ดวงใจนี้ใครครอง

>> สุภาว์ เทวกุลฯ

ดวงใจนี้ใครครอง

บทที่ 35

ศพของ วินิจ โสภณา   ตั้งสวดพระอภิธรรมอยู่ที่บ้านจนครบเจ็ดวัน   แล้วจึงนำไปบรรจุที่วัด   บรรดาแขกที่มาในงานศพเป็นประจำนั้นต่างพากันตั้งข้อสังเกต   ว่า ตลอดเวลาที่ศพของคุณวินิจตั้งรับการบำเพ็ญกุศลอยู่ที่บ้านนั้น   มิได้มีแม้แต่เงาของธิดาคนเล็กของท่านมากล้ำกรายเลย   จนกระทั่งถึงงานบำเพ็ญกุศลสัตมมารนั่นแล้ว   กรวิภาในชุดดำที่งามวิจิตรจึงได้ปรากฏโฉม   แล้วหลายคนก็ได้รับทราบถึงเหตุผลในการที่มิได้เห็นหล่อนก่อนหน้านั้น

“อ๋อ นึกว่าเขามีเรื่องอะไรกันถึงได้ไม่มางานศพพ่อ   ที่แท้ก็เป็นเพราะเขาแท้งเด็กนั่นเอง”

แขกกลุ่มหนึ่งโจษขานแก่กัน   พร้อมกันนั้นก็เลยวิจารณ์ต่อไปว่า

“ก็จะไม่แท้งยังไงไหว   ดูแม่แต่งตัวเข้าซี   เสื้อแสงออกฟิตปั๋งจนแทบจะหายใจไม่ออกยังงั้น   แล้วก็ดูรองเท้าซี ส้นสูงตั้งคืบ   ทั้งกินเหล้าทั้งเต้นรำไม่เว้นแต่ละคืน”

“เฮ้อ…”   สตรีสูงอายุผุ้หนึ่งยกมือขึ้นลูบอก   “แล้วนี่สามีเขาไม่ว่ากล่าวห้ามปรามกันบ้างหรือยังไงกันนะ   หรือว่าพลอยเป็นไปด้วยกับเมียก็ไม่รู้ ?”

“ก็ต้องพลอยน่ะซี้   ผัวจะไปมีเสียงหือหาอะไรขึ้นมาได้   ตัวเองก็อาศัยกับอกเมียทั้งนั้น   อะไรๆ ก็เมียเป็นคนจัดหาให้   บ้านก็ของเมีย รถก็ของเมีย   เงินที่ใช้จ่ายโครมๆ เข้าไปทุกวันนี้ก็เงินเมีย   ก็จำเป็นต้องเย็บปากเงียบอยู่เองนั่นแหละ”

เรื่องทำนองนี้ ยิ่งพูดก็ยิ่งออกรส   และยิ่งออกรสเท่าไร เสียงที่พูดก็ยิ่งดังขึ้นโดยไม่รู้ตัวเท่านั้น   สตรีกลุ่มนั้น อาจจะคิดว่าตนนั่งอยู่ห่างจากแขกกลุ่มอื่นออกมา   แต่หาได้เฉลียวไม่ว่า ตนนั้นนั่งชิดอยู่กับผนังห้องอันติดต่อกับห้องอาหาร   และฝาประจันห้องที่ก้นอยู่นั้น ก็เป็นฝาพิเศษคือทำด้วยไม้สักบางๆ   แบบประตูเลื่อนสำหรับที่จะเลื่อนเข้าเก็บซ้อนกันเมื่อเวลาที่ต้องการใช้ที่กว้างในเวลาที่มีงานเลี้ยงใหญ่เป็นพิเศษ   ซึ่งเมื่อก่อนที่คุณวินิจจะล้มเจ็บออดแอดลงนั้น   ท่านมักจะจัดงานเลี้ยงดังกล่าวมานั้นเป็นประจำ   แต่เมื่อท่านต้องถูกหมอสั่งให้หยุดทำงาน   การเลี้ยงดู พบปะสมาคมแลกเปลี่ยนความเห็นและเลี้ยงดูกันในระหว่างผู้เกี่ยวข้องในวงการเดียวกัน ก็เป็นอันพลอยยุติไปด้วยโดยปริยาย   ฝากั้นห้องนั้นจึงมิได้เลื่อนเก็บเข้าไปเป็นเวลานานมาแล้ว

