ดวงใจนี้ใครครอง

>> สุภาว์ เทวกุลฯ

ดวงใจนี้ใครครอง

บทที่ 22

ชลายืนอยู่ตรงมุมหนึ่งของพนักหัวเตียง   เนื้อตัวสั่นสะท้านไปด้วยความหวาดกลัวและตกใจเกือบสุดขีด   ดวงตาเบิกกว้างจ้องจับอยู่ที่ร่างอันสมบูรณ์ด้วยก้อนเนื้อและไขมัน ซึ่งยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง  ขณะนี้ ท่านได้ลอกคราบความเป็นผู้ใหญ่ที่มีความเมตตา โอบเอื้ออารีทิ้งเสียโดยสิ้นเชิงแล้ว   ดวงตารูปเรียวยาวค่อนข้างเล็กนั้นหรี่เยิ้มด้วยกิเลส ซึ่งฤทธิ์น้ำเมา   และรูปโฉมงดงามแช่มช้อยสมบูรณ์ไปด้วยเนื้อหนังมังสาของดรุณีที่ปรากฏอยู่กระตุ้นให้บังเกิดขึ้น   ท่านถอดความภาคภูมิเป็นสง่าอันน่าเคารพนับถือทิ้งไปดุจเดียวกับเสื้อชั้นนอกที่ตัดด้วยผ้าไหมไทยอย่างที่ท่านถอดทิ้งไว้ตรงปลายเตียงอย่างไม่อินังขังขอบในขณะนี้

“ทำไมจะต้องหนีไปยืนอยู่โน่นด้วยเล่าจ๊ะ หนู?”

ท่านพูดอย่างอ่อนหวาน อ่อนหวานเกินกว่าที่ชลาเคยได้ยินเสียด้วยซ้ำ  แต่มันกลับทำให้เธอรู้สึกว่าขนลุกซู่ขึ้นมาทั้งตัวด้วยความขยะแขยง   ท่านทรุดกายลงนั่งบนเตียง   ตบมืออันอ้วนอูมลงบนที่นอนหนา ซึ่งลาดด้วยผ้าลินินเนื้อดีสีชมพูอ่อนนั้น

“มานั่งคุยกันที่นี่ดีกว่า มะ”

แต่เมื่อไม่ได้รับคำตอบ นอกจากดวงตาที่จ้องมองมาอย่างตื่นตระหนก และเกลียดกลัวของหญิงสาว   ท่านก็กลับลุกขึ้นใหม่ เดินอ้อมปลายเตียงเข้าไปหา   ชลาถอยกรูดหนีมาอีกด้านหนึ่ง

“นั่นจะหนีไปไหน   มัวแต่เล่นเอาเถิดกันอยู่อย่างนี้ เมื่อไหร่จะได้พักผ่อนกันเสียทีเล่าจ๊ะ?”

“ดิฉันไม่ต้องการพักผ่อนอะไรทั้งนั้น”   ชลาบอกเสียงแข็ง ทั้งที่ใจของเธอกำลังสั่นระริกจนเกือบจะเป็นลม   มันเป็นเหตุการณ์อันคับขันและร้ายกาจที่สุดที่เธอไม่เคยได้พบเพราะไม่เคยคาดว่าจะได้พบมาก่อนเลย   “ดิฉันจะกลับบ้าน”

“กลับบ้าน”   ท่านทวนคำแล้วก็หัวเราะเหมือนหนึ่งว่า เกิดความรู้สึกเอ็นดูเด็กเล็กๆ ที่ร่ำร้องจะเอาดวงจันทร์   “จะกลับไปได้ยังไงกันนะ ในเมื่อเธอยังเมาอยู่   เธอเมาเหล้าใช่ไหม? หนูชลา   เมื่อเมาก็ควรจะได้นอนพักเสียก่อน   สบายดีแล้วจึงค่อยกลับ   บ้านน่ะไม่หนีไปไหนหรอกน่า”

“ดิฉันสบายดีแล้ว   ดิฉันต้องการกลับบ้านเดี๋ยวนี้”

“เดี๋ยวนี้   เอ....เธอจะกลับไปได้ยังไงกันล่ะ   ก็พี่เขยเธอเขายังไม่มารับนี่นะ”

