ชลา โสภณา ยืนอยู่หน้ากระจกบานสูง เธอแต่งกายสวยด้วยชุดผ้าไหมไทยสีส้มอ่อน ตัดแบบกระโปรงราตรีสั้น แคบและรัดรูป คอตัดตรงมีจีบที่บ่าซ้าย และเหนือบ่าข้างนั้น หญิงสาวใช้เข็มกลัดดอกไม้ประดับเพชรนั้นกลัดไว้ เป็นเครื่องประดับชิ้นเดียวที่ใช้ในคืนนี้ นางละเมียรซึ่งนั่งอยู่บนเตียงนอน เฝ้าดูบุตรสาวแต่งตัวมาตั้งแต่แรก รู้สึกแปลกใจอยู่ครามครันที่มิได้เห็นบุตรสาวมีสีหน้าชื่นบานหฤหรรษ์สมกับเครื่องแต่งกายอันสวยงามที่เธอแต่งและความสนุกสนานเบิกบานที่เธอกำลังจะไปรับ ชลามีดวงหน้าอันเฉยเมย ปราศจากความยินดียินร้าย ดูเหมือนว่าจะมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดซ่อนเร้นในใจ จึงทำให้เธอเกิดมีอาการดังว่านั้น อันเป็นกิริยาการที่ผิดไปจากที่เคย เป็นแต่นางละเมียรก็ไม่ได้เอ่ยปากซักถาม ความรู้สึกบางครั้ง คนเราก็ต้องการที่จะเก็บเอาไว้เป็นความลับในใจแต่เพียงผู้เดียว ไม่ต้องการที่จะบอกแก่ใครๆ ถ้าหากว่าบุตรีจำต้องกล่าวคำเท็จแก่นาง นางจึงตกลงใจว่าจะไม่ซักถามอะไรทั้งสิ้น จะคอยจนกว่าชลาจะพูดขึ้นมาเอง
แต่ถึงกระนั้น ด้วยวิสัยของผู้เป็นมารดา นางละเมียรก็ยังอดที่จะแสดงความห่วงใยออกมามิได้
“แม่หนูมีหน้าตาไม่ค่อยสบายเสียเลย มีอะไรทำให้ไม่สบายใจหรือจ๊ะ?”
“ไม่มีอะไรนี่คะ แม่ เป็นแต่ว่าชลารู้สึกอย่างไรก็ไม่ทราบ ไม่ค่อยอยากไปงานคืนนี้เลย”
“อ้าว ทำไมล่ะจ๊ะ?” นางละเมียรร้องด้วยความแปลกใจ “มีอะไรที่ทำให้เกิดไม่อยากไปขึ้นมา หนูเองก็ ไม่ค่อยจะได้เที่ยวงานกลางคืนบ่อยนัก ทำไมถึงไม่อยากไป?”
“แต่นี้ไม่ใช่การเที่ยวงานกลางคืนนี่ค่ะ แม่” ชลาค้าน “มันเป็นเพียงงานขึ้นบ้านใหม่เท่านั้น แล้วชลาเองก็ไม่ค่อยรู้จักกับใคร”
“คุณสำราญกับแม่กิติมาเขาก็ไปด้วยไม่ใช่หรือ?”
“ค่ะ”
ชลารับคำอย่างไม่สู้แช่มชื่นนัก เธอกำลังไม่สบายใจเมื่อนึกถึงคำพูดของคุณสันทัดเมื่อเธอถามเขาว่า คืนนี้จะไปงานขึ้นบ้านใหม่ที่ ‘ท่าน’ จัดขึ้นหรือไม่ สันทัดหัวเราะแล้วพูดว่า
“ขึ้นบ้านใหม่อีกแล้วหรือ อย่าเลย งานพรรค์นี้เขาไม่เชิญผมเอาไปเกะกะทำอะไรหรอก คุณได้รับเชิญหรือ?”