ด้วยเหตุนี้ สตรีกลุ่มนั้นจึงมิได้คิดเลย   ว่า ขณะที่พวกหล่อนกำลังวิจารณ์กล่าวขวัญถึงผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว และกำลังนอนพักอย่างสงบในหีบทองเบื้องหน้านั้น   จะได้มีบุคคลอีกหนึ่ง อันมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับท่านผู้ตายได้ยินได้ฟังคำพูดอันไม่มีการประหยัดของพวกหล่อนนั้นด้วย   บุคคลนั้นกำลังนั่งอยู่บนเสื่ออ่อนซึ่งลาดอยู่ชิดฝาถัดออกมาจากโต๊ะอาหารซึ่งถูกเลื่อนไปไว้ใกล้ฝาอีกด้านหนึ่ง   เบื้องหน้าของหล่อนผู้นี้คือถาดสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่วางเรียงกันเป็นจำนวนสิบถาดด้วยกัน   ในถาดบรรจุเครื่องใช้ต่างชนิดอันจะถวายเป็นสังฆทานแก่พระสงฆ์ซึ่งได้มาปฏิบัติกิจทางศาสนาในงานกุศลวันนี้     ขณะนั้นหล่อนกำลังแก้ห่อกระดาษที่ห่อธูปหอมออก และกระจายกล่องธูปในห่อนั้นออกไปตามถาดทั้งสิบ ถาดละหนึ่งกล่อง     มือที่กำลังทำงานของหล่อนชะงักลง เมื่อได้ยินเสียงกล่าวนามของบุคคลซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดดังแว่วๆ ผ่านฝากั้นมาเข้าหู

ผิวของหล่อนที่ขาวซีดอยู่แล้วเพราะถูกสีดำของอาภรณ์ที่หุ้มห่อร่างอยู่นั้นขับ   ดูเหมือนจะยิ่งขาวซีดลงไปอีก   มือที่ทำงานอย่างคล่องแคล่วชำนาญนั้นเชื่องช้าลงเป็นลำดับ   เพราะว่าขณะนั้น ความตั้งใจความสนใจทั้งมวลของหล่อนได้จับอยู่ที่คำพูดอันที่ได้ยินแล้ว และที่จะได้ยินต่อไปนั้นเสียสิ้น

“แหม นี่ลูกๆ คงจะได้แบ่งสมบัติกันคนละหลายๆ นะคะ”   เสียงหนึ่งในหลายเสียงนั้นแว่วผ่านเข้ามาอีก   “คุณวินิจนี่รวยเหลือหลายนี่   ทั้งลูกสาวลูกชายเห็นขี่รถสปอร์ตกันหรูทีเดียว”

“โอย แน่ละเธอ   เขาเป็นตระกูลเก่าแก่สร้างสมบัติพัสถานกันมาตั้งหลายชั่วคนแล้วนี่นะ   ก็ดูตอนที่เขาแต่งงานลูกซี   ทั้งลูกสาวลูกชายน่ะแหละ   ดูซิ เพียงแต่ค่าเลี้ยงดูกันน่ะเข้าไปตั้งเท่าไร   ตอนลูกชายแต่งก็ส่งไปฮันนีมูนรอบโลกเสียตั้งเกือบสองเดือน   ตอนลูกสาวแต่งนี่เขาว่าไปแค่ฮ่องกง   แต่ก็ปลูกตึกใหม่ซื้อที่ใหม่ มิตกเข้าไปตั้งเกือบล้านรึ   แต่งลูกแต่ละคนน่ะ”

“เฮอ ไอ้ลูกของเราจะมีเงินให้มันแต่งหรือไม่ก็ยังไม่รู้เลย เธอเอ๋ย   เจ้าป่องของฉันน่ะมันโง่แสนโง่   มีลูกสาวอาเสี่ยร้านทองเขามาชอบ   มันกลับไม่ชอบ   เผ่นไปชอบแม่ลูกสาวคุณหลวงตกยากอะไรเข้าก็ไม่รู้   ยากจนเสียจนกระทั่งข้าวก็จะไม่มีกินอยู่แล้ว   ฉันเห็นเดินต๊อกๆ ผ่านหน้าบ้านไปขึ้นรถเมล์ไปเรียนหนังสือทุกวั้นทุกวัน   เจ้าลูกชายของฉันก็เทียวไปรับไปส่งอยู่ได้ทุกวันทั้งเช้าทั้งเย็น   ฉันพร่ำสั่งสอนมันเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง   พ่อของเขาก็ให้ท้ายลูกชาย   ไอ้เราก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไง เจ็บใจเหลือเกิน ทำไมมันถึงได้โง่ยังงั้นก็ไม่รู้   ไอ้ที่เขาเอารถเก่งคันใหญ่มาเทียบรับถึงหน้าบ้านน่ะไม่ชอบ   กลับไปชอบไอ้ที่ต้องย่ำต๊อกๆ ฉันละเศร้าใจจริง”