“แต่ท่าน บอกว่าจะให้รถไปส่งดิฉัน   กรุณาปล่อยให้ดิฉันกลับบ้านเถอะค่ะ”

ท่านหัวเราะหึๆ   “ให้ไปส่งซี   แต่ไม่ใช่เดี๋ยวนี้   มานั่งคุยกันก่อนน่า   ถ้าหนูอยากให้ฉันตามใจ หนูก็ต้องตามใจฉันบ้างซี”

ท่านเดินอ้อมเตียงกลับมาอีก   และชลาก็ถอยกรูดหนีไปอยู่อีกด้านหนึ่ง   เมื่อยังไม่มีทางจะหนีออกไปพ้นห้องนี้ ซึ่งท่านจัดการลงสลักไว้เรียบร้อยแล้วได้   เธอก็จะขอยึดเอาความกว้างใหญ่ของเตียงนอนนี้ แหละเป็นกำแพงขวางมนุษย์ผู้แก่ด้วยวัยและตัณหาผู้นี้ไว้ไปพลาง

“อุบ๊ะ หนีไปอีกแล้ว”   ท่านร้องออกมาอย่างฉิว   “ทำไมถึงได้ยากเย็นอย่างนี้นะ ให้ตายโหงซี   เล่นตัวไปได้”

คราบของความเสแสร้งแกล้งทำเป็นใจดีเริ่มถูกลอกออกอีกชั้นหนึ่งเมื่อถูกขัดใจ   ท่านผละออกห่างเตียงไปเดินวนเวียนงุ่นง่านอยู่

“ฉันไม่เข้าใจเลยว่าหนูจะมัวเล่นเนื้อเล่นตัวไปทำไม   ในเมื่อถึงอย่างไรหนูก็ไม่มีปัญญาจะเอาตัวรอดไปจากที่นี่   ไอ้การขัดขืนทำให้ฉันโมโหนี่น่ะมันไม่ได้เป็นความฉลาดเลยสักนิด น่าจะรู้ดี”

ชลามองดูชายสูงอายุที่กำลังถูกครอบงำอยู่ด้วยกิเลสนั้นด้วยความดูถูกแกมประหลาดใจระตนกัน   ดูเขาช่างพูดเอาอย่างง่ายๆ เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว   เอาแต่ใจตัวเสียเหลือประมาณ จนไม่มีความละอายเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย

“หนูจะเอาอะไรอีก ในเมื่อฉันก็เสนอขอแลกเปลี่ยนไปแล้วอย่างเต็มที่   ถ้าหนูเป็นของฉัน บ้านหลังนี้จะเป็นของหนู   ยังแถมรถยนต์ใหม่เอี่ยมจากอู่อีกคันหนึ่ง   แล้วก็เงินเดือนที่หนูจะมีใช้ไปอย่างฟุ่มเฟือยทั้งเดือน   และหากว่า....”   ดวงตาของเขาจับจ้องอยู่ที่บ่าของเธอ   กล่าวต่อไปด้วยดวงหน้ายิ้มๆ ว่า   “ถ้าหนูทำดีๆ ให้ฉันรักมากๆ ละก็   อย่าว่าแต่เพียงแค่เข็มกลัดเพชรที่หนูกลัดอยู่นั่นเลย   แม้แต่เครื่องเพชรเป็นชุดๆ ฉันก็ให้หนูได้”

ชลาก้มลงมองดูเข็มกลัดที่เธอกลัดอยู่นั้น   รู้สึกบังเกิดความขยะแขยงขึ้นมาในฉับพลัน   หญิงสาวก้มลงใช้ปลายนิ้วแกะสลักมันออก   จากการกระทำเช่นนั้น ทำให้เธอขาดการระมัดระวังตัว   และก่อนที่เธอจะทันรู้สึกตัว   ท่านก็พาร่างอันสมบูรณ์พุ่งข้ามเตียงมาอย่างว่องไวน่าพิศวง   คว้าข้อมือข้างหนึ่งของเธอฉุดโดยแรงจนเสียหลักถลาล้มลงไปกลางเตียง   ชลาสะบัดเสียเต็มแรงด้วยความตกใจ

