คุณวินิจ โสภณา ยังคงนอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียงในห้องนอนซึ่งกรุด้วยมุ้งลวดของท่าน เมื่อลูกชายคนเดียวเปิดประตูเข้าไปในห้อง ท่านลด หนังสือลง เงยหน้าขึ้นมองดูเขาอย่างสงสัย และเมื่อกวีลากเอาเก้าอี้ตัวหนึ่งเข้ามานั่งลงที่หน้าเตียง ท่านก็ถามอย่างอารมณ์ดีว่า
“มีเรื่องสลักสำคัญอtไรหรือ แกถึงได้ทำท่าเหมือนจะเรียกประชุม ด่วนเอาในตอนสี่ทุ่มห้าทุ่มอย่างนี้?
กวียกมือขึ้นเสยผม มองสบตาท่านบิดา แล้วถามท่านออกไปตรง ๆ ว่า
“คุณพ่อครับ จะเป็นการน่าเกลียดไหมครับ ถ้าผมแต่งงานก่อนที่จะลงมือทำงานให้เป็นหลักเป็นฐาน ?”
คำพูดของบุตรชายทำให้คุณวินิจต้องเลิกคิ้วสูง ท่านปลดแว่นตาลงมาเช็ดแล้วก็กลับสวมเข้าไปใหม่ พูดว่า
“ไหน พูดใหม่อีกทีซิว่าแกจะทำอะไร ?”
กวียิ้มก่อนที่จะกล่าวทวนคำพูดของเขาซ้ำอีกครั้งหนึ่ง วินิจมองดูลูกชายนิ่งนาน ก่อนที่จะถามว่า
“แกจะแต่งงานกับใครล่ะ บอกพ่อหน่อยได้ไหม ?”
“ได้ซิครับ ผมต้องเรียนให้พ่อทราบแน่นอน nbsp; ผมจะแต่งงานกับชลาครับ คุณพ่อ”
“ชลา แกจะแต่งงานกับหนูชลารึ ?”
“ครับ คุณพ่อ” กวีรับคำ “ผมจะแต่งงานกับชลาและต้องการแต่งโดยเร็วที่สุดด้วย”
“บ๊ะ.... เออนี่ นี่มันเกิดอะไรขึ้นเล่า” คุณวินิจอุทาน “ไม่นึกเลยว่าแกจะเป็นคนใจร้อนอย่างนี้ แล้วไอ้การพูดการจาของแก มันเหมือนกับไม่ใช่ว่าแกกำลังจะขอให้พ่อไปขอผู้หญิงให้ แต่แกทำท่าเหมือนกับว่ามันเป็นเรื่องคอขาดบาดตายอะไรทำนองนั้น”
“ก็เกือบจะเข้าขั้นคอขาดบาดตายเหมือนกันแหละครับ คุณพ่อ”
“หือ !” คุณวินิจมองลอดแว่นดูลูกชายอย่างตกใจ “นี่หมายความว่าแกกับหนูชลา.…!”
“เปล่า ๆ เปล่าครับคุณพ่อ” กวีรีบปฏิเสธโดยเร็วเมื่อเห็นว่าท่านบิดากำลังจะเข้าใจผิดไปใหญ่โต “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ โธ่...ผมจะทำยังงั้นได้ยังไง อาเวชได้ตีหัวผมแตกน่ะซีครับ”
“เออ ถ้าอย่างนั้นก็แล้วไป” คุณวินิจแสดงความโล่งใจออกมา “ถ้าไม่ถึงขึ้นนั้นแล้ว มันเรื่องอะไรแกถึงต้องรีบร้อนเข้ามาพูดกับพ่อกลางดึกยังงี้ด้วยล่ะ หรือว่าเกิดนึกรักหนูชลาขึ้นมาจนอยากจะแต่งงานด้วย จนทนไม่ไหว ต้องรีบมาบอกให้พ่อไปขอเสียเดี๋ยวนี้ ?”