“โอ้ย อย่าไปเป็นทุกข์เป็นร้อนเลยน่ะ”   เสียงสหายของเธอผู้นั้นปลอบ   “ผู้ชายน่ะมันไม่เสียหายอะไรหรอก   เดี๋ยวนี้ยังเป็นเด็กอยู่มันก็ยังรักง่ายหลงง่ายไปยังงั้น   เอาไว้ให้โตขึ้นอีกหน่อย   เห็นโลกมากขึ้น รู้จักเล่ห์จักเหลี่ยมมากขึ้น มันก็รู้จักวิชาคำนวณเองนั่นแหละ   เธออย่าไปเป็นกังวลเลย   ไม่มีใครที่จะรักคนอื่นมากกว่าตัวเองหรอก เชื่อฉันเถอะ”

“จุ๊ ๆ”

มีเสียงจุปากเตือนกัน   แล้วเสียงที่พูดกันอยู่นั้นก็ลดเบาลง   แต่กระนั้นก็ยังมีเสียงข้ามห้องมาอีกว่า

“ค่อยๆ หน่อย   ลูกเต้าเขาเข้ามาในห้องกันแล้วอ พระคงจะใกล้สวดแล้วละ”

“นั่นไง ลูกสาว ลูกเขยมากันพร้อมหน้าเทียวละ   เธอดูแม่ลูกสาวคนเล็กซี   ดูท่าทางเขาไม่เป็นทุกข์ร้อนเลยนะที่พ่อตายไปทั้งคน   ยิ้มแฉ่งหน้าตาบอกว่าฉันสบายใจ   พ่อลูกชายนั่นซีที่ดูท่าว่าเสียใจมากกว่าคนอื่น”

“แล้วพ่อหนุ่มคนนั้นน่ะหรือลูกเขย   เมื่อวันแต่งงานเขาฉันไม่ได้มาหรอก   กิติมาเขาเชิญเหมือนกัน   แต่เรามีธุระต้องไปต่างจังหวัดเสีย”

“ใช่ หน้าตาดี๊ดีนะเธอ   เสียแต่ดูหงอยๆ ยังไงก็ไม่รู้   แต่ก็น่าเห็นใจหรอก   ก็ตัวต้องเป็นเบี้ยล่างเมียนี่   คงถูกเมียข่มเสียจ๋อยไปเลย”

“แล้วคนไหนละที่เป็นลูกสะใภ้ของคุณวินิจ ?”

เสียงเดิมซักไซ้ต่อไป ซึ่งแสดงว่าเธอผู้นั้นคงจะมิสู้คุ้นเคยกับครอบครัวของผู้ตายนัก   และก็มีเสียงสหายของเธอผู้นั้นว่า

“แหม อะไร   นี่เธอไม่รู้จักใครเลยสักคนหรือนี่ ?”

“โธ่ ถ้ารู้จักละก็จะมานั่งถามเธออยู่รึ”   เป็นคำสารภาพโดยปริยาย ก่อนที่เธอผู้นั้นจะขยายความจริงต่อไปว่า   “ที่มาวันนี้ ก็เพราะกิติมาเขาไปบอกว่าพ่อของเขาตาย   จะทำบุญเจ็ดวันวันนี้หรอก   แล้วเราก็กำลังจะวานเขาช่วยวิ่งขายที่ดินลาดพร้าวให้   เขารู้จักกับคนใหญ่คนโตมาก จะได้ราคาดี ดีกว่าเราวิ่งขายเอง   ถึงจะต้องเสียค่าวิ่งเต้นให้เขาบ้างก็ยังดี”

“อ้อ ยังงั้นหรอกรึ”

เป็นเสียงรับรู้   แล้วก็ต่อไปก็มีเสียงพระเริ่มนำสวด   หญิงสาวซึ่งทำหน้าที่จัดของถวายพระทำงานของหล่อนเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงขยับกายลุกขึ้น ด้วยตั้งใจว่าจะเข้าไปร่วมฟังพระสวดในห้องกับผู้อื่นด้วย   ก็พอดีกับได้ยินเสียงแว่วมาอีกว่า

