นางละเมียร โสภณา กำลังเตรียมตัวจะเข้านอนอยู่แล้ว เมื่อบุตรีไปเคาะประตูเรียกในคืนนั้น เมื่อได้รับอนุญาตให้เข้าไปได้ ชลาก็เปิดประตูเข้าไป เดินย่องๆไปทรุดกายลงนั่งบนพื้นกระดานที่เช็ดถูไว้จนเป็นมันใกล้กับมารดา ผู้ซึ่งกำลังใช้พัดขนนกโบกกระพือลมให้ตนเองอยู่หน้าตั่งซึ่งใช้แทนเตียงนอน ผ้าคลุมถูกเลิกออกเรียบร้อยแล้ว เห็นฟูกอันหนากว้างปูด้วยผ้าปูสีขาวสะอาดตึงเปรี๊ยะ
ชลาสูดกลิ่นหอมชื่นใจของกลิ่นน้ำอบไทยที่มารดาประพรมไว้ทั่วร่างนั้นเต็มแรง ร้องว่า
“เฮ้อ.. ชื่นใจ... กลิ่นหอมอย่างไทยๆ เรานี่หอมเย็นๆ ชื่นใจดีเหลือเกินนะคะ”
“จ้ะ แล้วก็ไม่ค่อยจะเปลืองสตางค์ดีด้วย” มารดารับ “ไอ้อย่างของฝรั่งที่แม่สายเขาซื้อมาใช้น่ะ ขวดเดียวราคาตอกเข้าไปตั้งเป็นร้อยๆ น้ำอบของหนูหมดแล้วหรือยังเล่าจ๊ะ มาแบ่งเอาที่แม่ไปใช้บ้างซิ นี่แม่ลองปรุงอย่างใหม่ดู”
“ยังไม่หมดหรอกค่ะ ถ้าหมดแล้วหนูจะมาขอแบ่งจากแม่บ้าง” ชลามองไปรอบๆห้อง ถามว่า “นี่คุณพ่อยังไม่ออกจากห้องสมุดอีกหรือคะ?”
“จ้ะ ไม่รู้ดอกหรือว่า เดี๋ยวนี้คุณพ่อกำลังจะแต่งตำรับตำราเกี่ยวกับทางศาสนา อยู่ นอนดึกๆ มาตั้งเดือนหนึ่งได้แล้ว”
“ตายจริง” ชลาอุทาน “ไม่ทราบหรอกค่ะ ก็พอหนูเอากาแฟเข้าไปให้ท่านตอนสามทุ่ม ท่านก็บอกหนูทุกคืนว่า ไปนอนเสียเถิดไป๊ ประเดี๋ยวพ่อก็จะนอนเหมือนกัน”
“ประเดี๋ยวของคุณพ่อ คือห้าทุ่มเป็นอย่างน้อย” มารดาบอก
“โธ่ แล้วหนูก็เลยนอนหลับเสียสบายไปเลยทุกคืน นึกว่าคุณพ่อคงนอนแล้วเหมือนกัน ช่างเป็นลูกที่ดีเหลือเกินนะคะ หนูนี่”
“แม่ก็เหมือนกันแหละจ้ะ แต่แรกๆ แม่ก็คอยเข้านอนพร้อมคุณพ่อหรอก ท่านก็เอ็ดเอาทุกทีว่าไม่ให้คอย ทำให้ท่านเป็นห่วง อ่านเขียนหนังสือไม่รู้เรื่อง แล้วแม่ก็ง่วงนอนพอดีกันน่ะลูก ตอนหลังนี่แม่ก็เลยเข้านอนก่อน”
“นี่แม่ก็กำลังเตรียมตัวจะเข้านอนแล้วซีคะใช่ไหม?”
“ยังไม่นอนหรอกจ้ะ แม่เพิ่งอาบน้ำเสร็จประแป้งแล้วกำลังนั่งพัดให้ตัวแห้ง ก็พอดีหนูเข้ามา เป็นยังไงจ๊ะ รับทานข้าวบ้านคุณลุงอร่อยไหม?”