“ก็.....เกือบจะคล้าย ๆ อย่างนั้นแหละครับ คุณพ่อ ผมเกิดอยากแต่งงานกับชลาขึ้นมาโดยเร็วที่สุด ถ้าหากว่าคุณพ่อไม่ขัดข้อง”
“ก็ทำไมพ่อถึงจะขัดข้อง”
คุณวินิจพูดยังไม่ทันจบความที่ท่านต้องการจะพูด ลูกชายก็เลื่อนกายลงจากเก้าอี้ก้มกราบลงบนที่นอนข้างกายของท่าน ชายสูงอายุมองดูศีรษะอันปกคลุมด้วยเส้นผมสีเข้มที่ก้มอยู่ชิดกับท่อนขาของท่านอย่างรักใคร่และปลื้มปิติ ท่านเสหัวเราะทั้งที่น้ำเสียงสั่นเล็กน้อย กล่าวต่อไปว่า
“เออแน่ะ จัดแจงรวบรัดให้พ่อตกลงเสียแล้วซีนี่ ไอ้พ่อน่ะไม่มีอะไรจะขัดข้องหรอก หนูชลาก็เป็นเด็กดี พ่อสงสารเอ็นดูแกมานานนักหนาแล้ว แล้วก็ดีที่เห็นกันมาแต่เล็กแต่น้อย มีความเข้าอกเข้าใจกันดี เด็กคนนี้พ่อรู้สึกว่าจะดีกว่าพี่สาว ยายสายธารนั่นหัวแข็ง กระด้าง ๆ ยังไงชอบกล ไม่น่ารัก ว่าแต่ที่จะแต่งงานนี่น่ะ บอกให้เจ้าตัวเขารู้แล้วหรือ ?”
แล้วท่านก็ต้องร้อง “อ้าว” เมื่อลูกชายตอบว่า
“ยังเลยครับ ชลายังไม่ทราบเลยว่าผมต้องการจะแต่งงานกับแก”
“อุวะ นี่มันยังไงกัน” คุณวินิจอุทานอย่างสงสัย “จะให้พ่อจัดการเรื่องแต่งงาน แต่ยังไม่ได้บอกให้ผู้หญิงเขารู้ตัวว่าเราอยากจะแต่งงานกับเขา ถ้าพ่อไปขอแล้วยายชลาแกเกิดขัดข้องขึ้นมาล่ะ พ่อมิต้องขายหน้าเขาแย่หรือ ?”
“ผมเชื่อว่าชลาคงไม่ขัดข้องหรอกครับ”
กวีบอก ท่านบิดามองดูเขาอย่างขัน ถามว่า
“แกรู้ได้ยังไงว่าเขาไม่ขัดข้อง หรือว่าไปสารภาพ ความรักกับเขาแล้ว แล้วเขาก็ยอมเอออวยด้วย ยังงั้นใช่ไหม เออ...เด็กสมัยนี้เขารวดเร็วดีจริงนะ จัดการติดต่อกันเองเสร็จ แกเองก็เพิ่งกลับมาถึงยังไม่ถึงสองเดือนดีทำไมมันถึงรวดเร็วนักหือ กวี ?”
กวีนั่งยิ้มฟังอยู่จนกระทั่งท่านพูดจบแล้ว จึงได้บอกว่า
“คุณพ่อเข้าใจผิดอีกแล้วครับ เพราะความจริงนั้นผมก็ยังไม่ได้บอกชลาเลยสักคำเดียวว่าผมรักแก”
“หือ” คุณวินิจต้องถึงกับเลิกแว่นมองทีเดียวคราวนี้ “เอ....พ่อชักสงสัยแล้วว่าสติแกยังสมบูรณ์ดีอยู่หรือเปล่ากวี อยู่ ๆ ก็มาบอกให้พ่อไปขอผู้หญิงให้ ทั้งๆ ที่เจ้าตัวเขาก็ยังไม่รู้ว่าแกรักเขา ต้องการจะแต่งงานกับเขา มันยังไงกันนี่ พ่อไม่เข้าใจเลย ?”
“ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันครับ คุณพ่อ” กวีว่า “ปุบปับ ผมก็รู้สึกว่า ผมจะต้องแต่งงานกับชลาขึ้นมา แล้วก็ต้องแต่งให้ได้ด้วย ผมก็เลยมาเรียนคุณพ่อ คุณพ่อกรุณาผมเถอะนะครับ โปรดไปสู่ของชลากับคุณอาให้ผมที”
“เออ....แกทำให้พ่อรู้สึกยุ่งยากใจเสียแล้วซิตากวี ไอ้ที่จะให้พ่อไปขอหนูชลากับพ่อเวชแม่ละเมียรเขาน่ะ พ่อทำได้ แต่ว่าถ้าตัวหนูชลาเองเกิดขัดข้องขึ้นมาล่ะ จะให้พ่อทำยังไง ลองบอกมาซิ ?”