เมื่อชลารับคำ สันทัดก็ขมวดคิ้ว มองดูเธออย่างครุ่นคิดก่อนที่จะกล่าวอย่างระมัดระวังว่า
“ผมไม่อยากจะพูดอะไรมาก แต่ว่าคุณหาทางขอตัวไม่ไปเสียไม่ได้หรือ”
“เอ๊ะ ทำไมหรือคะ?” ชลาสงสัย “ท่านชวนดิฉันต่อหน้าคุณสำราญและคุณกิติมา ดิฉันขอตัวว่าจะไม่ไปแล้วเหมือนกัน แต่ท่านขอให้คุณสำราญคะยั้นคะยอให้ดิฉันไป และคุณสำราญก็บอกว่าคุณสำราญกับคุณกิติมาจะไปด้วย ดิฉันก็เลยรับกับท่านว่าดิฉันจะไป”
“ถ้าอย่างนั้นก็คงจะไม่เป็นไรกระมัง” สันทัดว่า “ถ้าหากว่าญาติทั้งสองของคุณไปด้วยจริงอย่างว่า”
“เอ คุณสันทัดพูดคล้ายกับว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้นแหละค่ะ ถ้าหากว่าดิฉันไม่มีใครไปด้วย”
สันทัดยักไหล่ “ความจริงมันก็ไม่ใช่เรื่องราวอะไรที่ผมจะยุ่งด้วยเลย เอาเป็นอันว่ายุติกันแค่นี้ก็แล้วกัน คุณชลา ถ้าผมพูดมากไป คุณอาจจะไม่พอใจผมก็ได้”
“คุณสันทัด!” ชลารู้สึกว่าลำคอเธอตีบตันขึ้นมาเพราะความน้อยใจ หมู่นี้เธอช่างน้อยใจและหงุดหงิดง่ายเสียจริงๆ “คุณน่าจะเข้าใจดีว่าตลอดเวลาที่ดิฉันเข้ามาทำงานที่นี่นั้น ดิฉันให้ความไว้วางใจความสนิทสนมกับคุณมากกว่าทุกคน ดิฉันเชื่อว่าคุณมีความหวังดีต่อดิฉันจริงๆ ดิฉันไม่เคยโกรธคนที่หวังดีต่อดิฉันหรอกค่ะ จริงอยู่บางครั้งดิฉันอาจจะวิ่งตามอารมณ์ไปบ้าง แต่ดิฉันก็มักจะมีเวลาหยุดคิดหาเหตุผลเสมอ และเหตุผลยับยั้งดิฉันไว้ได้ทุกคราว”
“โกรธผมหรือ คุณชลา?” สันทัดถาม
ชลามิได้ตอบ ใครจะยอมรับว่าโกรธเขาได้ ถ้ายังไม่รู้สึกถึงขั้นนั้นจริงๆ และเธอมิอาจบอกได้ว่าเธอน้อยใจ
“ผมยอมรับว่าผมออกจะระวังตัวมากเกินไป”
สันทัดกล่าวต่อไปด้วยเสียงเคร่งขรึม และชลาก็สวนคำออกไปเกือบจะทันนั้นว่า
“คุณไม่เพียงแม้แต่ระวังตัวเท่านั้น แต่คุณเก็บตัวด้วย”
“จริง ผมเก็บตัวมาก” เขารับง่ายๆ “เป็นเพราะว่าผมเบื่อ ผมได้รับบทเรียนมามากพอแล้ว เดี๋ยวนี้ผมมีมติของผมว่า ทำงานไปไม่ยุ่งกับใคร แล้วความยุ่งยากก็เข้ามาหาเราไม่ได้”
“แต่คุณก็ดีต่อดิฉันมาก”ชลาพึมพำ
สันทัดมองดูเธอนิ่งเฉยอยู่นาน ชลาคิดว่ามีแววเศร้าปรากฏเลือนๆ อยู่ในดวงตาของเขาด้วย ในที่สุดเขาก็ถามขึ้นลอยๆ ว่า
“พี่ชายของคุณไม่ได้ไปด้วยหรอกหรือ?”
