ดวงใจนี้ใครครอง

>> สุภาว์ เทวกุลฯ

ดวงใจนี้ใครครอง

บทที่ 11

สัปดาห์แรกของการทำงานของชลาล่วงไปในลักษณะอาการดังกล่าวแล้ว   คืองานมีให้ทำน้อย ซึ่งทำให้ผู้จัดการต้องหานิตยสารต่างๆ ทั้งในและนอกประเทศมาให้เธออ่านแก้เหงา   เมื่อถึงเวลาอาหารกลางวัน   เด็กรับใช้ก็จะยกสำรับอาหารซึ่งสั่งซื้อมาจากภัตตาคารมีชื่อแถวนั้นมาตั้งให้เธอในห้องพักผ่อนอันแสนจะหรูหรานั้น     บางวันผู้จัดการจะร่วมวงกับเธอด้วย   และบางวัน ก็ต้องนั่งกินอย่างเงียบเหงาอยู่เพียงคนเดียว     มันเป็นความเงียบเหงาอย่างประหลาดจริงๆ เสียด้วย   เธออยากจะทำทุกสิ่งทุกอย่างที่เหมือนกับคนงานอื่นๆ ในบริษัทเขาทำ   อยากจะทำความรู้จักกับเขาเหล่านั้นให้ทั่วถึง   แต่เธอก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี   เมื่อเธอยิ้มกับเขา เขาก็ยิ้มด้วย   และเมื่อเธอพูดกับเขาเมื่อต้องซักถามถึงเรื่องเกี่ยวกับการงาน เขาก็พูดกับเธอ   แต่ทั้งการพูดและการยิ้มของเขาเหล่านั้น มีอะไรบางอย่างแฝงอยู่ในที ทำให้ชลารู้สึกไม่สบายใจ   พร้อมกันนั้นก็บังเกิดความขุ่นเคือง   แต่จะเคืองเขาเหล่านั้นที่แสดงกิริยาท่าทางเช่นนั้นต่อเธอ   หรือเคืองตัวเอง ที่ไม่สามารถจะเข้ากับเขาได้   ชลาก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน

เพราะเหตุที่ชลาไม่ยอมให้ผู้จัดการขับรถพาเธอไปส่งบ้านนั่นเอง   เธอจึงจำเป็นต้องอยู่ที่ที่ทำงานจนเย็น เลยเวลาเลิกงานไปเกือบชั่วโมงทุกวัน   เพื่อจะรอให้รถประจำทางพอมีที่ว่างเสียก่อน   ทั้งๆ ที่แสนจะรำคาญที่ต้องนั่งแกร่วอยู่เช่นนั้น โดยไม่มีอะไรจะทำ     เย็นวันหนึ่ง ในสัปดาห์ที่สองของการทำงาน ขณะที่ชลากำลังเดินลงบันไดมาจากข้างบนนั้น   เธอได้ยินพนักงานหนุ่มๆ สองคนของบริษัทที่ยังประจำอยู่ที่เคาน์เตอร์สำหรับติดต่อสอบถาม คุยกันด้วยประโยคที่ทำให้เธอต้องหยุดยืนฟัง   ทั้งที่ไม่ตั้งใจ และไม่ต้องการจะฟังเลยแม้แต่สักนิด

“นี่ผู้จัดการกลับไปแล้วหรือ?”   คนหนึ่งถามขึ้น

“กลับแล้ว” เพื่อนของเขาตอบ

“แล้วแม่เลขานุการคนสวยล่ะ?”

