สุภาว์ เทวกุลฯ ราชินีแห่งเรื่องสั้น

        จันทร์ 23 ธันวาคม พ.ศ.2567
ทายาทของยายพลอย

สุภาว์ เทวกุลฯ

supa : 2018-08-28

reader:1159
reply:5

แสงแดดลำสุดท้ายจวนจะลบอยู่แล้ว     สีเหลืองจัดขอมันทาบ อยู่เหนือท้องทุ่ง ซึ่งเขียวขจีไปด้วยต้นข้าว    นกกาพากันบินเป็นหมู่ๆ ผ่าน ไปบนท้องฟ้าซึ่งเริ่มออกสีแดง     พาดเป็นเส้นไปบนพื้นสีเทา    เป็นสัญญาณอำลาของ  ทิวาและการมาของราตรี     พร้อมกันนั้น ก็เป็นสัญญาณเร่งเตือนให้บรรดาผู้ที่ออกไปประกอบกิจต่างๆ รีบกลับคืนเข้าสู่ที่พักอาศัย     ใครๆ เขาก็พากันรีบร้อนมุ่งหน้ากลับสู่เหย้าด้วยกันทั้งนั้น     จะยังมีก็แต่เจ้าเด็กน้อยอายุแปดขวบไว้แกละ สองข้างแต่ผู้เดียวเท่านั้นที่ยังอิดๆ เอื้อนๆ     อยู่ที่ซุ้มไผ่ปลายนากำนันทอง

เจ้าหนูนั่งขดร่างอยู่ในพื้นที่แคบๆ ระหว่างวงล้อมของก่อไผ่สามสี่กอ     บนตักของเจ้าหนู มีหมาไทยสีดำขนสั้นเกรียนนอน     อยู่ รอบลำตัวตอนบนของเจ้าหมาตัวนั้นมีผ้าขี้ริ้วเก่า ๆ พันอยู่แล้ววนอ้อมไปพันขาหน้าข้างขวาไว้ด้วย     เจ้าหมีกำลังเจ็บ ด้วยเหตุนี้เอง     เจ้าเด็กน้อยซึ่งใครๆ เขาเรียกมันว่า เจ้าแกละ จึงไม่ค่อยจะยอมกลับไปบ้านเอาเสียเลย

“เจ้าหมีเอ๊ย พรุ่งนี้โรงเรียนข้าก็จะเปิดแล้ว     เอ็งต้องนอนอยู่ที่นี้ตัวเดียวตลอดวันละ”     เจ้าแกละลูปหัวมันพลางพูดกับมัน     เจ้าหมีทำตาปริบๆ แล้วซุกปลายจมูกเข้าที่สีข้าง ของเจ้าหนู คล้ายๆ กับจะบอกว่าอย่าไปเลย     อย่าทิ้งฉันไว้ตัวเดียวเลย

“แล้วข้าจะมาหาเอ็ง ตอนเลิกเรียนแล้ว”     เจ้าแกละก้มลงกอดมันพลางปลอบ “จะเอาข้าวมาให้เอ็งกินด้วย     ข้าหยุดเรียนไม่ได้หรอก     หลวงปู่ที่วัดบอกว่าถ้าอยากจะเป็นคนรวยๆ มีชื่อเสียง     เป็นนายคนเขาละก็ ต้องหมั่นเรียนหนังสือให้มากๆ     หมีเอ๊ย ถ้าข้ารวยละก็ ข้าจะหาปลอกคอสวยๆ มาให้เอ็งใส่ จะซื้อไก่ให้เอ็งกินวันละตัวทีเดียว”

ทั้งๆ ที่เจ้าแกละชอบเรียนหนังสือ มันก็ยังไม่อยากให้โรงเรียนเปิดอยู่ดี     โรงเรียนตามบ้านนอกเช่นนี้ไม่เหมือน กับโรงเรียนใหญ่ๆ ในเมือง     เพราะโรงเรียนในเมืองมีเวลาปิดภาคเป็นเวลา     แต่โรงเรียนตามบ้านนอกส่วนมากมักจะปิดภาคตามฤดูกาลการทำนา     คือปิดในตอนดำนาและเก็บเกี่ยว เพื่อนักเรียนจะได้ช่วยแบ่งเบาภาระทางบ้านเมื่อบิดามารดา ต้องออกไปทำงานในทุ่งนา     เจ้าแกละออกจะเคราะห์ดีอยู่ไม่น้อยตรงที่มันเป็นลูกคนเล็ก     น้องก็ไม่มีจะเลี้ยง ข้าวปลาอาหารพี่ผู้หญิงคนโตของมันที่เริ่มจะรุ่นขึ้นมาก็เป็นคนหุงหา เจ้าเผือกกับนางสีนาก ควายสองตัวที่มีอยู่นั้น พี่ผู้ชายสองคนก็ แยกหน้าที่กันเอาไปเลี้ยงดูคนละตัว     หน้าที่ของเจ้าแกละต่อครอบครัว อย่างมากที่สุดก็คือช่วยหาเศษไม้แห้งๆ มาทำเชื้อไฟบ้าง     บางครั้งก็ถูกใช้ให้ไปหาผักมาจิ้มน้ำพริก เพราะเจ้าแกละมักจะรู้ดีกว่าใครว่าตำลึงที่ไหนจึงจะงาม จะเก็บผักบุ้งต้นอวบๆ หรือผักกะเฉดกรอบๆ ได้จากบึงไหนบ่อไหน     เถาฟักข้าวมันชอบขึ้นพันอยู่กับต้นอะไร เจ้าแกละมักจะได้กระถินผักและยอดอ่อนๆ หรือโสนงามๆ มามากกว่าคนอื่นๆ     บางคราวก็ยังมีหน่อไม้อ่อนที่มี่รสหวานอร่อยติดมือมาเสียด้วย     เพราะเหตุดังนี้ เจ้าแกละจึงได้มีโอกาสมาขลุกอยู่กับเจ้าหมีได้ทั้งวัน     แต่ว่า พรุ่งนี้โรงเรียนก็จะเปิดเสียแล้ว เจ้าหนูอยากจะเป็นคนใหญ่คนโตจึงต้องไปเรียนหนังสือตามที่หลวงปู่ท่านสอน     จะเกมาอยู่กับไอ้หมีเสียไม่ได้     แต่ว่าไอ้หมีกำลังเจ็บ !

