ดวงใจนี้ใครครอง

>> สุภาว์ เทวกุลฯ

ดวงใจนี้ใครครอง

บทที่ 11

ในที่สุด... ราวกับความฝัน   เธอได้นั่งอยู่ตรงกันข้ามกับกวีภายในร้านอาหารที่ค่อนข้างแคบ แต่หรูหราและสะอาดสะอ้านแห่งหนึ่ง   เสียงเพลงที่ดังแผ่วๆ ในท่วงทำนองที่ไม่โลดโผน   หากแต่ซาบซึ้งกล่อมอารมณ์   และคนเดินโต๊ะที่แต่งกายเรียบร้อยมีกิริยาท่าทางสุภาพสำรวม   ค่อยทำให้ความว้าวุ่นอึดอัดในใจของชลาคลายลงได้อย่างอัศจรรย์   ไม่นึกเลยว่าตัวเธอจะรอดพ้นจากความคับขันมาได้อย่างง่ายดายเช่นนี้

“ต้องการอะไรก็เชิญสั่งซีครับ คุณผู้หญิง” ชายหนุ่มชะโงกกายเข้ามาหา พูดอย่างล้อๆ   “เออแน่ะ   ทำท่าราวกับกำลังฝันอยู่อย่างนั้นแหละ”

“ก็เหมือนกับฝันจริงๆ นั่นแหละค่ะ” ชลาตอบ พร้อมกับยิ้มให้เขาอย่างจริงใจ   “พอเห็นพี่กวีโผล่เข้าไปบอกว่ามารับไปทานข้าวเท่านั้น ชลาก็งงไปหมด   แล้วก็ยังไม่หายงงอยู่จนเดี๋ยวนี้”

“ทำไมต้องงง?” กวีซักยิ้มๆ   ดวงตาของเขาที่มองดูเธอนั้นบอกว่ากำลังอยู่ในอารมณ์สนุก

“ก็จะไม่ให้งงได้ยังไง” ชลาว่า   “ชลาไม่เคยนัดให้พี่กวีมารับไปทานข้าวสักหน่อย   แล้วก็ไม่คิดว่าพี่กวีจะรู้จักที่ทำงานของขลาเสียด้วยซ้ำ   แล้วจู่ๆ พี่กวีก็โผล่พรวดพราดเข้าไปพูดอย่างหน้าตาเฉยว่า มารับไปทานข้าวตามที่นัดกันไว้”

กวีหัวเราะ   ยื่นแผ่นกระดาษแข็งที่พิมพ์รายชื่ออาหารมาให้ตรงหน้า   บอกว่า   “เอ้า จะรับอะไรก็สั่งเสียซีจ๊ะ   คนเดินโต๊ะเขาคอยอยู่”

ชลารับรายชื่ออาหารมาอ่านผ่านๆ ดูแล้วส่งก็คืนไปให้เขา   บอกว่า

“พี่กวีทานอะไรก็สั่งอย่างนั้นเผื่อชลาด้วยก็แล้วกันค่ะ   ชลากำลังตื่นเต้นเสียจนเลือกไม่ถูกว่าจะทานอะไรดี”

กวีเลิกคิ้วอย่างขัน   เขาอ่านรายการอาหารดูอีกครั้งหนึ่งแล้วหันไปสั่งสิ่งที่ต้องการกับคนเดินโต๊ะ แล้วก็หันกลับมาทางหญิงสาว   ชวนคุยต่อไปว่า

“อะไร   เพียงแค่เห็นหน้าพี่โดยไม่ได้คาดฝันเท่านั้นก็ถึงกับตื่นเต้นเอามากๆ เทียวหรือ?”

“โธ่   มันไม่ใช่แต่เพราะเห็นหน้าพี่กวีเท่านั้นน่ะซีคะ” ชลาบอกแก่เขาไปตามจริง   “แต่พี่กวีน่ะ เท่ากับเป็นทูตสวรรค์มาโปรดชลาแท้ๆ ทีเดียว   ท่านนายของชลาน่ะค่ะ   กำลังจะชวนชลาออกไปทานข้าว   ชลากำลังอึดอัดใจไม่ทราบว่าจะขอตัวอย่างไรดี ก็พอดี...”

