สุภาว์ เทวกุลฯ ราชินีแห่งเรื่องสั้น

        จันทร์ 23 ธันวาคม พ.ศ.2567
ชบาแดง

สุภาว์ เทวกุลฯ

supa : 0000-00-00

reader:914
reply:0

“นังชื่น แกตบหน้าข้า”

“เออ ก็แกอยากเสือกมาจับมือข้าไว้ทำไม”

“ชะช้า เดี๋ยวนี้เองมันวิเศษจนข้าจับมือไม่ได้แล้วเรอะ”

“เดี๋ยวนี้หรือเมื่อไหร่ก็ไม่ได้ทั้งนั้นแหละเว้ย เจ้ากลั่น”

คู่วิวาททั้งสองเผชิญหน้ากันอย่างกระเหี้ยนกระหือรือในร้านค้าขนาดย่อมประจำหมู่บ้าน     ฝ่ายหนึ่งเป็นหญิง นุ่งห่มด้วยเสื้อสีฉูดฉาดยืนเท้าสะเอวด้วยท่าทางแก่นกล้ามิกลัวเกรง   แม้ว่าอีกฝ่ายหนึ่ง.. คู่วิวาทของหล่อน... จะเป็นชายอกสามศอก ซึ่งขณะนั้นดวงตาแดงก่ำราวกับจะลุกเป็นไฟเพราะอำนาจโทสจริต และฤทธิ์ของสุราผสมกัน   แต่หล่อนก็ยังกล้ายืนเผชิญหน้ากับมัน ผู้ซึ่งใครๆ ก็รู้แจ้งกันอยู่ว่าเป็นนักเลงประจำถิ่น   ด้วยท่าทางที่แก่นกล้ามิได้สะทกสะท้าน ราวกับว่าจะดูถูก เหยียดหยามมันให้ได้อายต่อหน้าเพื่อนและลูกสมุนที่นั่งล้อมร่วมโต๊ะสุรากันอยู่ด้วยเช่นนั้น

“หนอยแน่ะ   นังควายลืมตีน”   เจ้ากลั่นชี้หน้า   “เดี๋ยวนี้ ตั้งแต่เจ้าคนกรุงเทพฯ มันเทียวไปเทียวมาที่บ้านเองบ่อยๆ   เองก็เลยกลายเป็นคนวิเศษ เนื้อกลายเป็นทองขึ้นมาแล้วงั้นหรือวะ นังชื่น”

“เนื้อข้ามันจะกลายเป็นอะไรมันก็เรื่องของของข้า”   แม่สาวย้อนอย่างไม่ลดละ   “ไม่ใช่เรื่องของเองที่จะมาจับต้องพิสูจน์กันดูกลางตลาดอย่างนี้ข้าไม่ชอบ”

“ปากคอเองมันจัดจ้านเหลือเกินแล้วนะ นังชื่น”   เจ้าคนหนึ่งที่นั่งร่วมวงอยู่กับเจ้ากลั่นเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความสนุก   “ยังไงๆ ละก็เกรงใจพี่กลั่นเขาหน่อยซีวะ   คนเคยรู้จักชอบพอกันมา   เอ็งจะเห็นคนอื่นที่เพิ่งมาใหม่ดีกว่าเทียวรึ”

“จะรู้จักใหม่หรือรู้จักเก่า มาทำทะลึ่งลวนลามฉันกลางตลาดอย่างนี้ ฉันไม่ชอบมันทั้งนั้นแหละ ไม่ว่าไอ้หน้าไหน”

“ชะ ชะ ปากคอเราะรายนักนะ นังชื่น”   เจ้ากลั่นโกรธจัด   “พอได้กลิ่นไอสุภาพบุรุษชาวกรุงเข้าหน่อยละก็ลอยลม   หันมาดูถูกคนบ้านเดียวกันเทียวนะ   แต่เมื่อก่อนนี้ข้าจับมือถือแขนเอ็งทำไมเอ็งไม่ถือ   เกิดจะมาสะดิ้งถือตัวเอาเดี๋ยวนี้”