เจ้าแกละถอนใจใหญ่ เหมือนที่พ่อเคยทำ เมื่อบอกว่ากลุ้มใจ     เพราะไม่มีเงินจะไปซื้อพันธุ์ข้าว     หรือแม่เคยทำ เมื่อบ่นว่ากลุ้มเหมือนกัน     เพราะพ่อเอาเงินเล็กๆ น้อยๆ ที่มีอยู่ไปซื้อเหล้ากินเสียหมด แล้วเดินโซเซไม่ตรง ทางกลับมาบ้าน กลับมาถึงบ้านแล้วก็ยังไม่ยอมขึ้นเรือน กลับนอนแผ่อยู่ที่คอกควาย     บางทีก็ยอมขึ้นเรือน    แต่ขึ้นมาแล้วก็อาจียนออกมาเต็มบ้าน     ทำให้แม่ต้องเช็ดล้าง ทำความสะอาด     ขณะนี้เจ้าแกละก็กำลังกลุ้มอยู่เหมือนกัน     เหตุเพราะเจ้าหมีกำลังเจ็บ และเจ้าแกละจะต้องทิ้งมันไว้แต่ตัวเดียว

ถ้าสามารถเอาเจ้าหมี กลับไปบ้านด้วยก็จะดี     เจ้าแกละคิดในใจ     แต่มันก็ทำได้แต่เพียงคิดเท่านั้น    เพราะรู้ดีว่าใครๆ ที่บ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือแม่จะไม่ยอมให้เอาเจ้าหมีเข้าไปไว้ในบ้านเป็นอันขาด ทั้งนี้ก็เป็นเพราะว่ามันเป็นหมาของยายพลอยนั่นเอง

ยายพลอยคือหญิงชราหง่อมคนหนึ่ง ซึ่งปลูกกระท่อนอยู่ อย่างโดดเดียว     ที่ชายนาของกำนันทอง     แกละไม่รู้ว่าแกอยู่ที่นั่นมานานเท่าไรแล้ว เพราะพอจำความได้ มันก็เห็นกระท่อมของยายพลอยมีอยู่ ณ ที่นั้นแล้ว    แต่เจ้าหมีนี่เพิ่งมาอยู่ได้ไม่นานนัก ไม่รู้ว่ายายพลอยแกไปเก็บมันมาจากที่ไหน     เพราะแกอยู่ของแกอย่างโดดเดียวโดยลำพังไม่เคยไปยุ่งเกี่ยวกับใครเลย     ชาวบ้านแถบนี้ก็ไม่มีใครอยากจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับแก     เขาพูดกันว่า แกเป็นผีกะสือ !

ผีกะสือเป็นยังไงเจ้าแกละก็ไม่เคยรู้เคยเห็น     แต่ก็เห็นว่ายายพลอยแกเป็นยายแก่ ตามธรรมดาเหมือนยายแก่คนอื่นๆ นั่นเอง     มันเคยได้เห็นยายพลอยอย่างใกล้ชิดหนหนึ่งเมื่อสามสี่ปีมาแล้ว     ตอนนั้นยังไม่มีใครบอกให้รู้ว่ายายพลอยเป็นผีกะสือ แกละจะไปหาฝักบัวอ่อนๆ ที่บึงกลางทุ่งมากิน    พอดีพบยายพลอยแกกำลังโก้งโค้ง กะเย้อ กะแหย่ง อยู่ริมบึง จะเอื้อมไปถึงเถาผักกะเฉดในบึงนั้น     มันจึงช่วยเก็บผักกะเฉดให้แก     พอมันเล่าเรื่องนี้ให้แม่ฟัง แม่ก็เอะอะเอ็ดตะโรขึ้นมาทันที

“ทีหลังอย่าไปยุ่งกับแกเทียวนา”     แม่สั่งแล้วสั่งอีก เอ็งนี่อยู่ๆ ก็วอนเสียแล้ว     ไม่รู้เรอะว่ายายพลอยน่ะเป็นผีกะสือ

“ผีกะสือเป็นยังไงจ๊ะแม่” เจ้าแกละซักด้วยความสงสัย

“ผีกะสือที่เที่ยวกินขี้นะซิ”     แม่บอก     “เวลามันไม่ชอบใจใครละก็ มันจะมาเข้า     แล้วบิดไส้เอาทีเดียว     มันชอบออกหากินเวลากลางคืน เวลามันไปไหนละก็จะเป็นดวงไฟลอยวาบๆ ไป เวลากลางวันมันก็เป็นเหมือนคนธรรมดาเรานี่แหละ     แต่ว่ามันไม่สู้ตาคน     เวลาพูดไม่ยอมมองหน้าใคร     ต้องคอยหลบตาอยู่เสมอ

เจ้าแกละนึกถึงดวงหน้าอันเหี่ยวย่นของยายพลยอ    เอ    แกก็ไม่เห็นหลบหน้าหลบตาอะไรนี่นา     เมื่อแกละเก็บผักให้แก    แกยังยิ้มกับมันแล้วบอกว่า    “ยายขอบใจนะเจ้าหนู”    เลย    ดวงตาของแกก็ไม่เห็นน่ากลัวที่ตรงไหน เป็นสีเทาขุ่นๆ     เป็นสีเทาขุ่นๆ เหมือนตาคนแก่ทั่วไปนั่นเอง แต่แกละไม่กล้าเถียงแม่ เพราะเคยเห็นพี่ๆ ถูกตีเวลาเถียงแม่หรือพ่อเสมอ แต่อย่างไรก็ตาม    คำว่าผี เป็นคำที่น่าหวาดกลัวสำหรับเด็ก จนกระทั่งไม่อาจดื้อดึงต่อไปด้วย     นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา แกละจึงไม่เข้าใกล้ยายพลอยอีกเลย แม้แต่จะเข้าไปเฉียดกรายกระท่อมจองแกก็ยังไม่กล้า     ครั้งหนึ่งเจ้าแกละขุดรูหาจิ้งหรีดเพลินไปจนเข้าไปใกล้กระท่อมของยายพลอยเข้าโดยไม่รู้ตัว     มารู้เอาก็ต่อเมื่อได้ยินเสียงแกกระแอม พอผลุดลุกขึ้นยื่นด้วยความตกใจก็เห็นร่างโค้งๆ     งองุ้มของแกยืนอยู่ที่หน้ากระท่อมเสียแล้ว

