สัปดาห์แรกของการทำงานของชลาล่วงไปในลักษณะอาการดังกล่าวแล้ว คืองานมีให้ทำน้อย ซึ่งทำให้ผู้จัดการต้องหานิตยสารต่างๆ ทั้งในและนอกประเทศมาให้เธออ่านแก้เหงา เมื่อถึงเวลาอาหารกลางวัน เด็กรับใช้ก็จะยกสำรับอาหารซึ่งสั่งซื้อมาจากภัตตาคารมีชื่อแถวนั้นมาตั้งให้เธอในห้องพักผ่อนอันแสนจะหรูหรานั้น บางวันผู้จัดการจะร่วมวงกับเธอด้วย และบางวัน ก็ต้องนั่งกินอย่างเงียบเหงาอยู่เพียงคนเดียว มันเป็นความเงียบเหงาอย่างประหลาดจริงๆ เสียด้วย เธออยากจะทำทุกสิ่งทุกอย่างที่เหมือนกับคนงานอื่นๆ ในบริษัทเขาทำ อยากจะทำความรู้จักกับเขาเหล่านั้นให้ทั่วถึง แต่เธอก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี เมื่อเธอยิ้มกับเขา เขาก็ยิ้มด้วย และเมื่อเธอพูดกับเขาเมื่อต้องซักถามถึงเรื่องเกี่ยวกับการงาน เขาก็พูดกับเธอ แต่ทั้งการพูดและการยิ้มของเขาเหล่านั้น มีอะไรบางอย่างแฝงอยู่ในที ทำให้ชลารู้สึกไม่สบายใจ พร้อมกันนั้นก็บังเกิดความขุ่นเคือง แต่จะเคืองเขาเหล่านั้นที่แสดงกิริยาท่าทางเช่นนั้นต่อเธอ หรือเคืองตัวเอง ที่ไม่สามารถจะเข้ากับเขาได้ ชลาก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน
เพราะเหตุที่ชลาไม่ยอมให้ผู้จัดการขับรถพาเธอไปส่งบ้านนั่นเอง เธอจึงจำเป็นต้องอยู่ที่ที่ทำงานจนเย็น เลยเวลาเลิกงานไปเกือบชั่วโมงทุกวัน เพื่อจะรอให้รถประจำทางพอมีที่ว่างเสียก่อน ทั้งๆ ที่แสนจะรำคาญที่ต้องนั่งแกร่วอยู่เช่นนั้น โดยไม่มีอะไรจะทำ เย็นวันหนึ่ง ในสัปดาห์ที่สองของการทำงาน ขณะที่ชลากำลังเดินลงบันไดมาจากข้างบนนั้น เธอได้ยินพนักงานหนุ่มๆ สองคนของบริษัทที่ยังประจำอยู่ที่เคาน์เตอร์สำหรับติดต่อสอบถาม คุยกันด้วยประโยคที่ทำให้เธอต้องหยุดยืนฟัง ทั้งที่ไม่ตั้งใจ และไม่ต้องการจะฟังเลยแม้แต่สักนิด
“นี่ผู้จัดการกลับไปแล้วหรือ?” คนหนึ่งถามขึ้น
“กลับแล้ว” เพื่อนของเขาตอบ
“แล้วแม่เลขานุการคนสวยล่ะ?”
และก็คำถามประโยคนี้เองที่ยึดขาของชลาไว้ มิให้ก้าวลงมาอีกต่อไป
“กลับแล้วกระมั้ง”
เป็นคำตอบอย่างคาดคะเน เพราะเหตุที่เขาทั้งสองนั่งหันหลังให้บันไดจึงมองไม่เห็นชลา และจากการที่เธอเคยถูกฝึกไว้ให้รู้จักต่อการเดินเบาๆ เสียจนติดเป็นนิสัยประจำนั่นเอง ที่ทำให้ชายทั้งสองไม่ได้ยินเสียงร้องเท้าของเธอกระทบขั้นบันได
“หน้าตาจิ้มลิ้มไม่เลว” คนแรกวิพากษ์วิจารณ์ต่อไป “ท่าทางแกเหงาๆ เปิ่นๆ ยังไงไม่รู้ คล้ายจะอยากมาทำสนิทกับพวกเราแต่ไม่กล้า”
“ไอ้เราก็ไม่กล้าจะไปทำสนิทกับแก เห็นๆ กันอยู่แล้วว่าเป็นคนพิเศษ ดูซี วันหนึ่งๆ มีงานมีการทำอะไรกัน ยังงั้น ผู้จัดการยังต้องสั่งอาหารจากเหลาขึ้นไปให้กินทุกวัน สงสัยจะเป็นแบบเดียวกันกับแม่สายรุ้งนั่นอีก”
แล้วเขาก็หัวเราะกันอย่างครื้นเครงจนมิได้สำเหนียกเสียงรองเท้าของชลาซึ่งก้าวเร็วๆ กลับขึ้นไป หญิงสาวรู้สึกว่าใจคอสั่นไปหมด และยังร้อนวูบวาบไปอีกทั้งเนื้อทั้งตัว
สันทัดผู้ช่วยผู้จัดการ ซึ่งมีงานล้นมือจนต้องอยู่ทำเย็นๆ ล้าหลังคนอื่นทุกวันนั้น เงยหน้าขึ้นอย่างแปลกใจเมื่อชลาผลักบังตาพรวดพราดเข้าไป
“อ้าว ลืมอะไรหรือ?”