“ก็อร่อยเหมือนกันแหละค่ะ แล้วก็ฟังคุณสำราญคุยกับคุณลุงสนุกดี”
ชลาบอกพร้อมกับหัวเราะ เมื่อนึกถึงภาพที่โต๊ะอาหารอันกว้างขวางที่บ้านของกรวิภา ในตอนค่ำวันนั้น มีแต่เสียงของสามีกิติมาคนเดียวที่ดังลั่น เกือบจะไม่มีการหยุดพัก คุณลุงก็ได้แต่พยักหน้าหงึกๆ นานๆ ก็พูดออกมาเสียสักประโยคหนึ่ง
นางละเมียรมองดูบุตรีนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงบอกว่า
“แม่กิติมาเขาดีกับหนูอยู่หรือ?”
“ก็ไม่เห็นมีอะไรนี่คะ” ชลาบอก “ทักทายดี เป็นแต่ว่าช่างซักถามหน่อยเท่านั้น แต่กับคุณสำราญน่ะ หนูไม่ค่อยรู้จัก แต่ก็...เป็นคนน่าขันดีนี่คะ”
“แม่กิติมาเขาถามอะไรหนูบ้าง?” มารดาซัก
“ก็ถามอย่างธรรมดาๆ นี่แหละค่ะ ว่าหนูยังเรียนหนังสืออยู่หรือเปล่า พอบอกว่าไม่ได้เรียนแล้ว ก็ถามต่อไปว่า ทำงานที่ไหน”
“แล้วหนูว่าไง?”
“หนูไม่ได้ว่ายังไงหรอกค่ะ” ชลาหัวเราะ “แต่กรวิภาซีคะ เขาจัดแจงฝากฝังให้คุณสำราญกับคุณกิติมาช่วยหางานให้หนูทำเสร็จทีเดียว”
“อ้อ” มารดารับรู้ด้วยเสียงในลำคอค่อยๆ “แล้วเขาว่ายังไงเล่าจ๊ะ คุณสำราญกับแม่กิติมาน่ะ”
“ก็เห็นเขารับปากรับคำเป็นอย่างดีนี่คะ แต่คุณลุงท่านบอกให้หนูมาถามความเห็นคุณพ่อดูเสียก่อนว่า ท่านจะว่าอย่างไร”
“แล้วคุณลุงท่านไม่ว่าอย่างไรหรอกหรือ?”
“ท่านบอกว่า อยากจะทำงานทำไมไม่บอกท่าน” ชลาเล่า “หนูก็ไม่ทราบว่าจะเรียนท่านว่าอย่างไร เพราะคุณพ่อบอกว่า คุณลุงกำลังไม่สบายไม่อยากไปรบกวนใจท่าน แล้วอีกอย่างหนึ่ง หนูไม่นึกว่ากรวิภาเขาจะใจเร็วปุบปับพูดกับคุณสำราญอย่างนั้น เมื่อเขารับปากรับคำแล้ว ก็เลยไม่ทราบว่าจะทำอย่างไร”
นางละเมียรนิ่งเงียบไปอย่างใช้ความคิด มือที่ถือพัดโบกไปมานั้นหยุดพัดวางไว้บนตักเฉย ครู่หนึ่งจึงได้เอ่ยถามบุตรีว่า
“แล้วหนูอยากจะทำงานจริงๆหรือจ๊ะ?”