แกป้องหน้ามองมาทางเจ้าแกละที่ยืนตัวแข็งอยู่     พอจำได้ว่าเป็นใคร แกก็ยิ้มพยักพลางกวักมือเรียก

“เจ้าหนูนั่นเอง”    แกร้องทักด้วยเสียงอันแหบแห้ง     “มานี่มะ มาหายาย     ยายมีกะจับต้มอยู่หน่อยหนึ่ง     เอ็งมาเอาไปกินซิ ยายจะให้”

แต่เจ้าแกละสั่นศีรษะแล้ววิ่งหนีมาเสีย     และตั้งแต่นั้นมาก็ระวังที่จะไม่เข้าไปใกล้กระท่อมยายพลอยอีกเลย

เรื่องกะสือยายพลอยนี้ เจ้าแกละได้ยินเสียงเล่าลือเข้าหูอีกมากมาย     คราวหนึ่ง แม่ตากผ้านุ่งไว้ราวนอกบ้าน    แล้วเลยลืมทิ้งไว้ที่นั่นตลอดคืน ตกเช้าแม่ตื่นออกไปพบเข้า เลยร้องเอะอะขึ้น     เรียกให้ใครต่อใครออกไปดู     ปรากฏว่าที่ ผ้านุ่งนั้นมีรอยเปื้อน สีเหลืองๆ แดงๆ คล้ายกับเปื้อนสนิมด่างเป็นดวงๆ เกือบทั้งผืน

“ผีกะสือมันมาเช็ดปากไว้ทีเดียวนี่”     แม่ร้องตีโพยตีพาย    “ผ้านุ่ง ของฉันดีๆ ทั้งผืนทีเดียว     ตาย ตาย     แล้วนี่จะทำยังไงกันดี”

ข่าวที่ว่าผ้านุ่งของแม่ถูกผีกะสือมาแอบเช็ดปากทิ้งไว้กระจายไปทั่วทั้งหมู่บ้าน     ตลอดวันนั้นทั้งวัน มีคนมาขอดูผ้านุ่งผืนนั้นกันไม่รู้จักสร่างซา     ถ้าจะเก็บสตางค์ค่าดู แม่ก็จะรวยกันคราวนี้เอง

“ผีกะสือเช็ดจริงๆ นะแหละ”     ใครๆ ก็พากันลงความเห็นอย่างนี้ทั้งนั้น “แล้วก็แถมท้ายว่า     “นี่ต้องยายพลอยละไม่มีใคร”

บางคนแนะนำให้เอาผ้าผื่นนั้นไปต้ม     ผีกะสือจะได้รู้สึกร้อน และเอาทองมาไถ่ผ้าไป แต่มีคนค้านไว้ไม่ให้ทำ     เพราะถ้าผีกะสือมันเกิดโกรธขึ้นมาละก็ มันอาจจะมาแก้แค้นเอาในภายหลังก็ได้

“ทำไมใครๆ    ถึงได้ว่ายายพลอยแกมาทำผ้าเปื้อนเล่าแม่     หนูไม่เห็นแกมายุ่มยามแถวนี้สักหน่อย”     แกละถามมารดาด้วยความสนเท่ห์และก็ได้รับคำอธิบายว่า

“เวลายายพลอยแกมาน่ะ เอ็งไม่เห็นหรอก    เพราะเอ็งมัวนอนหลับเสีย ยายพลอยแกเป็นผีกะสือ ก็ต้องออกหากินเวลากลางคืน    เวลาจะไปไหนแกไม่ไปทั้งตัว อย่างเราๆ นี่หรอก     แต่เป็นดวงไฟลอยวาบๆ ไปคล้ายหิ่งห้อยนั่นแหละแต่ใหญ่กว่าหิ่งห้อยมาก”

“แล้วทำไมยายพลอยแกถึงเป็นผีกะสือได้ละแม่ ทำไมคนอื่นไม่เป็น”     เจ้าแกละซักต่อ

“ก็เพราะว่าแม่ของแกเป็นนะซิ”     แม่บอก     เอ็งรู้ไหมว่าคนที่เป็นผีกะสือนี่น่ะ เวลาจะตายละก็ต้องถ่ายทอดมรดกคือต้องหาคนไว้เป็นกะสือแทนตัวไว้ต่อไป ไม่งั้นก็ตายไม่ได้     วีธีถ่ายทอดมรดกของกะสือก็คือต้องบ้วนน้ำลายใส่มือคนอื่น คนนั้นจะได้เป็นกะสือแทนต่อไป     เอ็งจำไว้นะเจ้าแกละ     อย่ายอมให้ใครบ้วนน้ำลายใส่มือเอ็งเป็นอันขาด     นี่ยายพลอยแกคงจะยอมให้แม่ของแกบ้วนน้ำลายใส่มือ แกถึงได้ต้องรับมรดกเป็นผีกะสือต่อมา”

เจ้าแกละนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วจึงถามใหม่ว่า     “แม่เคยเห็นแม่ของยายพลอยไม๊แม่”

