆ ของกรทั้งนั้นแหละค่ะ   วันนี้เราพากันมาส่ง.... เออ   กรันต์คะ”   กรวิภาทำตาโตอย่างนึกขึ้นมาได้   “พี่กวีแต่งงานแล้ว   กำลังจะไปฮันนิมูนที่ญี่ปุ่นวันนี้เอง   นี่เรามาส่งพี่กวีกันยังไงคะ”

“ยังงั้นรึ”   ชายหนุ่มอุทานอย่างแปลกใจเล็กน้อย   “ความจริงผมก็ตั้งใจว่าจะกลับมาให้ทันงานกวี   แต่เผอิญเกิดต้องเข้าโรงพยาบาลผ่าไส้ตัน เสีย ก็เลยมาไม่ทัน”

“ผ่าไส้ตัน   ตายจริง เคราะห์ดีเหลือเกินที่คุณไม่เป็นอะไรไป   แหม แล้วก็ช่างปิดเงียบทีเดียว   ไม่บอกเล่าเก้าสิบมาให้คนทางนี้รู้บ้างเลย”

“พุทโธ่   ผ่าไส้ตันเดี๋ยวนี้น่ะเรื่องเล็กจะตาย”   ชายหนุ่มร้องพร้อมกับหัวเราะ   หันหน้าไปมองดูโดยรอบอีกครั้งหนึ่งถามว่า   “กวีอยู่ที่ไหนเล่าครับ   อยากพบจริง”

“กำลังไปรับหนังสือเดินทางคืนค่ะ   ประเดี๋ยวก็คงมา   ขันจังเลยค่ะกรันต์   รู้หรือเปล่าว่าพี่กวีไปเครื่องบินลำเดียวกับที่คุณมานั่นแหละ”

“งั้นหรือ”   ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นพลางหัวเราะ   “เอ นี่เป็นเรื่องแปลกแต่จริงละซี   ถ้าอย่างนั้น เราเดินไปทางโน้นกันไหมครับ   ไปหากวี... อ้อ.. แต่ว่า...”   เขาชะงัก   หันไปมองทางกลุ่มชายหนุ่มอีกครั้งหนึ่งอย่างลังเลใจ   “เพื่อนของคุณคอยอยู่ไม่ใช่หรือ ประเดี๋ยวเขาจะว่าเอานะ   ผมจะเลยพลอยถูกเขม่นไปด้วยน่ะซี”

“โอ๊ย ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”   กรวิภาร้องอย่างไม่สนใจ   หล่อนยกมือขึ้นเกาะแขนเขา บอกว่า   “ไปกันเถอะค่ะ   แต่คุณไม่มีใครมารับเลยหรือนี่?”

“ผมไม่ได้บอกใครเลยว่า ผมจะกลับวันนี้”   ชายหนุ่มบอก   “ถึงบอกก็คงจะไม่มีใครมาหรอก   คุณกรวิภา ก็รู้อยู่แล้วนี่ว่าทางบ้านของผมเป็นยังไง”

“โถ...”

กรวิภา ทำเสียงอ่อนหวาน   หล่อนก้าวเท้าออกเดินไปยังที่ทำการของบริษัทการบินไปพร้อมๆ กับเขา   แต่ไม่ก่อนที่จะหันไปโบกมือให้แก่สหายชายทั้งหลายที่ยืนอยู่นั้น ซึ่งก็ได้รับการโบกมือตอบพร้อมกับท่าทางล้อเลียนจากบางคน

“นั่นไงคะ พี่กวียืนอยู่นั่น”   กรวิภา ชี้ไปทางพี่ชายซึ่งกำลังยืนคุยกับคนที่มาส่งอีกกลุ่มหนึ่ง   แล้วก็ส่งเสียงร้องเรียกพี่ชายดังๆ   “พี่กวี พี่กวี ดูนี่ซีคะว่าใครมาส่ง”

กวีหันมามอง   กรวิภา หัวเราะเมื่อเห็นพี่ชายเบิกตากว้างอย่างไม่แน่ใจ   และในทันใดนั้น เขาก็ผละจากคนอื่นตรงลิ่วเข้ามาหาทันที

“กรันต์.. บา... นี่นายจริงๆ หรือ”

กวีส่งเสียงดังอย่างดีอกดีใจมาก่อนที่จะมาถึง พร้อมกับยื่นมือหรามาแต่ไกล   กรันต์หัวเราะร่า   ก้าวออกไปประสานมือกับเพื่อน บีบแน่นและเขย่าแรงๆ