ชลาทรุดกายลงในท่าหมอบ เอียงศีรษะลงเคลียกับต้นขาของมารดาอย่างประจบ
“หนูรู้สึกเบื่อที่จะต้องอยู่กับบ้านเฉยๆ เหลือเกินค่ะ แม่ คล้ายกับว่าตัวเองเป็นคนไม่มีประโยชน์ ได้แต่นั่งนอนใช้เงินของพ่อแม่อยู่ทุกวัน เหมือนคนไม่มีความสามารถ ถ้าหนูมีรายได้ของหนูเอง อย่างน้อยหนูก็คงจะรู้สึกสบายใจขึ้นบ้างว่า เดี๋ยวนี้หนูโตแล้ว ไม่ต้องรบกวนคุณพ่อและแม่อีกแล้ว”
โดยปกติ นางละเมียรก็เป็นบุคคลที่ไม่ชอบพูดมากอยู่แล้ว นางมักจะพูดแต่ในสิ่งที่เห็นว่าจำเป็นจะต้องพูด และก่อนพูดสิ่งใดออกมา ก็มักจะไตร่ตรองและใคร่ครวญดีแล้ว ชลาผู้ซึ่งรู้จักนิสัยใจคอของมารดาดี หลังจากที่ได้ชี้แจงเหตุผลและความคิดของตนเองแก่มารดาแล้ว ก็นิ่งคอยฟังอยู่ นางละเมียรนิ่งไปเป็นครู่ใหญ่ แล้วจึงเอ่ยถามขึ้นลอยๆว่า
“นี่เมื่อไหร่พ่อกวีเขาจะกลับมาจากเมืองนอกจ๊ะ เขาบอกหนูหรือเปล่า?”
“อีกในราวสองเดือนค่ะ” ชลาตอบ เงยหน้าขึ้นมองมารดาด้วยความสงสัย ไม่เข้าใจว่าเหตุใด ท่านจึงได้เปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปเช่นนั้น
“เขาบอกมาในจดหมายหรือจ๊ะ?”
“ค่ะ”
“เขาเขียนจดหมายมาถึงหนูบ่อยๆไม่ใช่หรือ”
“บ่อยค่ะ” ชลาตอบ นึกขันแกมพิศวงอยู่ในใจว่า วันนี้มารดาช่างกลายเป็นคนช่างซักถามไปได้อย่างประหลาด แต่เธอก็มิได้ระบายความคิดนั้นออกมาเป็นคำพูด ยังคงนิ่งฟังท่านต่อไป นางละเมียรถามต่อไปว่า
“เขาพูดมาว่ายังไงบ้างหรือเปล่าจ๊ะ ในจดหมายนั่นน่ะ?”
“พูดว่ายังไงคะ?” ชลามองดูหน้าท่านอย่างสงสัยและร้องอ๋อออกมา เมื่อได้รับคำตอบว่า
“ก็พูดเป็นทำนองว่ารักชอบหนู อยากจะแต่งงานด้วย หรืออะไรทำนองนั้น”
“ไม่เคยหรอกค่ะ” ชลาตอบ หลังจากได้พยายามทบทวนความจำอันเกี่ยวกับจดหมายที่เธอได้รับจากกวี “พี่กวีเคยเขียนมาแต่ว่า อยากรู้ว่าหนูเปลี่ยนไปจากเดิมหรือเปล่า แล้วก็ดีใจที่จะได้กลับมาพบ อะไรทำนองนี้แหละค่ะ”
“แล้วก็แม่สายธารล่ะจ๊ะ พ่อกวีเคยเขียนอะไรมาถึงเขาบ้างหรือเปล่า?”
“เอ เรื่องนี้หนูไม่ทราบหรอกค่ะ” ชลาตอบไปตามความจริง “ไม่เคยเห็นพี่สายธารเล่าอะไรให้ฟังสักที แต่ถ้าแม่อยากทราบ หนูจะลองถามพี่สายธารดูเอาไหมคะ?”
“อย่าจ้ะ อย่าไปถามเขาเลย” นางละเมียรรีบยกมือขึ้นโบกห้ามโดยเร็ว นิ่งคิดไปอีกอึดใจใหญ่ แล้วจึงบอกว่า “ตามใจเถอะ ถ้าหนูอยากจะลองทำงานดูสักพักหนึ่ง แต่ก็ควรจะเรียนและปรึกษาคุณพ่อดูเสียก่อนที่จะไปตกลงรับปากรับคำกับเขา”
“แม่คิดว่า คุณพ่อจะอนุญาตไหมคะ?”
“ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ท่านจะไม่อนุญาตนี่จ๊ะ” มารดาว่า “ว่าแต่คุณสำราญกับ แม่กิติมาเขารับปากรับคำเป็นมั่นเหมาะแล้วหรือจ๊ะ ว่าจะหางานให้หนูได้แน่?”
