รถยนต์คันย่อมกลางเก่ากลางใหม่คันหนึ่ง แล่นเลี้ยวเข้าถนนซอยแคบๆ สายหนึ่งอย่างช้าๆ แล้วก็จอดลงที่หน้าบ้านไม้สองชั้นหลังหนึ่ง คงจะเนื่องด้วยเครื่องยนต์ของรถมิใช่ของใหม่ เมื่อเวลาที่ผู้ขับเร่งเครื่องก่อนที่จะดับเครื่องยนต์ จึงบังเกิดเสียงดังพอที่จะเรียกคนในบ้านให้บังเกิดความสนใจต้องเยี่ยมหน้าออกมาดู ดังนั้น เมื่อหญิงสาวสวยผู้ขับรถคันนั้นเปิดประตูก้าวลงมา หล่อนจึงได้เห็นหน้าคนไม่ต่ำกว่าสองโผล่ออกมาที่หน้าต่างทั้งชั้นล่างและชั้นบน แล้วก็หลบแว่บเข้าไป ต่อจากนั้นก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งสวมกางเกงขาสั้นสีน้ำเงิน และเสื้อยืดแขนสั้นสีขาวเดินลงจากเรือนมาเปิดประตูรั้วให้ หญิงสาวยิ้มกับเด็กหนุ่มอย่างคุ้นเคย ทักว่า
“แหม สิทธิ์ ไม่ได้เห็นไม่เท่าไหร่เลย โตขึ้นเป็นกองแน่ะ”
เด็กหนุ่มวางหน้าเฉยต่อคำทักทายนั้น ซึ่งทำให้หญิงสาวบังเกิดความไม่พอใจขึ้นมา ดังนั้น เสียงของหล่อนจึงขุ่นและค่อนข้างสะบัด เมื่อถามต่อไปว่า
“พี่สันทัดอยู่หรือเปล่า?”
“อยู่ครับ” เด็กหนุ่มตอบ “เชิญคุณสายรุ้งข้างบน พี่สันทัดทราบแล้วว่าคุณมา”
“ฮึ....หมั่นไส้”
สายรุ้งกระแทกเสียงอยู่ในคอ เดินตามหลังเด็กผู้นั้นขึ้นไปบนเรือน และเข้าไปนั่งคอยอยู่ในห้องรับแขกสี่เหลี่ยมค่อนข้างแคบ ในขณะที่เด็กหนุ่มเลี่ยงออกไปจากห้อง แต่หล่อนก็นั่งอยู่กับที่ไม่ได้นานนัก หญิงสาวลุกขึ้นเดินไปดูนั่นดูนี่ จับต้องสิ่งต่างๆ ซึ่งใช้ประดับห้องนั้นอย่างอยู่ไม่สุข จนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเบาๆ มายังประตู นั่นแหละ จึงได้หันกลับมา ยิ้มอย่างหวานเพื่อต้อนรับผู้ที่ก้าวเข้ามาในห้องนั้น
“แหม สันทัด กว่าจะลงมาได้ ปล่อยให้สายรุ้งคอยเสียแทบแย่”
“เธอมีธุระอะไรหรือ สายรุ้ง ถึงได้มาถึงที่นี่ได้?”
ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของบ้านถาม ดวงหน้าเฉยชาค่อนข้างบึ้ง เขาทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่งห่างจากหญิงสาวยืนอยู่
“แหม เดี่ยวนี้ต้องมีธุระด้วยหรือ สายรุ้งถึงจะมาที่นี่ได้?” หญิงสาวเอียงคอค้อนเขาอย่างมีจริต “เดี๋ยวนี้น่ะ พอมาถึง สายรุ้งก็ต้องถูกจำกัดเขตให้คอยอยู่ในห้องรับแขกแล้วนะคะ”
ดวงตาของชายหนุ่มเป็นประกายแวววับขึ้นอย่างเยาะ เขาขยับปากจะกล่าวถ้อยคำอันรุนแรงที่บังเกิดขึ้นในใจเดี๋ยวนั้น แต่แล้วก็กลับยับยั้งไว้เสีย พูดแต่เพียงว่า
“อย่าลืมเสียสิ สายรุ้ง ว่าเดี๋ยวนี้กับเมื่อก่อนนี้ มันไม่เหมือนกันแล้ว”
“นายสิทธิ์น้องชายคุณก็เหมือนกัน พอเห็นหน้าสายรุ้งละก็ ทำหน้าขมวดเข้าใส่ยังไงพิลึก”
“คิดมากไปเองตามประสาคนช่างระแวงกระมัง?” สันทัดถาม เสียงของเขาเรียบ แต่ดวงตาเท่านั้นที่บอกชัดถึงความรู้สึกของเขาในขณะนั้น
“ฮึ” สายรุ้งสะบัดหน้านิ่งอึ้งไป
“ว่ายังไง?” สันทัดกระตุ้น “จะบอกให้ทราบได้แล้วหรือยังว่า ทำไมวันนี้บ้านผมจึงได้มีเกียรติต้อนรับคุณสายรุ้ง เพื่อน.... เอ้อ คนโปรดของท่าน?”