“ไอ้เสือ” กวีพูดอย่างเบิกบาน   “นี่มาถึงเมื่อไหร่กัน   ยังกับปฏิหาริย์เทียวนะแกนะ   เมื่อเห็นแกทีแรกฉันเกือบจะไม่เชื่อสายตาของตัวเองทีเดียว รู้ไหม”

“ขอแสดงความยินดีกับความสุขของแก”   กรันต์บอก   “จะไปญี่ปุ่นนานเท่าไรกัน”

“สองอาทิตย์”   กวีบอก   “น่าเสียดายแท้ๆ ถ้า แกมาช้ากว่านี่สักสองอาทิตย์ก็ดีหรอก จะได้ไม่เหงา   นี่แล่นมาเอาตอนที่เราจะไม่อยู่เสียด้วยซี”

“นั่นน่ะซี   รู้งี้ฉันแวะไปเที่ยวญี่ป่นไปคอยพบแกที่นั่นก็ดี   เออ   นี่เจ้าสาวของแกอยู่ที่ไหนล่ะ   ไม่เห็นพามาแนะนำให้รู้จักกันบ้างเลยนี่”

“เออ จริงซี มัวตื่นเต้นที่ได้พบแกเสีย เลยลืมเสียสนิท”   กวีหัวเราะ หันกลับไปมองยังกลุ่มคนที่มาส่งบอกว่า   “เดียวนะ จะพามารู้จัก”

เขาก้าวยาวๆ กลับไป   สักครู่ก็เดินกลับมา พร้อมด้วยหญิงสาวผู้หนึ่ง   กรันต์ จับตามองดูร่างในชุดเดินทางที่ตัดด้วยผ้าไหมไทยเนื้อหยาบสีแดงเข้มแซมดำที่เดินเคียงคู่มากับสหาย   มือที่เรียวยาวสะอาดสะอ้านของกวีโอบอยู่รอบเอวกลมกลึงของหญิงสาวผู้นั้นอย่างทะนุถนอม   บอกความเป็นเจ้าของ   เขาพากันเดินมาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าแล้วกวีก็กล่าวขึ้นว่า

“นี่ยังไงล่ะ กรันต์   เจ้าสาวของฉัน   ชลาจ๊ะ   นี่กรันต์เพื่อนรักของพี่   หมอเพิ่งกลับมาถึงเมืองไทยวันนี้เอง   มาเครื่องบินลำเดียวกันกับที่เราจะไปนี่แหละ”

กรันต์ เกือบจะลืมรับการเคารพอย่างแช่มช้อยของอีกฝ่ายหนึ่ง   เพราะมัวตะลึงมองดูดวงตาคู่ที่งามซึ้งราวกับบ่อน้ำใสสะอาดที่สะท้อนเงาของท้องฟ้าสีครามสดในฤดูร้อนเสีย     ความรู้สึกที่แสนประหลาดล้ำอย่างหนึ่งผุดแวบขึ้นมาในใจของเขา   มันทำให้เขาหวนนึกไปถึงวันที่เขามาส่งกวีไปศึกษาต่อยังต่างประเทศเมื่อสี่ปีที่แล้วมานี้   ชายหนุ่มยังคงจำดวงตาคู่นี้ได้ตลอดมาไม่เคยลืมเลย   เขาเคยพูดกับใครๆ อยู่เสมอว่า   “ไม่มีดวงตาของหญิงชาติใดจะสวยซึ้งตราตรึงความทรงจำได้เทียบเท่าดวงตาของหญิงไทย”   สิ่งที่จูงใจเขาให้กล่าวถ้อยคำเช่นนั้นออกมา ก็คือดวงตาของดรุณีหนึ่ง ที่เขาได้มองสบที่ท่าอากาศยานนี้เมื่อวันนั้นนั่นเอง

“ขอแสดงความยินดีกับแกด้วยเป็นอย่างมาก   กวี”

กรันต์ พึมพำ   และเมื่อเห็นใบหน้าของเพื่อนรักเบิกบานแช่มชื่นขึ้นอย่างมีความสุข   ก็รู้สึกแปลกใจที่ตนเองบังเกิดความรู้สึกยอกแปลบขึ้นในอก

“ขอบใจ   แกเข้าใจชมเชยเจ้าสาวของกันได้คมขำแนบเนียนมาก   จริงไหมจ๊ะชลา”   เขาก้มลงมองดูหน้าเจ้าสาวผู้น่ารักของเขาอย่างเอ็นดูและรักใคร่   “น่าเสียดายที่แกมาไม่ทันวันแต่งงานของฉัน   แล้วก็หวังว่าแกคงจะไม่เหงานัก   ยายกรคงจะเป็นเพื่อนคุยกับแกแทนฉันไปพลางก่อนสักสองอาทิตย์ได้”