“อ๋อ.. ถ้าทำไปโดยไม่มีเจตนาจะให้อายคนละก็ข้าไม่ถือหรอก   พอจะให้ทานเป็นเศษเป็นเลยได้”   แม่ผู้หญิงย้อนให้ทันทีอย่างก๋ากั่น   “แต่มีเจตนาอย่างนี่ข้าไม่ชอบ   ข้าบอกแล้วนี่ว่าให้ปล่อยมือข้า แกก็ยังไม่ปล่อย   แกล้งฉุดไว้เพราะหมายจะแกล้งข้าเล่นต่อหน้าไอ้พวกลูกน้องของแก”   หล่อนกราดนิ้วชี้หน้าที่เรียงรายสลอนรอบโต๊ะอยู่นั้น   “แล้วก็ยังคนอื่นๆ ที่ผ่านไปมาอีก   แกมันมีเจตนาไม่ดีกับข้าแล้วข้าจะไว้หน้าแกทำไม   แกจับมือข้าไว้ให้อายคนเขา   ข้าก็ตบหน้าแกให้อายเขาได้เหมือนกันแหละวะ”

เจ้ากลั่นตัวสั่นเงื้อมือสะอึกเข้าไปอีก แต่เจ้าลูกสมุนคนหนึ่งลุกขึ้นรั้งแขนเอาไว้เสีย   “อย่า พี่กลั่น   ขอทีน่า   มันเป็นผู้หญิง   เราทำมันคนเขาก็ด่าเราว่า รังแกผู้หญิง   ขาดทุนทั้งขึ้นทั้งล่อง”   แล้วเขาก็หันไปทางหญิงสาวซึ่งยังยืนเท้าเอวอยู่อย่างท้าทายไม่ถดถอย   บอกว่า   “แกก็เพลาปากเพลาคอเสียบ้างซีชื่น   ยังไงๆ ก็เกรงพี่กลั่นเขาบ้าง   นึกมั่งซีว่าเมื่อก่อนนี้ที่แกได้ดูหนังดูยี่เกฟรีบ่อยๆ นั่นเพราะใคร”

“อ้อ อย่ามาทวงบุญคุณหน่อยเลย”   แม่หญิงย้อนให้   “ใช่ว่า นายกลั่นจะมาควักกระเป๋าออกสตางค์ค่าดูให้ฉันเมื่อไร   ที่แท้ก็เบ่งเข้าไปดูฟรีแท้ๆ   ชะ ช้าไปดีกว่า   แล้วจำไว้ด้วยนะว่าทีหน้าทีหลังอย่างมาลวนลามกับข้ากลางถนนอย่างนี้อีก   ข้าไม่ชอบ”

พูดจบหล่อนก็สะบัดหน้าหันหลังให้ ก้าวออกไปนอกร้าน   กลั่นยกมือทุบโต๊ะปัง ชี้นิ้วกล่าวคำอาฆาตตามหลังไปว่า   “หนอย นังชื่น   ระวังตัวไว้ให้ดีนะ   เอ็งมันทำข้าเจ็บนัก   ใครที่ทำให้ข้าเจ็บใจไม่เคยลอยนวลอยู่ได้ ไม่ว่าจะเป็นไอ้หรืออีคนไหน”

“อ๋อ อาฆาตผู้หญิงหรือ”   ชื่นหันกลับมาลอยหน้าท้าทาย   “ก็เอาซี้   จะทำอะไรข้าล่ะ   จะฉุด หรือ จะลอบกัดเหมือนหมาก็เชิญทุกเมื่อแหละ  ผู้คนเขาจะได้เป็นพยานว่าแกเป็นคนทำเพราะแกกล่าวคำอาฆาตข้าไว้ที่กลางตลาด”