ชลาเบือนหน้าไปทางอื่น เมื่อตอบว่า “ยังไงก็ไม่ทราบ ดิฉันไม่ได้ถามเขาหรอกค่ะ”
“หมู่นี้ไม่ค่อยเห็นเขามารับคุณไปรับทานอาหารกลางวัน”
สันทัดตั้งข้อสังเกตต่อไป ชลานิ่ง เธอไม่ต้องการบอกให้สันทัดรู้ว่าเธอเองได้พูดกับกวีไปด้วยความน้อยใจว่า ถ้าหากว่าไม่เป็นการสะดวกแก่เขาละก็ ต่อไปเขาไม่จำเป็นต้องมารับเธอตอนกลางวันก็ได้ กวีมองดูเธอนิ่งอยู่อย่างพิจารณา แล้วก็ยักไหล่ พูดว่า ถ้าเธอต้องการเช่นนั้นก็ตามใจ และตั้งแต่วันนั้นมา ชลากับกวีแทบจะไม่ได้พบกันอีกเลย ถึงแม้ว่าจะพบกันบ้าง ก็เป็นการพบในหมู่ญาติ มิเคยได้พบกันตามลำพัง
“เขาทราบหรือเปล่าว่าคุณจะไปงานนี่?” สันทัดถามต่อไป ดูเขาช่างสนใจต่อกวีเสียจริง
“ยังไงก็ไม่ทราบ” ชลาตอบอย่างเฉยเมย “ดิฉันไม่ได้บอกเขา”
สันทัดนิ่งไป ดูทีท่ารู้สึกว่าเขาอยากจะพูดอะไรอีกมาก แต่ที่เขาพูดออกมาก็มีเพียงว่า
“ผมไม่ทราบจะบอกคุณว่าอย่างไรดี”
ชลาอยากจะพูดออกไปว่า ก็เพราะเขาระวังตัวมากเกินไปน่ะสิ
“แต่ผมอยากจะเตือนคุณว่า” สันทัดกล่าวต่อไป “อย่าเผลอตัวให้ตกอยู่ในความประมาทเท่านั้น เท่านี้แหละที่ผมจะเตือนคุณได้”
สันทัดหมายความว่าอย่างไรที่พูดเช่นนั้น เขาคิดอย่างไรจึงเตือนเธอเช่นนั้น ชลาได้แต่สงสัย แต่เธอก็มิได้ซักถามเขาต่อไป ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะถาม เธอพอจะเข้าใจสันทัดดีว่า เขาจะพูดแต่สิ่งที่เขาต้องการจะพูดเท่านั้น เขาช่างเป็นผู้ชายที่เต็มไปด้วยความระแวง และระมัดระวังตัวเสียนี่กระไร
สันทัดหมายความว่าอะไรที่พูดว่า ขึ้นบ้านใหม่อีกแล้วหรือ
“หนูคิดว่าจะกลับดึกไหมจ๊ะ?” มารดาถาม
“ยังไงก็ไม่ทราบเลยค่ะ” ชลาตอบไปตามจริง “แหม แต่ชลาไม่ค่อยอยากไปเลย บอกตามตรง”
“คุณพ่อก็ไม่อยากให้หนูไปเหมือนกัน” นางละเมียรบอก “ถ้าไม่ใช่คุณสำราญมาขออนุญาตเองละก็ ท่านอาจจะไม่ให้ไปก็ได้”
ชลานิ่ง เธอกำลังคิดอยู่ว่า จะแกล้งทำเป็นไม่สบายจะดีหรือไม่ ก็พอดีได้ยินเสียงแตรรถดังยาวขึ้น เสียงล้อรถบทกรวดเลี้ยวเข้ามาในบ้าน นางละเมียรลุกขึ้นยืน บอกว่า
“คุณสำราญกับแม่กิติมามารับแล้วละซิ หนูเสร็จแล้วไม่ใช่หรือจ๊ะ?”
