ดวงใจนี้ใครครอง

>> สุภาว์ เทวกุลฯ

ดวงใจนี้ใครครอง

บทที่ 4

บัดนี้ เจ้าลูกไก่น้อยคู่นั้นเติบโตใหญ่ขึ้นเต็มที่แล้ว  : แถมมันยังมีเจ้าลูกเจี๊ยบน่ารักน่าเอ็นดูออกมาให้ดูเล่นเพลินๆ อีกถึงสิบเอ็ดตัว  : มันช่างเป็นสัตว์ที่แสนรู้นัก  : ถึงแม้ว่าชลาจะเปิดประตูกรงทิ้งไว้ตลอดเวลา มันก็จะพาลูกของมันออกมาคุ้ยเขี่ยหากินแต่เฉพาะตอนกลางวันเท่านั้น  : แต่พอตกเย็นมันก็จัดแจงต้อนลูกเข้ากรงจนหมดสิ้น  : เดี๋ยวนี้เจ้าลูกไก่เคราะห์ร้ายที่เคยเกือบตกเป็นเหยื่อของเจ้าก้อนแป้ง เติบโตเต็มที่แล้ว  : มันมีปากที่ว่องไว มีปีกที่แข็งแรงทรงพลัง  : และมีเดือยอันแหลมคมน่าหวั่นเกรง จนกระทั่งเจ้าก้อนแป้งที่ชราลงทุกวันรู้สึกขยาดไม่กล้าเฉียดกรายไปตอแยอีกเลย  : ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งดีขึ้นและเลวลง

ละจากกรงไก่งวง ชลาเดินเรื่อยมาลงนั่งบนเก้าอี้สนามหน้าบ้าน อันเป็นที่ที่เธอชอบมานั่งคอยบิดาอยู่เป็นประจำ  : ต้นพู่เรือหงส์ที่เป็นรั้วกั้นอยู่ระหว่างบ้านของเธอและบ้านของกวี ดกทึบขึ้นจนมองเข้าไปเห็นบ้านโน้นได้โดยยาก  : คล้ายกับว่ามันเป็นเครื่องบอกถึงความเหินห่างของบ้านทั้งสอง... มิได้... จะพูดเช่นนี้ก็ไม่ถูกนัก  : เพียงแต่ตัวเธอเท่านั้นดอกที่รู้สึกเหินห่าง  : มิได้หมายความรวมไปถึงใครต่อใครด้วย  : โดยเฉพาะอย่างยิ่งสายธาร พี่สาวต่างมารดาของเธอ  : เพราะเดี่ยวนี้ สายธารยิ่งทวีความสนิทสนมกับบ้านโน้นยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน  : เธอต่างหากเล่าที่เป็นฝ่ายเหินห่างออกมา  : ขาดกวีเสียคนเดียว ก็ดูเหมือนว่าเธอกับบุคคลที่อยู่ ณ บ้านโน้น แทบจะไม่มีความสัมพันธ์กันเสียเลย  : นึกถึงกวี... อยากจะเห็นเหลือเกินว่าเขาจะเปลี่ยนแปลงไปมากสักแค่ไหน  : จะยังเป็นพี่กวีคนเดิม ที่ช่างพูดช่างเล่น และแสนจะเห็นชลาเป็นคนสำคัญ  : คอยตามใจ เอาใจใส่อยู่ตลอดเวลา  : หรือจะกลับกลายเป็นคุณกวี  : หนุ่มหัวนอกที่โก้หรูหรา จนกระทั่งมองเห็นชลาคนนี้คร่ำครึและต่ำต้อยด้อยความสำคัญไป  : ถึงแม้ว่าจดหมายของเขาจะแสดงความสนิทสนมอยู่อย่างเดิม หรือบางครั้งก็ยิ่งกว่าเดิม  : แต่ยึดถือเอาว่า ความรู้สึกนึกคิดของเขาจะเป็นเช่นเดียวกับข้อความในจดหมาย หาได้ไม่  : สิ่งเดียวที่ชลายังพอรู้สึกอุ่นใจอยู่บ้างก็คือ ความเสมอต้นเสมอปลายของเขาในการเขียนจดหมายถึงเธอเท่านั้น