“ค่ะ คุณสำราญว่าจะช่วยฝากให้ แล้วยังสั่งให้หนูไปงานวันเกิดของคุณกิติมาด้วยเลยค่ะ บอกว่าจะได้แนะนำให้รู้จักกับใครๆบ้าง”
“สำหรับที่จะได้ช่วยฝากงานให้อย่างนั้นรึ?”
นางละเมียรถามด้วยคำถามประโยคนี้เอง ที่ทำให้ชลารู้สึกถึงความจริงที่ว่า มารดาของหล่อนนั้นช่างมีอุปนิสัยคล้ายคลึงกับบิดาเสียนี่กระไร ทั้งสองท่านเป็นคนพูดน้อยประหยัดปากประหยัดคำด้วยกันทั้งคู่ และไม่นิยมที่จะกล่าวขวัญถึงผู้อื่นในแง่ที่ต้องแสดงความคิดเห็นโดยไม่จำเป็น แต่คราวใดที่กล่าวออกมาแล้ว ท่านมักจะชี้ได้ตรงจุดไม่ผิดพลาดเสมอ เห็นจะเป็นเพราะเหตุนี้กระมัง ที่ทำให้ท่านครองชีวิตร่วมกันมาได้อย่างสงบเรียบอย่างน่าอัศจรรย์ใจ กวีเองยังถามชลาด้วยความพิศวงว่า
“นี่ชลา วันหนึ่งๆ เธอเคยได้ยินคุณพ่อกับคุณแม่ของเธอคุยกันสักสองประโยคถึงไหม?”
และชลาก็ตอบออกไปตามตรงว่า “ไม่รู้ซี ชลาไม่ค่อยจะได้พบท่านพร้อมๆ หน้ากันสักที ถึงท่านอยู่ด้วยกัน ท่านก็ไม่คุยกัน คุณพ่ออ่านหนังสือ แล้วแม่ก็อบผ้าบ้างทำบุหงาบ้าง จัดผักดองใส่ขวดบ้างอะไรพวกนี้แหละ”
เมื่อมารดาตั้งคำถามออกมาเช่นนั้น ชลาจึงนิ่งคิดอยู่ ความจริงพี่เขยของกรวิภาก็ได้บ่งบอกความตั้งใจของเขาออกมาจริงตามที่มารดาของเธอเข้าใจ แต่ชลายังคิดไม่ตกว่า เธอควรจะรับรองให้หนักแน่นยิ่งขึ้นหรือไม่ เธอเป็นคนที่ไม่เฉียบขาดในการตัดสินใจ ช่างไม่รับช่วงเอาคุณสมบัติอันนี้ ซึ่งทั้งบิดาและมารดาของเธอมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมถ่ายทอดมาไว้เสียบ้างเลย
“ก็แม่คิดว่าหนูควรจะไปไหมล่ะคะ?” ชลาย้อนถามด้วยเสียงอ่อยๆ “ถ้าแม่เห็นว่าไม่ควร หนูก็จะไม่ไปละค่ะ”
“แม่สายธารเขาก็ไปเหมือนกันไม่ใช่หรือจ๊ะ?”
“คงไปค่ะ หนูได้ยินพี่สายธารปรึกษากับกรวิภาเรื่องเสื้อผ้าอยู่นี่คะ”
“ถ้าหนูไป หนูคิดว่าจะแต่งตัวยังไงเล่าจ๊ะ?”
“ยังไม่ทราบเลยค่ะ” ชลาบอก “แต่แม่คิดว่าหนูควรจะไปหรือคะ?”