เสียงท่านร้อง “โอ๊ย....!”   แล้วผุดลุกขึ้นสะบัดแขนอย่างเจ็บและตกใจ   ชลาเลื่อนปรูดไปยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง   เห็นท่านยกแขนขึ้นดู   คงจะเป็นเข็มกลัดที่หลุดง้างอยู่นั้นเองที่ช่วยเธอไว้ได้   ชลาปลดมันออกแล้วโยนลงไปกลางเตียง

“พิษสงมากนักนะ”   ท่านคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวและดุร้าย   ดวงตาเล็กยาวนั้นเป็นประกายเหมือนสัตว์ร้ายที่กำลังโกรธจัด   “ดีละ   จะดูซิว่าจะเก่งไปได้ถึงไหน   พูดกันดีๆ ไม่ชอบก็”

ร่างที่สมบูรณ์นั้นพุ่งเข้ามาอีกอย่างว่องไว   ชลาถอยกรูด วิ่งตรงไปที่ประตูห้อง   ขณะที่เธอเอื้อมมือออกจับปุ่มประตูหมุนนั้น ท่านก็ปราดเข้ามาถึงตัว   แขนที่อวบอ้วนและเต็มไปด้วยพลังแรงแห่งกิเลสอันเผาระอุรวบรัดเข้าที่เอวเล็กของเธอ   ชลาสะบัดเต็มแรง แต่ไม่หลุด   เธอดิ้นอึกอักพลางส่ายหน้าหลบดวงหน้าที่แดงก่ำ และริมฝีปากที่คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นเหล้าอันก้มต่ำแทรกซอนเข้ามาใกล้   มีความรู้สึกสะอิดสะเอียนและตระหนกตกใจปานว่าเส้นเอ็นจะขอดเป็นเกลียวไปหมดทั้งเนื้อทั้งตัว   ขณะที่กำลังวุ่นวายชุลมุนกันอยู่   และชลารู้สึกว่าใจหวิวๆ   ใกล้จะเป็นลมอยู่แล้วนั้นเอง   ก็มีเสียงแตรรถดังยาวขึ้น

เสียงแตรนั้น ทำให้ท่านหยุดชะงักไปนิดหนึ่ง แล้วก็ไม่เอาใจใส่   ดวงหน้าแดงก่ำก้มลงมาหาชลาอีก   ก็พอดีเสียงแตรรถครั้งที่สองดังขึ้น   แล้วชั่วอึดใจต่อมาก็มีเสียงรถแล่นเข้ามาในบ้าน

แขนที่รวบอยู่รอบร่างของชลาคลายออกไป   หญิงสาวเซไปปะทะฝาห้อง   แข้งขาอ่อนและใจสั่นริกๆ   ได้ยินเสียงท่านสบถดังๆ อย่างพลุ่งพล่านไม่พอใจ

“ไอ้ห.... ใครวะเสือกมาเวลานี้”

เสียงใครคนหนึ่งวิ่งขึ้นมาข้างบนด้วยฝีเท้าที่ไม่ประหยัดเสียง แล้วก็มีเสียง

“ชลา   อยู่ที่ไหนน่ะ ชลา”

สวรรค์ช่วย .. เสียงนั้นเป็นเสียงกวีนั่นเอง

ชลาปราดเข้าไปจับปุ่มประตู มือไม้สั่นจนหมุนสลักไม่ถูก   ปากก็ร้องตะโกนออกไปว่า

“พี่กวี   ชลาอยู่นี่ค่ะ”

บานประตูเปิดออก   แล้วชลาก็ผวาเข้าสู่วงแขนของกวีที่คอยรับอยู่นั่น

ชลาไม่เห็นดวงหน้าของกวีในขณะนั้น   ไม่ได้เห็นแม้แต่สีหน้าของท่านที่ยังคงยืนอยู่ในห้อง   เพราะว่าเธอซบหน้าอยู่กับแผ่นอกของพี่ชาย และรู้สึกแต่เพียงว่าแขนของเขาโอบรัดอยู่รอบร่างกายของเธอประหนึ่งว่าจะป้องกันเธอไว้จากภัยอันตรายทั้งมวล   มันช่างให้ความอบอุ่นและมั่นใจแก่เธออย่างสุดประมาณ   เป็นครูใหญ่ กวีจึงกล่าวด้วยเสียงราบเรียบว่า

“กลับกันเถิด”