“นั่นใช่ไหมลูกสะใภ้คุณวินิจ   ฉันได้ยินคนเขาพูดกันว่าสวยๆ แต่ไม่เคยเห็นตัวจริงเลยสักที   แต่คิดว่าคงจะเป็นคนนั้น เพราะเห็นตามติดกวีใกล้ชิดจู๋จี๋อยู่ตลอดเวลาไม่ห่างกันเลย”

คำพูดนั้นยับยั้งอาการขยับการจะลุกขึ้นของหญิงสาวผู้อยู่ตามลำพังผู้เดียวทางอีกด้านฟากกั้นนี้ไว้ได้ในทันที   หล่อนกลับทรุดกายนั่งลงอีกครั้งหนึ่ง   หน้าซีดลง ในขณะที่ผู้รู้ด้านโน้นแสดงความรอบรู้ของตนต่อไปว่า

ใช่เมื่อไหร่เล่า   นั่นน่ะเป็นพี่สาวคนละแม่กับลูกสะใภ้คุณวินิจต่างหาก   น้องสาวหายไปไหนก็ไม่รู้   เมื่อเช้านี่เห็นออกมาแว่บๆ อยู่ประเดี๋ยวหนึ่งแล้วก็หายเงียบไป   ท่าจะทำงานอยู่ทางหลังบ้านกระมัง ปล่อยให้พี่สาวออกงานแทน   เฮอ ก็แปลกดีเหมือนกันนะ   ผัวเมียคู่นี้ตั้งแต่แต่งงานกันแล้ว ฉันไม่เคยได้เห็นเขาไปไหนด้วยกันสักที   แต่เมื่อวันก่อนนี้ ฉันเห็นควงแม่สายธารนี่แหละไปกินข้าวกลางวันแถวล่างโน่นน่ะ”

จากนั้นเสียงซุบซิบทางด้านโน้นก็หายเงียบไป   แต่หญิงสาวผู้ที่ต้องได้รับฟังคำพูดเหล่านั้นโดยมิได้ตั้งใจก็ยังคงนั่งนิ่งขึงอยู่ ณ ที่เดิม   เสียงซุบซิบเหล่านั้นดังอื้ออึงอยู่ในหู   กลบเสียงสวดของภิกษุสงฆ์จนหมดสิ้น   ความรู้สึกในขณะนั้นของหญิงสาวราวกับว่าได้ตกอยู่ท่ามกลางพายุที่พัดอื้ออึง   มีแต่หมอกควันตระหลบฟุ้งวนเวียนอยู่รอบกาย   มิรู้ว่าตนเองตกอยู่ในที่ใด หาทางออกไม่ถูก   และเมื่อจะมองไปทางใดก็มืดมัวไปทุกทิศทาง

ดวงตาที่เพ่งตะลึงไปยังฝาห้องตรงหน้ามิได้มองเห็นแผ่นไม้สีน้ำตาลซึ่งลงน้ำมันขัดเงาไว้อย่างประณีต   แต่กลับเห็นเป็นภาพชายหนุ่มและหญิงสาว เดินควงแขนกันเข้าไปในร้านอาหารด้วยท่าทางชื่นบานสนิทสนมยิ่ง   เขาคงจะหัวเราะต่อกระซิกให้กัน   พูดคุยและแสดงท่าทีเอาอกเอาใจซึ่งกันและกัน   ในหูของหล่อนอื้ออึงอยู่ด้วยเสียง “เห็นตามติดกัน ใกล้ชิด จู๋จี๋อยู่ตลอดเวลา”   และ   เมื่อวันก่อนนี้ ฉันเห็นกวีควงแม่สายธารนี่แหละไปกินข้างกลางวันแถวล่างโน่นแน่ะ”

“ชลา นั่นเป็นอะไรไปครับ ?”

เสียงๆ หนึ่งดังแว่วผ่านพายุที่พัดอื้ออึงเข้ามา     ครั้งแรก ก็เป็นเพียงเสียงแว่วที่ไม่สู้ชัดเจนนัก คล้ายเสียงเรียกในความฝัน   ต่อมา เสียงนั้นจึงชัดเจนขึ้นจนได้ยินถนัด   มันขับไล่เสียงพายุที่พัดอื้ออึงอยู่ให้หายไป   ชลากระพริบตาหลายครั้งก่อนที่เธอจะมองเห็นกรันต์คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าและจ้องมอง เธออยู่ด้วยสายตาที่แสดงความเป็นห่วงใยยิ่งนัก

“เป็นอะไรไปครับชลา ?”   ชายหนุ่มถามซ้ำอีกครั้งหนึ่ง   “ผมถามซ้ำตั้งหลายครั้งแล้วคุณก็ไม่ได้ยิน   รู้สึกไม่สบายขึ้นมาอีกแล้วหรือ ?”