“ค่ะ” ชลาตอบ หมดกำลังใจที่จะหลีกเลี่ยงต่อไป “คุณแม่กรุณาลงไปคุยกับเขาก่อนได้ไหมคะ อีกประเดี๋ยวเดียวเท่านั้นชลาก็จะลงไป”
มองดูจนมารดาออกจากไปจากห้องแล้ว ชลาจึงเดินไปเปิดตู้ หยิบกระเป๋าราตรีสีเงินออกมา มันเป็นของฝากชิ้นหนึ่งในจำนวนหลายชิ้นที่กวีนำมาฝากเธอจากต่างประเทศ หยิบของใช้ที่จำเป็นใส่ลงไป หยิบรองเท้าสีเดียวกับกระเป๋าออกมาจากกล่อง หิ้วติดมือเอาลงมาใส่ที่เชิงบันไดล่าง เธอได้ยินเสียงสำราญพูดอ้าวอยู่ในห้องรับแขก ขณะที่ชลากำลังจะเดินไปยังห้องรับแขกนั้น กวีก็โผล่เข้าประตูมา
ต่างคนต่างชะงัก กวีมองดูเธอนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงบอกว่า
“สวยจริง”
เขาเคยพูดคำนี้อย่างยิ้มแย้ม ยกย่อง และล้อเลียนกลายๆ แต่ครั้งนี้กวีมีสีหน้าเฉยเมย ทำให้ชลาเกิดโมโหและน้อยใจขึ้นมา เธอกล่าวแก่เขาว่า
“ขอบคุณค่ะที่ชม พี่กวีมาหาพี่สายหรือคะ แต่เอ... ดูเหมือนพี่สายจะอยู่ที่บ้านพี่กวีแล้วนี่คะ ได้ยินเสียงกรวิภาเรียกไปตั้งแต่เย็น”
“รู้แล้วว่าสายธารอยู่ที่บ้าน เวลานี้ก็กำลังอยู่ในห้องกินข้าว”
กวีบอก เมื่อเห็นคิ้วที่ได้รูปเรียวของหญิงสาวเลิกขึ้นเล็กน้อย คล้ายจะถามว่า ก็ถ้าอย่างนั้นพี่กวีมาที่นี่ทำไม ชายหนุ่มก็กล่าวต่อไปว่า
“แต่เห็นมีรถเข้ามาในบ้านนี้ คิดว่าคุณอามีแขกเลยคิดว่าจะมาชวนเธอไปรับข้าวด้วยกัน แต่เธอกำลังจะไปสนุกสนานนอกบ้านก็... ช่างเถอะ”
ก่อนที่ชลาจะทันโต้ตอบ มารดาของเธอและสำราญก็เดินออกมาจากห้องรับแขก
“โอ้โฮ สวยจริงชลา”
สำราญร้องขึ้นเป็นประโยคแรกเมื่อมองเห็นหญิงสาว ต่อมาเขาจึงได้มองเห็นว่ากวียืนอยู่ด้วย และทักว่า
“อ้อกวี เป็นยังไง กลับมาเป็นนานแล้ว ยังไม่ได้ทำงานทำการอะไรอีกหรือ?”