และก็คำถามประโยคนี้เองที่ยึดขาของชลาไว้ มิให้ก้าวลงมาอีกต่อไป

“กลับแล้วกระมั้ง”

เป็นคำตอบอย่างคาดคะเน   เพราะเหตุที่เขาทั้งสองนั่งหันหลังให้บันไดจึงมองไม่เห็นชลา   และจากการที่เธอเคยถูกฝึกไว้ให้รู้จักต่อการเดินเบาๆ เสียจนติดเป็นนิสัยประจำนั่นเอง   ที่ทำให้ชายทั้งสองไม่ได้ยินเสียงร้องเท้าของเธอกระทบขั้นบันได

“หน้าตาจิ้มลิ้มไม่เลว” คนแรกวิพากษ์วิจารณ์ต่อไป   “ท่าทางแกเหงาๆ เปิ่นๆ ยังไงไม่รู้   คล้ายจะอยากมาทำสนิทกับพวกเราแต่ไม่กล้า”

“ไอ้เราก็ไม่กล้าจะไปทำสนิทกับแก   เห็นๆ กันอยู่แล้วว่าเป็นคนพิเศษ   ดูซี วันหนึ่งๆ มีงานมีการทำอะไรกัน     ยังงั้น ผู้จัดการยังต้องสั่งอาหารจากเหลาขึ้นไปให้กินทุกวัน   สงสัยจะเป็นแบบเดียวกันกับแม่สายรุ้งนั่นอีก”

แล้วเขาก็หัวเราะกันอย่างครื้นเครงจนมิได้สำเหนียกเสียงรองเท้าของชลาซึ่งก้าวเร็วๆ กลับขึ้นไป   หญิงสาวรู้สึกว่าใจคอสั่นไปหมด และยังร้อนวูบวาบไปอีกทั้งเนื้อทั้งตัว

สันทัดผู้ช่วยผู้จัดการ ซึ่งมีงานล้นมือจนต้องอยู่ทำเย็นๆ ล้าหลังคนอื่นทุกวันนั้น   เงยหน้าขึ้นอย่างแปลกใจเมื่อชลาผลักบังตาพรวดพราดเข้าไป

“อ้าว ลืมอะไรหรือ?”

เขาถามด้วยเสียงเรื่อยๆ   ความรู้สึกเป็นกันเองระหว่างเขาและเธอมิได้เพิ่มมากขึ้นกว่าเมื่อแรกรู้จักกัน   แต่ก็ยังดีอยู่บ้างที่สายตาเยาะๆ ดูถูกกลายๆ อย่างที่เขาเคยใช้มองดูเธอนั้นลดลงไปเป็นอันมาก   บางเวลาชลารู้สึกว่าเขากำลังจ้องมองดูเธออย่างพินิจพิจารณา   แต่เมื่อเธอมองไปสิกลับได้เห็นเข้าก้มหน้าก้มตาทำงานง่วนอยู่   มิได้แสดงว่าสนใจในตัวเธอ หรือผู้คนทั้งโลกเลยแม้แต่สักนิด

“ลืม.. เอ้อ... ลืม...”   ชลาพยายามระงับความรู้สึกผิดปกติและกิริยาภายนอกของตนเองอย่างเต็มความสามารถ   “ลืมของไว้ในลิ้นชักโต๊ะค่ะ”

สันทัดพยักหน้า   ก้มหน้าลงขีดเขียนอะไรลงในสมุดปกแข็งเล่มใหญ่ต่อไป   ชลาเดินไปที่โต๊ะของเธอ   นั่งลงบนเก้าอี้   แกล้งดึงสิ้นชักโต๊ะออกมาทำท่าทีดังว่าจะค้นหาอะไรในนั้น   เหลือบดูสันทัด ก็เห็นเขากำลังปิดปลอกปากกา และปิดสมุดที่กำลังเขียนอยู่นั้นยกขึ้นวางซ้อนบนตั้ง   หยิบกระเป๋ามาวางบนโต๊ะเตรียมตัวจะกลับ

“คุณสันทัดคะ”

ชลาเรียกออกไป   ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นเลิกคิ้วมองเธอเป็นเชิงถาม   หญิงสาวกัดริมฝีปากตนเอง   วุ่นวายใจอยู่กับการตัดสินใจ   ในที่สุดก็โพล่งออกมาว่า

“ใครคือสายรุ้งกันคะ?”