เขาถามด้วยเสียงเรื่อยๆ ความรู้สึกเป็นกันเองระหว่างเขาและเธอมิได้เพิ่มมากขึ้นกว่าเมื่อแรกรู้จักกัน แต่ก็ยังดีอยู่บ้างที่สายตาเยาะๆ ดูถูกกลายๆ อย่างที่เขาเคยใช้มองดูเธอนั้นลดลงไปเป็นอันมาก บางเวลาชลารู้สึกว่าเขากำลังจ้องมองดูเธออย่างพินิจพิจารณา แต่เมื่อเธอมองไปสิกลับได้เห็นเข้าก้มหน้าก้มตาทำงานง่วนอยู่ มิได้แสดงว่าสนใจในตัวเธอ หรือผู้คนทั้งโลกเลยแม้แต่สักนิด
“ลืม.. เอ้อ... ลืม...” ชลาพยายามระงับความรู้สึกผิดปกติและกิริยาภายนอกของตนเองอย่างเต็มความสามารถ “ลืมของไว้ในลิ้นชักโต๊ะค่ะ”
สันทัดพยักหน้า ก้มหน้าลงขีดเขียนอะไรลงในสมุดปกแข็งเล่มใหญ่ต่อไป ชลาเดินไปที่โต๊ะของเธอ นั่งลงบนเก้าอี้ แกล้งดึงสิ้นชักโต๊ะออกมาทำท่าทีดังว่าจะค้นหาอะไรในนั้น เหลือบดูสันทัด ก็เห็นเขากำลังปิดปลอกปากกา และปิดสมุดที่กำลังเขียนอยู่นั้นยกขึ้นวางซ้อนบนตั้ง หยิบกระเป๋ามาวางบนโต๊ะเตรียมตัวจะกลับ
“คุณสันทัดคะ”
ชลาเรียกออกไป ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นเลิกคิ้วมองเธอเป็นเชิงถาม หญิงสาวกัดริมฝีปากตนเอง วุ่นวายใจอยู่กับการตัดสินใจ ในที่สุดก็โพล่งออกมาว่า
“ใครคือสายรุ้งกันคะ?”
มือของผู้ช่วยผู้จัดการที่กำลังจัดของในกระเป๋าเอกสารอยู่นั้นหยุดชะงัก คิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน เขาจ้องมองดูเธอนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงถามด้วยเสียงห้วนๆ ว่า
“คุณไปได้ยินมาจากที่ไหน?”