“พี่พรวดพราดเข้าไปช่วยไว้” เขาต่อ

“เท่ากับช่วยชีวิตเอาไว้ทีเดียวค่ะ” ชลารับ   กวีหัวเราะเบาๆ แล้วก็หยุด   เขาใช้นิ้วเคาะโต๊ะเล่น มองดูหน้าเธออย่างใช้ความคิด

“อะไร” เขาว่า   “เพียงแต่จะหาคำพูดปฏิเสธไม่ออกไปกินข้าวกับเขา แต่นี้เธอก็ไม่กล้าทีเดียวหรือ?”

“ไม่กล้าจริงๆ ค่ะ” ชลารับตามตรง   “ไม่ทราบว่าจะพูดว่าอย่างไร   มัน-แหม   มันอึกอัดแล้วก็ลำบากใจยังไงไม่รู้   บอกไม่ถูก”

“อือ” เขาอุทานอยู่ในคอ   มองดูเธออย่างครุ่นคิด   “ลำบากอยู่ตรงที่เธอมีใจไม่แข็งหรือไม่กล้าพอนี่เอง   เธอช่วยตัวเองไม่ได้เลยนะ ชลา”

มันเป็นความจริงดังที่เขาว่า   เธอช่วยตัวเองไม่ได้เลย   เพียงแต่การพูดปฏิเสธไม่ออกมารับประทานกลางวันนั้น เธอคิดว่าเธอพอจะทำได้   แต่เมื่อปฏิเสธออกไปแล้วนี้สิจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง   จะกระทบกระเทือนไปถึงสำราญและกิติมาหรือไม่   ถ้าหากว่า ‘ท่าน’ บังเกิดความไม่พอใจขึ้นมา   ชลารู้ดีว่า ‘ท่าน’ จะต้องไม่พอใจแน่นอนถ้าถูกปฏิเสธติดๆ กันหลายครั้ง

กวีขับรถมาส่งที่ที่ทำงาน   เขาเอื้อมมือมาเปิดประตูให้เธอลงแล้วบอกว่า

“พรุ่งนี้กลางวัน ถ้ามีใครชวนออกไปกินอาหาร เธอก็บอกเขาได้เลยว่า นัดกับพี่ไว้แล้ว”

เห็นจะเป็นด้วยคำพูดประโยคนั้นนั่นเอง   ที่เมื่อขึ้นไปถึงห้องทำงานทำให้สันทัดซึ่งกลับเข้ามาแล้วออกปากทักว่า

“อาหารกลางวันมื้อนี้คงอร่อยถูกใจไม่น้อย   คุณชลาจึงได้ดูหน้าตาแจ่มใสนัก”

ชลายิ้มกับเขาแทนคำตอบ   สันทัดมองดูด้วยสีหน้าเคร่งขรึมตามเคยของเขา ถามต่อไปอีกว่า   “คนนี้เองหรือพี่ชายที่คุณเคยพูดถึง?”

“ใช่ค่ะ” ชลารับ   “น้องชายคุณกิติมาที่ดิฉันเคยพูดถึงไงล่ะคะ   เธอเป็นคนดีเหลือเกิน   แหม วันนี้พอเห็นพี่กวีโผล่เข้ามาเท่านั้น   ดิฉันใจมาขึ้นเป็นกอง”

สันทัดทำท่าคล้ายจะพูดอะไรออกมา   แต่แล้วก็ไม่พูด   เอื้อมมือหยิบแฟ้มเอกสารออกมาเปิด   ทำท่าเหมือนกับว่าหมดความสนใจ ในเรื่องอื่นใดทั้งสิ้น นอกจากงานตรงหน้าเท่านั้น

นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา   กวีก็ทำหน้าที่ขับรถมารับชลา ออกไปกินอาหารกลางวันแทบทุกวันจนกระทั่ง ‘ท่าน’ ค่อยหายไป   ชลารู้สึกว่าอารีย์เริ่มมีทีท่าไม่สู้พอใจนัก   อาการกุลีกุจอเอาอกเอาใจที่เขามีต่อหล่อนนั้นเริ่มลดลง   สันทัดยังคงเงียบขรึมอย่างสงวนทีท่าตามเคย   แต่วันใดที่กวีไม่มา   สันทัดก็ยังมีแก่ใจออกปากชวนเธอออกไปกินอาหารกลางวันกับเขาด้วย   เหตุการณ์เหล่านี้ช่วยให้ชลาค่อยมีใจสบายขึ้นเป็นอันมาก