“สันทัด” สายรุ้งร้องเสียงแหลม มีอาการคล้ายนางงูเมื่อถูกตีที่ขนดหาง “ฉันขอร้องเธอกี่หนแล้วว่าอย่าพูดถึงเรื่องนี้ อย่าพูดถึงเรื่องนี้ แต่เธอไม่สงสารฉันบ้างเลย”
“เธอมีสิ่งใดที่น่าสงสารมากนักหรือ สายรุ้ง?” ชายหนุ่มย้อนถาม “อะไรๆ ทั้งหมดนั้นก็เพราะว่าเธอทำตัวของเธอเองทั้งสิ้น เธอทำมันด้วยความเต็มใจ แล้วเธอจะมาเรียกร้องความสงสารทำไมกัน ฉันไม่เข้าใจเลย?”
“ฉันผิดไปแล้ว” สายรุ้งคร่ำครวญ “ฉันยอมรับว่าฉันทำผิด คุณจะยกโทษให้ฉันไม่ได้เทียวหรือ สันทัด?”
“น่าขันดีนี่” สันทัดว่า เสียงที่เขาพูดนั้นตรงกับคำพูดของเขาจริงๆ “ก่อนที่เธอจะทำลงไป ทำไมเธอไม่คิดเสียก่อนว่ามันผิด หรือมันถูก จริงอยู่ คนที่ทำผิดแล้วสำนึกตัวได้ว่าผิด ก็สมควรอยู่ที่ควรจะได้รับการยกโทษให้ แต่นั่นน่าจะหมายถึงคนที่ทำผิดลงไป เพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์เท่านั้น แต่ เธอทำมันลงไปอย่างน่าชื่นตาบานเหลือเกินนี่ สายรุ้ง”
“นี่แปลว่าคุณไม่ยอมยกโทษให้ฉันเลยหรือ สันทัด?”
“แปลกจริง” สันทัดหัวเราะ มันไม่ใช่หัวเราะที่หล่อนเคยชิน เคยได้รับจากเขาเหมือนเมื่อก่อนนี้เสียเลย “ความผิดหรือไม่ผิดอะไรของเธอมันเกี่ยวอะไรกับฉันด้วยเล่า ฉันเลิกคิดถึงเรื่องของเธอแม้กระทั่งตัวเธอเองมานานนักหนาแล้วละ จะยังคงจำได้ก็เพียงแต่ว่า คุณสายรุ้งคนนี้เคยเป็นคนรู้จักกันมา แล้วก็เป็นนายของฉันโดยตำแหน่งด้วย”
“หยุดพูดเสียดสีทิ่มแทงฉันที่ไม่ได้หรือ สันทัด” สายรุ้งมีสีหน้าแช่มชื่นขึ้น เขาบอกว่าเขาลืมหล่อนไปแล้ว แต่เหตุใดเขาจึงพูดจาเสียดสีประชดประชันเป็นเชิงต่อว่าหล่อนอยู่อีกเช่นนี้ “เอาเถอะ คุณจะคิดว่าฉันผิดหรือไม่ผิดก็ตามแต่เถอะ ฉันยอมรับคำพิพากษาทั้งสิ้น สุดแต่คุณจะว่าอย่างไร”
“เออ สายรุ้ง” สันทัดอุทานอย่างรู้สึกรำคาญ “นี่พูดกันเท่าไรก็ไม่เข้าใจเลยหรือนี่?”