“ดิฉันได้ยินเขาพูดกัน คนไหนคะที่ชื่อสายรุ้ง”
“อย่าไปเอาใจใส่เลย คนที่ชื่อสายรุ้งไม่มีอยู่ในบริษัทนี้แล้ว”
เขาพูดตัดบทแล้วก็ก้มลงจัดกระเป๋าต่อไป เขาปิดกระเป๋ารูดซิป แล้วก็ก้าวเดินออกจากห้องไปโดยมิได้สนใจกับชลาซึ่งยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะเลย ชลาค่อยๆ ลุกขึ้นหยิบกระเป๋าถือ และเดินตามเขาออกไป ในสมองดูช่างสับสนวุ่นวานไปหมดจนแยกไม่ออกว่าอะไรเป็นอะไร นายสองคนที่คุยกันพาดพิงมาถึงเธออย่างคึกคะนองนั้นยังคงนั่งอยู่ เขาหันมามองดูเธอด้วยความแปลกใจเมื่อเธอลงไปถึงข้างล่าง แล้วก็หันไปยักคิ้วให้แก่กัน ชลารู้สึกหน้าร้อนวูบวาบขึ้นมา อยากจะกรากเข้าไปเอากระเป๋าที่ถืออยู่เหวี่ยงเข้าให้ที่ใบหน้าอันแสนจะกวนโมโหนั้นเข้าให้สักคนละครั้ง แต่ก็พยายามข่มใจ รีบสาวเท้าเดินออกมาจากบริษัทเสียโดยเร็ว แม้จะพ้นจากสถานที่นั้นมาแล้ว ความรู้สึกวุ่นวายใจ ความพิศวงสงสัยปนกับความขุ่นเคืองก็ยังคงติดตามเธอไปจนถึงบ้านและทรมานเธออยู่ตลอดคืนนั้น
เมื่อพบกันที่โต๊ะอาหารในตอนเช้า ชลาได้ถูกมารดาทักขึ้นอย่างเป็นห่วงว่า
“วันนี้ไม่สบายหรือเปล่าหนู หน้าตาเซียวไปทีเดียว เมื่อเช้าถึงไม่ได้ลงมาช่วยแม่ใส่บาตร”
“วันนี้นอนตื่นสายไปหน่อยค่ะ ทำไมแม่ไม่ให้เด็กขึ้นไปปลุกล่ะคะ?”
“ไม่อยากกวนจ้ะ คิดว่าหนูคงเพลียมาจากที่ทำงาน งานมากหรือลูกถึงต้องอยู่ทำงานถึงเย็นๆ ทุกวัน”
งานมาก ชลาอยากจะหัวเราะออกมาให้ดังๆ นัก แต่เธอรู้สึกว่าสายตาของบิดาจับจ้องอยู่ที่เธออย่างสังเกต อย่างเดียวที่เธอจะทำได้ ก็คือพยายามระงับความรู้สึกนึกคิดทั้งมวล เก็บมันอัดเอาไว้ภายในใจแต่เพียงผู้เดียว
เช้าวันนั้น ผู้จัดการทักทายเธอด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสเช่นเคย
“หนังสืออ่านหมดแล้วหรือยัง?” เขาถามพลางพลิกดูบรรดานิตยสารที่ชลาตั้งซ้อนกันเอาไว้ที่มุมโต๊ะเล่นอย่างไม่รู้จะทำอะไร
“หมดแล้วค่ะ”
ชลาตอบ กัดริมฝีปากไว้เมื่อรู้สึกว่าคำพูดอย่างอื่นกำลังจะพรั่งพรูออกมามากกว่านั้น ยังก่อน ยังไม่มีความจำเป็นอะไรที่เธอจะต้องรุนแรงกับเขา เขาออกจะดีต่อเธอ เอาอกเอาใจเธอ ไม่เป็นการสมควรอย่างยิ่งที่เธอจะมาระบายอารมณ์ที่ขุ่นข้องเอากับเขา
“แล้วผมจะซื้อมาให้ใหม่”
อารีย์บอกก่อนที่จะเดินไปนั่งลงที่โต๊ะทำงานที่สวยหรูของเขา และลงมือตรวจเอกสารที่ผู้ช่วยนำไปวางเรียงรายกันไว้นั้น
ชลาทำงานซึ่งแสนจะง่าย และน้อยนิดของเธอนั้นอย่างเงียบๆ อย่างน้อยมันก็ยังช่วยทำให้เธอเลิกคิดถึงความไม่สบายใจไปชั่วขณะหนึ่ง
เสียงนาฬิกาจากห้องพักผ่อน ตีบอกเวลา ๑๑.๐๐ น. ไปสักครู่หนึ่ง อารีย์ก็ปิดแฟ้มโยนลงบนโต๊ะดังพั่บ ร้องว่า
“เสร็จหมดแล้ว มีเท่านี้เองใช่ไหม คุณสันทัด?”