ชลาได้ยินเสียงล้อรถบดกรวดเบาๆ เลี้ยวเข้าไปในบ้านโน้น  : เสียงประตูรถเปิดและปิด  : เสียงพูด... และเสียงหนึ่งนั้น... ชลาจำได้ว่าเป็นเสียงรถของสายธาร  : ครู่หนึ่งต่อมาก็มีเสียงรองเท้าส้นสูงย่ำมาอย่างรวดเร็วสู่รั้วที่กั้นอยู่ระหว่างบ้าน  : แล้วร่างของสายธารก็ผ่านเข้ามา  : หล่อนร้องทักชลาว่า

“อ้อ  : นั่งอยู่นี่เองแหละหรือ?”

แล้วก็สาวเท้าโดยเร็ว วิ่งครึ่งเดินครึ่งขึ้นบันไดเรือนไป โดยมิพักหยุดพูดคุยด้วย  : แต่ชลาไม่รู้สึกอะไรแม้แต่น้อย  : ถึงแม้ว่าสายธารจะเป็นพี่สาวร่วมบิดา และมารดาของสายธารนั้นจะเป็นป้าแท้ๆ ของเธอก็จริงอยู่  : แต่การดำรงชีวิตและความคิดเห็นของสายธารนั้นแตกต่างกับของเธอมาก  : สองพี่น้องแทบจะไม่มีเวลาพูดคุยและแลกเปลี่ยนเล่าสารทุกข์สุขดิบสู่กันฟังอย่างพี่น้องทั้งหลาย

เสียงรองเท้าดังกุกๆ ตามสายธารมาอีก แล้วกรวิภาก็ผ่านเข้ามาอีกคนหนึ่ง  : หญิงสาวผู้นั้นหยุดชะงักเมื่อมองเห็นชลา  : ร้องทักว่า “แน่ะ ชลา” แล้วก็เดินเข้ามาหา

ชลามองดูญาติสาวของเธออย่างชื่นชม  : กรวิภาแต่งตัวได้สวยเรี่ยมและงดงามอยู่เสมอ  : สิ่งของที่หล่อนใช้สวม ล้วนแล้วแต่เป็นของดีมีราคาแพงทั้งสิ้น  : ดังเช่นวันนี้ หล่อนสวมกระโปรงพลีทพลิ้วไปทั้งตัวสีเหลืองสด  : เชิงกระโปรงเป็นลายพิมพ์กุหลาบเลื้อยสีดำ ฟ้า และเทาโดยรอบ  : ที่คอมีประคำแก้ว สีดำและฟ้าสลับ พันซ้อนกันอยู่หลายรอบอย่างน่าหนักแทน  : รองเท้าที่หล่อนสวมนั้นมีส้นสูงปรี๊ด แหลมเรียวตัดด้วยหนังดำเป็นมันปลาบ หัวแหลมเปี๊ยบทันสมัย  : ดวงหน้าของกรวิภาขาวผ่อง  : ผมเรียบเข้ารูปเข้าทรงอยู่เสมอไม่ว่าจะเป็นเวลาใด

“จับเจ่าอยู่กับบ้านทั้งวันอย่างนี้ ไม่เหงาบ้างหรือ?”

กรวิภาถามเมื่อเดินเข้ามาใกล้  : ชลาสั่นหน้าน้อยๆ บอกว่า

“ไม่เหงาหรอก ฉันเคยเสียแล้ว”

“อือ  : ถ้าเป็นฉัน ให้อยู่บ้านทั้งวันๆ อย่างนี้ ฉันคงเป็นบ้าตาย  : เห็นท่าจะแทบร้องกรี๊ดๆ ทีเดียว”

ชลามองดูญาติหญิงอายุรุ่นราวคราวเดียวกับหล่อนอย่างนึกขัน  : หล่อนเชื่อทีเดียวว่า กรวิภาอาจจะทำอย่างเช่นที่หล่อนพูดนั้นได้ และยังนึกเห็นภาพได้อย่างชัดเจนเสียด้วย