และโดยไม่เอาใจใส่ว่าผู้ที่ถูกเขาทักนั้นจะบังเกิดความรู้สึกอย่างไรต่อคำพูดนั้น สำราญก็กล่าวต่อไปด้วยความสนุกสนานว่า
“พี่สาวเขาจะชักนำลูกสาวอาเสี่ยให้ก็ไม่เอานี่นา บา เราโตแล้วมันต้องรู้จักเรียนลัดซี นี่พูดจริงๆ นา ถ้านายได้แต่งกับยายนั่นละก็เป็นสบายไปตลอดชาติ แกมีเงินในธนาคารเป็นสิบๆ ล้านทีเดียว ไม่เชื่อก็ลองถามคุณพ่อดูซี แล้วผู้หญิงเขาก็ออกจิ้มลิ้มน่ารักเหมือนตุ๊กตาดีออก”
กวีหัวเราะ “อย่าเลยครับ” เขาว่า “ขอบคุณที่ชี้ทางลัดให้ แต่ผมไม่ค่อยชอบนัก ยิ่งเป็นทางที่ลาดด้วยทองอย่างนี้ ผมยิ่งกลัวทองจะร้อนลวกมือลวกเท้าผมให้เป็นแผลเป็นไปตลอดชีวิต”
“อุดมคติคนหนุ่ม” สำราญหรี่ตา “จะคอยหาทางที่ปูด้วยกลีบกุหลาบหรือยังไง แต่อย่าลืมนะว่ามันอาจจะมีหนามหลงเหลือเข้าไปก็ได้ หนามกุหลาบน่ะตำแล้วเจ็บปวดนัก มันอาจจะกลัดหนองเอาทีเดียว”
“ทางที่ลาดด้วยกลีบกุหลาบผมก็ไม่ต้องการอีกเหมือนกัน” กวีตอบยิ้มๆ “ไม่ใช่ว่าผมจะกลัวหนาม แต่เป็นเพราะว่าผมต้องการสร้างทางของผมเองมากกว่า ผมต้องการเดินในทางที่ผมมั่นใจว่าจะมีความมั่นคงพอที่จะเดินไปได้ตลอดสาย”
“เอาอย่างนั้นเทียวหรือ?” สำราญหัวเราะ แล้วก็หันมาทางชลา ชวนว่า “ไปกันได้หรือยังเล่าเรา”
“ชลาเสร็จแล้วนี่คะ” ชลาตอบ “คุณกิติมาคอยอยู่ในรถหรือคะ?”
“กิติมาไม่ได้มาด้วยหรอก” สำราญบอก เมื่อหญิงสาวร้อง “อ้าว” เขาก็อธิบายว่า “เขาเกิดไม่สบายขึ้นมา เรื่องมองผู้หญิงน่ะ ไม่มีอะไรมากหรอก”
ชลามองดูมารดาอย่างไม่สู้สบายใจนัก แต่เธอก็ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไร นอกจากจะเดินตามสำราญลงบันไดไปขึ้นรถคันใหญ่ที่จอดเทียบอยู่นั้น ก่อนที่รถจะแล่นเลี้ยวออกจากบ้าน ชลาหันไปมองอีกครั้งหนึ่ง เธอเห็นมารดาและกวียังคงยืนมองตามรถอยู่ ณ ที่เดิม
“บ้านใหม่” ของ ‘ท่าน’ นั้น อยู่นอกเมืองออกไปไกลไม่น้อยทีเดียว มันตั้งอยู่ห่างจากบ้านหลังอื่นพอสมควร ชลารู้สึกแปลกใจที่เห็นรถยนต์จอดอยู่เพียง ๒-๓ คันที่หน้าบ้าน และภายในก็ไม่ได้ตกแต่งอะไรมากนัก นอกจากจะมีหลอดไฟสีประดับอยู่เพียงไม่กี่หลอด นี่น่ะหรือคืองานขึ้นบ้านใหม่ของคนสำคัญที่มีชื่อเสียงและร่ำรวยอย่าง ‘ท่าน’