พูดจบเขาก็หันไปยิ้มกับน้องสาวอย่างล้อเลียนอยู่ในหน้า   กรวิภา ซึ่งเงียบไปอย่างกำลังใช้ความคิดยิ้มออกมาได้ในทันทีนั้น พร้อมกับบอกว่า

“อย่าเป็นห่วงเพื่อนรักไปหน่อยเลย   พี่กวี   ว่าแต่อย่าลืมซื้อของสวยๆ จากญี่ปุ่นมาฝากกรบ้างก็แล้วกัน”

“อะไร   ฝากผู้ชายซื้อของผู้หญิงจะดีหรือ”   พี่ชายค้านยิ้มๆ   “สั่งชลาซีจ๊ะ แม่คุณ   ค่อยเข้าทีหน่อย”

“ซื้อ... ชลาน่ะรึ”   กรวิภา ทำปากและจมูกย่นเข้าหากัน   “จะซื้อเป็นรื้อ... เออ... ถ้าเผื่อเป็นสายธารละก็ว่าไม่ถูก ค่อยรู้ใจกันหน่อยว่าเราชอบอะไร”

ชายหนุ่มทั้งสองเหลือบตามองดูหล่อนพร้อมกันคล้ายจะตำหนิ     ขณะนั้นพอดีกับมีเสียงประกาศให้ผู้โดยสารเตรียมตัวไปขึ้นเครื่องบิน   กวีจึงผละไปล่ำลาผู้คนที่มาส่ง     กรันต์ เดินตามไปยังหน้าด่านตรวจของศุลกากร   ก่อนที่หนุ่มสาวทั้งสองจะเข้าประตูไป   กรันต์ยื่นมือของเขาให้เพื่อนจับบอกว่า

“ขอให้การเดินทางของแกจงราบรื่นและได้รับความสุขสมดังที่ตั้งใจไว้”

“ขอบใจ เพื่อน   อีกสองอาทิตย์พบกันใหม่”   กวีจับมือเพื่อนบีบแรงแล้วจึงปล่อย   กรันต์หันมาทางชลา   มองสบตาหญิงสาว เมื่อกล่าวว่า

“อีกสองอาทิตย์พบกันครับ   คุณชลา”

“ค่ะ อีกสองอาทิตย์พบกัน”

ชลากล่าวซ้ำคำพูดของเขา   ชายหนุ่มยื่นมือออกไปข้างหน้า   เมื่อหญิงสาววางมือของเธอลงบนมือของเขา   กรันต์ ก็จับมือนั้นบีบเบาๆ   แม้จะเป็นเวลาเพียงชั่วอึดใจเดียว   แต่ชายหนุ่มก็ยังรู้สึกถึงความอ่อนนุ่มและความมีชีวิตชีวาอบอุ่นไปด้วยเลือดและเนื้อของนิ้วมือน้อยๆ นั้น   เขาปล่อยมือของชลาออก   ถอนใจเบาๆ พลางมองตามหลังหนุ่มสาวทั้งสองที่เดินเคียงคู่กันไปสู่ประตูหลังที่เปิดออกไปสู่ลานที่เครื่องบินจอดนั้น

“กลับกันเถอะค่ะ กรันต์”   กรวิภา ซึ่งยืนเคียงข้างเขาอยู่สอดมือของหล่อนลงในแขนของเขา   ออกแรงเบาๆ   “ดิฉันจะขับรถไปส่งคุณที่บ้าน   คุณไม่มีรถมารับไม่ใช่หรือคะ”

“ไม่มีหรอกครับ”   กรันต์ก้มลงยิ้มกับหญิงสาวอย่างขอบใจในความอารีของหล่อน   “ขอบคุณมากที่จะไปส่งผม   แต่ว่าเพื่อนของคุณจะไม่ว่าเอาหรือ   คุณมากับเขาแล้วก็อยู่ๆ จะมาทิ้งเขาไปกับผมเสียจะได้ยังไง”

“ฮื้อ ไม่ว่าหรอกค่ะ   แหมกรันต์ละก็คิดมาก”   กรวิภา ว่า   “พวกนั้นเขาก็มีรถมากันเหมือนกัน   คนไหนที่ไม่ได้เอามาเขาก็อาศัยไปกันเองนั่นแหละ   ไม่มีใครเขาคิดยังงั้นยังงี้อย่างที่กรันต์กลัวหรอก   เขารู้เข้าใจดี”