แต่แล้ววันหนึ่ง   ผู้จัดการซึ่งแสดงทีท่าว่าไม่ค่อยสนใจในชลามาหลายวันแล้วนั้น   ก็กลับมีทีท่ายิ้มย่องผ่องใสกับเธออีกครั้งหนึ่ง   เขามาถึงสำนักงานในตอนบ่าย และเดินยิ้มแย้มตรงเข้ามายังโต๊ะของชลาทันที

“วันนี้ออกไปรับข้าวที่ไหนมา คุณชลา?”

เขาถามอย่างอารมณ์ดี ซึ่งทำให้ชลาอดที่จะรู้สึกแปลกใจมิได้   เมื่อเธอบอกชื่อภัตตาคารที่เธอไปในตอนกลางวันแก่เขา   อารีย์ก็พยักหน้ากล่าวว่า

“ไปกับน้องชายคุณกิติมาล่ะซี ใช่ไหม?”

“เธอเป็นพี่ชายของดิฉันด้วย”

ชลาชี้แจงด้วยเสียงเย็นชา เพราะรู้สึกขัดหูในคำพูดที่เขาใช้   อารีย์ยกมือข้างหนึ่งขึ้นโบก พูดด้วยเสียงหัวเราะว่า

“ผมรู้แล้วละน่าว่าคุณกับเขาเป็นญาติกัน” เขาลดเสียงลง เมื่อพูดต่อไปเรื่อยๆ เหมือนคุยให้ฟังว่า   “วันนี้ผมไปรับอาหารกลางวันกับท่านมา   ท่านยังบ่นถึงคุณเลย   ออกจากร้านอาหารแล้วท่านชวนผมไปเลือกซื้อของที่ระลึกจะให้พวกชาวต่างประเทศ   ไปพบไอ้นี่เข้า”

เขาล้วงมือลงไปในกระเป๋าเสื้อหยิบเอาห่อกระดาษสี่เหลี่ยมเป็นแบนๆ ที่ผูกริบบิ้นเรียบร้อยห่อหนึ่งออกมาวางบนโต๊ะตรงหน้าชลา

“ท่านบอกว่ามันน่ารักดี ก็เลยซื้อฝากผมมาให้คุณ”

ชลามองดูห่อของที่อารีย์วางให้นั้นโดยมิได้แตะต้อง แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองดูอารีย์อย่างสงสัย

“ซื้อมาฝากดิฉัน เนื่องในโอกาสอะไรกันคะ”

“ทำไมต้องเนื่องในโอกาสอะไรด้วยเล่า” อารีย์หัวเราะอย่างเห็นขัน   “ผมจะเล่าให้ฟังนะ   คือท่านเดินๆ ดูของรอบๆ ร้าน   เผอิญไปพบไอ้นี่เข้า ท่านก็บอกกับผมว่าไว้นี่มันสวยดีนะ   น่าซื้อ   มันน่ารัก กระจุ๋มกระจิ๋มเหมาะที่เด็กสาวๆ จะใช้   พูดไปพูดมาท่านก็เลยสั่งให้เขาห่อให้แล้วส่งให้ผมบอกว่า ‘ฝากไปให้หนูชลาด้วยก็แล้วกัน   ผมซื้อแล้วก็ไม่รู้ว่าจะเอาไปให้ใคร   เห็นมีแต่หนูชลานั่นแหละที่เหมาะจะใช้มัน’ แล้วผมก็รับมา เท่านั้นเอง”

ชลามองไปยังสันทัด ก็เห็นเขากำลังฟังอยู่เหมือนกัน   แต่ใบหน้าเขาเฉยเป็นปกติ   หญิงสาวถอนใจยาวกล่าวแก่ผู้จัดการว่า

“ดิฉันรู้สึกว่าดิฉันไม่ควรรับของสิ่งนี้กระมังคะ ผู้จัดการ”