“โฮ้ย ข้าจะไปเห็นแกได้ยังไง     แกตายไปก่อนข้ามาอยู่นี่แล้วละ” แม่ว่า

เจ้าแกละนิ่งไปอีก ทั้งๆ ที่มันอยากจะถามแม่เหลือเกิน     ว่า     ก็เมื่อแม่ของยายพลอยแกตายไปเสียตั้งแต่ก่อนแม่มาอยู่ที่นี่     แล้วแม่จะรู้ได้อย่างไรว่าแกเป็นผีกะสือ แต่ที่มันไม่กล้าถามก็เพราะรู้ว่าแม่คงตอบไม่ได้     และถ้าใครตั้งคำถามอะไรที่แม่ตอบไม่ได้ละก็มักจะถูกแม่ด่า     หรือบางทีก็ตีเอา     เจ้าแกละเลยต้องยอมนิ่ง ทั้งที่ภายในใจเต็มไปด้วยความฉงนสนเท่ห์เป็นที่สุด

ยายพลอยจะเป็นผีกะสือจริงหรือไม่ก็ตาม     แต่ต่อมาอีกสองสามวัน หลังจากที่ผ้านุ่งของแม่ถูกผีกระสือเช็ดปาดแล้ว     ก็เกิดเหตุการณ์ชนิดเดียวกันนี้ ขึ้นที่บ้านของน้าแม้นเมียลุงโพ อีก     เจ้าแกละได้มีโอกาสเห็นกับเขาด้วยว่าผ้านุ่งของน้าแม้นนั้นมีรอยเปื้อนลักษณะอย่างเดียวกับของแม่ไม่มีผิด     คราวนี้ใครๆ ก็ดูเป็นโรคกลัวผีกะสือกันไปหมด     จนถึงกับมีการออกเสียงให้กำนันทองไล่ยายพลอยให้รื้อกระท่อมออกไปจากที่นาของกำนันเสีย     และขับไล่ให้ออกไปจากหมู่บ้าน

“ฉันไม่กล้าไล่หรอก     เพราะฉันกลัวแกจะมาแก้แค้น     เดี๋ยวมาบิดไส้บิดพุงฉันเข้า ฉันมิแย่รึ”     กำนันทองบอกกับพวกนั้น แต่เจ้าแกละแอบได้ยินแกบอกกับหลวงปู่ที่วัดว่า

“สงสารแกครับ หลวงพ่อ     แกอยู่ที่นั่นมาหลายปีดีดักแล้ว ไม่เห็นแกจะทำความเดือดร้อนให้กับใคร     กะอีแค่ผ้าเปื้อนสองผืนแค่นี้ มันยังไม่มีเหตุผลพอที่จะต้องถึงกับขับไล่ไสส่งแกเลย     ใครไม่ชอบแกก็อย่าไปยุ่งกับแกก็แล้วกัน     นี่เดือนหนึ่งผมก็เอาข้าวไปทิ้งไว้ให้แกถังหนึ่ง กับข้าวแกก็หาผักหาหญ้าของแกกินเอาเอง”

เมื่อกำนันทองปฏิเสธไม่ยอมไล่ยายพลอยออกไปจากที่     พวกนั้นก็ออกความคิดที่จะกำจัดแกไปเสียให้พ้น

“เราจะยอมให้แกอยู่ในหมู่บ้านต่อไปอีกไม่ได้”     คนหนึ่งว่า    “เพราะยิ่งนับวันฤทธิ์เดชก็จะยิ่งแรงขึ้น จะต้องหาทางกำจัดเสียตั้งแต่ยังอ่อนๆ อยู่”

“เขาว่ากันว่าเวลาแกออกไปหากินในเวลากลางคืนละก็     แกจะถอดวิญญาณออกไป ทางหัวแม่เท้า     เวลากลับเข้าร่างก็เข้าทางนั้น     เพราะฉะนั้นถ้าใครเอาเชือกไปผูกที่หัวแม่เท้าแกแล้วเอาปูนทาเสีย ทั้งสองข้างละก็ วิญญาณจะกลับเข้าร่างไม่ได้     แกก็ต้องตาย     เมื่อแกยังไม่ได้ถ่ายมรดกไว้ให้ใครเช่นนี้ หมู่บ้านเราก็จะไม่มีผีกะสืออีกต่อไป”

ออกจะเป็นวิธีที่น่าลองดูไม่น้อย     แต่ใครเล่าที่จะเป็นผู้เอาด้ายไปผูกนิ้วเท้ายายพลอย มันก็เหมือนกับนิทานเรื่องที่หนูปรีกษากัน จะเอาลูกกะพรวนไปผูกคอแมวนั้นแหละ ยายพลอยจึงได้ยังคงอาศัยอยู่ในกระท่อมหลังนั้นเรื่อยมา     แม้ว่าในวันหนึ่งๆ แกจะไม่มีโอกาสได้พูดกับใครสักคนเดียวก็ตาม

ทางที่เจ้าแกละจะไปโรงเรียนนั้น     จะต้องเดินลัดผ่านที่นาของกำนันทองไป แล้วก็ผ่านหลังตึกขาวไปอีก     ต่อจากนั้นก็ต้องเดินไปตามถนนใหญ่อีกสักครู่จึงจะถึงโรงเรียน ที่ปลายนาของกำนันทอง     ไกลจากกระท่อมของยายพลอยพอสมควรมีไผ่ตงขึ้นล้อมอยู่เป็นหมู่     เป็นที่ที่เจ้าแกละชอบมานอนเล่นเสมอในเวลาว่าง หรือต้องการท่องหนังสือเรียนตามที่ครูสั่ง     ดังนั้นจึงเป็นของเจนตาสำหรับเจ้าแกละเหลือเกินที่จะได้เห็นภาพยายพลอยแกเดินท่อมๆ ก้มๆ เงยๆ เก็บผักเก็บหญ้าอยู่แถวๆ นั้น     บางคราวเจ้าแกละนึกสงสารแกขึ้นมา     เมื่อตกปลาหรือจับปูนา หรือช้อนหอยโข่งได้ ก็มักจะเอาไปทิ้งไว้แถวๆ ที่แกชอบเดินอยู่ ระวังที่จะไม่เข้าไปใกล้กระท่อมของแกนัก แล้วก็มาซุ่มแอบดูอยู่ตามกอไผ่นี้ วันหนึ่งขณะที่ซุ่มแอบดูอยู่ตามเคย     เจ้าแกละก็ต้องรู้สึกประหลาดใจ เมื่อเห็นว่ายายพลอยมีลูกสุนัขสีดำๆ ตัวหนึ่งอยู่กับแกด้วย     มันคือเจ้าหมีนี่แหละ