มือของผู้ช่วยผู้จัดการที่กำลังจัดของในกระเป๋าเอกสารอยู่นั้นหยุดชะงัก   คิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน   เขาจ้องมองดูเธอนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงถามด้วยเสียงห้วนๆ ว่า

“คุณไปได้ยินมาจากที่ไหน?”

“ดิฉันได้ยินเขาพูดกัน   คนไหนคะที่ชื่อสายรุ้ง”

“อย่าไปเอาใจใส่เลย   คนที่ชื่อสายรุ้งไม่มีอยู่ในบริษัทนี้แล้ว”

เขาพูดตัดบทแล้วก็ก้มลงจัดกระเป๋าต่อไป   เขาปิดกระเป๋ารูดซิป แล้วก็ก้าวเดินออกจากห้องไปโดยมิได้สนใจกับชลาซึ่งยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะเลย   ชลาค่อยๆ ลุกขึ้นหยิบกระเป๋าถือ และเดินตามเขาออกไป   ในสมองดูช่างสับสนวุ่นวานไปหมดจนแยกไม่ออกว่าอะไรเป็นอะไร   นายสองคนที่คุยกันพาดพิงมาถึงเธออย่างคึกคะนองนั้นยังคงนั่งอยู่   เขาหันมามองดูเธอด้วยความแปลกใจเมื่อเธอลงไปถึงข้างล่าง แล้วก็หันไปยักคิ้วให้แก่กัน   ชลารู้สึกหน้าร้อนวูบวาบขึ้นมา   อยากจะกรากเข้าไปเอากระเป๋าที่ถืออยู่เหวี่ยงเข้าให้ที่ใบหน้าอันแสนจะกวนโมโหนั้นเข้าให้สักคนละครั้ง   แต่ก็พยายามข่มใจ   รีบสาวเท้าเดินออกมาจากบริษัทเสียโดยเร็ว   แม้จะพ้นจากสถานที่นั้นมาแล้ว   ความรู้สึกวุ่นวายใจ ความพิศวงสงสัยปนกับความขุ่นเคืองก็ยังคงติดตามเธอไปจนถึงบ้านและทรมานเธออยู่ตลอดคืนนั้น

เมื่อพบกันที่โต๊ะอาหารในตอนเช้า   ชลาได้ถูกมารดาทักขึ้นอย่างเป็นห่วงว่า

“วันนี้ไม่สบายหรือเปล่าหนู   หน้าตาเซียวไปทีเดียว   เมื่อเช้าถึงไม่ได้ลงมาช่วยแม่ใส่บาตร”

“วันนี้นอนตื่นสายไปหน่อยค่ะ   ทำไมแม่ไม่ให้เด็กขึ้นไปปลุกล่ะคะ?”

“ไม่อยากกวนจ้ะ   คิดว่าหนูคงเพลียมาจากที่ทำงาน   งานมากหรือลูกถึงต้องอยู่ทำงานถึงเย็นๆ ทุกวัน”

งานมาก   ชลาอยากจะหัวเราะออกมาให้ดังๆ นัก   แต่เธอรู้สึกว่าสายตาของบิดาจับจ้องอยู่ที่เธออย่างสังเกต   อย่างเดียวที่เธอจะทำได้ ก็คือพยายามระงับความรู้สึกนึกคิดทั้งมวล   เก็บมันอัดเอาไว้ภายในใจแต่เพียงผู้เดียว

เช้าวันนั้น ผู้จัดการทักทายเธอด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสเช่นเคย

“หนังสืออ่านหมดแล้วหรือยัง?”   เขาถามพลางพลิกดูบรรดานิตยสารที่ชลาตั้งซ้อนกันเอาไว้ที่มุมโต๊ะเล่นอย่างไม่รู้จะทำอะไร

“หมดแล้วค่ะ”