“เมื่อคุณสำราญกับแม่กิติมาเขาออกปากชวนแล้ว หนูก็ควรจะไป ยังไงๆ ก็คิดเสียว่า เขาเป็นผู้ใหญ่กว่าเรา เราเป็นเด็กกว่าเขา เมื่อผู้ใหญ่มีแก่ใจออกปากชวน ก็ควรจะไม่ปฏิเสธ เขาจะคิดไปว่าเราหัวแข็ง เล่นตัวไม่เข้าเรื่อง”
“หนูกลัวอยู่อย่างเดียวแหละค่ะ กลัวว่าจะไม่รู้จักใครที่ในงาน แล้วก็จะต้องคอยตามเกาะพี่สายธารแจ เดี๋ยวพี่สายธารจะรำคาญแย่เท่านั้น”
“ของพรรค์นี้เรารู้ล่วงหน้าไม่ได้ดอกจ้ะ” มารดากล่าวช้าๆเป็นการสั่งสอนไปในที “ความจริงได้ไปออกงานออกการเสียบ้างก็ดี ถึงเวลาแล้วที่หนูควรจะหัดดูคน ว่าคนไหนควรคบ และคนไหนไม่ควรคบ”
“แหม ชักใจไม่ดีเสียแล้วซีคะ” ชลาร้องเสียงอ่อยๆ “ เขาจะเห็นว่าเราเปิ่นหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“เรื่องนี้มันอยู่ที่ตัวเราจ้ะ” มารดาสอนต่อไป “ข้อสำคัญเราต้องมั่นใจว่า เราวางตัวถูกต้องไม่น่าเกลียด แล้วคนอื่นเขาก็จะเห็นเอง แต่อะไรก็ตาม หนูต้องไปขออนุญาตคุณพ่อเสียก่อนนะจ๊ะ แล้วค่อยไปบอกแม่กิติมาเขาเสียอีกครั้งหนึ่งว่าจะไปหรือไม่ไป”
บิดาของชลาไม่มีอะไรขัดข้อง เมื่อเธอเข้าไปเรียนขออนุญาต ท่านเพียงแต่พยักหน้าแล้วบอกว่า
“ไปบอกแม่ให้เขาจัดแจงเรื่องเสื้อผ้าเครื่องแต่งตัวให้ซี”
ท่านพูดราวกับว่าชลามีอายุเพียงสิบขวบ มิใช่หญิงสาวอายุยี่สิบ และยังสำเร็จวิชาการเรือนแล้วด้วยเช่นนี้ นางละเมียรฟังด้วยสีหน้ายิ้มๆ เมื่อบุตรีมาเล่าถึงถ้อยคำของบิดาให้ฟัง นางลุกไปที่มุมห้อง ซึ่งเป็นที่วางหีบไม้การบูนขนาดใหญ่เรียงกันอยู่สองใบ ปลดพวงกุญแจออกจากเข็มขัดเงินที่คาดอยู่ เลือกได้ลูกกุญแจดอกหนึ่งขึ้นมาไขหีบใบหนึ่งเปิดฝาออก แล้วก็พยักหน้าเรียกธิดาให้เข้ามาใกล้
“โอ้โฮ แม่มีผ้าสวยๆแยะจัง” ชลาร้องเมื่อคลานเข้าไปใกล้และมองเห็นสิ่งของที่บรรจุอยู่ในหีบนั้นแล้ว “หนูยังไม่ทราบว่าแม่สะสมผ้าไหมไว้มากมายอย่างนี้”
“ของเก่าของแก่ทั้งนั้นแหละจ้ะ” มารดาบอก “แม่สะสมมาเรื่อยๆ ตั้งแต่แม่ยังสาวๆ อยู่ บางผืนก็ยังไม่ได้ตัดเย็บ เลือกเอาไปซี ลูก ชอบผืนไหนก็....”