“เข้าใจค่ะ เข้าใจ” หญิงสาวรีบรับ “เอาเถอะเราเลิกพูดถึงเรื่องที่แล้วมาแล้วกันทีดีไหม เรามาเริ่ม... เอ้อ... เป็นเพื่อนกันใหม่ดีกว่า คุณคงจะไม่รังเกียจที่จะรับฉันไว้เป็นเพื่อนด้วยสักคนนะคะ สันทัด?”
ชายหนุ่มมองดูหล่อนนิ่งอยู่ นี่หล่อนจะมาไม้ไหนกันอีกนี่ แม่ผู้หญิงคนนี้
“ก็ได้” เขาพูดขึ้นในที่สุด ซึ่งหล่อนก็แสดงอาการปิติยินดีเป็นหนักหนา
“ขอบใจคุณเหลือเกิน สันทัด” สายรุ้งว่า “สายรุ้งดูคนไม่ผิดเลย จะหาใครที่ใจดีมีเมตตาเท่าสันทัดคนนี้เป็นไม่มีอีกแล้ว”
สันทัดขมวดคิ้วเล็กน้อย “เธอมีธุระอะไรก็พูดไปดีกว่า จะเสียเวลาของเธอเปล่าๆ ได้ข่าวว่าเธอไม่ค่อยจะว่างอยู่ด้วยไม่ใช่หรือ?”
หญิงสาวแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจในรอยยิ้มอย่างมีนัยของเขา หล่อนพูดออกมาอย่างซื่อๆ ว่า
“เดี๋ยวนี้สายรุ้งว่างเสมอค่ะ”
“อ้าว... ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะ?” สันทัดทำเสียงให้เป็นเรื่องสนุก ทั้งที่เริ่มรู้สึกผิดปกติ “น่าเสียใจแทนจริงๆ”
สายรุ้งยักไหล่ หลบมุมปากลง “สายรุ้งไม่เห็นว่าจะมีอะไรน่าเสียใจ สายรุ้งไม่แคร์อะไรทั้งนั้น”
“จริงหรือ?” สันทัดว่า “ถ้าไม่แคร์จริงๆ แล้วทำไมเมื่อวันนั้นเธอถึงต้องวิ่งวุ่นไปถึงบริษัทด้วยเล่า?”
เขาพูดออกไปโดยไม่ทันคิด แล้วก็รู้สึกเสียใจ เมื่อหญิงสาวสวนควันขึ้นมาทันทีว่า
“อ้อ...ถ้าอย่างนั้นคุณก็รู้แล้วน่ะสิ ว่าอะไรเป็นอะไร?” หล่อนยักไหล่อีกก่อนที่จะพูดต่อไปว่า “ที่สายรุ้งไปถึงที่ทำงานของคุณวันนั้น ก็ทำไปตามสัญชาติญาณของมนุษย์ที่ยังมีความอยากรู้อยากเห็นเท่านั้นเองค่ะ แต่เมื่อรู้แล้ว เห็นแล้วก็เท่านั้นเอง ฮึ... สายรุ้งรู้มากกว่านั้นอีกนะ”
“รู้มากกว่านั้น” สันทัดทวนคำ ขมวดคิ้ว ชะโงกหน้าเข้าไปหาหล่อนโดยมิได้ตั้งใจ “เธอรู้อะไรมากกว่านั้นหรือ... เธอรู้อะไร?”
“แหม ดูคุณสนใจมากเหลือเกินนะ สันทัด เธอมีอะไรกับแม่สาวสวยคนนั้นหรือ ถึงได้สนใจมากนัก?”
“พูดเป็นบ้า” ชายหนุ่มว่าด้วยเสียงดุๆ “ตามใจเธอสิ จะเล่าหรือไม่ก็มันไม่ใช่เรื่องอะไรของฉันสักนิดเลยนี่ ฉันตัดใจว่าจะไม่สนใจเรื่องของใครทั้งนั้น”
“จริงรื้อ?” สายรุ้งทำเสียงเย้า ยกมือขึ้นดูนาฬิกาเรือนจิ๋วที่สวมอยู่ ถามว่า “นี่คุณรับทานข้าวหรือยัง สันทัด?”