มีโต๊ะอาหารตั้งอยู่เพียง ๓ โต๊ะที่สนามหน้าบ้าน และคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะนั้น ก็เป็นบุรุษเพศเสียเป็นส่วนมาก จะมีสตรีปะปนอยู่ก็ไม่ถึงห้าคน คนเหล่านั้นหันมามองดูเธอเป็นตาเดียวกัน เมื่อเห็นสำราญและชลาเดินเข้าไป ‘ท่าน’ ผุดลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ตัวหนึ่ง เดินตรงเข้ามาหาอย่างรวดเร็วอย่างดีอกดีใจ
“ชลา ฉันดีใจจริงที่หนูมาได้”
“ไม่มาได้หรือครับ ท่าน” สำราญตอบพลางหัวเราะร่า “ท่านมีงานทั้งที ลูกน้องไม่มาก็แย่” ชลาคิดในใจว่า ก็สันทัดเล่า ไม่ใช้ลูกน้องของท่านด้วยหรือ เหตุใดเขาจึงมิได้มีส่วนรับเชิญมาในงานนี้ด้วย
‘ท่าน’ กุลีกุจอพาเธอไปนั่งที่โต๊ะ ส่วนสำราญแยกไปนั่งอีกโต๊ะหนึ่ง อารีย์ลุกขึ้นยืนต้อนรับและทักทายเธอ ชลานั่งลงด้วยความรู้สึกที่ไม่ค่อยสบายใจนัก เธออดรู้สึกไม่ได้ว่าเธอเป็นที่เพ่งเล็งของทุกคนที่อยู่ในที่นี้ ดูเหมือนว่าเธอจะถูกลอบมองอยู่ตลอดเวลา แต่บางทีเธออาจจะระแวงไปเองก็ได้
ความไม่สบายใจของชลาเพิ่มขึ้น เมื่อคนรับใช้มากระซิบอะไรกับสำราญผู้นั่งอยู่อีกโต๊ะหนึ่งนั้น เธอเห็นพี่เขยขอโทษผู้ที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วยแล้วก็ลุกขึ้นไปบนตึก เขาหายไปสักครู่ก็กลับลงมา คราวนี้เดินตรงมาที่โต๊ะเธอ เขาเข้ามายืนก้มอย่างนอบน้อมอยู่ข้าง ‘ท่าน’ กล่าวว่า
“เกิดมีโทรศัพท์เรียกตัวไปธุระด่วนเสียแล้วครับท่าน เห็นจะต้องขอความกรุณาปลีกตัวไปสักครู่”
“อ้าว ยังงั้นรึ” ท่านว่า “อะไร กำลังกิน กำลังคุยอยู่นี่นา อีกสักประเดี๋ยวค่อยไปไม่ได้เรอะ คุณสำราญ”
“เขาว่าธุระร้อนมากครับ กระผมจะไปประเดี๋ยวเดียวเท่านั้นก็จะกลับมาใหม่” แล้วเขาก็หันมาทางชลา บอกว่า “ชลาอยู่ก่อนนะ ประเดี๋ยวจะกลับมารับ”
“แต่คุณพี่คะ....” ชลาขยับกายอย่างยุ่งยากใจ แต่ท่านก็ขัดขึ้นเสียก่อนที่เธอจะพูดจบว่า
“อย่าไปวิตกเลยน่ะหนู ประเดี๋ยวคุณสำราญเขาก็จะกลับมา อยู่คุยกันก่อนซี เขาไม่ได้กลับบ้านนี่นะ เขาไปธุระต่างหากเล่า”
“ประเดี๋ยวกลับมาจริงๆ”
สำราญย้ำกับชลาอีกครั้งหนึ่งก่อนที่จะเดินไป ‘ท่าน’ พูดตามหลังไปว่า
“ถึงอย่างไรรถที่นี่ก็มีไปส่งหรอกน่า อย่าห่วงน้องสาวให้มากนักเลยน่า”
“ไม่ได้ซีครับ น้องสาวสวยอย่างนี้ ต้องห่วงให้มากหน่อย”ใครคนหนึ่งว่า ซึ่งเรียกเสียงหัวเราะได้จากทุกคนที่อยู่บนโต๊ะนั้น ‘ท่าน’ เองก็หัวเราะ พลางรินเหล้าฝรั่งอย่างหนึ่งใส่ลงในแก้วรูปป้อมมีก้านสูง วางลงตรงหน้าชลา บอกว่า
“ลองดูนี่หน่อยซีหนู เป็นยาเจริญอาหารดีนะ”