ชลาสอดปลายมือเข้าไปจับต้องผ้าไหมที่พับซ้อนกันอยู่เป็นตั้งๆ ในหีบนั้นทีละผืนกลับไปกลับมาอย่างตัดสินใจไม่ถูก เป็นครู่จึงร้องว่า
“แหม เลือกไม่ถูกเลยค่ะ มันสวยไปหมดทุกผืน จะเอาผืนนี้ก็เสียดายผืนโน้น จะเอาผืนโน้นก็เสียดายผืนนั้น โอ๊ย เลือกไม่ถูกจริงๆ”
“เด็กโลภมาก” มารดาว่าอย่างเอ็นดู “จะต้องไปเสียดายทำไม ผืนอื่นก็เก็บเอาไว้ตัดไปงานอื่นซีจ๊ะ ต่อไปนี้หนูก็คงจะต้องอออกงานออกการบ่อยๆ ละ จะไปงานไหนก็มาเลือกไปเถอะ แม่ให้หนูหมดแหละ แม่เก็บไว้ก็ไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไร แก่แล้วไม่ค่อยจะมีธุระได้ไปไหนมาไหนเหมือนเมื่อก่อน”
“โอย.. แหมดีใจจริง” แขนขาวๆ เรียวๆ ทั้งคู่กางออกรวบรัดร่างอันเริ่มชราแล้วของผู้เป็นมารดาไว้แน่น ดวงหน้ารูปหัวใจซบแนบลงกับต้นแขนของท่าน และดวงตาที่ใสซึ้งนั้นก็เป็นประกายวับวาวด้วยความปิติเต็มตื้นอย่างเหลือจะประมาณ
“พี่สายธารคงจะอิจฉาแย่ที่หนูมีผ้าสวยๆ ตั้งมากมายก่ายกองอย่างนี้”
“เขาไม่ควรจะอิจฉาหนูหรอก” นางละเมียรพูดด้วยเสียงเรียบๆ “เพราะคุณป้าก็มีมากเหมือนกัน คุณป้าน่ะชอบเล่นของฝรั่ง ไม่ชอบของไทยๆ อย่างแม่”
“แล้วอีกอย่างหนึ่งที่พี่สายธารต้องแพ้หนู ก็คือคุณป้าอายุสั้นกว่าแม่ยังไงล่ะคะ เลยไม่มีโอกาสได้สะสมอะไรต่ออะไรมากมายอย่างแม่ แหมหนูโชคดีจังที่เกิดทีหลัง ก็เลยได้เป็นลูกของแม่ ถ้าหนูเกิดก่อนก็แย่ซีนะคะ”
“ชลาพูดเรื่อยเจื้อยไปโดยหาได้ทันคิดไม่ว่าคำพูดของตนนั้น จะเป็นการสมควรหรือไม่เพียงไร ต่อเมื่อร่างของมารดาที่ยังอยู่ในวงแขนของเธอบังเกิดมีอาการแข็งขึ้นมาในฉับพลัน พร้อมกันนั้น ท่านก็เอื้อมมือมาปลดมือที่ประสานโอบอยู่รอบตัวท่านนั้นออกและพูดด้วยเสียงแข็งๆว่า
“ชลา รู้ตัวหรือเปล่าว่าพูดอะไรออกมา?”
นั่นแล้ว ชลาจึงตกใจเป็นกำลัง
“หนูไม่ควรจะพูดอย่างนั้น” ท่านกล่าวต่อไปด้วยเสียงที่ขรึมและค่อนข้างชาเย็น “ใครที่ไม่รู้ความจริงมาได้ยินเข้า จะกลายเป็นว่าแม่กีดกันลูกเลี้ยง รักใคร่เอาอกเอาใจแต่ลูกของตัว แล้วแม่สายธารเขาก็เป็นหลานแท้ๆ ของแม่ ไม่ใช่ใครอื่น”
“แต่ แม่คะ” ชลาร้องเสียงหลง “ชลาไม่ได้หมายความไปถึงอย่างนั้นนี่คะ หนูหมายความแต่เพียงว่า..”