“กำลังจะกินก็พอดีเธอมา ทำไมหรือ?”
“ถ้าอย่างนั้นก็ออกไปหาอะไรกินข้างนอกกันดีกว่า แล้วยังไงก็ดูหนังกันสักรอบนะคะ สันทัด?”
“ดูหนัง” สันทัดทวนคำ “จะไปทันอะไร กว่าจะหาอะไรกินเสร็จมิตักเข้าไปตั้งเกือบสองทุ่มหรือ?”
“ก็จะแปลกอะไรเล่า” สายรุ้งว่า “ดูรอบดึกก็ได้นี่คะ ไปนะคะสันทัด?”
“จะดีหรือ” สันทัดถามยิ้มๆ “ไปดูหนังรอบดึกด้วยกันสองคน ถ้าใครเห็นเข้าแล้วไปบอกท่านเข้า เธอจะลำบากน่ะซิ”
สายรุ้งยักไหล่ตามความเคยชิน “ไม่เห็นจะแปลกอะไรนี่ เมื่อก่อนนี้เราก็เคยไปด้วยกันบ่อยๆ”
“แต่เมื่อก่อนกับเดี๋ยวนี้ไม่เหมือนกัน ฉันบอกเธอแล้ว เราไม่ควรจะไปไหนมาไหนด้วยกันอีก”
“โธ่...สันทัดนี่” สายรุ้งทำหน้าเบื่อหน่าย “ทำไมคุณถึงได้ขี้ขลาดระวังตัวแจอย่างนี้นะ แต่เมื่อวันก่อนนี้เธอยังไปกินของว่างกับฉันสองคนนี่นา”
“เมื่อวานก่อนนี้ฉันไปก็เพราะเธอชวนฉันไปเยี่ยมแม่ของเธอที่โรงพยาบาลต่างหากเล่า เธอบอกว่าแม่ของเธอเจ็บมากและไม่มีใครไปเป็นเพื่อนเธอ เมื่อขากลับเธอเกิดหิวขึ้นมาจนเกือบจะเป็นลมตามที่เธอว่า ฉันจะทำอะไรอย่างไรอื่นได้ นอกจากจะเดินเข้าร้านอาหารไปกับเธอ”
“เอ๊อ... เรื่องมากจริงๆ นะสันทัด” สายรุ้งว่าแล้วลุกขึ้นยืน “อย่าร่ำไรไปเลยน่ะ เป็นคนว่าง่ายหน่อยเถอะ ลุกขึ้น แล้วขึ้นไปแต่งตัวเสียโดยดี ไม่อย่างนั้นสายรุ้งเป็นไม่ยอมออกไปจากบ้านนี้ด้วยคอยดูซี”
“เออ...แปลกจริง สายรุ้ง” สันทัดยิ้ม “เธอนี่ช่างไม่กลัวเสียเลยเทียวนะ ว่าถ้าท่านของเธอไปพบเข้าละก็จะเกิดเรื่องเดือดร้อนอะไรขึ้นบ้าง?”
“ทำไม” สายรุ้งมีอาการขัดใจขึ้นมาจนเกือบจะระงับไว้ไม่อยู่ “เธอกลัวว่าจะต้องถูกออกจากงานอย่างนั้นรึ ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะบอกให้รู้ว่า ท่านจะไม่มีวันได้พบเราหรอกวันนี้ เธอเย็นใจได้ เพราะว่าเขากำลังมีงานฉลองบ้านใหม่กันอยู่”
สายรุ้งจบคำพูดนั้นด้วยเสียงหัวเราะแหลมๆ ซึ่งแทงลึกลงไปในใจของสันทัด แต่สีหน้าของเขายังคงเป็นปกติอยู่เมื่อเขากล่าวว่า
“เออ... ช่างร่ำรวยเสียเหลือเกินนะ ท่านของเธอนี่ เป็นบุญของสายรุ้งที่ได้คู่ครองร่ำรวยอย่างนี้ ดูมีงานขึ้นบ้านใหม่กันไม่รู้จักหยุดหย่อน อยากรู้นักว่าท่านมีบ้านทั้งหมดกี่สิบบ้านกัน?”