“นี่เธอไม่คิดจะออกไปทำงานทำการนอกบ้านกับเขาบ้างหรือ”  : กรวิภาถามต่อ  : “เสียแรงไปเรียนการบ้านการเรือนมา แล้วมาอยู่กับบ้านเฉยๆ น่าเบื่อออกจะตาย”

“โธ่ ฉันก็อยากจะไปทำงาน”  : ชลาว่า  : “แต่ไม่รู้ว่าจะไปหางานที่ไหนทำน่ะซี  : เรามันคนเล็กๆ แค่นี้  : ไม่รู้จักใครที่ไหน แล้วก็เก็บตัวอยู่แต่ในบ้านหูตาแคบออกจะแย่”

“เธออยากจะทำงานจริงๆ น่ะหรือ”

กรวิภาถาม  : แต่ก่อนที่ชลาจะทันตอบ สายธารก็โผล่ออกมาที่ประตูเรือน  : ในอ้อมแขนมีสมุดแบบเสื้อปึกหนึ่ง  : หล่อนคงสวมเครื่องแต่งกายชุดเดิม แต่ว่าเปลี่ยนจากรองเท้าส้นสูงมาสวมรองเท้าแตะฟองน้ำอย่างอยู่กับบ้านแทน  : หล่อนซอยเท้าวิ่งลงบันไดมา  : พยักหน้ากับกรวิภา  : กล่าวว่า

“ไปกันเถอะ กร”

“นั่นพี่สายเอาแคตล้อกมาจากไหนเยอะแยะ”  : ชลาถาม

“ขอยืมร้านตัดเสื้อเขามา”  : พี่สาวตอบ

กรวิภาบอกต่อไปว่า  : “เราจะไปงานวันเกิดคุณกิติมายังไงล่ะ ชลา  : เธอลืมเสียแล้วหรือ?”

ลืม?  : ชลาจำไม่ได้เสียด้วยซ้ำไปว่าเธอได้รับคำเชิญชวนให้ไปในงานวันเกิดของกิติมาตั้งแต่ครั้งไร

“ไปกันเถอะกรวิภา  : เดี๋ยวคุณกิติมาจะคอยนะ”  : สายธารเร่งแล้วหันมาเล่าให้น้องสาวฟังอย่างปลื้มอกปลื้มใจว่า  : “คุณกิติมากับกรเอารถไปรับพี่ที่ทำงานตั้งแต่ตอนเที่ยง  : เราไปกินข้าวกลางวันกัน แล้วเลยไปซื้อเสื้อผ้าสนุกใหญ่”

“แล้วพี่สายก็ต้องลางานครึ่งวันน่ะซิจ๊ะ”

ชลากล่าวเสียงเรียบๆ  : เธอรู้ดีว่านายงานของพี่สาวนั้นเข้มงวดเพียงไร  : สายธารยักไหล่ เหยียดริมฝีปากออกเล็กน้อยเมื่อตอบอย่างไม่เเคร์ว่า

“แน่ละ  : อีตาผู้จัดการไม่เห็นพูดอะไรสักคำเมื่อพี่เดินออกมา  : เห็นยิ้มเเป้น โค้งเเล้วโค้งเล่าเสียด้วยซ้ำไป”  : หล่อนหันไปพยักหน้ากับกรวิภา ชวนซ้ำว่า  : “ไปกันเถอะ กร”

“ไปด้วยกันซี ชลา”  : กรวิภาชวนชลาต่อ  : หญิงสาวสั่นศีรษะบอกว่า

“ไปกันเถอะจ้ะ  : ฉันจะคอยคุณพ่อ”

“แหม ลูกแหง่”  : กรวิภาว่า  : “ไม่เอาน่า มาคุยกันบ้างซี  : ตั้งแต่พี่กวีไม่อยู่นี่ เราแทบจะไม่เห็นหน้าเธอเลยนะชลา  : มาเถอะไปคุยกันสนุกๆ อย่าเล่นตัวนักเลย”

ชลาชมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ฟังคำพูดประโยคสุดท้ายของญาติสาว  : ขณะที่เธอยังยืนเฉยอยู่นั่น กรวิภาก็จับมือเธอฉุดออกเดิน  : ชลาจึงจำต้องเดินตามไปด้วยอย่างไม่สู้เต็มใจนัก เพราะไม่ต้องการจะถูกหาว่า ‘ เล่นตัว’ อีก  : สายธารเดินนำมาข้างหน้า  : นำขึ้นบันไดตึกแล้วเลี้ยวไปสู่บันไดชั้นบนอย่างว่องไว แสดงว่าหล่อนยังคุ้นเคยและเป็นกันเองกับบ้านนี้ดีเหลือเกิน  : ชลาเดินตามมาเงียบๆ  : สายธารเปิดประตูห้องหนึ่งออกมองเข้าไป  : ยิ้มอย่างดีใจแล้วหันมาบอกว่า

“คุณกิติมาอยู่ในนี้เองแหละกร”

ชลาก้าวตามสองสาวเข้าไป  : ห้องนั้นเป็นห้องส่วนตัวของกรวิภานั่นเอง  : เตียงนอนสีเหลืองอร่าม พนักหัวเตียงบุบวมงามหรูตั้งโดดเด่นอยู่ทางด้านหนึ่ง  : ตู้เสื้อผ้าใบใหญ่สามใบขัดขึ้นเงาจนเห็นเนื้อไม้ลอยเด่นเป็นสีน้ำตาลเข้มตัดขอบด้วยสีเหลืองตั้งเรียงกันอยู่ด้านหนึ่ง  : โต๊ะแต่งตัวเข้าชุดกันตั้งเยื้องอยู่ทางด้านหัวนอน  : อีกด้านหนึ่งตั้งเก้าอี้ชุดอันประกอบด้วยเก้าอี้นอนหนึ่ง และเก้าอี้ธรรมดาอีกสอง สีน้ำเงินสดใส  : พื้นห้องอันปูด้วยพรมน้ำมันสีฟ้าอ่อนตลอด และพื้นห้องระหว่างเตียงนอนกับเก้าอี้ชุดนั้นมีร่างของสตรีผู้หนึ่งนอนคว่ำท้าวแขนอยู่  : รอบกายของเจ้าหล่อนผู้นั้นเกลื่อนกลาดไปด้วยหมอนอิงสีสวยหลายใบ  : พานใส่ผลไม้  : ถาดใส่เครื่องดื่มและจานใส่ขนม  : เบื้องหน้าของหล่อนคือสมุดแบบเสื้อมากมายหลายเล่ม  : หล่อนกำลังพลิกดู  : เมื่อสามสาวโผล่เข้าไปหล่อนก็เงยหน้าขึ้นยิ้ม  : กรวิภาร้องว่า

“อ้าว คุณกิติมาเลยลงหมอบอยู่ที่พื้นนี่เอง  : สกปรกออก”

“สกปรกอะไร้  : เด็กมาเช็ดถูให้สะอาดแล้ว  : พี่ชอบสบายดี”  : สตรีสาวใหญ่ตอบ  : เมื่อหล่อนแลเลยมาพบชลาเข้า ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะร้องออกมาว่า  : “ต๊ายนึกว่าใครที่ไหน  : ที่แท้ก็ชลานี่เอง  : จำแทบไม่ได้นั่นแน่ะ”

ชลาทำความเคารพญาติผู้แก่อาวุโสกว่า แล้วจึงลงนั่งพับเพียบ  : ส่วนกรวิภานั้น ทอดกายลงนอน พังพาบอยู่เคียงกับพี่สาว  : สายธารวางสมุดแบบเสื้อที่หล่อนหอบมา หันไปตีแขนกรวิภาอย่างสัพยอก

“ไหนบอกว่าสกปรกยังไงเล่า  : กระโปรงสวยๆ นอนลงไปแล้ว”

“ขี้เกียจนี่น่า”  : กรวิภาว่า  : ผลักจานขนมมาเบื้องหน้าให้ชลา  : “กินขนมซี ชลา”