“รู้แล้วละจ้ะ แม่เข้าใจดีว่า ชลาตั้งใจจะหมายความว่าอย่างไร แต่หนูก็ไม่ควรจะพูดอย่างนั้น คนอื่นมาได้ยินเข้าจะไม่ดี จะมีสักกี่คนกันที่รู้ความจริงว่าที่แม่ไม่ค่อยจะได้ยุ่งเกี่ยวดูแลแม่สายธารนั้นก็เพราะเป็นความประสงค์ของเขาเอง เขาอยากจะปกครองตัวเอง และคุณพ่อก็อนุญาตแล้ว สมบัติทุกชิ้นของคุณป้า คุณพ่อก็มอบให้พี่สาวของหนูไปจนหมด ทุกสิ่งทุกอย่างที่แม่ใช้อยู่ทุกวันนี้น่ะเป็นของแม่หามาด้วยน้ำพักน้ำแรงของแม่เองทั้งนั้น เพราะฉะนั้นถ้าใครจะมาพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ ถ้าจำเป็นที่หนูจะต้องพูดแล้ว หนูก็พูดออกไปอย่างที่แม่พูดมานี่เถอะจ้ะ”
ชลานิ่งอึ้ง ยังแยกแยะไม่ถูกว่าความรู้สึกและความประสงค์ของมารดาในขณะนั้นเป็นอย่างไร สิ่งเดียวที่เธอแน่ใจก็คือเธอทำผิด เท่านั้นเอง นางละเมียรนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วจึงบอกต่อไปว่า
“หนูโตมากแล้ว จะพูดอะไรออกมาต้องรู้จักยั้งคิดตริตรองให้รอบคอบเสียก่อน จะทำอะไรลงไปก็เหมือนกัน ต้องคิดให้ดี อย่าวิ่งตามอารมณ์จะลำบาก เราเป็นผู้หญิงนะจ๊ะ ต้องระวังตัวให้มาก”
ชลานิ่งฟังโดยดุษณี ตาจับอยู่ที่ตั้งผ้าไหม ขณะที่ใจคอห่อเหี่ยวลงเช่นนี้ ความสวยงามของผ้าไหมก็กลับดูสลดถดถอยลงถนัดใจทีเดียว ดังนั้น เธอจึงไม่เกี่ยงงอนหรือขัดแย้งอะไรต่อไป เมื่อมารดาหยิบผ้าสองชิ้นแยกออกมาจากตั้งสูงนั้นส่งให้ แล้วบอกว่า
“หนูเอาสองชิ้นนี้ไปเลือกดูก็แล้วกัน ถ้าตกลงชิ้นไหนละก็มาบอกแม่นะจ๊ะ แม่จะเลือกเครื่องแต่งตัวไว้ให้”
ชลาพนมมือกราบลงบนต้นแขนของมารดา หยิบผ้าทั้งสองผืนแล้วคลานถอยออกมาเงียบๆโดยไม่พูดว่ากระไร หญิงสาวหารู้ไม่ว่า ดวงตาของผู้เป็นมารดาได้มองตามหลังมาด้วยความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความห่วงใยอย่างลึกซึ้ง หญิงสาวกลับมาที่ห้องของหล่อน ทรุดกายลงนั่งบนเตียงนิ่งๆ ครู่หนึ่งโดยมีผ้าไหมทั้งสองผืนวางพาดอยู่เหนือตัก แล้วก็ผุดลุกขึ้นสลัดศีรษะแรงๆ บอกว่า
“ไม่เห็นเข้าใจว่าแม่ต้องการจะให้เราทำอะไรแน่ คิดมากก็ปวดหัว ตัดเสื้อดีกว่า”
เธอหยิบผ้าไหมผืนหนึ่งคลี่ออก เดินไปหยุดยืนอยู่หน้ากระจกเงาบานยาว ลองใช้ผ้าไหมผืนนั้นพาดพันร่างดูหันไปทางนั้นบิดไปทางนี้ แล้วก็เปลื้องออก หยิบผืนใหม่มาลองทำอย่างเดียวกันนั้น ความสวยงามสูงค่าของผืนผ้าและความอิ่มเอมใจที่ได้เป็นเจ้าของมีกรรมสิทธิ์ในมัน ได้ก่อให้เกิดภาพสะท้อนที่สวยงามน่าดู ออกมาจากกระจกเงาบานนั้น ภาพของดรุณีงดงามน่ารัก พาดพันร่างไว้ด้วยผืนผ้าอันสดสวย สอดแทรกด้วยไหมเงินและทองอย่างประณีต ลวดลายอันวิจิตร ดรุณีนั้นมีดวงหน้าอันอิ่มเอมเปล่งปลั่งและดวงตาที่ทอประกายใสซึ้งเป็นประกายวาววับน่าดูยิ่ง
อยากเห็นเหลือเกินว่าชลาจะเปลี่ยนแปลงไปมากสักเพียงไหน กวีเคยเขียนจดหมายมาเช่นนี้ อา ชลาก็อยากที่จะให้เขามาเห็นนักว่า เธอเปลี่ยนแปลงไปมากสักเพียงไหน