“ตอนบ่ายยังมีอีกครับ เกี่ยวกับการกะโปรแกรมสำหรับนักท่องเที่ยวในวันเสาร์หน้านี้”
“นั่นไม่เป็นไรนี่ คุณก็เคยทำเรื่องนี้อยู่เป็นประจำแล้ว ทำต่อไปตามที่คุณเห็นสมควรก็แล้วกัน ผมไม่ค่อยจะรู้เรื่องอะไรนักหรอก”
“มีงานอะไรที่ดิฉันพอจะช่วยทำได้บ้างไหมคะ” ชลากล่าวขึ้น สันทัดเหลือบมามองเธอแวบหนึ่ง แต่มิได้พูดว่ากระไร ส่วนอารีย์นั้นหัวเราะ บอกว่า
“อย่าวุ่นวายไปเลย คุณชลา ปล่อยคุณสันทัดเขาเถอะ เขาทำของเขาเองได้ ถ้าต้องการคนช่วย คนข้างล่างก็มีถมเถไป คุณอย่าลำบากดีกว่า”
“แต่ดิฉันพอจะมีเวลาว่างพอที่จะช่วยทำอะไรๆ ได้อีกนี่คะ ดิฉันเต็มใจทำ ถ้าผู้จัดการหรือคุณสันทัดจะใช้ดิฉัน”
“อย่าเลยน่า” อารีย์ยังคงหัวเราะอยู่ “ผมไม่อยากให้คุณทำงานหนักเกินไปนัก &nbp; ว่าแต่วันนี้คุณอยากจะรับอะไรตอนกลางวันล่ะ จะได้จดให้เด็กเอาไปสั่งให้ที่ร้านอาหารเขาทำ”
ริมฝีปากของชลาเริ่มเม้มเข้าหากัน เธอหมุนปากกาในมือเล่นอย่างพยายามระงับความรู้สึกที่เริ่มจะพลุ่งขึ้นอีกแล้วในใจ อารีย์มิได้สังเกตเห็นอากัปกิริยานั้น เขายังคงพูดต่อไปด้วยเสียงที่แสดงความรื่นเริงว่า
“จริงๆ นะ คุณชลา ถ้าคุณเต็มใจที่จะนั่งรถไปกับผมละก็ ตอนกลางวันผมจะพาคุณไปหาอะไรกินอร่อยๆ ให้ทุกวันทีเดียว ผมรู้จักที่กินมากมาย รับรองว่าตลอดทั้งเดือนจะพาไปไม่ให้ซ้ำร้านได้เลย” เขาหยุดมองดูเธอยิ้มๆ แล้วถามว่า “ลงมือลองดูตั้งแต่วันนี้กันไหมล่ะ”
สุดที่จะอดทนเก็บกลั้นความรู้สึกนั้นไว้ภายในคนเดียวได้อีกต่อไปแล้ว ชลาเงยหน้าขึ้นมองสบตาผู้จัดการ คำพูดที่สั่นสะท้านเพราะอารมณ์พรั่งพรูออกมาในทันที
“ดิฉันขอประทานโทษค่ะ ที่ดิฉันจะต้องบอกว่า ดิฉันจะไม่ไปที่ไหนๆ กับผู้จัดการทั้งนั้น ดิฉันไม่ต้องการสิทธิพิเศษนอกเหนือไปจากคนงานอื่นของบริษัท ดิฉันไม่ต้องการจะนั่งกินอาหารที่ต้องสั่งมาจากเหลาเป็นพิเศษเฉพาะดิฉันคนเดียว ในเมื่อคนงานคนอื่นต้องออกไปหากินเอาเองข้างนอก ดิฉันมานั่งอยู่ที่นี่ก็เพราะต้องการทำงาน ไม่ใช่มานั่งอ่านหนังสือทั้งวันๆ อย่างนี้ ในขณะที่คนอื่นเขามีงานทำกันอยู่เต็มมือ ดิฉันไม่ต้องการสิทธิพิเศษกว่าคนอื่น ไม่ต้องการจริงๆ”
คำพูดเหล่านี้ไหลพรั่งพรูออกมาจากริมฝีปากของเธอราวกับกระแสน้ำที่ทำนบแตกทำลาย ยังความงงงันให้แก่บุรุษทั้งสองเป็นอย่างยิ่ง อารีย์นิ่งเงียบไปและจ้องมองดูหญิงสาว ราวกับว่าเธอเป็นสิ่งประหลาด ซึ่งเขาไม่เคยเห็นมาแต่ก่อน ครู่หนึ่งต่อมา เขาจึงได้ยิ้มออกมาได้อย่างฝืนเต็มที พูดว่า
“คุณคิดมากไปเอง คุณชลา ความจริงที่ผมพยายามให้ความสะดวกแก่คุณนั้น เพราะผมเห็นว่าคุณเป็นคนใหม่และเพิ่งจะออกทำงานนอกบ้านเป็นครั้งแรกเท่านั้นเองไม่ใช่อะไรอื่น”
“กับคนงานใหม่คนอื่นๆ ผู้จัดการให้ความสะดวกอย่างเดียวกับที่ให้ดิฉันเหมือนกัน หรือคะ?”