“ฮึ... ขึ้นบ้านใหม่ น่าขันพิลึก ควรจะพูดเสียใหม่ว่า บ้านเก่าแต่หอใหม่จะเหมาะดีกว่ากระมัง น่าขันดีไหมสันทัด มันก็ไอ้บ้านหลังเดียวกันนั่นแหละ เปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์เสียใหม่ เปลี่ยนคนอยู่ใหม่ แล้วก็มีงานขึ้นบ้านใหม่กันอีก... ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ว่า เราจะไปพูดถึงเรื่องนี้กันให้เสียเวลาทำไมกันเล่า สันทัดจ๋า ลุกขึ้นไปแต่งตัวเถอะออกไปแสวงหาความสุขของเรากันดีกว่า”
สันทัดลุกขึ้นจากเก้าอี้ช้าๆ รอยยิ้มอย่างประหลาดแผ่ซ่านไปทั่วดวงหน้าของเขา เมื่อเขามองดูหญิงสาวนิ่งและนาน ก่อนที่จะพูดออกมาว่า
“เสียใจเหลือเกิน สายรุ้งที่รัก ที่ฉันจำเป็นต้องปฏิเสธความมีใจกว้างของเธอ ขอบใจที่อุตส่าห์เอาความสนุกสนานมายื่นให้ถึงบ้าน แต่เธอยังรู้จักฉันน้อยเกินไป คนอย่างนายสันทัด ไม่ต้องการจะเป็นตัวสำรองของใคร ตั้งแต่เกิดมาเป็นตัวตน ฉันไม่เคยขอหยิบขอยืมของที่เจ้าของเขาเผลอใช้หรอก ราตรีสวัสดิ์ สายรุ้ง ฉันมีงานที่จะต้องทำให้เสร็จในคืนนี้ แม้ว่า พรุ่งนี้ ฉันอาจจะกลายเป็นคนว่างงานไปก็ตาม”
เมื่อพูดจบ เขาก็หมุนตัวกลับ เดินตัวตรงขึ้นบันไดไปชั้นบน โดยมิได้หันกลับมาดูอีกเลยแม้แต่แวบหนึ่ง ว่าคำพูดของเขาจะก่อให้เกิดปฏิกิริยาอย่างใดแก่หญิงสาวบ้าง
สันทัดตรงเข้าห้องของตน ยืนกอดอกนิ่งอยู่หน้าโต๊ะเขียนหนังสือ หูคอยสดับรับฟังเสียงที่จะดังขึ้นมาจากชั้นล่าง แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงอะไร เป็นครู่ใหญ่ จึงมีเสียงรองเท้าสันสูงกระแทกพื้นอย่างแรงแล้วเร็วลงบันไดไป เสียงประตูรถดังปัง แล้วก็มีเสียงรถแล่นกระชากออกไปในอึดใจต่อมา สันทัดยิ้มออกมาได้ แม้ว่ามันจะเป็นยิ้มที่ขมชื่นอยู่ไม่น้อยก็ตาม เขายืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า หยิบเสื้อเชิ้ตตัวใหม่ออกมาเปลี่ยน เตรียมตัวจะออกจากบ้านไป
กวีขับรถวนเวียนอยู่ตามถนนสายต่างๆ เป็นเวลานานแสนนาน จนกระทั่งตัวเขาเองก็กะประมาณไม่ถูกว่านานสักเท่าไหร่ เพราะเหตุว่าความคิดของเขาขณะนั้นกำลังสับสนวุ่นวาย จนไม่อาจจับต้นขนปลายได้ติด ความรู้สึกดังกล่าวมานี้ มันเริ่มรบกวนเขามาตั้งแต่ตอนหัวค่ำแล้ว และมันยิ่งเพิ่มขึ้นมาอีกมากมายหลายเท่า เมื่อเขาได้ต้อนรับชายผู้หนึ่งซึ่งไปหาเขาที่บ้านเมื่อตอนสองทุ่มนี้ หลังจากที่ชายผู้นั้นได้ลากลับไปแล้ว เขาก็เอารถออกจากบ้าน และขับวนเวียนอยู่จนกระทั่งบัดนี้ โดยมิได้หยุดพัก ณ ที่ใดเลย