ไม่มีใครรู้ว่ายายพลอยแกไปเก็บเจ้าหมีมาจากไหน     แต่ผลที่มันได้รับก็คือ ไม่ว่า จะย่างกรายเข้าไปที่บ้านไหนเป็นต้องถูกขว้างปาขับไล่ออกมาทุกบ้านไป     เด็กๆ ก็พากันเอาไม้บ้าง ก้อนอิฐบ้างขว้างปามัน     ทั้งนี้ก็เพราะเหตุที่เจ้าหมีเป็นหมาของยายพลอยนั้นเอง

สำหรับเจ้าแกละเองนั้น แต่แรกก็มิได้คิดจะคบหาสมาคมกับเจ้าหมีดอก     แต่ว่าวันหนึ่งขณะที่เดินจากโรงเรียนกลับมาบ้าน     เจ้าหมีได้เดินตามต้อย ๆ มาห่าง ๆ เมื่อเจ้าแกละหยุดมันก็หยุด     มองหน้าเจ้าแกละพลางกระดิกหางน้อย ๆ คล้าย ๆ กับจะขอผูกไมตรีด้วย เมื่อเจ้าหนูแกล้งยกมือขึ้นสูงทำท่าคล้ายจะขว้างปา     มันก็ทำหางจุก ตัวห่อ คอตกถอยออกไป     แต่เมื่อเจ้าแกละออกเดินต่อ มันก็ออกวิ่งหย่องๆ ตามมาห่างๆ อีก     เจ้าแกละลองเดินๆ หยุดๆ อยู่หลายครั้งมันก็มิได้ย่อท้อ     จนในที่สุด เจ้าแกละก็ทนทำใจแข็งต่อดวงตาอันน่าสงสารของมันต่อไปมิได้     จึงนั่งลง แก้ห่อขนมที่ซื้อติดมาจากโรงเรียนออกแบ่งให้มันกิน     แต่แรกเจ้าหมีทำท่าลังเลไม่กล้าเข้ามาใกล้ ท่าจะขยาดที่เคยถูกเด็กอื่น ๆ รังแกมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน     แต่แล้วต่อมาเมื่อเห็นว่า อีกฝ่ายหนึ่งมีไมตรีจิตกับมันจริงๆ     เจ้าหมีจงค่อยวางใจ และเริ่มผูกไมตรีกับเจ้าแกละแต่นั้นมา

ทั้งๆ ที่ยายพลอยแกเป็นผีกะสือ เจ้าหมีก็ยังรักแกมิใช่น้อย    ขณะที่มันเล่นกับแกละอยู่นั้น หรือแม้แต่กำลังกินอะไรอยู่ก็ตาม     แต่ถ้าได้ยินเสียงแหบๆ ของยายพลอยเรียกชื่อมันแว่วมาละก็     เจ้าหมีเป็นต้องทิ้งของกินนั้นวิ่งกลับไปหาแกทันที มาเมื่อไม่นานนี่แหละที่เจ้าแกละสังเกตเห็น ว่ายายพลอยแกหายหน้า หายตาไป ไม่ออกมาด้อมๆ เก็บผักเก็บหญ้า ตามเคยของแก     ไม่รู้ว่าแกหายไปไหนหรือเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นอะไรไป ไม่มีใครแม้สักคนเดียวที่เข้าไปดูในกระท่อมของแก มีแต่เจ้าหมีเท่านั้นที่วิ่งเข้าวิ่งออกอยู่ตัวเดียว แล้วก็เจ้าหมีนี่แหละที่เมื่อสองสามวันก่อนนี้ ได้ทำท่าตะกุยตะกาย ร้อยงิดๆ    ทำท่าออกวิ่งนำไปข้างหน้า แล้วก็หันกลับมาตะกุยตะกายใหม่     คล้ายกับจะบอกให้เจ้าแกละตามมันไป

“เองจะให้ข้าไปไหนฮึ หมี”    เจ้าแกละถามมันแต่ เจ้าหมีไม่สามารถจะให้คำตอบโต้ ได้แต่ทำท่าทางให้เจ้าแกละตามมันไปท่าเดียว เจ้าแกละจึงเดินตามไปทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ว่ามันจะพาไปที่ไหน     แต่หลังจากที่ได้เดินตามไปแล้วสักครู่ จึงได้รู้ว่ามันกำลังจะพาไปที่กระท่อมของยายพลอยนั่นเอง     คำเล่าลือที่ว่ายายพลอยเป็นกะสือ กับคำสั่งขอแม่ ห้ามไม่ให้เข้าไปใกล้ยายพลอยดังก้องอยู่ในหู ชะงักเท้าของเจ้าหนูน้อยไว้    มิใยที่เจ้าหมีจะตะกุยตะกายส่งเสียงร้อง     ทำกริยาชักชวน สักเท่าใด ก็ไม่อาจทำให้เจ้าแกละก้าวเดินต่อไปได้

“ไม่ไปละ หมี”     มันบอกกับเจ้าหมาพลางสั่นหัว     “แม่ห้ามไว้ เดี๋ยวข้าถูกแม่ตีเอา”

แล้วก็หันหลังกลับเดินหนี มาจากทางที่จะไปยังกระท่อมนั้น     เจ้าหมีไม่ได้วิ่งตามมาด้วย     เมื่อแกละหันไปดู ก็เห็นมันยังคงยืนอยู่ตรงที่นั้น     แต่มองตามมาด้วยดวงตาที่ชวนให้สงสารคล้ายกับว่าจะวิงวอนอะไรสักอย่างหนึ่ง     เจ้าหนูกลืนน้ำลาย รีบหันหน้ากลับเดินหนีมาเสียทันที