“อ้าว ทำไมเล่า?”   อารีย์ร้องอย่างฉงน   “มันเป็นของที่ท่านตั้งใจซื้อให้คุณนี่นะ คุณชลา”

“แต่ดิฉันรู้สึกตะขิดตะขวงใจอย่างไรพิกล” ชลาบอกแก่เขาตรงๆ ตามความรู้สึกของหล่อนในขณะนั้น   “ดิฉันรู้ว่าดิฉันไม่ควรรับไว้”

“คิดมากเกินไปเสียแล้วละ” อารีย์ว่า   “เดี๋ยวค่อยพูดกันดีกว่า   เปิดดูเสียก่อนเถิดว่าเป็นอะไร?”

ชลานิ่งเฉยอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงหยิบห่อนั้นขึ้น   มาใช้ปลายนิ้วแก้ริบบิ้นที่ผูกอยู่ออก   แกะกระดาษออกจากกัน   สิ่งที่กระดาษห่อหุ้มอยู่นั้นคือกล่องหนังเทียมสีน้ำเงินเข้ม มีปุ่มสปริงสำหรับกดให้เปิดออก   เมื่อชลากดลงที่ปุ่มนั้นฝาก็เปิดออก   วัตถุที่วางนิ่งอยู่บนกำมะหยี่สีน้ำเงินเข้มนั้น ทำให้ชลานิ่งอึ้งไปในทันที

มันคือเข็มกลัดทองแท้อันถูกประดิษฐ์ขึ้นเป็นรูปดอกไม้   กลีบดอกไม้นั้น ทำด้วยทองขดเป็นเส้นซ้อนกันสองชั้นอ่อนช้อยปลายเรียวแหลมราวกับกลีบดอกไม้จริงๆ   ตรงโคนกลีบฝังไข่มุกทุกกลีบ   เกสรเป็นเพชรเม็ดเล็กๆ ฝังเรียงกันเป็นแถว   เป็นงานที่แสนจะวิจิตรประณีตมีศิลป์อะไรเช่นนั้น

“เป็นยังไง?”   อารีย์ถามยิ้มๆ ดวงตาเป็นประกายพึงใจ   “ชอบใจไหมครับ?”

ชลาปิดฝากล่องวางลงตรงหน้า กล่าวแก่เขาว่า   “มันสวยน่ารักมากจริงๆค่ะ   แต่ดิฉันคิดว่า ดิฉันไม่ควรจะรับไว้”

“เอ๊ะ ทำไมเล่า คุณชลา?”   อารีย์ขมวดคิ้ว   รอยยิ้มเลือนลงไป   “ท่านซื้อฝากคุณนะครับนี่”

“ค่ะ ดิฉันทราบแล้ว” ชลาพูดอย่างไม่สบายใจ   “เป็นความกรุณาและมีน้ำใจดีอย่างยิ่งที่ท่านมีใจเมตตาต่อดิฉัน   แต่ดิฉันก็รับไว้ไม่ได้ดอกค่ะ   ดิฉันอธิบายไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมจึงรับไว้ไม่ได้   แต่ดิฉันก็ยังคงรู้สึกว่าไม่สมควรจะรับไว้อยู่นั่นเอง”

อาการที่อารีย์มองดูหญิงสาวซึ่งอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของเขานั้น   เป็นการมองอย่างสงสารแกมสมเพช   คล้ายมองดูเด็กโง่ๆ คนหนึ่งที่กำลังตกใจกลัวในสิ่งซึ่งมองไม่เห็นตัวตน   เขาหยิบกล่องใบนั้นขึ้นมาถือไว้   กระเดาะมันเล่นค่อยๆ ถามว่า

“แล้วนี่จะให้ผมทำอย่างไรกับมันดีเล่า”

“ผู้จัดการกรุณานำมันกลับ ไปคืนให้ท่านทีสิคะ” ชลาบอก “โปรดเรียนท่านด้วยว่ามันน่ารักเหลือเกิน   ดิฉันกราบขอบพระคุณที่ท่านมีใจกรุณานึกถึงดิฉัน   แต่ดิฉันรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่ไม่สามารถจะรับไว้ได้”

“คุณมีเหตุผลอะไรที่รับไว้ไม่ได้?”   อารีย์หรี่ตามองดูเธอ   เสียงเขาพูดนั้นเริ่มห้วนและเฉียบขาด   “อย่าลืมนะว่าท่านจะรู้สึกอย่างไร ถ้าคุณคืนของนี้ไป   ลองคิดดูซิว่าถ้าคุณซื้อของให้ใครสักคนด้วยความเอ็นดู แล้วคนๆ นั้นกลับคืนของที่คุณซื้อให้นั้นกลับมา   คุณจะรู้สึกอย่างไร?”