“คุณพ่อไม่ต้องทำอะไรหรอกครับ เพราะผมเชื่อว่าชลาคงจะไม่มีอะไรขัดข้อง”
กวีกล่าวด้วยความมั่นใจ เมื่อเห็นท่านบิดายังคงนิ่งอยู่อย่างลังเลใจ ชายหนุ่มก็รบเร้าต่อไปว่า
“นะครับ คุณพ่อ กรุณาไปขอชลากับคุณอาทั้งสองให้ผมด้วย?”
คุณวินิจมองดูบุตรชายอย่างรักใคร่แกมยุ่งใจ ท่านนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็พยักหน้า บอกว่า
“เอา เมื่อแกว่ายังงั้นพ่อก็จะจัดการให้ ทางโน้นเขาจะว่ายังไงก็ลองดูที”
กวีก้มลงกราบบิดาอีกครั้งหนึ่งด้วยดวงใจที่ซาบซึ้งในความรักความกรุณาของท่านก่อนที่จะเดินตัวปลิวออกไปจากห้อง หลังจากที่ได้อาบน้ำเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวเรียบร้อยและทอดกายลงบนเตียงในคืนนั้น เขาอดนึกไม่ได้ว่าชลาจะนอนหลับแล้วหรือยัง หล่อนจะต้องนึกไม่ถึงเป็นแน่ว่าเขาได้พูดอะไรกับบิดาของเขาบ้างในคืนนี้ อยากรู้เหลือเกินว่าเมื่อหล่อนรู้เรื่องแล้ว หล่อนจะรู้สึกอย่างไรบ้างหนอ
กวีตื่นแต่เช้า เขาจำได้ว่า เมื่อคืนนี้ เขาห้ามชลาไว้ว่าไม่ต้องไปทำงาน และบอกว่าเขาจะไปหาหล่อนแต่เช้า ชายหนุ่มกระโดดลงจากเตียงด้วยกิริยากระปรี้กระเปร่า เขาตัดสินใจไม่ผิดเลยที่ได้ขอร้องท่านบิดาให้ไปสู่ขอชลาให้ เขารักหล่อน และปรารถนาที่จะให้ความคุ้มครองปกป้องหล่อนยิ่งนัก
กวีดื่มกาแฟที่คนรับใช้นำขึ้นไปให้บนห้องเพียงถ้วยเดียวแล้วก็ลงมาข้างล่างเพื่อจะไปหาญาติสาวดังที่ได้บอกแก่หล่อนไว้ แต่พอเขาเดินมาถึงหน้าตึก รถยนต์คันใหญ่ยาวสีดำเป็นมันปลาบของกิติมาก็แล่นเลี้ยวเข้ามาในบ้าน มีกิติมานั่งมาคนเดียวภายในที่นั่งอันกว้างขวางตอนในนั้น
กิติมาไม่นั่งรอให้คนรถลงมาเปิดประตูให้เช่นเคย หล่อนมองเห็นน้องชายยืนอยู่บนเชิงบันไดหน้าตึกตั้งแต่รถเลี้ยวเข้าบ้านมาแล้ว พอลงจากรถได้หล่อนก็ก้าวฉับ ๆ ขึ้นบันไดด้วยอารมณ์ที่เหมือนกับมีไฟจุดอยู่ในดวงใจ หล่อนส่งเสียงแหลมขึ้นมา ก่อนที่จะก้าวพ้นขั้นบันไดเพียงไม่กี่ขั้นนั้นเสียอีก
“กวี แหมกำลังอยากพบอยู่ทีเดียว นี่ ฉันอยากรู้นักว่าเมื่อคืนนี้น่ะมันเรื่องราวอะไรของเธอกัน ถึงได้ทำเจ้าหน้าเจ้าตาถึงอย่างนั้น ตัวไม่รู้หรอกรึว่าตัวน่ะเป็นคนทำให้พี่เขยของตัวลำบาก ตัวทำให้ฉันต้องล่มจม รู้บ้างหรือเปล่า ?”