เขาพาเธอลงมาข้างล่าง   ผ่านห้องรับแขกซึ่งมีร่างแขกที่มาในงานคืนนั้น ทอดร่างเหยียดยาวหมดสติเพราะฤทธิ์น้ำเมาอยู่บนเก้าอี้ยาวสองคน   ไม่มีวี่แววว่าท่านจะติดตามลงมา   กวีพารถเคลื่อนออกมาจากบ้านนั้นโดยเร็ว

ชลาไม่อาจจะหยั่งความนึกคิดของเขาในขณะนั้นได้   นอกจากจะรู้สึกว่า   คืนนี้ กวีช่างขับรถเร็วเหลือประมาณ   แต่เธอก็ไม่มีจิตใจที่จะเตือนเขา   เหตุการณ์อันเลวร้ายที่เพิ่งพานพบมาหยกๆ นั้นยังผลให้เธอถึงกับช้อค   ไม่มีความรู้สึกเป็นตัวของตัวเองเหลืออยู่

รถพุ่งปราดมาตามถนนอันสงัดเงียบนั้น   จนกระทั่งเข้าเขตที่มียวดยานจอแจ จึงได้ผ่อนความเร็วลง   แต่ทั้งสองก็ยังมิได้ปริปากพูดอะไรต่อกันแม้สักคำหนึ่ง   ชลามิได้เห็นว่าบ่อยครั้งที่กวีได้เหลือบลงมองดูเธอ   เธอมิได้เห็นด้วยว่าดวงหน้าของชายหนุ่ม ในขณะนั้นมีทั้งความดุดันและความเคร่งคิดปะปนกันอย่างหนัก   ชลานั่งนิ่งงงงันอยู่จนกระทั่งถึงบ้าน

กวีดับเครื่องยนต์ แล้วจึงหันมาทางญาติสาวผู้ซึ่งยังคงนั่งนิ่งเฉยอยู่   ดวงตาของเขาบ่งบอกถึงความรู้สึกเวทนาสงสาร   เขายกมือขึ้นจับแขนเธอ   บอกว่า

“ถึงบ้านแล้วจ้ะ ชลา   ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็นอนเสีย”

ชลามองดูหน้าชายหนุ่มด้วยดวงตาที่เลื่อนลอยครู่หนึ่ง   แล้วจึงค่อยรู้สึก  สติสัมปชัญญะที่หนีหายไปนั้นค่อยกลับคืนมาสู่จิตสำนึก   หญิงสาวไหวตัว   ดวงตาที่แห้งผากเริ่มหล่อรื่นไปด้วยน้ำใส   เสียงอันสั่นเครือหลุดออกมาจากลำคออย่างยากเย็นว่า

“พี่กวี…..”

เธอมีโอกาสพูดได้เพียงคำเดียวเท่านั้น   วงแขนอันอบอุ่น มั่นคง ของกวีก็กางออก  รวบรัดร่างของเธอไว้อย่างแน่นหนา   มือข้างหนึ่งของเขาจับศีรษะของเธอกดให้ซบลงกับแผ่นอกที่แข็งแรงของเขา   ลูบไล้เบาๆ อย่างปลอบโยน   เสียงทุ้มๆ ของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนเห็นอกเห็นใจยิ่งนัก

“อย่าร้องไห้ ชลา   ไม่มีอะไรอีกแล้ว   ลืมมันเสียเกิด   อย่าไปคิดถึงมันอีก   มันเป็นพิษร้ายแก่จิตใจ อย่าไปจำมันไว้   ลืมมันเสียให้หมดนะจ๊ะ”

ชลาเงยหน้าขึ้น   เธอขยับปากจะพูด แต่กวีไม่ยอม   เขาจับศรีษะของเธอกดให้ซบลงตามเดิม   มือของเขาลูบไล้อยู่บนแผ่นหลังของเธออย่างทะนุถนอม และปลอบประโลมราวกับว่าเขากำลังปลอบเด็กเล็กๆ ที่กำลังขวัญเสีย