“ขนมแป้งสิบทอดนี่ แป้งเขาร่อน ไม่เหม็นหืนเหมือนเจ้าอื่นๆ ที่เคยกิน”  : กิติมาพูดพลางขยับกายลุกขึ้นนั่ง  : ชลาอดรู้สึกไม่ได้ว่าตลอดเวลาที่พูดนั้น ดวงตาของญาติผู้สูงวัยกว่าจับจ้องเธออยู่อย่างพินิจพิจารณา  : ทำให้เธอต้องก้มลงมองดูซิ่นเชิงด้ายแกมไหมสีฟ้าหม่นและเสื้อผ้าป่าน สีเดียวกันที่สวม  : หรือว่ามันเก่าปอนเกินไปหรือว่าอย่างไร เมื่อเทียบกับเสื้อผ้าอาภรณ์สีสดที่สตรีอีกสามนางสวมใส่อยู่นั้น  : ชะรอย กิติมาจะเดารู้ความคิดของเธอ  : หล่อนจึงพูดขึ้นเป็นเชิงกลบเกลื่อนกิริยาของตนเองว่า

“ไม่ได้เห็นกันนานรู้สึกแปลกตาไปเป็นกอง”

“ระวังนะ พี่กวีกลับมาจะจำไม่ได้”  : กรวิภาว่า  : เอื้อมมือหยิบสมุดแบบเสื้อเล่มหนึ่งจากตั้งที่สายธารหอบมาพลิกดู  : ชลายังคงยิ้มเฉยอยู่ในขณะที่สายธารหัวเราะออกมาด้วยเสียงพิกล ก่อนจะถามว่า

“ถ้าจำไม่ได้แล้วจะเกิดอะไรขึ้น”

กรวิภานิ่ง แล้วจึงบอกว่า  : “ไม่รู้  : เรื่องนั้นต้องคอยดูไปก่อนซี  : เมื่อมันเกิดอะไรขึ้นแล้วก็รู้เองแหละ”

“เดี๋ยวนี้ทำอะไรล่ะ ชลา”  : กิติมาซักต่อไป  : “ยังเรียนหนังสืออยู่หรือ”

“โอ๊ย เขาจบการเรือนออกมาตั้งปีแล้วล่ะค่ะ”  : สายธารตอบแทน  : “แต่จบแล้วก็ออกมาอยู่กับบ้านเฉยๆ ไม่ได้ออกไปทำงานทำการที่ไหนหรอก  : น้าเขาหวงลูกสาวของเขายังกะอะไรดี  : ถนอมไว้ราวกับไข่ในหิน”

“ไม่ใช่อย่างนั้นดอกค่ะ”

ชลากล่าวแก้คำของพี่สาวอย่างรวดเร็ว  : รู้สึกไม่ชอบใจอย่างครามครันที่สายธารกล่าวเช่นนั้น ต่อหน้าบุคคลที่ถึงแม้จะเป็นญาติ แต่ก็เป็นคนที่ชลาไม่อาจล่วงรู้ถึงความคิดจิตใจของเขา  : ยังเป็นบุคคลที่ชลาจัดไว้ในประเภท ‘ คนอื่น ’ อยู่

“คุณแม่ไม่ขัดข้องเลยถ้าดิฉันจะทำงานจริงๆ ”

“ถ้างั้นก็แปลว่าเราไม่ได้คิดน่ะซี ใช่ไหม”

กิติมาถามพร้อมกับหัวเราะ ซึ่งพลอยทำให้อีกสองสาวหัวเราะตามไปด้วย  : ชลาหน้าแดง ตอบด้วยเสียงที่พยายามระงับให้ปกติว่า

“คิดน่ะคิดล่ะค่ะ  : อยู่กับบ้านเฉยๆ จะเกิดประโยชน์อะไรขึ้นคะ  : แต่ก็ได้เพียงคิดเท่านั้นเอง  : ไม่ทราบว่าจะไปควานหางานที่ไหนทำได้”