“ล่มจม” กวีทวนคำ มองดูพี่สาวด้วยสายตาที่ทำให้กิติมารู้สึกร้อนวูบวาบขึ้นมาในใจด้วยความร้อนตัว “อ้อ ผมเพิ่งได้เรียนรู้ความจริงเดี๋ยวนี้เองว่า ความมั่นคงของคุณกิติมาและคุณสำราญตั้งอยู่บนความเสียหายของคนอื่น ถ้าหากว่าไม่มีความเสียหายของคนอื่นหนุนอยู่แล้ว คุณก็ต้องล่มจม ผมเพิ่งรู้จักแก่นของพี่สาวของผมเดี๋ยวนี้เอง”
“กวี นี่ตัวหมายความว่ายังไง ตัวเองเป็นต้นเหตุแล้วยังจะมีหน้ามาด่าฉันอีกเรอะ ฉันไม่คิดเลยว่าน้องชายของฉันแท้ ๆ จะเป็นคนนำความหายนะล่มจมมาให้ฉันอย่างนี้”
“ผมก็ไม่คิดเหมือนกัน” กวีสวนคำไปอย่างทันควัน “ว่าจะมีพี่น้องร่วมท้องที่ใจร้าย ตั้งหน้าจะกอบโกยผลประโยชน์จากความฉิบหายของคนอื่นอย่างนี้”
คำพูดอันรุนแรงของน้องชายที่ได้ยินได้ฟังอย่างไม่เคยคิดมาก่อนยังผลให้กิติมาถึงกับอ้ำอึ้งตะลึงไป กวีกัดกรามแน่น จ้องมองดูพี่สาวด้วยความดูถูกระคนกับความสมเพชอย่างเหลือที่จะประมาณได้ เขากล่าวต่อไปด้วยเสียงที่รุนแรงไปด้วยความรู้สึก แม้จะพยายามสะกดกลั้นแล้วอย่างเต็มที่ แต่ก็ยังไม่วายแสดงออกมาว่า
“ผมไม่นึกเลย ว่าพี่สาวของผมแท้ ๆ จะกลายเป็นคนหิวเงินจนกระทั่งลืมนึกถึงความดีงาม ลืมนึกถึงศีลธรรม ลืมแม้กระทั่งความสืบสัมพันธ์ฉันญาติ ชลาเป็นใคร ไม่ใช่ญาติสนิทของเราหรอกหรือ แต่คุณกิติมาก็ไม่นึกถึงเลย คุณกับสามีของคุณใจร้ายพอที่จะคบคิดกันล่อเด็กที่ไม่รู้ทันโลกอย่างนี้ไปให้เจ้าเสือหิวตัวนั้นขบเคี้ยวเล่น เพียงเพราะคุณหวังจะได้ผลประโยชน์จากเจ้านั่น ถามจริง ๆ เถอะว่าคุณไม่มีความละอายบ้างเลยหรือ คุณกิติมา คุณยังจะมีหน้าตามมาต่อว่าผมถึงที่นี่ได้อย่างไร ในเมื่อผมเป็นคนช่วยกู้โสภณาไว้ ไม่ให้ถูกเจ้าคนโสโครกคนนั้นกระทืบเล่น คุณลืมเสียแล้วรึว่า ชลาก็เป็นโสภณาคนหนึ่ง หรือคุณลืมว่าตัวคุณเอง เดี๋ยวนี้ไม่ใช่โสภณาแล้ว แต่เป็นนางกิติมา พงษ์ศรี เมียนายสำราญ พงษ์ศรี ที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวจนกระทั่งลืมนึกถึงความเป็นมนุษย์คนนั้น”
กิติมามีดวงหน้าอันซีดขาว ครั้งนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตที่กวีได้กล่าวถ้อยคำอันรุนแรงและก้าวร้าวอย่างไม่เกรงใจถึงปานนี้แก่หล่อน หล่อนก้าวถอยไปจนชนเก้าอี้ตัวหนึ่งแล้วก็เลยทรุดนั่งลงตรงนั้น พูดไม่ออกด้วยความโกรธและความอับอายอันอัดแน่นอยู่ในอกเป็นครู่ใหญ่ กวียังคงยืนจ้องมองดูพี่สาวอยู่ด้วยดวงตาอันเป็นประกายวับวาวด้วยโทสะที่แรงกล้าดุจกัน