เมื่อเห็นหญิงสาวนั่งนิ่งอยู่ ด้วยใบหน้าบอกความวิตกยุ่งยากใจ   อารีย์ยิ้มน้อยๆ พูดด้วยเสียงปลอบใจว่า

“รับไว้เถอะ คุณชลา   ไม่น่าเกลียดอะไรหรอก   เป็นของที่ผู้ใหญ่ตั้งใจให้เราด้วยความเมตตาเอ็นดู   ถ้าคุณคืนไปนั่นสิจะน่าเกลียด   ไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง”

กล่าวจบแล้วอารีย์ก็เดินไปที่โต๊ะของเขา   ปล่อยให้ชลานั่งเฉยจ้องมองดูกล่องกระดาษที่บรรจุเข็มกลัดแสนสวยสูงค่านั้นอยู่อย่างอัดอั้นตันใจ


“มันมีราคาสูงเกินไปที่จะเป็นของฝาก”   ชลาปรับทุกข์แก่สันทัดในตอนเย็นวันนั้น ก่อนที่จะเลิกงานและไม่มีอารีย์อยู่ในห้องนั้นแล้ว   “คุณสันทัดช่วยให้คำแนะนำหน่อยซีคะ ว่าฉันควรจะทำอย่างไร   เก็บไว้ หรือจะคืนมันไป”

“ผมให้คำแนะนำแก่คุณไม่ได้ดอก คุณชลา”   สันทัดตอบเรียบๆ   “คุณจะต้องตัดสินใจเอาเอง   เพราะเรื่องนี้มันจะต้องมีผลสะท้อน   กลับไปคิดดูก็แล้วกันว่าคุณจะทำอย่างไร”

เขาหัวเราะด้วยเสียงขื่นๆ มองดูหน้าเธอแล้วพูดว่า

“เห็นจะเป็นเพราะโลกมันกลมกระมัง ถึงได้เกิดเหตุการณ์อย่างเดียวกันนี้ขึ้นได้หลายๆ ครั้งซ้ำซาก”   เขาหัวเราะขื่นๆ   “สนุกดีเหมือนกัน   ผมจะคอยดูซิว่าเหตุการณ์อย่างเดียวกันนี้ มันจะเกิดขึ้นได้ซ้ำซากกี่ครั้งกัน”

เสียงที่เต็มไปด้วยความข่มขื่นและเยาะหยันของเขาสะดุดความรู้สึกของชลาอยู่ครามครัน   เธอมองดูเขาด้วยความสงสัยลังเลเล็กน้อย ก่อนที่จะถามออกไปว่า

“คุณสันทัดหมายความว่าอย่างไรคะ   ที่บอกว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นซ้ำซากกัน   มีใครคนอื่นที่เคยได้รับของกำนัลแบบนี้ก่อนดิฉันหรือคะ?”

สันทัดนิ่งอึ้งไป ไม่ตอบว่ากระไร   ชลาจึงลุกจากโต๊ะของเธอ เดินไปหยุดยืนหน้าโต๊ะของเขา   สองมือเท้าโต๊ะชะโงกกายเข้าไปใกล้   จ้องตาเขา แล้วถามด้วยเสียงคาดคั้นว่า

“ใช่ไหมคะ คุณสันทัด   เคยมีใครคนหนึ่งที่ทำงานอยู่ที่นี่เคยได้รับของกำนัลเช่นนี้มาก่อนแล้ว”

สันทัดเหลือบตาสีเข้มของเขาขึ้น มองสบตาเธอครู่หนึ่งแล้วจึงละไปมองที่อื่น   พูดเรื่อยๆ ว่า   “มันเป็นเรื่องสามัญมิใช่หรือสำหรับสมัยนี้   ที่ใครคนหนึ่งจะซื้อของขวัญให้แก่คนที่เขาพอใจ   ถ้าเขามีเงินพอจะซื้อให้ได้”

“แต่เสียงที่คุณสันทัดพูด   ดิฉันรู้สึกว่ามีเรื่องอะไรรุนแรงยิ่งกว่านั้น   มันไม่เพียงแต่เป็นการซื้อของขวัญให้กันเท่านั้นจริงไหมคะ?”