หล่อนหันไปยิ้ม พยักพเยิดกับคนอื่นๆ ที่ยืนฟังความอยู่แถวๆ นั้นเป็นการหาพยาน   แล้วจึงหันหลังเดินตัวปลิวกลับบ้านโดยไม่เอาใจใส่กับปฏิกิริยาประการใดที่จะเกิดขึ้น ณ โต๊ะสุราของนายกลั่นกับพรรคพวกของเขาอีก

ชื่นเดินอ้อมจากหน้าบ้านไปขึ้นบันไดหลังตรงนอกชานซึ่งเชื่อมระหว่างเรือนครัวกับตัวบ้าน   ก็เห็นคนสองสามคนกำลังช่วยกันเตรียมของสดของแห้งสำหรับปรุงอาหารอยู่   มีผู้ชายกลางคนนุ่งโสร่งไม่สวมเสื้อนั่งดูอยู่ห่างๆ บนยกพื้นของเรือนใหญ่   พอหล่อนโผล่ขึ้นไป ผู้หญิงกลางคนซึ่งกำลังถอนขนไก่อยู่อย่างขะมักเขม้นก็เงยหน้าขึ้นดูแล้วร้องว่า

“หายหัวไปข้างไหนมา นังชื่น   ดูทีรึจะทำกับข้าวกับปลาเลี้ยงแขกเลี้ยงเหรื่อ อจะมีแก่ใจอยู่ช่วยกันก็ไม่มี   ไอ้ข้าก็ตัวคนเดียวแท้ๆ”

“แม่คนเดียวก็เก่งเกินกว่าฉันสักสิบคนเสียอีก”   หล่อนบอกหัวเราะๆ แล้วทรุดลงนั่งข้างหญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกันกับหล่อนซึ่งกำลังหั่นเนื้อไก่ตัวที่ถอนขนออกแล้วอย่างตั้งอกตั้งใจ   พูดว่า   “สาลี่มานานแล้วหรือจ๊ะ   ขอบใจจริงนะที่มาช่วย”

“ก็ได้   สาลี่ น่ะซีที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรง”   มารดาของหล่อนว่า   “พ่อชิดอีกคนหนึ่งที่ได้อาศัยแรงขูดมะพร้าวกับตำน้ำพริก   ข่าก็หมดวานนังชมไปขอเขาที่บ้านทิดไปล่   ไปแค่นี้เป็นนมเป็นนานแล้วยังไม่มา   มันช่างเถลไถลพอดีกันทั้งคู่ทีเดียว พี่น้องคู่นี้”

“แหม แม่ละขี้บ่นเสียจริง”   ชื่นว่าหน้ายิ้มๆ   “หนูไถลเมื่อไหร่เล่าแม่ก็   พ่อเขาวานให้ไปสั่งเจ้าตงให้เอาน้ำแข็งกับโซดามาให้เย็นวันนี้ต่างหาก”   หล่อนพูดกับมารดาแล้วหันไปทางเพื่อนสาวอีก   “สาลี่เป็นคนแกงหรือจ๊ะ   วันนี้แสดงให้สุดฝีมือเลยนะ   เอาให้คุณบันเทิงสูดปากเลยทีเดียว”