ชลาย้อนถาม ดูเหมือนเธอจะได้เห็นรอยคล้อยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าของสันทัด แต่เขาได้ก้มหน้าลงเอาใจใส่ต่องานที่กำลังทำอยู่นั้นเสียโดยเร็ว จนชลาและอารีย์มิอาจอ่านความคิดของเขาได้ อารีย์เองก็มัวแต่คิดหาคำตอบหญิงสาวอยู่ เขาหัวเราะเมื่อแก้ว่า
“ก็คุณไม่เหมือนกับคนอื่นๆ นี่นะ คุณชลา”
“ดิฉันไม่เหมือนกับคนอื่นอย่างไรคะ?” ชลาซักต่อไป “ดิฉันมีข้อยกเว้นพิเศษแตกต่างจากคนอื่นที่ตรงไหน?”
“ต่างกันตรงที่ว่า คนอื่นนั้นเขามาสมัครเข้าทำด้วยตัวของเขาเอง ไม่เคยรู้จักสนิทสนมกันมาก่อน แต่สำหรับคุณ...”
“ดิฉันก็เช่นกัน ดิฉันไม่เคยรู้จักสนิทสนมกับผู้จัดการมาก่อนเหมือนกันนี่คะ จนกระทั่งวันที่ผู้จัดการไปหาดิฉันที่บ้าน เพื่อตามตัวให้มาทำงาน”
อารีย์ขยับคอเสื้อพลางกระแอมกระไอราวกับมีอะไรหลุดเข้าไปติดคอในขณะนั้น
“ถูก” เขาลากเสียงช้าๆ ขณะที่พูด “แต่ทว่าคุณคงจะลืมเสียแล้วกระมัง ว่า คุณเป็นน้องของคุณสำราญและคุณกิติมาที่ผมมีความสนิทสนมคุ้นเคย และเคารพนับถือเป็นอย่างมาก ผมจำต้องถือว่ามันเป็นหน้าที่จะอำนวยความสะดวกสบายให้แก่คุณมากเท่าที่ผมจะทำได้ อย่าคิดว่าผมให้สิทธิพิเศษแก่คุณเหนือคนงานอื่นซีครับ คุณชลา คิดเสียว่าเป็นการเอื้อเฟื้อส่วนตัวก็แล้วกัน”
“แต่ว่า” ชลาค้านเสียงอ่อนลง “คนอื่นเขาจะไม่คิดอย่างนี้น่ะซีคะ เขาจะทราบได้อย่างไรว่าผู้จัดการให้ความเอื้อเฟื้อต่อดิฉัน เพราะดิฉันเป็นญาติกับคุณกิติมา ดิฉันไม่สบายใจจริงๆ ค่ะ ถ้าถูกเพื่อนร่วมงานมองดูด้วยความเข้าใจผิดเป็นอย่างอื่น”
“เรื่องความเข้าใจผิดของคน เป็นเรื่องที่ช่วยกันไม่ได้เลยนี่คุณชลา จริงไหม คุณสันทัด”
ประโยคหลังเขาหันไปขอความเห็นจากผู้ช่วย ชลาเห็นชายคนหลังวางหน้าเฉยเป็นปกติ มิได้ตอบคำถามนั้น อารีย์ลุกขึ้นเดินมาหยุดยืนกอดอกพิงอยู่หน้าโต๊ะของตนเอง มองดูหญิงสาวด้วยใบหน้ายิ้มๆ กล่าวต่อไปคล้ายกำลังอบรมนักเรียนว่า
“อย่าไปเก็บมาคิดให้รกสมองเลย คุณชลา ว่าใครจะคิดอย่างไร เชื่อผมเถอะ คนที่เที่ยวไปวุ่นวายในเรื่องของคนอื่นนั้น ล้วนแต่เป็นคนที่ไม่มีความคิดทั้งนั้น ไม่มีความคิด แต่ทว่ามีเวลามากเกินไปจนไม่รู้จะเอาไปทำอะไร เป็นแบบนี้ทั้งนั้นแหละ ไม่ว่าจะเป็นที่ทำงานไหนๆ คุณเป็นคนใหม่ เพิ่งออกมาทำงานเป็นครั้งแรก ก็ย่อมจะรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง ต่อไปนานเข้าคุณก็จะชินไปเอง”