วันต่อมา เจ้าหมีก็ออกมาพบกับเพื่อนเล่นของมันอีก ท่าทางหงอยเหงาและกินอาหารที่เจ้าแกละเอามาให้จากบ้านด้วยความหิวโหย     ทำให้เจ้าแกละชักสงสัยว่าน่าจะเกิดอะไรผิดปรกติขึ้นแก่ยายพลอยก็เป็นได้     ใจหนึ่งอยากจะเข้าไปดูให้รู้แน่แก่ใจ แต่ความขยาดก็ยังมีมากกว่า     อย่างมากที่สุดเท่าที่เจ้าแกละจะทำได้ก็คือ นำความสงสัยข้อนี้ไปปรารภให้แก่พวกผู้ใหญ่ฟัง แต่ก็หาได้มีผู้ใดสนใจไม่     จะมีแต่แม่ก็พูดเสียว่า

“แกจะเป็นอะไรของแก     ยายพลอยน่ะแกยังตายไม่ได้หรอก     รู้ไหม เพราะแกยังไม่ได้บ้วนน้ำลายถ่ายทอดมรดกไว้ให้ใคร     เอ็งอย่ายุ่งไปเลย    กับไอ้หมาระยำตัวนั้นก็อีก    ชอบไปเล่นกับมันนักทีเดียว    คราวนี้ละถ้าข้าเห็นไปเล่นกับมันอีกแม่จะเฆี่ยนไม่นับทีเดียว”

เพราะเหตุนี้เอง ที่เจ้าแกละไม่กล้าพาไอ้หมีไปที่บ้าน     แม้ว่ามันจะเจ็บมากถึงปานนี้ ดูทีรึแม่ช่างด่ามันว่าเป็นหมาระยำได้ลงคอ     แม่ไม่รู้ดอกว่า    ไม่ใช่หมาตัวนี้ดอกรึที่ช่วยลูกของแม่ไว้จากเขี้ยวของหมาฝรั่งที่ตึกขาวนั้น

เมื่อวานนี้ ป้าทิมซึ่งอยู่บ้านถัดไปจากบ้านกำนันทองได้มาขอยืมหวดนึ่งข้าวเหนียวไปจากแม่ ครั้นเช้าวันนี้    พ่อเกิดนึกอยากจะกินข้าวเหนียวกับลาบและปลาร้าขึ้นมาบ้าง     แม่จึงใช้ให้เจ้าแกละไปขอหวดที่ป้าทิมคืนมา     ขณะที่เจ้าแกละเดินอุ้มหวดลัดมาตามคันนา ผ่านหลังบริเวณตึกขาวมานั้น     เจ้าหมาฝรั่งตัวโตเกิดแหกรั้วหลุดออกมาได้ มันวิ่งตรงแน่วเข้ามาราวกับว่าเจ้าแกละเคยเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันมาแต่ครั้งไหน รูปร่างอันสูงใหญ่พ่วงพี กับหน้าซึ่งกำลังแสยะแยกให้เห็นเขี้ยวสีขาวแหลมคม และเสียงคำราม อันดุร้ายของมัน สะกดเจ้าแกละให้ยืนตะลึง กอดหวดนึ่งข้าวเหนียวแน่นอยู่กับที่     ทันใดนั้น ก่อนที่เจ้าหมาฝรั่งนั่นจะมาถึงตัวเจ้าแกละ ไอ้หมีก็กระโจนออกรับหน้าเสียก่อน     ร่างสองร่าง สีดำและสีน้ำตาลอมเหลือง ฟัดกันกลิ้งไปตามคันนานั้น     เจ้าหมีออกจะเสียเปรียบเพราะร่างของมันเล็กกว่า คู่ต่อสู้ หลายเท่านัก    แม้กระนั้น มันก็ยังมีเลือดนักสู้อย่างแท้จริง     มันสู้อย่างไม่ยอมถอยจนกระทั่งคนที่ตึกขาวได้เห็น เหตุนี้และร้องเอะอะขึ้น พากันวิ่งออกมาแยกเอาเจ้าหมาใหญ่ตัวนั้นไป     นั่นแหละเจ้าหมีจึงได้ล้มลงนอนหายใจระรวยเลือดโชกตัว

มันถูกเขี้ยวของเจ้าหมาใหญ่เป็นแผลเหวะหวะ     ที่แถวอกและขาหน้าข้างขวา     แผลค่อนข้างฉกรรจ์จนมันเดินไม่ไหว     เจ้าแกละรีบวิ่งกลับมาบ้าน เอาหวดให้แม่ แล้วก็ฉวยได้ผ้าขี้ริ้วเก่า ๆ ผืนหนึ่งกับยาหม่องอับหนึ่งวิ่งกลับมาที่เจ้าหมี    ค่อยๆ เช็ดเลือดให้มันอย่างระมัดระวัง     ตั้งแต่เกิดมาเป็นตัวตนจนกระทั่งบัดนี้ เจ้าแกละยังไม่เคยได้ทำการปฐมพยาบาลใครกับเขาสักที มันมีความรู้แต่เพียงว่าถ้าเป็นแผลละก็ต้องใส่ยาเท่านั้น     ดังที่เคยเห็นครูที่โรงเรียนใส่ยาอะไรสีแดงๆ ให้กับเพื่อน เมื่อเวลาต่อยกันปากแตก หรือหกล้มไปโดนอะไรขูดข่วนเป็นแผล   แต่ที่บ้านไม่มียาแดง ๆ อย่างนั้น มีแต่ยาหม่องนี่แหละ     แม่ซื้อมาจากรถขายยาซึ่งไปจอดโฆษณาที่ตลาด บอกว่าเป็นยาแก้โรคได้สารพัด     ทั้งบ้านไม่ว่าใครจะเป็นอะไร ก็เห็นแม่ใช้แต่ยานี้รักษาอย่างเดียว     กินบ้างทาบ้างไปตามเรื่อง     แกละจึงฉวยเอามา     ด้วยหวังว่ามันคงจะช่วยรักษาบาดแผล ของเจ้าหมีได้บ้างเป็นแน่