เรื่องที่ชายผู้นั้นพูดนั้นเป็นความจริงหรือ เขาจะรู้ได้อย่างไร ถ้าหากว่าเขาจะลองไปดูให้เห็นจริง และปรากฏว่ามันไม่เป็นความจริงเล่า เขาจะมีข้อแก้ตัวอย่างไร มันอาจจะกลายเป็นว่า เขาพาตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวในเรื่องของคนอื่นก็ได้ กวีนึกถึงภาพของชลาเมื่อตอนหัวค่ำ ชลาแต่งตัวสวยงาม แต่มีสีหน้าอันเฉยชาห่างเหินกับเขายิ่งนัก ยิ่งนึกถึงคำพูดของหล่อน อันเป็นเชิงห้ามมิให้เขาไปรับหล่อนออกไปกินอาหารกลางวันด้วยแล้ว กวีก็ยิ่งบังเกิดความขุ่นใจมากขึ้น
อวดดี เขานึก ก็เมื่อหล่อนไม่ต้องการจะให้เราเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับหล่อนแล้ว มันเรื่องอะไรที่เราจะต้องไปเป็นกังวลด้วย หล่อนจะไปขึ้นสวรรค์หรือลงนรกที่ไหนก็ช่างเป็นไร เด็กอวดดีพรรค์อย่างนั้น ควรจะปล่อยให้ได้รับบทเรียนแห่งความอวดดีเสียบ้างสิ หล่อนว่าหล่อนโตพอฉลาดพอที่จะรักษาตัวเองได้แล้วนี่นะ หล่อนจึงได้กล้าอวดดีกับเขาถึงอย่างนั้น
หล่อนแต่งกายด้วยสีส้มอ่อน มีเข็มกลัดเพชรรูปแปลกตา ฝีมือบอกว่าเป็นของสมัยใหม่กลัดติดอยู่ที่บ่าข้างหนึ่ง อาภรณ์ชนิดนั้น เขารู้ว่ามารดาของหล่อนจะไม่มีอยู่ในครอบครองเลย มารดาของหล่อนมีแต่อาภรณ์ที่เป็นของเก่าแทบทั้งนั้น ก็แล้วหล่อนไปเอามันมาจากไหนกันเล่า หล่อนจะทำงานเก็บเงินเดือนไว้ได้พอซื้อมันเทียวหรือ? เป็นไปไม่ได้แน่ ถ้าเช่นนั้นก็เป็นอันว่าต้องมีใครคนหนึ่งให้แก่หล่อน เพื่อเป็นของขวัญแน่นอน กวีรู้สึกว่าแสงของมันแปลบปลาบ หลอกหลอน ประสาทตาของเขาเมื่อคิดว่าต้องมีใครคนหนึ่งให้เข็มกลัดชิ้นนั้นเป็นของขวัญแก่ชลา
ใครให้หล่อน และทำไมจึงให้ การที่ใครจะให้ของขวัญที่มีราคาแพงๆ แก่ใครสักคนนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะความรักจับจิตจับใจ ก็ต้องเป็นเพราะหวังประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่ง ใครหนอที่รักชลาอย่างจับจิตจับใจ ใครหนอ ที่มุ่งหวังประโยชน์จากหล่อน
กวีจอดรถลงใกล้ตู้โทรศัพท์สาธารณะแห่งหนึ่ง เขาลงจากรถไปซื้อเหรียญจากคนเฝ้า แล้วเข้าไปโทรศัพท์ถึงพี่สาว
กิติมาไม่อยู่บ้าน คนใช้เป็นผู้มารับสาย หล่อนออกจากบ้านไปกับคุณผู้ชายนานแล้ว ไม่ทราบว่าจะกลับเมื่อไร