ชลาคิดว่าจะปฏิเสธ แต่แล้วด้วยนิสัยที่ชอบลองในสิ่งที่ตนไม่เคยได้รู้จักมาก่อน ทำให้เธอยกถ้วยนั้นขึ้นจรดริมฝีปาก ปล่อยให้น้ำที่มีรสหวานซ่าแกมขมและเฝื่อนเล็กน้อยนั้นผ่านลงไปในลำคอ
อือ ก็ไม่เห็นว่ามันจะเอร็ดอร่อยอย่างไร ทำไมคนเราจึงต้องยอมเสียเงินแพงๆ เพื่อซื้อเจ้าน้ำหวานที่ไม่มีรสชาติเช่นนี้กันหนอ ไหนลองอีกทีเถอะน่า เออ.... ทีสองนี้ดูมันค่อยคุ้นกับลำคอขึ้นบ้าง เอ....ชลาชักรู้สึกว่ามันทำให้เลือดของเธอฉีดแรงขึ้น นอกจากนั้นมันยังทำให้เธอรู้สึกใจกล้า หายประหม่าไปไม่น้อย อย่างน้อยก็ทำให้เธอรู้สึกว่ามีความคล้ายคลึงกับคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่ในที่นี้ขึ้นบ้าง
เวลาล่วงไป แขกค่อยลากลับกันไปทีละคนสองคน แต่สำราญก็ยังไม่กลับมารับชลาตามที่บอกไว้ เหล้าหวานหมดไปถ้วยหนึ่งแล้ว ท่านได้รินให้ชลาอีกเต็มถ้วย ซึ่งเธอก็จิบมันเข้าไปแล้วเกือบครึ่ง
“เอ ทำไมสำราญยังไม่กลับมาอีก” ท่านบ่นขึ้นอย่างจะรู้ใจ “หนูชลาเบื่อแย่แล้วซี ขึ้นไปดูอะไรๆ บนบ้านไหมล่ะหนู ฆ่าเวลาไปพลางๆ”
เมื่อเห็นชลาอ้ำอึ้งอยู่ ท่านก็หันไปชวนแขกที่เหลืออยู่อีกเพียงสามคนว่า “นะคุณ ขึ้นไปดูบนบ้านกัน ไปดูบ้างซีว่าช่างเขาออกแบบเครื่องเรือนให้ผมได้น่าดูเพียงไหน”
ทุกคนลุกขึ้นด้วยท่าทางที่ค่อนข้างเกียจคร้าน บางคนถึงกับเซนิดๆ ท่านคนเดียวที่ยังกระปรี้กระเปร่าอยู่และเดินนำหน้าไปอย่างคล่องแคล่ว
ชลาเองก็เริ่มรู้สึกมึนศีรษะ คงจะเป็นเพราะเจ้าน้ำหวานนั่นเริ่มออกฤทธิ์เป็นแน่ เสียงท่านที่เดินนำหน้าไปนั้น พูดอ้าวๆ อวดเครื่องตกแต่งชิ้นนั้นชิ้นนี้อยู่ตลอดเวลา ชลาพยายามที่จะเร่งฝีเท้าให้ทันเพื่อที่จะไม่ให้ท่านฉิวเอาว่าปล่อยให้ท่านพูดอยู่คนเดียว เธอพยายามฟังคำพูดคำอธิบายของท่านทั้งที่ไม่ค่อยจะรู้เรื่องนัก ท่านพาเข้าห้องนั้นออกห้องนี้แล้วก็นำขึ้นบันไดไปชั้นบน ในที่สุด ชลาก็พบตัวเธอกำลังยืนอยู่หน้าเตียงนอนสีชมพูที่กว้างใหญ่สวยงามเตียงหนึ่ง เครื่องประดับทุกชิ้นในห้องนั้น ล้วนแต่เป็นสีชมพูออกแบบสวยงามและวิจิตรประณีตอย่างชวนให้ตื่นเต้นกระหายใคร่เป็นเจ้าของยิ่งนัก ขณะนั้น เธอก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นมาเบื้องหลังว่า
“ชอบไหมหนู วิมานสีชมพู”
ชลาหันกลับไป ก็เห็นท่านยืนยิ้มอยู่ และเห็นด้วยว่ามีแต่เธอและท่านอยู่ด้วยกันตามลำพังสองคนในห้องนั้น....