“อย่าเพิ่งพูดอะไรเวลานี้เลย   ดึกแล้ว   ประเดี๋ยวคุณอาทั้งสองตื่นขึ้นมาจะลำบาก   พี่เข้าใจดีว่าเธอกำลังมีความรู้สึกอย่างไร   แต่ก็อย่าไปพูดถึงมันเลยนะจ๊ะ   พี่ขอร้อง   เรื่องร้ายมันผ่านไปแล้ว ลืมมันเสีย   พรุ่งนี้ไม่ต้องไปทำงาน   แล้วพี่จะจัดการทุกสิ่งทุกอย่างให้เรียบร้อย”

ชลาซบนั่งอยู่กับอกของเขาเช่นนั้น   จนกระทั่งรู้สึกว่าจิตใจของเธอค่อยสงบลง จึงค่อยๆ ถอยห่างออกมาเล็กน้อย   เธอเงยหน้าขึ้นมองดูเขา   จากแสงไฟน้อยแรงเทียนที่เปิดทิ้งไว้ที่ประตูบ้าน ทำให้เกิดเงาขึ้นที่ดวงหน้าของกวี   มองดูคมสันและเข้มแข็งอย่างชายชาตรี   แต่ดวงตาของเขาสิช่างอ่อนโยนเต็มไปด้วยความรอบรู้และเมตตากรุณาราวกับดวงตาของนักบุญ   กวีในคืนนี้ช่างเป็นกวีที่มีบุคลิกอันแสนจะตรึงใจ ซึ่งชลาไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มากับเขาก่อนเลย

“พี่กวีทราบได้ยังไงคะ ว่า....”

ชลาถาม แต่กวีไม่ยอมให้เธอพูดจนจบประโยค   เขาเอื้อมมือออกมาปิดปากเธอไว้   ปรามว่า

“พี่ขอร้องแล้วอย่างไงเล่าจ๊ะ ว่าอย่าเพิ่งพูดเพิ่งถามในคืนนี้   แล้วสักวันหนึ่ง เมื่อชลาค่อยสบายใจขึ้นแล้ว พี่จะเล่าให้ฟัง

“ถ้าพี่กวีไปไม่ทัน ชลาก็คง...”

“เอาอีกแล้ว เด็กดื้อ”   เขาขัดเสียงดุ แต่ดวงตายังคงทอแสงในลักษณะเดิม   “ขอร้องเพียงเท่านี้ก็ให้พี่ไม่ได้หรือ ชลา?”

“ได้สิคะ   ชลาให้พี่กวีได้ทุกอย่าง ไม่ว่าพี่กวีจะขออะไร”

ดวงตาของชายหนุ่มเป็นประกายวาบขึ้น   เขามองดูหน้าเธอครู่หนึ่ง แล้วจึงถามว่า

“จริงหรือ ชลา เธอจะให้ได้พี่ทุกอย่างจริงหรือ?”

“จริงค่ะ” ชลารับคำอย่างแน่นแฟ้น   “พี่กวีเองก็ให้ชลาออกมากมาย   ชลาเองสิ ไม่เคยได้ให้อะไรพี่สักอย่างเดียว   ชลามีแต่ดื้อกับพี่   เอาแต่ใจตัวเองก็เท่านั้น   ต่อไปนี้ชลาสัญญาว่าจะไม่ทำอย่างที่แล้วๆ มานั้นอีก   ชลาจะเป็นคนดีของพี่ละ”

ชายหนุ่มมองดูเธอนิ่งและนาน แล้วจึงเอื้อมมือออกมาตบมือของเธอเบาๆ   บอกว่า

“เพียงแค่นี้ก็ชื่นใจพอแล้ว   เอาละจ้ะ   เข้าบ้านเสียที   ประเดี๋ยวเผื่อมีใครตื่นขึ้นมา เขาจะสงสัยว่าเรามาจอดรถอยู่ทำไมหน้าบ้านมืดๆ เป็นนานสองนาน จะเสียหายแก่เธอ”

เสียหายแก่เธอ   เพียงแต่จอดรถอยู่บ้านนานเกินสมควรไปเล็กน้อยแค่นี้ กวีก็ยังเป็นห่วงเกรงว่าจะเป็นที่เสียหายแก่เธอ   แต่ตัวเธอเองเล่า   ได้เป็นห่วงชื่อเสียงของตัวเองอยู่บ้างหรือ   คิดแล้วอยากจะร้องไห้ออกมาด้วยความรู้สึกอับอายนัก