ชลาพยายามฝืนยิ้มอย่างลำบากใจ

“ไม่ได้เป็นอะไรหรอกค่ะ”

“ไม่จริง”   เขาขัดขึ้นมาก่อนที่เธอจะพูดต่อไป   “อย่าพยายามปิดบังเสียให้ยากเลย   ไม่มีอะไรที่คุณจะซ่อนไม่ให้ผมได้รู้หรอก”   เขาจ้องลงมาในดวงตาของเธอแล้วถามด้วยเสียงต่ำๆ ว่า   “เรื่องกวีกับสายธารหรือ ?”

ชลามิได้ตอบรับคำถามนั้น   แต่ดวงตาของเธอก็คงจะได้แสดงอาการนั้นออกมาอย่างชัดแจ้ง   เพราะเธอได้ยินกรันต์พูดต่อไปว่า

“อย่าเพิ่งทำใจให้เป็นทุกข์ร้อนไป ก่อนที่จะรู้ความจริงให้แน่ชัดเสียก่อนเลย ชลา   เชื่อผมเถอะ   กวีไม่ใช่ผู้ชายเจ้าชู้   พี่สาวคุณอาจจะเป็นฝ่าย.. .ขอโทษนะ... วุ่นวายไปเองก็ได้”

คราวนี้ชลาฝืนยิ้มออกมาได้หน่อยหนึ่ง

“คุณรู้ได้อย่างไรนะคะกรันต์   ว่าดิฉันกำลังนึกเรื่องอะไรอยู่”   หญิงสาวพยายามทำเสียงให้เป็นเรื่องขัน   “คุณมีญาณพิเศษอะไรหรือเปล่าคะ ?"

“อ๋อ มีสิครับ”   เขาตอบด้วยเสียงหนักแน่นและจริงจัง   “คนเรามักจะต้องมีญาณพิเศษที่จะหยั่งรู้จิตใจและความรู้สึกของคนที่เราสนใจเป็นพิเศษเสมอ   ผมสนใจคุณชลา   ผมเป็นห่วงคุณ   ผมบอกคุณแล้วไม่ใช่หรือ ?”

“ขอบคุณค่ะทีคุณสนใจดิฉัน”   ชลาหลบสายตาจากเขาลงมองดูมือตนเองที่วางอยู่บนตัก   “แต่ดิฉันคิดว่าคนที่คุณควรจะสนใจให้มากที่สุดนั้นน่าจะเป็นกรวิภา   มิใช่ดิฉัน”

พอเธอกล่าวจบ   ชลาก็ได้ยินเสียงเขาหัวเราะราวกับว่ากำลังรู้สึกขบขันเสียเต็มประดา

“กรวิภาน่ะหรือ   ผมไม่จำเป็นต้องไปเป็นห่วงเขาหรอก   คนคนนั้นเขามีความเป็นห่วงตัวของเขาเองมากพออยู่แล้ว   ไม่จำเป็นต้องได้รับจากใครอีก   อย่าว่าแต่ความเป็นห่วงใยเลย   แม้แต่ความรักเขาก็ไม่ต้องการจากใคร”

“แม้แต่จากคุณหรือคะ”

ชลาเงยหน้าขึ้น ถามเขาด้วยดวงตาอันแสดงความพิศวง   และกรันต์ก็ยืนยันด้วยเสียงหนักแน่นอย่างเดิมว่า

“ถูกแล้ว แม้แต่จากผม”

“คุณพูดราวกับ คุณสองคนแต่งงานกันโดยไม่ได้มีความรักกันอย่างนั้นแหละ”   ชลาคล้ายปรารภกับตัวเอง   “ดิฉันเห็นกรวิภาวันนี้แล้ว รู้สึกไม่สบายใจเลย   เขาเป็นอย่างไรก็ไม่ทราบ   ดิฉันไม่คิดว่าเขาควรจะมีท่าทางอย่างนั้นในเวลาเช่นนี้

“อย่าแปลกใจเลย”   กรันต์พูด มีเสียงกลั้วหัวเราะเล็กน้อย   “เขาก็เสียใจเหมือนกันนั่นแหละที่ต้องเสียคุณพ่อไป   แต่ทว่าเขากำลังมีความสบายใจมากกว่า   ที่จะได้ไม่ต้องมีลูกมาบั่นทอนความงามของเขาให้เสียไป”