“ก็ทำไมไม่ลองดูตามที่เขาประกาศหนังสือพิมพ์เล่า”  : กิติมาซักต่อไป  : “เห็นหนังสือพิมพ์ประกาศรับสมัครงานออกทุกวัน  : ลองไปสมัครกับเขาดูบ้างหรือเปล่า”

“โอ๊ย จะไปสมัครอะไรกันคะ”  : สายธารขัดขึ้นทั้งที่มือยังพลิกแบบเสื้อดูอยู่  : “สายเคยได้ยินเขาเอาเรื่องที่จะสมัครงานที่โน่นที่นี่ขึ้นปรึกษาคุณพ่อกับน้าตั้งไม่รู้จักกี่สิบครั้งมาแล้ว  : แต่ไม่เห็นตกลงกันได้สักที  : งานไม่ดีไม่มีเกียรติบ้างละ  : สถานที่ไม่ดีบ้างละ  : หรือบางทีก็นายจ้างชื่อเสียงไม่ดีไว้ใจไม่ได้  : ขัดกันไปแย้งกันมา เลยแม่ชลาไม่ได้ทำงานสักที”

ชลามีดวงหน้าที่แดงจัดยิ่งขึ้น  : เหลือบตามองดูพี่สาวเป็นเชิงตำหนิแกมตัดพ้อ  : แต่สายธารมัวหันไปสาละวนต่อการใช้ส้อมจิ้มขนมใส่ปากเสีย จึงไม่เห็นดวงตาของน้องสาว  : คงได้ยินแต่เสียงที่สั่นเล็กน้อย ซึ่งหล่อนคิดว่าเป็นเพราะความประหม่าหรือกระดากอายว่า

“โธ่  : ก็ชลาคนโง่  : ไม่เก่งอย่างพี่สาย  : คุณพ่อคุณแม่กลัวว่าจะไม่ทันคนเขา ท่านก็ต้องเป็นห่วงน่ะซีคะ”

“นั่นซิ”  : สายธารรับ  : “ไอ้เรายังงี้ออกทำงานตั้งแต่อายุสิบแปดยังไม่เห็นปอดกระเส่าอย่างนี้  : แล้วก็ไม่เคยมีอะไรที่น่ากลัวเกิดขึ้นสักหน่อย  : คุณพ่อก็ไม่เห็นจะแสดงว่าเป็นห่วงเป็นใยมากมายอะไร”

“ก็ชลาบอกแล้วไงคะว่า คุณพ่อเป็นห่วงเพราะชลาโง่”  : ดวงตาของชลาชักจะวาววับขึ้น  : คำพูดที่เผ็ดร้อนรุนแรงกว่านั้นประดังมารออยู่ที่ริมฝีปาก  : แต่แล้วก็หยุดยั้งมันไว้เพียงแค่นั้น  : หญิงสาวฝืนหัวเราะก่อนจะกล่าวต่อไปว่า  : “แล้วพี่สายอย่าลืมนะจ๊ะที่ว่าคุณพ่อไม่เป็นห่วงพี่สาย ก็เพราะว่างานที่พี่สายทำนั้น คุณลุงเป็นคนฝากให้”

คุณลุงที่เธอพูดถึงนั้นคือบิดาของกิติมาและกรวิภานั่นเอง  : กิติมาจึงถามว่า

“เออ  : แล้วทำไมชลาไม่ขอให้คุณพ่อฝากงานให้บ้างเล่า”

“ชลาเคยปรึกษาเรื่องนี้กับคุณพ่อแล้วค่ะ”  : ชลาตอบเงียบๆ  : “แต่คุณก็ห้ามว่าอย่าอย่ารบกวนคุณลุงเลย เพราะเวลานี้ท่านก็ไม่สบาย ไม่ได้ออกจากบ้านไปไหน  : ถ้ามากวนละก็ท่านจะต้องเหนื่อยเที่ยววิ่งวุ่นฝากงานให้ชลาอีก”