“นี่ถ้าเป็นคนอื่น” เขาคำรามอยู่ในคอ “ไม่คิดสักนิดว่าคลานตามกันออกมาละก็ ก้าวเดียวผมก็ไม่ยอมให้คุณเหยียบเข้ามาในบ้านนี้”
“อ๋อ...เธอถือสิทธิ์ว่าคุณพ่อจะยกบ้านนี้ให้ยังงั้นรึ ?” กิติมาถาม “ไม่เป็นไรหรอกกวี ฉันจะจำเอาไว้ว่าเธอเห็นคนอื่นดีกว่าพี่แท้ ๆ ของเธอเอง แต่ยังไงก็ตาม ฉันจะบอกให้เธอรู้ไว้ด้วย ว่าอะไรๆ ทั้งหมดนี่ ฉันไม่ได้บังคับน้ำใจใครเลย เจ้าตัวเขาเต็มใจเอง แม้แต่การไปกินข้าวกลางวัน การยอมรับของขวัญ ตลอดจนกระทั่งที่ไปเมื่อคืนนี้เหมือนกัน”
“คุณกิติมา อย่าลืมนะว่าที่ชลายอมไปงานเมื่อคืนนี้นั้นก็เพราะว่า คุณกับสามีของคุณเป็นคนมาขออนุญาตต่อคุณอาให้แกเอง ทั้งอาเวชและอาเมียรเชื่อใจว่าคุณเองก็เป็นญาติจึงได้ยอมให้ไป ใครเลยจะนึกว่า คุณจะยอกย้อนซ้อนกลเล่นกับเด็กถึงขนาดนี้ ฮึ...อย่าให้ผมพูดมากไปกว่านี้เลย ผมไม่อยากจะด่าพี่สาวของตัวเอง ผมพูดได้แต่ว่าผมละอาย ผมอับอายขายหน้าแทนคุณจนบอกไม่ถูกที่ตกเป็นทาสของเงิน ถูกประกายเงินส่องเข้าตาจนตาบอด เห็นผิดเป็นชอบไปอย่างนี้ ผมยังคิดไม่ออกเลยว่าถ้าเมื่อคืนนี้ผมตามไปช่วยไม่ทันละก็ ชลาจะป่นปี้ยี่ยับไปถึงขนาดไหน บางทีแกอาจจะต้องถึงกับฆ่าตัวตายก็ได้”
“ก็ใครใช้ให้มันทะเล้นตามเขาขึ้นไปบนห้องบนหับข้างบนเล่า ผู้ชายเขาก็ต้องเข้าใจว่าตัวเต็มใจน่ะสิ คิดดูซิเขาชวนกันไปกินข้าวกลางวันก็ยอมไปกับเขา ยายกรวิภาเองก็เคยไปพบ เขาให้ของขวัญก็ยอมรับ แล้วนี่ก็ยังแล่นตามเขาขึ้นไปถึงในห้องนอน อย่างนี้จะไม่ให้เขาเข้าใจผิดยังไง ไปว่าผู้ชายเขาไม่ได้หรอก มันต้องโทษผู้หญิงเองจึงจะถูก แล้วก็ดูเหมือนว่าจะกินเหล้าเข้าไปด้วยไม่ใช่หรือ ?”
กวีเม้มริมฝีปาก พยายามระวังถ้อยคำอันรุนแรงที่กำลังจะระเบิดออกมาอีกไว้จนเต็มความสามารถ สะกดอกสะกดใจอยู่เป็นครู่ใหญ่ จึงได้กล่าวออกมาด้วยเสียงที่ยังคงสั่นสะท้านด้วยความรู้สึกรุนแรงนั้นว่า
“ผมไม่เถียง ที่ว่าชลาอาจจะผิดอยู่บ้าง ตรงที่ไม่รู้จักระมัดระวังตัว ประมาทและไว้วางใจคนจนเกินไป แต่นั่นก็เป็นเพราะว่าแกยังเป็นเด็กอยู่...”
“เด็ก...!”