“ดิฉันเสียใจด้วยค่ะกรันต์”   ชลากล่าวด้วยเสียงเศร้าๆ ด้วยความเห็นใจ   “ดิฉันเข้าใจดีว่าคุณต้องการที่จะมีลูกมากเพียงใด   กรวิภาไม่น่าที่จะทำร้ายจิตใจคุณถึงเพียงนี้   อย่างน้อยก็ควรจะขอความเห็นจากคุณเสียก่อนที่จะทำอะไรลงไปตามใจของตัวเอง”

“ก็ผมบอกแล้วยังไงล่ะว่ากรวิภาเป็นคนที่นึกถึงตัวเองก่อนคนอื่นเสมอ   เขามีความรักตัวของเขาเองจนไม่ต้องการให้คนอื่นมาช่วยอีกแล้ว   ผมพยายามที่จะรักเขาด้วยการที่จะยึดเอาลูก... เลือดเนื้อเชื้อไขของเขาและของผมเป็นเครื่องผูกพันก่อให้เกิดความรักเชื่อมโยงกัน   แต่กรวิภาก็ไม่เข้าใจ   เขาทำลายสื่อที่จะทำให้เกิดความรักระหว่างกันเสียโดยสิ้นเชิงโดยไม่ใยดีเลยแม้จนนิดเดียว”

“กรันต์ !”   ชลาเรียกชื่อเขาด้วยความพิศวง   “คุณพูดราวกับว่า เมื่อคุณแต่งงานกับกรวิภานั้น   ทั้งคุณและทั้งกรวิภา ต่างก็มิได้มีความรักต่อกันเช่นนั้นแหละ”

“เป็นความจริงเช่นนั้น ชลา”   กรันต์รับสารภาพในสิ่งที่ทำให้ชลารู้สึกตกใจและประหลาดใจ จนพูดอะไรไม่ถูก   “มันทั้งน่าขันและน่าทุเรศ   แต่ผมก็ยอมรับว่า ผมและกรวิภาแต่งงานกันทั้งที่ต่างคนต่างก็ไม่มีความรักซึ่งกันและกันเลย”

“ไม่จริง ไม่จริงหรอก”   ชลาค้านด้วยเสียงแผ่วเบาคล้ายเสียงกระซิบ   “ก็ดิฉันเห็นนี่คะ ว่าคุณรักกัน   กรวิภาเองก็รักคุณ   หลงใหลคุณมาตั้งแต่ก่อนที่คุณจะไปเรียนต่อเมืองนอกเสียอีก   ถ้าเขาไม่รักคุณจริงแล้วทำไมเขาจึงจะคอยอยู่จนกระทั่งคุณกลับมาอย่างนี้ล่ะคะ   เขาน่าจะแต่งงานไปเสียก่อนแล้วซิ”

“คุณพูดอย่างนี้ก็เพราะว่าคุณยังรู้จักนิสัยใจคอของกรวิภาไม่ดีพอ   ที่กรวิภาคอยอยู่จนกระทั่งผมกลับมานั้นก็เพราะว่าเขาเป็นคนที่เชื่อมั่นในตัวของเขาเองเหลือเกินน่ะซิ   เขาเชื่อว่าเขารักผม   เขาต้องได้แต่งงานกับผม   เขาก็ต้องพยายามจนได้แต่งงานกับผมจนได้   ผมรู้ดี”

“คุณรู้ดี   รู้ว่ากรวิภาไม่ได้รักคุณจริง   แล้วก็รู้ดีว่าคุณเองก็ไม่ได้รักหล่อน   แต่แล้วคุณก็ยังแต่งงานกับหล่อน   ดิฉันไม่เข้าใจเลยว่า คุณทำอย่างนี้ทำไม”

“แต่ทำไมน่ะรึ”

กรันต์ย้อนถาม ชลาคิดว่าได้ยินเสียงเขาหัวเราะเบา ๆ อยู่ในคอ

“คุณจำได้ไหมชลา ว่าผมพูดกับคุณว่าอย่างไรเมื่อคืนที่คุณพ่อจะเสีย   ผมไม่ได้เมาดอกนะคืนนั้น   ยังจำได้อยู่ทุกถ้อยคำที่พูดออกมา   ผมบอกว่า การแต่งงานนั้น คือการที่คนสองคนตัดสินใจว่า จะอยู่ร่วมกันฉันสามีภรรยา   แต่เหตุที่จะทำให้ตัดสินใจอยู่ร่วมกันนั้น ต่างคู่ต่างก็มีเหตุผลแตกต่างกันออกไป   กรวิภาตัดสินใจแต่งงานกับผม ก็เพราะว่าเขาปักใจมานานแล้วว่า เขาต้องได้แต่งงานกับผม   และที่ผมแต่งงานกับกรวิภา ก็เพราะผมรู้สึกตัวว่า ผมต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ผมได้ทำลงไปแล้ว”