“เข้าใจดีว่าไม่ควรจะขัดใจคนสวยๆ อย่างกรวิภา ใช่ไหม”

กรันต์ถาม   หิ้วกระเป๋าเดินตามหล่อนกลับออกมาโดยดี   กรวิภา หันไปบอกแก่สหายทั้งหลายของหล่อนอย่างง่ายๆ ว่า

“นี่ พวกคุณกลับกันเองนะ   ฉันจะไปส่งคุณกรันต์ที่บ้าน”

ชายหนุ่มท่าทางชอบสนุกคนหนึ่งทำท่าโค้งคำนับ พร้อมกับบอกว่า

“พะย่ะค่ะ   สุดแท้แต่พระแม่เจ้า”

กรันต์หัวเราะ   กล่าวแก่ชายหนุ่มกลุ่มนั้นว่า

“ขอโทษนะครับ ที่มาแย่งคุณกรวิภาไปเสีย   ผมไม่มีใครมารับ   คุณกรวิภาก็เลยอาสาไปส่งให้”


ขณะนั้นเครื่องบินเริ่มออกวิ่งช้าๆ ไปตามลานบินแล้ว เพื่อที่จะวนกลับมาอีกครั้งหนึ่ง   กวีช่วยรัดเข็มขัดให้แก่เจ้าสาวของเขาอย่างระมัดระวัง   อธิบายว่า

“ตอนนี้ต้องรัดเข็มขัดเสียก่อน   ประเดี๋ยวพอเครื่องบินขึ้นสู่ระดับแล้วก็เอาออกได้   เธออาจจะรู้สึกหูอื้อนิดหน่อยเพราะไม่เคย   เคี้ยวหมากฝรั่งซีจ๊ะ   มันแก้กันได้”

ชลามิสู้วิตกต่อความผิดปกติที่จะเกิดขึ้น ในการโดยสารเครื่องบินครั้งแรกของเธอเท่าใดนัก   เพราะขณะนั้นเครื่องบินกำลังวิ่งผ่านตัวตึกอันเป็นที่ทำการ   เธอมองออกมาทางกระจกหน้าต่างเห็นผู้คนที่กำลังยืนโบกมือไหวๆ อยู่ที่รั่วเหล็กอันมีขนาดเท่ากับตุ๊กตาตัวเล็กจิ๋วเท่านั้น   พลันก็นึกแวบขึ้นมาถึงดวงตาสีเหล็กคู่หนึ่งภายใต้คิ้วดกดำที่ได้รูปน่าดู   พลางก็นึกสงสัยอยู่ว่า ในบรรดามือที่โบกไสวอยู่นั้น   จะมีมือของผู้เป็นเจ้าของดวงตาสีเหล็กคู่นั้นด้วยหรือเปล่าหนอ   แต่เมื่อกวีเอียงหน้าเข้ามาใกล้ พร้อมกับถามว่า

“เป็นยังไงจ๊ะ หูอื้อไหม เครื่องบินกำลังเงยหัวขึ้นแล้วละ”

ชลาก็สั่นหน้าพลางยิ้ม   เอนแก้มลงเบียดกับต้นแขนของเขา และเลิกนึกถึงดวงตาคู่นั้นโดยสิ้นเชิง

ขณะเดียวกันนั้น กรันต์กำลังนั่งเคียงคู่ไปกับกรวิภา ในรถส่วนตัวของหล่อน   เขาชะโงกหน้าออกไปนอกรถ   แหงนหน้าขึ้นมองดูเครื่องบินที่กำลังเชิดหัวขึ้นสู่ท้องฟ้าเบื้องบน   กรวิภา ซึ่งกำลังทำหน้าที่เป็นผู้ขับชำเลืองมองดู ถามว่า

“เห็นไหมคะ”

“เห็นอะไร”   ชายหนุ่มหันหน้ามาถามอย่างไม่เข้าใจและก็ได้รับคำตอบว่า

“ก็พี่กวีกับเจ้าสาวของเขาน่ะสิ”

รู้ทันว่าเป็นคำประชด   กรันต์จึงหัวเราะเฉยเสีย   แต่กรวิภา ก็ไม่อาจรู้ได้ว่า เขาได้นึกตอบคำถามของหล่อนอยู่ในใจว่า

“เห็นสิ ทำไมจะไม่เห็นเล่า   ไม่ว่าจะอยู่ใกล้หรือไกลแค่ไหน   ฉันก็สามารถมองเห็นดวงตาคู่ที่ใสซึ้งเหมือนสระน้ำนั้นได้อยู่ตลอดเวลาทีเดียว”

จบบทที่ 28