“พี่จะเดินเข้าไปส่งข้างใน”

กวีบอก   ลงจากรถ เดินออกมาเปิดประตูให้เธอ   ชลาก้าวลงมาอย่างว่าง่าย   ผลักบานประตูเล็กที่ปิดไว้เฉยๆ ไม่ได้ใส่กลอนให้เปิดออกก้าวเข้าไป   กวีก้าวตามเข้ามา ชลาจึงบอกกับเขาว่า

“พี่กวีส่งชลาแค่นี้ก็พอแล้วค่ะ   ชลาต้องปิดประตูด้วย เดี๋ยวขโมยเข้า”

“อ้าว... แล้วชลาจะเข้าบ้านได้ยังไงเล่าจ๊ะ?” เขาถามอย่าเป็นห่วง   “มิต้องไปยืนคอยให้คนใครออกมาเปิดประตูให้หรือ?   พี่จะไปยืนเป็นเพื่อน”

“ไม่เป็นไรหรอกคะ   ชลามีกุญแจไขเข้าไปได้   แม่ให้ไว้แล้ว”

หญิงสาวบอก กวีจึงอุทานว่า   “อ้อ... อย่างนั้นหรือ   ถ้าอย่างนั้นพี่ก็ส่งแค่นี้ละนะ   อย่าลืมทำตามที่พี่ขอร้อง   ไม่ต้องไปคิดอะไรอีก   รีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็เข้านอนเสียโดยเร็ว เข้าใจไหมจ๊ะ   พรุ่งนี้พี่จะมาหาแต่เช้า   แล้วก็สีหน้าของชลาเองน่ะแหละจะบอกให้พี่รู้ว่า เธอทำตามที่พี่ขอร้องหรือเปล่า”

เขาหยุดพูด   มองดูหน้าเธอ แล้วก็ก้าวเข้ามาจับมือเธอไปกุมไว้   พูดด้วยเสียงหนักแน่นว่า   “ต่อไปนี้ พี่จะไม่ยอมให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นแก่ชลาอีกเลย พี่สัญญา”

เขาบีบมือเธอแน่นเป็นการรับรองคำพูดของตนเองแล้วจึงปล่อย   หันหลังกลับก้มตัวลอดประตูออกไป   ชลายืนคอยอยู่จนกระทั่งเขาขึ้นรถติดเครื่องแล่นเลยไปยังบ้านของเขาแล้วจึงได้ปิดประตูหน้าบ้าน และกลับขึ้นเรือน

ห้องของมารดาและสายธารปิดไฟมืดสนิทแล้ว   มีแต่ไฟที่ตรงเชิงบันไดชั้นบนเปิดทิ้งไว้แต่เพียงดวงเดียว   ชลาถอดรองเท้าออก จรดปลายเท้าย่องเข้าห้องอย่างเงียบกริบ   แม้กระนั้น พอเธอเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเตรียมตัวจะเข้าห้องน้ำ   ร่างของมารดาก็ปรากฏขึ้นที่ช่องประตู   นางละเมียรเดินเข้ามาในห้อง ถามว่า

“ทำไมกลับดึกนักเล่าลูก   แม่ได้ยินเสียงรถมาจอดหน้าบ้านตั้งนานแล้วแต่นิ่งเงียบไป ก็เลยนึกว่าไม่ใช่หนู”

เสียงของท่านเรียบ   แต่ชลารู้ด้วยความเคยชินต่อกันว่า มารดากำลังเพ่งเล็งจะคอยจับความจริงจากเธอ   หญิงสาวจึงมองตอบท่านด้วยดวงหน้า และแววตาที่บังคับให้เป็นปกติ เมื่อบอกว่า

“ชลามัวหาเข็มกลัดอยู่ค่ะ   ไม่ทราบว่ามันตกหายไปข้างไหน?”

“อ้าว...! ตายจริง! หายเสียแล้วหรือ?”   ความเสียดายในอาภรณ์อันมีค่าทำให้นางละเมียรหมดความสำรวมที่จะจับความรู้สึกของบุตรี   “ของนายเขาเพิ่งให้มาเสียด้วยไม่ใช่หรือลูก   ของมีราคาเสียด้วย   หายที่ไหนไม่รู้ตัวรึ?”