ชลาตอบ กัดริมฝีปากไว้เมื่อรู้สึกว่าคำพูดอย่างอื่นกำลังจะพรั่งพรูออกมามากกว่านั้น   ยังก่อน   ยังไม่มีความจำเป็นอะไรที่เธอจะต้องรุนแรงกับเขา   เขาออกจะดีต่อเธอ   เอาอกเอาใจเธอ   ไม่เป็นการสมควรอย่างยิ่งที่เธอจะมาระบายอารมณ์ที่ขุ่นข้องเอากับเขา

“แล้วผมจะซื้อมาให้ใหม่”

อารีย์บอกก่อนที่จะเดินไปนั่งลงที่โต๊ะทำงานที่สวยหรูของเขา และลงมือตรวจเอกสารที่ผู้ช่วยนำไปวางเรียงรายกันไว้นั้น

ชลาทำงานซึ่งแสนจะง่าย และน้อยนิดของเธอนั้นอย่างเงียบๆ   อย่างน้อยมันก็ยังช่วยทำให้เธอเลิกคิดถึงความไม่สบายใจไปชั่วขณะหนึ่ง

เสียงนาฬิกาจากห้องพักผ่อน ตีบอกเวลา ๑๑.๐๐ น. ไปสักครู่หนึ่ง   อารีย์ก็ปิดแฟ้มโยนลงบนโต๊ะดังพั่บ ร้องว่า

“เสร็จหมดแล้ว   มีเท่านี้เองใช่ไหม คุณสันทัด?”

“ตอนบ่ายยังมีอีกครับ   เกี่ยวกับการกะโปรแกรมสำหรับนักท่องเที่ยวในวันเสาร์หน้านี้”

“นั่นไม่เป็นไรนี่   คุณก็เคยทำเรื่องนี้อยู่เป็นประจำแล้ว   ทำต่อไปตามที่คุณเห็นสมควรก็แล้วกัน   ผมไม่ค่อยจะรู้เรื่องอะไรนักหรอก”

“มีงานอะไรที่ดิฉันพอจะช่วยทำได้บ้างไหมคะ” ชลากล่าวขึ้น   สันทัดเหลือบมามองเธอแวบหนึ่ง แต่มิได้พูดว่ากระไร   ส่วนอารีย์นั้นหัวเราะ   บอกว่า

“อย่าวุ่นวายไปเลย คุณชลา   ปล่อยคุณสันทัดเขาเถอะ   เขาทำของเขาเองได้   ถ้าต้องการคนช่วย คนข้างล่างก็มีถมเถไป   คุณอย่าลำบากดีกว่า”

“แต่ดิฉันพอจะมีเวลาว่างพอที่จะช่วยทำอะไรๆ ได้อีกนี่คะ   ดิฉันเต็มใจทำ ถ้าผู้จัดการหรือคุณสันทัดจะใช้ดิฉัน”

“อย่าเลยน่า”   อารีย์ยังคงหัวเราะอยู่   “ผมไม่อยากให้คุณทำงานหนักเกินไปนัก &nbp; ว่าแต่วันนี้คุณอยากจะรับอะไรตอนกลางวันล่ะ   จะได้จดให้เด็กเอาไปสั่งให้ที่ร้านอาหารเขาทำ”

ริมฝีปากของชลาเริ่มเม้มเข้าหากัน   เธอหมุนปากกาในมือเล่นอย่างพยายามระงับความรู้สึกที่เริ่มจะพลุ่งขึ้นอีกแล้วในใจ   อารีย์มิได้สังเกตเห็นอากัปกิริยานั้น   เขายังคงพูดต่อไปด้วยเสียงที่แสดงความรื่นเริงว่า

“จริงๆ นะ คุณชลา   ถ้าคุณเต็มใจที่จะนั่งรถไปกับผมละก็   ตอนกลางวันผมจะพาคุณไปหาอะไรกินอร่อยๆ ให้ทุกวันทีเดียว   ผมรู้จักที่กินมากมาย   รับรองว่าตลอดทั้งเดือนจะพาไปไม่ให้ซ้ำร้านได้เลย”   เขาหยุดมองดูเธอยิ้มๆ แล้วถามว่า   “ลงมือลองดูตั้งแต่วันนี้กันไหมล่ะ”