กิติมาขัดขึ้นมาด้วยเสียงคล้ายเยาะ กวีขบริมฝีปากแน่น
“ใช่สิครับ เด็ก” เขารับ อย่างน้อยก็เป็นเด็กกว่าคนที่คอยจ้องปองร้ายแกนั่นแหละ เห็นโลกมาก็น้อยนิดเดียว ที่ไหนจะทันความคิดยอกย้อนซ่อนเงื่อนของคนที่เขาเจนโลกกว่า เป็นเด็ก อ่อนความคิด แล้วยังประมาท มันก็เสร็จเขาเท่านั้นเอง”
“โอ๊ย...เธออย่ามาแก้แทนนังเด็กนั่นเลย มันต้องมีนิสัยชอบด้วยเหมือนกันนั่นแหละ ไม่อย่างนั้นมันจะแล่นตามเขาขึ้นไปถึงบนห้องนอนรึ”
“นั่นน่ะสิ ผมถึงได้ว่าชลามีความประมาทอย่างไรล่ะ”
“นั่นน่ะสิ” กิติมาเลียนคำน้องชาย “ถ้ามันนั่งอยู่แต่ข้างล่าง เขาก็ทำอะไรไม่ได้”
“แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณสำราญไม่หนีกลับเสียก่อน ไอ้เรื่องลามกบัดสีอันนี้ก็จะเกิดขึ้นไม่ได้เป็นอันขาด อย่างน้อยผมเชื่อว่า สามีของคุณกิติมาคงจะยังมีความละอายเหลืออยู่บ้างเป็นแน่”
“เธอไม่มีความเกรงใจฉันเหลืออยู่เลยนะกวี” กิติมาสะบัดหน้าอย่างเดียดดาล “ฉันแปลกใจมากที่เธอใช้คำว่าหนี ในเมื่อคุณสำราญเขาก็บอกไว้แล้วว่าเขามีธุระ ต้องรีบไป มีคนโทรศัพท์มาตาม ใครๆ ก็รู้เห็น แม้แต่ตัวแม่คนวิเศษของเธอเองก็รู้ ทำไมตัวถึงไม่นั่งคอยอยู่ข้างล่าง”
“คอย” กวีทำเสียงเยาะอย่างไม่พยายามที่จะซ่อนเร้นหรือเกรงใจเลย “คอยถึงเมื่อไหร่กันเล่าครับ คุณกิติมาจะให้คอยจนได้เวลาหนังรอบดึกเลิกละกระมัง ใช่ไหมครับ ?”
คำพูดของน้องชาย ยังผลให้กิติมามีอาการสะดุ้งเหมือนแมลงต่อย หน้าของหล่อนซีด แต่หล่อนก็ยังคงแข็งใจถามออกไปด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความพิศวงไม่เข้าใจว่า
“หนังรอบดึก เธอหมายความว่ายังไงที่พูดว่าจะต้องคอยจนกว่าหนังรอบดึกจะเลิก ?”
กวีหัวเราะ
“ก็หมายความอย่างที่พูดนั่นแหละครับ ผมไม่ได้พูดแฝงความหมายที่ยากเย็นให้ต้องตีปัญหาให้เสียเวลาเลย”
แล้วเขาก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นพิศวง ถามต่อไปด้วยเสียงที่แสดงความฉงนสนเท่ห์อย่างเหลือเกินว่า
“เอ๊ะ....คนขับรถของคุณกิติมาไม่ได้เรียนให้ทราบดอกหรือครับ ว่า เมื่อคืนนี้เขาพบกับผมที่หน้าโรงหนัง เขายังบอกกับผมเลยว่า นายที่น่ารักทั้งสองของเขาเพิ่งขึ้นไปชั้นบนเมื่ออึดใจหนึ่งก่อนหน้านั้นเอง”
กิติมานิ่งเงียบไปในบันดล กวีมองดูใบหน้าอันแดงแล้วซีด แล้วกลับแดงขึ้นอีก สลับกันของพี่สาวด้วยความรู้สึกเหยียดหยาม สมเพช แกมสาแก่ใจ อดมิได้ที่จะเยาะต่อไปเป็นการแถมท้ายว่า
“นี่ละกระมังครับ ธุระสำคัญที่คุณสำราญต้องรีบร้อนด่วนไปทำหนักหนา”
กิติมานิ่งเงียบ ไม่พูดจาอย่างไรต่อไปแม้สักคำเดียว ขณะที่สองพี่น้องต้องนิ่งอยู่ในอารมณ์อันต่างกันนั้นเอง กรวิภาน้องสุดท้องก็โผล่ออกมา หล่อนสวมเสื้อคลุมสีสวยกรุยกรายอย่างเคย เมื่อเห็นพี่สาว โดยไม่ทันสังเกตสีหน้าของผู้ใด หล่อนก็ปราดเข้าไปหา พร้อมกับร้องทักอย่างดีใจว่า
“นึกแล้วเชียวว่าคุณกิติมาแน่ ได้ยินเสียงรถแล่นเข้ามานี่นา แต่แล้วก็เห็นเงียบไป เลยต้องลงมาดู”
“อะไร อย่างนี้ยังเงียบอีกหรือ ?” พี่ชายขัดด้วยใบหน้ายิ้มๆ “คุณกิติมาคุยอยู่กับพี่ เสียงออกดังลั่นบ้านเธอยังบอกว่าเงียบ”
“คุยอะไรกัน ทำไมกรถึงไม่ได้ยินเล่า คุยเรื่องอะไรที่ว่าสนุก เล่าให้ฟังบ้างได้ไหม พี่กวี ?”