“คุณต้องรับผิดชอบในสิ่งที่คุณได้ทำลงไป”

ชลาทวนคำ   รู้สึกงุนงงในถ้อยคำนั้นไปชั่วครู่หนึ่งแล้วจึงเข้าใจกระจ่างขึ้น   ดวงหน้าที่ซีดเซียวค่อยแดงเรื่อขึ้นเมื่อหลุดปากออกมาอย่างลืมตัวว่า

“นี่แปลว่า คุณกับกรวิภา....”

“มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะความมัวเมาในอารมณ์เพียงชั่วครู่เดียวเท่านั้นเอง   คุณก็เห็นอยู่แล้วว่า ผมกับกรวิภาเที่ยวเตร่กันอย่างใกล้ชิดเพียงไร   และกรวิภามีความรู้สึกอย่างไรในตัวผม   และผมเองก็เป็นผู้ชายที่มีเลือดเนื้อมีความรู้สึกเหมือนผู้ชายทั่วไป   ไม่ใช่พระอิฐพระปูนมาจากไหน   ผมยังมีกิเลสพอกอยู่อีกหนานัก”

“แต่ถ้าคุณไม่ได้รักกรวิภาจริงแล้ว ทำไมคุณถึงได้พาหล่อนไปเที่ยวเตร่เล่าคะ   คุณไม่ทราบหรอกหรือว่า การเที่ยวเตร่ใกล้ชิดแบบนี้ จะต้องทำให้เกิดเรื่องอย่างนั้นขึ้นได้สักวันหนึ่งในที่สุด”

“ผมรู้”   เขารับสารภาพ   “แต่คนเรามักจะทำอะไรลงไปทั้งๆ ที่เรารู้ว่ามันไม่ควรทำเสมอไม่ใช่หรือ ชลา   อีกอย่างหนึ่ง.. ผมไปเรียนต่างประเทศมาถึงสี่ปี   ผมชินกับขนบธรรมเนียมที่นั่น ซึ่งถือว่าการเที่ยวเตร่ระหว่างผู้หญิงและผู้ชายนั้นเป็นของธรรมดา   และผมก็คิดว่า กรวิภาเองก็คงคิดเช่นนี้เหมือนกัน ... แล้วก็อีกอย่างหนึ่ง...”

เขาหยุดพูด มองหน้าเธอแล้วลดลงไปจับอยู่ที่มือทั้งสองของชลาที่วางอยู่บนตัก   พูดด้วยเสียงต่ำๆ ว่า

“เวลานั้นผมเผอิญได้รับความผิดหวังและว้าเหว่อย่างบอกไม่ถูก   ความรู้สึกของผมในเวลานั้น คงเป็นเหมือนคนเรือแตกที่กำลังลอยเคว้งคว้างอยู่กลางทะเล   พอเห็นเศษไม้ลอยผ่านมาใกล้ ไม่ว่าจะเป็นเศษไม้เล็กแค่ไหน ก็ยึดเข้าไว้ก่อน โดยไม่ทันพินิจดูเสียให้แน่ใจก่อนด้วยซ้ำไป   ว่าไม้ท่อนนั้นจะมีเพรียงเกาะกิน และจะบาดเนื้อให้เป็นแผลเหวอะหวะในภายหลังหรือไม่”

ความรู้สึกของชลาในเวลานั้นวุ่นวายจนจับ ต้นชนปลายไม่ถูก   เธอคิดว่าดูเหมือนเธอจะเดาจุดแห่งความคิดของเขาในขณะนั้นได้ถูกต้อง   แต่ก็ไม่กล้าที่จะเดา เพราะความขลาดกลัวอันอธิบายไม่ได้   แต่อย่างไรก็ตาม   อย่างหนึ่งที่ชลาแน่ใจว่า เธอกำลังรู้สึกในขณะนั้นก็คือ ความอับอายปวดร้าว และความเดือดร้อนอันเกิดจากคำซุบซิบอันเผอิญมาได้ฟังเข้าโดยมิได้ตั้งใจนั้นได้จางลงไปจนเกือบหมดสิ้น     คำพูดของกรันต์   ความเอาใจใส่สนใจ และความล่วงรู้เข้าอกเข้าใจที่เขามีต่อเธอ   ดูจะเป็นเหมือนความชุ่มชื่น   ความหวังอย่างใหม่ที่ก่อรูปขึ้นอย่างเร้นลับในใจ   สายตาที่เขามองดูเธอนั้น คล้ายเปลวไฟที่ก่อให้เกิดความรู้สึกอบอุ่น ขึ้นในหัวใจที่เปล่าเปลี่ยวและว้าเหว่เยียบเย็นของเธอได้อย่างประหลาด   ชลาคิดว่าเธอไม่ได้หลอกตัวเองเลย ที่คิดว่าเธอได้เห็นเขามองดูเธอด้วยดวงตาอันมีลักษณะเดียวกันนี้มาตั้งแต่ได้มาพบกันเป็นครั้งแรก เมื่อหลายปีก่อนโน้นแล้ว