เมื่อเช็ดเลือดออกหมดแล้วก็ทายาให้ แล้วบรรจงพันแผลให้มัน     ตลอดเวลานี้ เจ้าหมีนอนนิ่งให้ทำโดยดี     นานๆ มันก็จะร้องครางงึ้ดออกมาสักทีหนึ่ง เมื่อเจ้าแกละลูบหัวมัน ๆ ก็หยุดร้อง     แต่แลบลิ้นออกมาเลียมือเจ้าแกละ และมองดูด้วยดวงตาอันละห้อย

เมื่อจัดการกับบาดแผลเรียบร้อยแล้ว    คราวนี้ก็ถึงปัญหาที่ว่าจะเอาเจ้าหมีไปไว้ที่ไหนดี เจ้าหมีนั้น มันคงอยากกลับบ้านของมันเป็นแน่     แต่มันได้รับบาดเจ็บจนไม่อาจเดินไปได้เสียแล้ว     เจ้าแกละจะอุ้มมันไปส่งให้ก็ไม่ได้ เพราะแม่ออกคำสั่งห้ามไว้อย่างเด็ดขาด มิให้ย่างเหยียบเข้าไปใกล้บ้านของยายพลอย     ไอ้จะเอาไปไว้ที่บ้านด้วยรึก็ไม่ได้อีกน่ะแหละ    ในที่สุด เจ้าแกละก็ตกลงใจที่จะพาไอ้หมีไปไว้ที่ซุ้มไผ่ซึ่งเป็นสถานที่โปรดปรานของตนไปพลางก่อน

“คืนนี้เอ็งต้องนอนอยู่ที่นี่ไปตัวเดียวก่อนนะ ไอ้หมีเอ๋ย”     เจ้าแกละบอกกับมันขณะจัดเตรียมที่นอนไว้ให้ ด้วยการตะล่อมใบไผ่แห้งๆ ที่หล่นเกลื่อนอยู่นั้นเข้ามารวมกันเป็นกอง ใช้ผ้าซึ่งเหลือจากที่พันแผลปูทับ    แล้วค่อยๆ วางร่างของเจ้าหมีลงอย่างระมัดระวัง ไม่ให้กระเทือนถึงบาดแผลของมัน     เจ้าหมีครางงี้ดง้าด พยายามตุกุยตะกาย เอาหัวมาวางพาดลงบนตักพลางเงยหน้าขึ้นมอง     ดวงตาของมันละห้อยคล้ายกับจะบอกว่า อย่าทิ้งฉันเลย     อยู่กับฉันเถิด     หรือไม่อย่างนั้นก็เอาฉันไปด้วยเถิด

เจ้าแกละกระพริบตา    พลางกลืนก้อนแข็งที่ขึ้นมาจุกอยู่ที่ลำคอ เมื่อปลอบมันว่า

“ข้าเอาเอ็งไปบ้านด้วยไม่ได้หรอก     แม่ข้าห้าม     พรุ่งนี้ข้าจะรีบเอาข้าวมาให้เอ็งกินแต่เช้าทีเดียว     แล้วข้าถึงจะไปโรงเรียน     ข้าต้องไปทีละ จวนจะค่ำอยู่แล้ว”

ก้มลงกอดเจ้าหมี ซบหน้าแนบกับหัวมันอีกครั้งหนึ่งแล้วก็รีบลุกเดินออกมา    ไม่กล้าหันกลับไปมองอีก    ลูกตาไอ้หมีมันน่าสงสารนัก

คืนนั้นเจ้าแกละนอนหลับไม่สนิทเสียเลย เพราะใจมัวนึกเป็นห่วงถึงแต่ไอ้หมี    นอนอยู่มืดๆ แต่ลำพังอย่างนั้นมันจะกลัวหรือเปล่าก็ไม่รู้    มันจะหนาวไหมหนอ     อยากจะเอาผ้าไปห่มให้มันเหลือเกิน     เพราะใจเป็นกังวลอยู่เช่นนี้ เจ้าแกละจึงนอนกระสับกระส่ายอยู่ตลอดคืนจนรุ่งเช้า

ยังไม่ทันจะล้างหน้าเจ้าแกละก็คดข้าวเย็นในครัวใส่ใบตอง หยิบปลาซีกที่เหลือใส่ไปด้วย พาวิ่งไปยังเจ้าหมีเสียแล้ว     ดูแลให้มันกินจนอิ่มแล้วจึงได้กลับมาล้างหน้าแต่งตัวฉวยกระเป๋าหนังสือไปโรงเรียน ทำเป็นไม่สนใจกับเสี่ยงบนของแม่ที่ว่าปลาซึ่งเหลือจากอาหารมื้อเย็นเมื่อวานนี้ซีกหนึ่งล่องหนไปโดยปราศจากร่องรอย

เมื่อกลับจากโรงเรียนมาถึงบ้านในเย็นนั้น    แกละรู้สึกประหลาดใจที่เห็นบ้านช่องเงียบกริบ ไม่มีใครอยู่สักคนหนึ่ง ไม่รู้ว่าไปไหนกันหมด     แต่ก็นับว่าเป็นโอกาสอันดีได้ตระเตรียมสะเบียงไปให้เจ้าหมี เจ้าแกละย่องเข้าครัว หาเสบียงตามแต่จะหาได้ห่อใบตองไว้ พอจะออกจากบ้าน พี่สาวก็กลัมมาพอดี

“กลับแล้วเรอะ ไอ้แกละ” พี่สาวทัก “มันจะหาเรื่องออกไปซนที่ไหนอีก เล่านั่นน่ะ รู้แล้วเรอะยังว่ายายพลอยแกตายแล้วละ”

“เรอะ”     แกละชะงักเท้าซึ่งกำลังขยับจะวิ่ง หันกลับมาถามว่า    “ใครบอกล่ะ”

“ใครจะบอก ข้าเพิ่งกลับมาจากวัดเดี๋ยวนี้เอง     เมื่อเช้านี้ลุงกำนันแกเอาข้าวไปให้ยายพลอย    เห็นประตูปิดเงียบ แกลองเรียกดูไม่ขาน     แกเลยพังเข้าไปดู     เอ้อเฮ้อ แกเอ๋ย    ยายพลอยนอนตาย หนอนขึ้นแล้ว ด้วยซ้ำไป     พ่อกับแม่และใครๆ ก็ยังอยู่ที่วัด     เออ    แล้วรู้หรือเปล่าว่าหมา...”