“ขี้เกียจเล่า” กวี ชำเลืองดูพี่สาวด้วยสีหน้ายิ้มๆ “ไม่ได้ยินก็ดีแล้ว”
“ดีละ ไม่เล่าเขาก็ไม่อยากฟัง” กรวิภาทำหน้ากระเง้ากระงอด หันไปทางพี่สาว “คุณกิติมามีธุระอะไรคะถึงได้มาแต่เช้า ต้องการพบคุณพ่อหรือเปล่า คุณพ่อกำลังจะลงมาอยู่เดี๋ยวนี้แล้วค่ะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น กิติมาก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว กล่าวด้วยเสียงที่ค่อนข้างร้อนรนว่า
“ไม่ต้องละ พี่ไม่มีธุระอะไรที่ต้องพบคุณพ่อหรอก พี่จะไปละ”
“อ้าว” กรวิภาอุทานอย่างพิศวง “จะรีบไปไหนคะ ไม่อยู่รับของเช้าด้วยกันก่อนหรือ ?”
“ไม่” พี่สาวตอบสั้นๆ จำเสียงไอของบิดาได้ดี “พี่มีธุระที่อื่นที่จะต้องไปอีก พี่ไปละ”
แล้วก็รีบลงไปขึ้นรถโดยมิได้มองดูหน้าน้องชาย ซึ่งยืนมองตามมาด้วยสีหน้ายิ้มๆ อยู่นั้นเลย กรวิภามองตามอย่างงง ๆ พอท้ายรถของกิติมาเลี้ยวผ่านหน้าประตูบ้านออกไป คุณวินิจก็ออกมาถึงประตูพอดี ท่านมองดูท้ายรถที่เพิ่งจะลับไปนั้น ถามว่า
“เอ๊ะ...นั่นยายกิติมาไม่ใช่รึ ได้ยินเสียงอยู่แว่วๆ พอลงมาก็ไปเสียแล้ว เขามีเรื่องร้อนอะไรของเขากัน ?”
“ยังไงก็ไม่ทราบค่ะ” กรวิภาบอก “ชวนให้อยู่รับของเช้าด้วยกันก็ไม่อยู่ บอกว่ามีธุระต้องรีบไป ไม่ทราบว่าธุระอะไร”
“เอ...มีธุระอะไรรีบร้อนกันแต่เช้า” ท่านบ่น เดินเข้ามาหาบุตรชาย พูดเบาๆ พอได้ยินกันสองคนว่า “พ่อหมายว่าจะบอกเรื่องของแกให้เขารู้หน่อยเทียวนะ พอลงมาก็ไปเสียแล้ว จะให้ช่วยกันดีใจสักหน่อยก็”
คำพูดของท่านบิดาเกือบจะทำให้กวีต้องหัวเราะออกมาดังๆ เขายิ้มกับท่านแล้วบอกว่า
“ผมคิดว่าอย่าเพิ่งบอกให้ใครทราบดีกว่าครับ คุณพ่อ ให้อะไรๆ เรียบร้อยเสียก่อนแล้วค่อยบอก ผมอยากให้ทุกคนแปลกใจกัน”
คุณวินิจมองหน้าลูกชายอย่างเห็นขันแกมเอ็นดู
“ยังงั้นเรอะ จะเอายังงั้นก็ตามใจ นี่แกเห็นจะไปบ้านโน้นกระมัง ?”
“ครับ ผมจะไปหาชลา ผมจะเลยรับอาหารเช้าที่นั่นด้วยครับ”
ชายหนุ่มรับแล้วก็หมุนตัวเดินลงบันไดไป กรวิภามองตาม ขมวดคิ้วน้อย ๆ หันมาถามท่านบิดาว่า
“พี่กวีเขามีธุระอะไรคะ คุณพ่อ ถึงต้องไปบ้านโน้นแต่เช้า ?”
คุณวินิจหัวเราะเบาๆ บอกว่า “ช่างเขาเถอะ อย่าไปยุ่งกับเขาเลย มา ไปกินข้าวกันดีกว่า”