ชะรอยความคิด ความรู้สึกดังกล่าวแล้ว   จะได้ทอประกายออกมาทางดวงตา   ชลาจึงรู้สึกว่ากรันตฺ์ได้เพ่งมองดูดวงตาของเธอคล้ายกำลังลืมตัว   เป็นครู่ใหญ่ต่อมา เมื่อเธอกระพริบตานั่นแหละ   เขาจึงได้ถอนใจใหญ่   กล่าวออกมาด้วยเสียงเหมือนพึมพำว่า

“รู้ตัวหรือเปล่า ชลา   ว่าคุณมีดวงตาที่น่าพิศวงเหลือเกิน   ผมเคยพูดกับคนทุกคนว่า ไม่มีดวงตาของหญิงชาติใด จะงดงามลึกซึ้งตราตรึงหัวใจได้เท่ากับดวงตาของผู้หญิงไทย   ที่ผมพูดเช่นนี้ ก็เพราะว่าผมต้องตกเป็นทาสของดวงตาคู่หนึ่ง ที่ผมได้เห็นที่ท่าอากาศยานดอนเมืองเมื่อห้าปีแล้วมานี่”

รู้สึกว่าหน้าของเธอร้อนวูบขึ้นมาในทันที   และหัวใจก็เต้นเร็วขึ้นจนเธอหวั่นไปว่ามันอาจจะดังออกมาจนคนที่นั่งอยู่ด้วยนั้นจะได้ยินถนัด   หญิงสาาวหลบตาลง เพราะไม่อาจจะทนประสานตากับดวงตาอันคมกล้า ที่เต็มไปด้วยความรู้สึกอันลึกซึ้งแต่รุนแรงคู่นั้นได้     ได้ยินเสียงเขาพูดต่อไปว่า

“เธอเองก็ไม่เคยลืมผมเช่นเดียวกัน ใช่ไหมชลา   ดวงตาของเธอบอกผมอย่างชัดเจน เมื่อเราพบกันอีกครั้งหนึ่งในวันที่เธอเดินทางไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์กับกวี   วันนั้นเองผมจึงได้รู้จักใจของตนเองว่าตลอดเวลาสี่ปีที่ผ่านไปแล้วนั้น   ผมฝันถึงอะไร   ต้องการอะไร   เงาที่หลอนความรู้สึกของผมอยู่ตลอดเวลา เพิ่งจะมากระจ่างชัดเอาในวันนั้น   แต่มันก็สายเกินไปเสียแล้ว   และนี่ก็เป็นอีกเหตุหนึ่งที่ผลักดันให้ผมวิ่งเข้าไปในทางของกรวิภา”

มือสีคล้ำ แข็งแรง และร้อนผ่าวเพราะความรู้สึกและอารมณ์อันรุนแรงของเขา   เลื่อนไปเกาะกุมมือเรียวๆ ขาวสะอาดที่วางอยู่บนตักของหญิงสาวไว้   ชลาทำอาการคล้ายจะชักมือออก   แต่แล้วก็หยุดนิ่ง เมื่อรู้สึกว่าน้ำหนักที่วางอยู่บนหลังมือของเธอนั้นเพิ่มขึ้น พร้อมด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความวิงวอน กล่าวว่า

“อย่าดึงมือไปจากผมเลย ชลา   ผมไม่อาจเอื้อมขอมากไปกว่านี้หรอก   เดี๋ยวนี้คุณรู้แล้วว่าคุณมีความหมายสำคัญสำหรับผมเพียงไร   อย่างน้อยก็ขอให้ผมได้มีความสบายใจเพียงแค่ได้สัมผัสมือของคุณ และรู้ว่า คุณเองก็มีความรู้สึกอย่างเดียวกับผมเถิด”

จบบทที่ 35