สุดที่จะอดทนเก็บกลั้นความรู้สึกนั้นไว้ภายในคนเดียวได้อีกต่อไปแล้ว   ชลาเงยหน้าขึ้นมองสบตาผู้จัดการ   คำพูดที่สั่นสะท้านเพราะอารมณ์พรั่งพรูออกมาในทันที

“ดิฉันขอประทานโทษค่ะ   ที่ดิฉันจะต้องบอกว่า ดิฉันจะไม่ไปที่ไหนๆ กับผู้จัดการทั้งนั้น   ดิฉันไม่ต้องการสิทธิพิเศษนอกเหนือไปจากคนงานอื่นของบริษัท   ดิฉันไม่ต้องการจะนั่งกินอาหารที่ต้องสั่งมาจากเหลาเป็นพิเศษเฉพาะดิฉันคนเดียว   ในเมื่อคนงานคนอื่นต้องออกไปหากินเอาเองข้างนอก   ดิฉันมานั่งอยู่ที่นี่ก็เพราะต้องการทำงาน ไม่ใช่มานั่งอ่านหนังสือทั้งวันๆ อย่างนี้ ในขณะที่คนอื่นเขามีงานทำกันอยู่เต็มมือ   ดิฉันไม่ต้องการสิทธิพิเศษกว่าคนอื่น ไม่ต้องการจริงๆ”

คำพูดเหล่านี้ไหลพรั่งพรูออกมาจากริมฝีปากของเธอราวกับกระแสน้ำที่ทำนบแตกทำลาย   ยังความงงงันให้แก่บุรุษทั้งสองเป็นอย่างยิ่ง   อารีย์นิ่งเงียบไปและจ้องมองดูหญิงสาว ราวกับว่าเธอเป็นสิ่งประหลาด ซึ่งเขาไม่เคยเห็นมาแต่ก่อน   ครู่หนึ่งต่อมา เขาจึงได้ยิ้มออกมาได้อย่างฝืนเต็มที พูดว่า

“คุณคิดมากไปเอง คุณชลา   ความจริงที่ผมพยายามให้ความสะดวกแก่คุณนั้น เพราะผมเห็นว่าคุณเป็นคนใหม่และเพิ่งจะออกทำงานนอกบ้านเป็นครั้งแรกเท่านั้นเองไม่ใช่อะไรอื่น”

“กับคนงานใหม่คนอื่นๆ   ผู้จัดการให้ความสะดวกอย่างเดียวกับที่ให้ดิฉันเหมือนกัน หรือคะ?”

ชลาย้อนถาม   ดูเหมือนเธอจะได้เห็นรอยคล้อยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าของสันทัด   แต่เขาได้ก้มหน้าลงเอาใจใส่ต่องานที่กำลังทำอยู่นั้นเสียโดยเร็ว   จนชลาและอารีย์มิอาจอ่านความคิดของเขาได้   อารีย์เองก็มัวแต่คิดหาคำตอบหญิงสาวอยู่ เขาหัวเราะเมื่อแก้ว่า

“ก็คุณไม่เหมือนกับคนอื่นๆ นี่นะ คุณชลา”

“ดิฉันไม่เหมือนกับคนอื่นอย่างไรคะ?”   ชลาซักต่อไป   “ดิฉันมีข้อยกเว้นพิเศษแตกต่างจากคนอื่นที่ตรงไหน?”

“ต่างกันตรงที่ว่า คนอื่นนั้นเขามาสมัครเข้าทำด้วยตัวของเขาเอง   ไม่เคยรู้จักสนิทสนมกันมาก่อน   แต่สำหรับคุณ...”