กวีกลับออกมาขึ้นรถด้วยความโล่งใจ ถ้าเช่นนั้นก็แปลว่ากิติมาหายจากอาการป่วย ดังที่สามีของหล่อนบอกแล้วน่ะสิ หล่อนคงจะไปในงานขึ้นบ้านใหม่นั้นด้วย เป็นอันว่าเรื่องที่ชายหนุ่มผู้นั้น เล่าก็เป็น เพียงโคม ลอยใบใหญ่เท่านั้นเอง กวีสต๊าร์ทเครื่องยนต์เลี้ยวรถกลับมุ่งไปยังทิศทางที่จะกลับสู่บ้านด้วยอัตราค่อนข้างเร็ว
กวีต้องชะลอ ความเร็วของรถลงเมื่อจะแล่น อ้อมป้อมตรงหน้าโรงภาพยนตร์แห่งหนึ่ง คนที่มาดูภาพยนตร์รอบดึกเข้าไปเกือบหมดสิ้นแล้ว รถเก๋งคันใหญ่สะดุดตาคันหนึ่งกำลังแล่นเข้าเทียบบาทวิถีหน้าโรงนั้น ชายหญิงที่ก้าวลงมาจากรถคันนั้น ทำให้กวีรู้สึกประหลาดใจจนเกือบจะกลายเป็นตื่นเต้น เขาเฝ้ามองดูอยู่จะเกือบจะลืมหายใจ มิไยที่รถคันหลังจะบีบแตรเร่ง กวีก็มิได้สนใจ คงจับตาอยู่ที่รถคันนั้น หวังจะได้เห็นร่างหนึ่งก้าวตามลงมาด้วย แต่ผิดหวัง เขามิได้เห็นร่างในชุดสีส้มอ่อนที่เขาหวังว่าจะได้เห็นเลยแม้แต่เงา คงมีแต่ชายและหญิงคู่นั้นที่เดินเคียงกันอย่างเร่งรีบขึ้นบันไดไปชั้นบน กวีหักมาลัยรถแล่นเลี้ยวเข้าไปจอดประชิดท้ายรถคันใหญ่นั้น เผ่นพรวดลงไปหาเจ้าคนขับรถที่กำลังบรรจงใช้ผ้าเช็ดรถอยู่อย่างทะนุถนอม จับแขนบีบแน่นจนหมอนั่นตกใจ แต่เมื่อเห็นประจักษ์ว่าเป็นใครก็ยิ้มกว้างออกมาได้
“แหมคุณ ผมตกใจจนเกือบช้อค เอาเสียแล้ว มาดูหนังหรือครับ? คุณสำราญกับคุณกิติมา ท่านเพิ่งขึ้นไปเดี๋ยวนี้เอง”
“นี่แกไปที่ไหนมาบ้าง?” ชายหนุ่มถามด้วยเสียงที่เกือบเป็นกระโชก คนรถทำหน้างงงวย
“ไปไหน เปล่านี่ครับ” หมอตอบอ้อมค้อมอย่างน่าเตะทีเดียว “ออกจากบ้านแล้วก็ตรงมาที่นี่”
“ไม่ใช่ ฉันหมายความว่า เมื่อตอนค่ำนี้ คุณของแกเขาไม่ได้ไปที่งานขึ้นบ้านใหม่หรอกหรือ”
“อ๋อ” หมอนั่นลากเสียงยาว “ไปครับ พอท่านออกจากบ้านนั้นแล้ว ท่านก็ไปรับคุณผู้หญิงที่บ้าน แล้วมาดูหนังนี่แหละครับ”
“นอกจากไป ที่บ้าน แล้วไม่ได้ไปไหนอีกเลย หรือ ฉันหมายความว่าเอาคุณชลากลับไปส่งบ้านแล้วหรือยัง?”
“คุณชลา” เจ้าคนรถคนนี้ดูช่างเซอะซะเป็นที่สุด “เอ... ไม่เห็นนี่ครับ ท่านออกมาคนเดียว ผม.... อ้าว...!”
คำอุทานสุดท้ายนั้นก็เพราะเหตุว่า ยังมิทันที่จะพูดจบประโยค มือที่ยึดแขนอยู่ก็ละไป คนรถมองตามร่างที่เผ่นจากไป แล้วรถสปอทร์คันงามนั้นก็พุ่งพรวดออกไปโดยเร็ว เล่นเอาเจ้าคนรถมองตามตาค้าง ต่อเมื่อหายตกตะลึงแล้วจึงได้รู้สึกเจ็บตรงบริเวณแขนที่ถูกจับนั้น เขายกมันขึ้นดูใช้มืออีกข้างหนึ่งถูเบาๆ ตรงรอยแดงช้ำ บ่นว่า
“บ๊ะ...นี่เกิดอะไรขึ้น คุณกวีถึงได้รุนแรงเป็นลมสลาตันอย่างนี้”