“ทำไมคุณถึงคิดว่า มันจะมีเรื่องรุนแรงอะไรซ่อนอยู่เล่า?”   เขาย้อนถาม

ชลาจ้องมองลงไปในดวงตาเขาอย่างเงียบๆ แล้วจึงบอกว่า   “เพราะเมื่อกี้นี้เองคุณสันทัดได้บอกกับดิฉันว่า   ถ้าดิฉันคืนของสิ่งนี้ไปหรือแม้จะไม่คืนก็ตาม   มันอาจจะเกิดผลสะท้อนแก่ดิฉันเองทั้งสองประการ   ดิฉันจึงอยากได้อยากจะทราบว่าใครคนนั้น ที่ได้รับของกำนัล ได้คืนมันกลับไปหรือเปล่า”

สันทัดนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงตอบด้วยเสียงต่ำๆ ว่า   “เปล่า”   ดวงตาของเขามองผ่านเธอไปอย่างเคร่งขรึม และเจ็บปวดระคนกับความเครียดแค้น

“เขาไม่ได้คืนไป   เขาเก็บมันไว้ทั้งๆ ที่เขารับปากกับผมแล้วว่าเขาจะคืนมันไป”

“อา!”   ชลาร้องอยู่ในใจ   “แล้วผลสะท้อนที่เกิดขึ้นจากการเก็บของกำนัลชิ้นนั้นไว้เล่าคะ เป็นอย่างไร?”   เธอถามเขาด้วยเสียงเกือบเป็นกระซิบ

สันทัดละสายตาจากที่เขาจับอยู่นั้นกลับมาที่เธอตามเดิม   รอยยิ้มพรายอยู่ที่มุมปากคล้ายจะเยาะใครสักคนหนึ่งเมื่อเขาบอกว่า

“ผลสะท้อนหรือ   อือ เขาก็ได้อยู่บ้านสวยหรู ค่าเช่าเดือนละหลายพัน   มีรถยนต์ขับ   มีเงินตัดกระโปรงราตรีได้เดือนละหลายๆ ชุด   แต่ว่านั่นมันเป็นผลสะท้อนในระยะแรกเท่านั้น   ผมกำลังคอยดูผลสะท้อนที่กำลังเกิดขึ้นในระยะต่อไปอยู่   กำลังคอยดูและเตรียมพร้อมที่จะหัวเราะอยู่แล้ว”

ชลามองดูเขาอย่างตะลึง   จริงอยู่   เธอเคยเห็นและรู้สึกว่าสันทัดเป็นคนที่เคร่งขรึมเก็บตัว   และมองดูทุกคนในโลกนี้ด้วยสายตาที่เหมือนมีกำแพงกั้นของตัวเองไว้ให้ห่างออกไปจากทุกๆ คนเสมอ   แต่ก็ไม่มีครั้งใดเลยที่เขาจะแสดงความขมขื่นชอกช้ำและอาฆาตพยาบาทรุนแรงถึงเพียงนี้

แต่แล้วเพียงชั่วพริบตาเดียวต่อมา   อากัปกิริยาของสันทัดก็กลับคืนสู่ความเคร่งขรึมอย่างเดิม   เขาเอื้อมมือออกมาตบลงบนหลังมือของเธอเบาๆ บอกว่า

“ถ้าตัดสินใจไม่ได้เอง ก็จงไปปรึกษากับพี่ชายที่น่ารักของคุณเถิดคุณชลา   เชื่อผม   ปรึกษาเขาแล้วทำตามที่เขาแนะนำ   แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็จะเรียบร้อยไปเอง”

จบบทที่ 11