“ดิฉันก็เช่นกัน   ดิฉันไม่เคยรู้จักสนิทสนมกับผู้จัดการมาก่อนเหมือนกันนี่คะ   จนกระทั่งวันที่ผู้จัดการไปหาดิฉันที่บ้าน เพื่อตามตัวให้มาทำงาน”

อารีย์ขยับคอเสื้อพลางกระแอมกระไอราวกับมีอะไรหลุดเข้าไปติดคอในขณะนั้น

“ถูก” เขาลากเสียงช้าๆ ขณะที่พูด   “แต่ทว่าคุณคงจะลืมเสียแล้วกระมัง   ว่า คุณเป็นน้องของคุณสำราญและคุณกิติมาที่ผมมีความสนิทสนมคุ้นเคย และเคารพนับถือเป็นอย่างมาก   ผมจำต้องถือว่ามันเป็นหน้าที่จะอำนวยความสะดวกสบายให้แก่คุณมากเท่าที่ผมจะทำได้   อย่าคิดว่าผมให้สิทธิพิเศษแก่คุณเหนือคนงานอื่นซีครับ คุณชลา   คิดเสียว่าเป็นการเอื้อเฟื้อส่วนตัวก็แล้วกัน”

“แต่ว่า” ชลาค้านเสียงอ่อนลง   “คนอื่นเขาจะไม่คิดอย่างนี้น่ะซีคะ   เขาจะทราบได้อย่างไรว่าผู้จัดการให้ความเอื้อเฟื้อต่อดิฉัน เพราะดิฉันเป็นญาติกับคุณกิติมา   ดิฉันไม่สบายใจจริงๆ ค่ะ ถ้าถูกเพื่อนร่วมงานมองดูด้วยความเข้าใจผิดเป็นอย่างอื่น”

“เรื่องความเข้าใจผิดของคน เป็นเรื่องที่ช่วยกันไม่ได้เลยนี่คุณชลา   จริงไหม คุณสันทัด”

ประโยคหลังเขาหันไปขอความเห็นจากผู้ช่วย   ชลาเห็นชายคนหลังวางหน้าเฉยเป็นปกติ มิได้ตอบคำถามนั้น   อารีย์ลุกขึ้นเดินมาหยุดยืนกอดอกพิงอยู่หน้าโต๊ะของตนเอง   มองดูหญิงสาวด้วยใบหน้ายิ้มๆ   กล่าวต่อไปคล้ายกำลังอบรมนักเรียนว่า

“อย่าไปเก็บมาคิดให้รกสมองเลย   คุณชลา   ว่าใครจะคิดอย่างไร   เชื่อผมเถอะ   คนที่เที่ยวไปวุ่นวายในเรื่องของคนอื่นนั้น ล้วนแต่เป็นคนที่ไม่มีความคิดทั้งนั้น   ไม่มีความคิด แต่ทว่ามีเวลามากเกินไปจนไม่รู้จะเอาไปทำอะไร     เป็นแบบนี้ทั้งนั้นแหละ   ไม่ว่าจะเป็นที่ทำงานไหนๆ   คุณเป็นคนใหม่ เพิ่งออกมาทำงานเป็นครั้งแรก   ก็ย่อมจะรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง   ต่อไปนานเข้าคุณก็จะชินไปเอง”

ชลานั่งนิ่ง   เธอกำลังคิดว่ามันอาจจะเป็นจริงอย่างที่เขาพูดมานั้นก็เป็นได้   เมื่อแรกที่เริ่มคิดจะออกมาทำงานนอกบ้านนั้น   ชลามิได้หวังไว้ว่าจะมาพบกันเรื่องยุ่งๆ ที่รบกวนจิตใจและความรู้สึกถึงขนาดนี้   นอกจากหวังด้วยความเบิกบานใจว่า เธอจะได้มีรายได้ของเธอเอง   ไม่ต้องรบกวนของบิดาและมารดาอีกเท่านั้น     อีกใจหนึ่ง หญิงสาวกำลังนึกค้านคำพูดของผู้จัดการอยู่   ที่เขาสอนว่าไม่ต้องไปเอาใจใส่ว่าใครจะคิดอย่างไรนั้น จะเป็นการถูกต้องแน่แล้วหรือ   ในเมื่อเธอยังจะต้องทำงานร่วมสถานที่เดียวกันกับคนอื่นอีกตั้งหลายสิบคนเช่นนี้   ฉะนั้น ความคิดเห็นของเขาตลอดจนสายตาที่พวกเขาใช้มองดูเธอนั้น คงจะต้องรบกวนความรู้สึกของเธออยู่บ้างเป็นแน่   เธอจะต้องอยู่ในโลกนี้รวมกับมนุษย์ปุถุชนอื่นๆ   การที่จะไม่ยอมสนใจต่อความคิดเห็นของเขาเสียเลยนั้น   ออกจะเป็นเรื่องสุดวิสัยไปสักหน่อยละกระมัง