“ไม่ทราบเลยค่ะ”

ชลาปดอย่างไม่สบายใจ   เธอไม่อยากจะปิดบังความจริงไว้จากมารดา   แต่คิดว่ายังไม่เป็นการสมควรที่จะบอกให้ท่านรู้ในเวลานี้   เธอจะต้องถามกวีดูเสียก่อนว่า ควรที่จะบอกเรื่องนี้ให้มารดาของเธอรู้เมื่อใด และแค่ไหน

“เอ...หายที่ไหนก็ไม่รู้เสียด้วย   หนูกลัดไว้ไม่แน่นกระมัง   ของมันหนัก มันเลยหลุด”

มารดาสันนิษฐาน และบุตรีก็รีบรับว่า

“ค่ะ คงเป็นอย่างนั้น   แต่ก่อนกลับมาหนูรู้สึกว่ายังอยู่ ในรถก็ไม่มี”

“อาจตกอยู่แถวหน้าบ้านกระมังจ๊ะ?”

“หน้าบ้านก็ไม่มีค่ะ”   คราวนี้ชลาตอบอย่างเต็มปากเต็มคำ เพราะว่ามันเป็นความจริงดังนั้น

“ถ้ามันหายจริงๆ ก็น่าเสียดาย   เอ... หนูก็ไม่เคยป้ำเป๋ออย่างนี้เลยนี่นะ   นี่ถ้านายเขารู้เขาก็คงจะตำหนิได้”   แล้วมารดาก็ถามออกมาว่า   “ใครมาส่งหนูเล่าจ๊ะนี่   พ่อสำราญหรือ?”

ชลาก้มหน้านิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองดูมารดา แล้วบอกไปตามความจริงว่า

“ไม่ใช่คุณสำราญหรอกค่ะ   พี่กวีเป็นคนมาส่ง”

“อ้อ...ทำไมเป็นพ่อกวีรึ”   ดวงหน้าของนางละเมียรปรากฏความโล่งใจ   แต่เพียงชั่วครู่เดียวก็กลับเปลี่ยนเป็นฉงนฉงาย   “เอ๊ะ...ทำไมเป็นพ่อกวี   ก็พ่อกวีเขาไม่ได้ไปด้วยนี่จ๊ะ   น่าจะเป็นพ่อสำราญซี ที่จะมาส่งหนู?”

“พี่กวีเป็นคนมาส่งค่ะ”   ชลายังคนยืนคำบอกเดิมของเธออยู่   นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวต่อไปว่า   “คุณสำราญได้รับโทรศัพท์เรียกตัวไปไหนไม่ทราบ   หนูก็คอยอยู่เป็นนานแล้วก็พอดีพี่กวีไปรับค่ะ”

“เออ”   นางละเมียรพยักหน้าช้าๆ   ทำความเข้าใจกับคำบอกเล่าของธิดาด้วยตนเอง   “ถ้างั้นพ่อสำราญเขาคงติดธุระไปรับหนูไม่ได้ เลยวานให้พ่อกวีไปรับแทน”

ท่านเดินไปที่ประตู แล้วหันกลับมาบอกว่า

“ทีหลังถ้าไม่จำเป็นก็อย่าไปงานกลางคืนเลย   แม่เป็นห่วง นอนไม่หลับ คอยฟังเสียงรถอยู่ตลอดเวลา   หนูไปอาบน้ำอาบท่าเสียเถอะจ้ะ จะได้นอนเสีย   พรุ่งนี้ก็จะต้องตื่นแต่เช้าไปทำงานอีกแล้ว”

ไปทำงาน   กวีสั่งเอาไว้มิให้เธอไปทำงาน   และเมื่อเธอจะทำตามเขา ก็เป็นของแน่ที่จะต้องหาทางแก้ตัวกับมารดาอีก   แต่ก็ช่างเถอะ   กวีบอกไว้ว่า พรุ่งนี้เขาจะมาหาเธอแต่เช้า   เขาคงจะช่วยแก้ไขปัดเป่าความกังวลใจของเธอเสียได้   ชลาตั้งใจแล้วว่า นับแต่นี้ต่อไป   เธอจะเชื่อฟังเขาและมอบความไว้วางใจให้แก่เขาแต่เพียงผู้เดียว

จบบทที่ 22