แต่เจ้าแกละไม่ได้อยู่ฟังคำพูดต่อไปของพี่สาว     เพราะเมื่อได้รู้เรื่องแล้ว มันก็หมดความสนใจอีกต่อไป     ความเป็นห่วงเจ้าหมีมีมากกว่า    จึงได้ผละออกวิ่งไปเสียก่อนที่จะทันฟังพี่สาวพูดให้จบประโยค

อย่างเร่งร้อน เจ้าแกละถือห่อข้าววิ่งไปที่ซุ้มไผ่นั้น     ป่านนี้ไอ้หมีคงกำลังตั้งตาคอยอยู่แล้ว     มันคงหิวแย่ เพราะเมื่อเช้านี้ได้กินเพียงหนเดียวเท่านั้น     กลางวันก็ต้องอด     ไม่มีใครหาอะไรให้มันกิน     เออ     ยายพลอยแกตายเสียแล้วเช่นนี้     อีกสักหน่อยแม่อาจจะยอมให้เอาไอ้หมีมาเลี้ยงที่บ้านได้ละกระมัง

แต่แล้วเมื่อมาถึงซุ้มไผ่นั้น เจ้าหนูน้อยก็ต้องยืนตะลึง    ไม่มีไอ้หมีอยู่ที่นั่น เจ้าหมีซึ่งจะต้องส่งเสียงร้องงี้ดง้าด และกระดิกหางด้วยความดีอกดีใจ    หายไปไหนเสียแล้ว     สิ่งที่ปรากฏแก่ตาของเจ้าหนูก็คือความกระจัดกระจายของที่ที่เจ้าหมีเคยนอน     ผ้าขี้ริ้วที่ปูรองนอนนั้น กระเด็นไปเกี่ยวอยู่กับกิ่งไผ่เตี้ยๆ    และที่ร้ายกาจยิ่งกว่านั้นก็คือมีขนของเจ้าหมีหลุดอยู่เป็นหย่อมๆ และมีรอยเลือดสาดกระเซ็นอยู่เล็กน้อย

พี่สาวของเจ้าแกละรู้สึกประหลาดใจมิใช่น้อย     ที่เห็นเจ้าน้องชายผู้ซึ่งเมื่อสักครู่ใหญ่ก่อนหน้านี้ ได้วิ่งจากไปด้วยอาการกระปรี้กระเปร่าตื่นเต้นรุกรี้รุกรน     ได้เดินกลับมาด้วยอาการ งุนงง เหมือนคนที่ได้ประสบกับสิ่งที่สยดสยองน่ากลัวที่สุดในชีวิตมา     กิริยาอาการชนิดนั้นไม่น่าจะมาปรากฏอยู่กับเด็กซึ่งยังมีอายุไม่ถึงสิบขวบเช่นน้องชายของหล่อนคนนี้ มันทำให้หล่อนตกใจ     ต้องปราดเข้าไปจับบ่าของน้องไว้ เขย่าเบาๆ แล้วถามว่า

“แกละ     แกเป็นอะไรไปน่ะ”

เจ้าแกละทรุดร่างลงนั่งบนแคร่ มองดู พี่สาวด้วยดวงตาที่เหม่อตะลึงอยู่อย่างเดิม ไม่พูดว่าอะไร จนกระทั่งพี่สาวถามอีกครั้งหนึ่งจึงได้หลุดปากออกมาว่า

“ไอ้หมี ไอ้หมีหายไปไหน พี่รู้ไหม”

“ไอ้หมีไหน     ไอ้หมีหมาของยายพลอยใช่ไหม”

เจ้าแกละพยักหน้า     พี่สาวจึงบอกว่า

“พุธโธ่ นึกว่าเรื่องอะไร     ทำท่าเอาเราออกตกอกตกใจ     เมื่อกี้นี้พี่กำลังจะเล่าให้ฟัง เอ็งก็ชิงวิ่งไปเสียก่อนนี่    ยายพลอยน่ะแกเป็นผีกะสือ ตามธรรมเนียมก่อนจะตายแกก็ต้องถ่ายทอดมรดกให้คนอื่นไว้ ไม่งั้นก็ตายไม่ได้ นี่แกก็ตายแล้ว แต่ผู้คนในหมู่บ้านนี้ก็ไม่ปรากฏว่าใครเป็นทายาทของแกเลยสักคนเดียว     มีแต่หมาที่แก่เลี้ยงไว้ตัวเดียวเท่านั้นแหละ     เขาเลยเชื่อกันว่าแกคงต้องถ่ายทอดมรดกไว้ให้แก่หมาตัวนั้นเป็นแน่     เขาจึงออกตามหามัน     ไปพบมันนอนอยู่ในซุ้มไผ่โน่นแน่ะ    เลยช่วยกันตีเสียจนตาย แล้วก็ตัดคอออกฝังแยกกับตัว ตามพิธีข่มผีเรียบร้อยไปแล้ว”

ไม่มีคำพูดอย่างใดออกจากปากเจ้าแกละ    หล่อนจึงหันกลับเดินไปที่ประตูเพื่อจะได้จัดการหุงหาอาหารมื้อเย็นต่อไป     แต่เมื่อเดินไปถึงประตูหล่อนก็ต้องหันกลับมาอีกครั้งหนึ่ง เมื่อได้ยินเสียสะอื้นอย่างแรงดังมาจากลำคอของน้องชาย     ซึ่งบัดนี้ฟุบหมอบสะอึกสะอื้นอยู่กับแคร่นั้น     ห่ออาหารตกอยู่บนพื้น     ใบตองที่ห่อไว้เปิดออก ข้าวกระจายขาวเกลื่อน     ปลาสองสามชิ้นกองคลุกอยู่กับข้าว     มันเป็นอาหารซึ่งได้ถูกจัดหาไว้สำหรับเจ้าหมี     ทายาทของยายพลอย ตัวนั้น........

จากนิตยสาร ศรีสัปดาห์