ชลานั่งนิ่ง เธอกำลังคิดว่ามันอาจจะเป็นจริงอย่างที่เขาพูดมานั้นก็เป็นได้ เมื่อแรกที่เริ่มคิดจะออกมาทำงานนอกบ้านนั้น ชลามิได้หวังไว้ว่าจะมาพบกันเรื่องยุ่งๆ ที่รบกวนจิตใจและความรู้สึกถึงขนาดนี้ นอกจากหวังด้วยความเบิกบานใจว่า เธอจะได้มีรายได้ของเธอเอง ไม่ต้องรบกวนของบิดาและมารดาอีกเท่านั้น อีกใจหนึ่ง หญิงสาวกำลังนึกค้านคำพูดของผู้จัดการอยู่ ที่เขาสอนว่าไม่ต้องไปเอาใจใส่ว่าใครจะคิดอย่างไรนั้น จะเป็นการถูกต้องแน่แล้วหรือ ในเมื่อเธอยังจะต้องทำงานร่วมสถานที่เดียวกันกับคนอื่นอีกตั้งหลายสิบคนเช่นนี้ ฉะนั้น ความคิดเห็นของเขาตลอดจนสายตาที่พวกเขาใช้มองดูเธอนั้น คงจะต้องรบกวนความรู้สึกของเธออยู่บ้างเป็นแน่ เธอจะต้องอยู่ในโลกนี้รวมกับมนุษย์ปุถุชนอื่นๆ การที่จะไม่ยอมสนใจต่อความคิดเห็นของเขาเสียเลยนั้น ออกจะเป็นเรื่องสุดวิสัยไปสักหน่อยละกระมัง
“ผมจะออกไปธุระข้างนอกก่อน” อารีย์บอกกล่าวเป็นการจบสนทนาที่ดำเนินมาแล้วนั้น “แล้วจะให้เด็กจัดอาหารกลางวันมาให้อย่างเคย ถ้าธุระของผมเสร็จเร็วบางทีจะแวะมากินกลางวันด้วยคน”
แล้วเขาก็หัวเราะให้เธอเหมือนกับหัวเราะให้เด็กหลงทางซึ่งเขาช่วยเอาไว้ ก้าวยาวๆ ออกจากห้องไป
อีกสิบห้านาทีต่อมา เด็กรับใช้ก็ยกถาดใส่อาหารเข้ามาอย่างที่เคย ควันจากหม้อเกาเหลาใบเล็กลอยขึ้นเป็นสาย ขณะที่เด็กแบกถาดเดินผ่านกลางระหว่างโต๊ะของเธอและผู้ช่วยผู้จัดการเข้าไปยังห้องข้างใน ชลามองตามด้วยสายตาอันเลื่อนลอย กลิ่นอันหอมหวนของอาหารราคาแพงนั้นมิได้ยั่วให้เธอเกิดความรู้สึกหิวโหยเลยแม้แต่น้อย
มีเสียงเคลื่อนไหวจากโต๊ะของผู้ช่วยผู้จัดการ ชลาหันไปมองดูก็เห็นว่าเขากำลังมองดูเธออยู่แล้ว
“ถ้าคุณเบื่ออาหารพวกนี้” เขากล่าวขึ้นด้วยเสียงที่เคร่งขรึม “ที่ตรอกข้างบริษัทนี้มีร้านก๋วยเตี๋ยวเล็กๆ อยู่ร้านหนึ่งที่ทำได้อร่อยพอใช้ทีเดียว”
“ขอบคุณค่ะ” ชลาพึมพำ “แต่ว่าดิฉัน... ดิฉัน...” เธอมองสบตาเขา ลังเลใจเล็กน้อย แล้วจึงตัดสินใจบอกไปตามตรงว่า “ดิฉันยังไม่เคยเข้าไปนั่งรับอาหารในร้านตามลำพังเลยสักครั้งเดียว”
ดวงตาของชายหนุ่มทอประกายอย่างหนึ่งซึ่งชลามิเคยเห็นมาก่อน แต่มิได้ทำให้เธอบังเกิดความรู้สึกไม่สบายใจดุจเดียวกับที่เมื่อถูกเขามองดูในครั้งแรก ตรงกันข้าม มันกลับทำให้เธอบังเกิดความรู้สึกสบายใจขึ้นเป็นอันมาก เมื่อมองเห็นดวงตาของเขาในขณะนี้
“เมื่อผมแนะนำร้านก๋วยเตี๋ยวร้านนี้แก่คุณ” สันทัดกล่าวช้าๆ ชัดเจนทุกถ้อยคำ “นั่นก็หมายความว่า ผมจะเป็นคนพาคุณไปน่ะซีครับ คุณชลา”