“ผมจะออกไปธุระข้างนอกก่อน”   อารีย์บอกกล่าวเป็นการจบสนทนาที่ดำเนินมาแล้วนั้น   “แล้วจะให้เด็กจัดอาหารกลางวันมาให้อย่างเคย   ถ้าธุระของผมเสร็จเร็วบางทีจะแวะมากินกลางวันด้วยคน”

แล้วเขาก็หัวเราะให้เธอเหมือนกับหัวเราะให้เด็กหลงทางซึ่งเขาช่วยเอาไว้   ก้าวยาวๆ ออกจากห้องไป  

อีกสิบห้านาทีต่อมา   เด็กรับใช้ก็ยกถาดใส่อาหารเข้ามาอย่างที่เคย   ควันจากหม้อเกาเหลาใบเล็กลอยขึ้นเป็นสาย   ขณะที่เด็กแบกถาดเดินผ่านกลางระหว่างโต๊ะของเธอและผู้ช่วยผู้จัดการเข้าไปยังห้องข้างใน   ชลามองตามด้วยสายตาอันเลื่อนลอย   กลิ่นอันหอมหวนของอาหารราคาแพงนั้นมิได้ยั่วให้เธอเกิดความรู้สึกหิวโหยเลยแม้แต่น้อย

มีเสียงเคลื่อนไหวจากโต๊ะของผู้ช่วยผู้จัดการ   ชลาหันไปมองดูก็เห็นว่าเขากำลังมองดูเธออยู่แล้ว

“ถ้าคุณเบื่ออาหารพวกนี้” เขากล่าวขึ้นด้วยเสียงที่เคร่งขรึม   “ที่ตรอกข้างบริษัทนี้มีร้านก๋วยเตี๋ยวเล็กๆ อยู่ร้านหนึ่งที่ทำได้อร่อยพอใช้ทีเดียว”

“ขอบคุณค่ะ” ชลาพึมพำ   “แต่ว่าดิฉัน... ดิฉัน...” เธอมองสบตาเขา ลังเลใจเล็กน้อย แล้วจึงตัดสินใจบอกไปตามตรงว่า   “ดิฉันยังไม่เคยเข้าไปนั่งรับอาหารในร้านตามลำพังเลยสักครั้งเดียว”

ดวงตาของชายหนุ่มทอประกายอย่างหนึ่งซึ่งชลามิเคยเห็นมาก่อน   แต่มิได้ทำให้เธอบังเกิดความรู้สึกไม่สบายใจดุจเดียวกับที่เมื่อถูกเขามองดูในครั้งแรก   ตรงกันข้าม   มันกลับทำให้เธอบังเกิดความรู้สึกสบายใจขึ้นเป็นอันมาก เมื่อมองเห็นดวงตาของเขาในขณะนี้

“เมื่อผมแนะนำร้านก๋วยเตี๋ยวร้านนี้แก่คุณ”   สันทัดกล่าวช้าๆ ชัดเจนทุกถ้อยคำ   “นั่นก็หมายความว่า ผมจะเป็นคนพาคุณไปน่ะซีครับ คุณชลา”

จบบทที่ 11