“จริงซีนะ”  : กิติมาพยักหน้าอย่างเห็นด้วย  : “โรคหัวใจนี่เหนื่อยมากไม่ได้เสียด้วย  : แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีใครต่อใครมาเยี่ยมท่านอยู่เสมอนี่นะ  : ขอให้ท่านช่วยพูดกับพวกที่มาเยี่ยมก็ไม่เห็นจะเป็นไร”

“ไม่ล่ะค่ะ  : คุณพ่อห้ามแล้วว่าไม่ให้กวนคุณลุง  : ถ้าชลาขืนดื้อดึงคำบอกคำสั่งคุณพ่อจะโกรธเอา”

“พูดให้มากเรื่องไปได้”  : สายธารว่าพลางหัวเราะ  : “ที่แท้เรานั่นเองแหละน้าที่ไม่ได้อยากทำงานจริงจังอะไรนัก”

คำพูดของพี่สาวทำให้ชลานิ่งอั้นไปด้วยความน้อยใจแกมขุ่นเคือง  : และก่อนความรู้สึกนั้นจะถูกบรรยายออกมาเป็นคำพูด กรวิภาก็พูดแทรกขึ้นมาว่า

“อันที่จริงชลาก็ไม่จำเป็นต้องวิ่งหางานทำให้ยุ่งยากไปนี่นะ  : อีกไม่ถึงสองเดือนพี่กวีก็จะกลับแล้ว”

กรวิภาจะพูดออกมาด้วยเจตนาจะล้อเลียนหรือจริงจังสักแค่ไหนก็ตาม  : แต่มันก็ยังผลให้รอยยิ้มบนริมฝีปากของสายธารเฝื่อนไป และทำให้กิติมามองดูชลาด้วยดวงตาที่ครุ่นคิดพิจารณายิ่งขึ้นเป็นครู่จึงเอ่ยถามขึ้นว่า

“ปีนี้ชลาอายุเท่าไหร่แล้ว?”

“ยี่สิบพอดีค่ะ”  : ชลาตอบ

“อยากทำงานจริงๆ หรือ?”  : กิติมาถามต่อไป  : ชลามองดูญาติผู้มีศักดิ์เป็นพี่  : รับคำด้วยเสียงเรียบๆ ว่า

“อยากทำจริงๆ ค่ะ”

“ดีแล้ว  : ถ้าอย่างนั้นจะขอให้คุณสำราญลองฝากให้”  : กิติมาว่าแล้วหัวเราะ เมื่อถามอย่างสัพยอกต่อไปว่า  : “ถ้าคุณสำราญฝากให้ได้ละก็ หวังว่าคุณอาคงไว้ใจไม่เป็นห่วงนะ”

“โอ๊ ขนาดคุณสำราญเป็นคนฝากให้แล้วยังเป็นห่วงอยู่อีกก็แย่ละค่ะ”  : สายธารร้องขึ้นด้วยเสียงที่บ่งบอกถึงความยกย่องชื่นชมอย่างเต็มที่  : แล้วหล่อนก็ทำหน้าตกใจร้องว่า  : “อู ตายจริง ไหนคุณกิติมาว่าจะให้รถกลับไปรับคุณสำราญก่อนยังไงล่ะคะ  : นี่ตั้งเกือบบ่ายห้าโมงแล้ว”

“เออ จริงซีนะ เกือบลืมไปแน่ะ”  : กิติมารับ  : “คุณสำราญบอกว่าอยากจะมาเยี่ยมคุณพ่อ”  : หล่อนหันไปทางน้องสาว บอกว่า  : “ยายกรช่วยให้ใครไปจัดการบอกคนรถของพี่ทีสิ”

“สายไปบอกให้เองค่ะ”

สายธารรับอาสาอย่างเต็มอกเต็มใจแล้วก็ลุกออกไปจากห้อง : กิติมามองตาม  : พูดหัวเราะๆว่า

“สายธารนี่แกคล่องแคล่วใช้ง่ายดีจริงนะ”

อีกครั้งหนึ่งที่คำพูดประโยคหนึ่งวิ่งมารอที่ริมฝีปากของชลา  : แต่แล้วก็กัดริมฝีปาก กลืนมันลงไปเสียตามเคย

จบบทที่ 4