หญิงสาวที่มีนามว่าสาลี่มิได้ตอบว่ากระไรนอกจากยิ้มน้อยๆ   แต่ดูเหมือนคำพูดใดคำพูดหนึ่งของเพื่อนสาวจะมีอำนาจประหลาดที่สามารถทำให้พวงแก้มของหล่อนร้อนผ่าวขึ้นมา   ใจเต้นรัวแล้วก็กลับอ่อนระโหยลง   คุณบันเทิง!   สาลี่นึกเห็นภาพชายหนุ่มหน้าตาคมสัน ที่หมู่นี้เทียวไปเทียวมาจนกลายเป็นแขกประจำบ้านหลังนี้   ดวงหน้าและท่าทางของเขาช่างงามสง่าน่าดูสลักจิตสลักใจสาลี่เป็นนักหนา   แต่สาลี่ไม่มีโชควาสนาพอที่จะได้อยู่ใกล้กับเขาเหมือนเช่นชื่นเพื่อนสาวของหล่อน   เพราะสาลี่เป็นเพียงเพื่อนบ้านที่ยากจนคนหนึ่ง   จะทำตามความปรารถนาของหัวใจได้ก็เพียงแต่เฝ้าแอบมองเขาอยู่ห่างๆ แล้วก็เก็บเอาไปนอนคิดนั่งฝัน   ฝันว่าได้พูดจากับเขา   หัวเราะต่อกระซิกกับเขาเหมือนดังชื่นเพื่อนสาวผู้โชคดีของหล่อน   แล้วก็คิดว่าถ้าหล่อนมีโอกาสอย่างชื่นบ้าง หล่อนจะมีความสุขสักเพียงไหน

“แล้วยังไง นังหนู”   พ่อของชื่นร้องถามมาจากที่ที่แกนั่งอยู่   “ธุระที่พ่อใช้ไปได้เรื่องหรือเปล่า”

“ได้จ้ะ พ่อ”   ชื่นตอบ   ลุกขึ้นไปนั่งลงบนยกพื้นข้างบิดา   “เจ็กตงบอกว่าเย็นๆ จะให้เด็กถีบรถเอาน้ำแข็งกับโซดามาส่ง   หนูพบเจ้ากลั่นที่ร้านนั้นด้วยซีพ่อ   มันกินเหล้ากันแต่วันทีเดียว   พอหนูจะกลับมันฉุดแขนหนูไว้บอกให้อยู่คุยกับมันก่อน”

“ฮึ เจ้ากลั่นมันเมาเรอะลูก”

“คงแค่มึนๆ แต่ไม่ถึงกับเมาหรอกจ้ะ พ่อ   พอมันจับแขนหนู หนูก็บอกให้ปล่อย   มันไม่ยอมปล่อย   มันกลับจับมือหนูไว้อีก”

“ฮ้า” บิดาของหล่อนร้อง   “มันทะลึ่งถึงขนาดนั้นเทียว   ไม่ได้ไอ้คนนี้   วันหลังต้องเรียกมันมากล่าวกันเสียบ้างแล้ว”

“อย่าไปว่ามันเลยพ่อ”   ชื่นบอก   “หนูตบหน้ามันเข้าให้แล้ว”

“แกน่ะหรือตบหน้าไอ้กลั่น”   พ่อของหล่อนย้อนถามอย่างตกใจพร้อมๆ กับที่แม่ของหล่อนหยุดถอนขนไก่หันมาฟังลูกสาวตั้งแต่หล่อนเริ่มเล่าเรื่อง   ร้องขึ้นว่า

“ตายแล้ว แม่จะเป็นลม”   แกยกมือขึ้นตบอก

“จ้ะพ่อ   เล่นเสียฉาดเบ้อเร่อจนมือหนูชาไปหมดเลย”   ชื่นตอบพ่อแล้วจึงหันไปหาแม่

“ทำไมล่ะแม่   ก็มันอยากทะลึ่งลวนลามหนูก่อนแล้วจะเอามันไว้ทำไม”

“ทำไมมันแกถึงได้ก๋ากั่นยังงี้นะชื่น   “ แม่ของหล่อนพูดอย่างร้อนอกร้อนใจ   “รนหาเรื่องแล้วแท้ๆ เทียวนี่น่ะ   เจ้ากลั่นมันเหมือนคนอื่นๆ เขาที่ไหน   มันหมาบ้าแท้ๆ ทีเดียว   ไปทำให้มันอายคนเขายังงี้แล้ว มันคงไม่ยอมเอ็งง่ายๆ หรอก   มันคงต้องคิดแก้แค้นเอาแน่ๆ ”

“ก็ให้มันคิดไปซีแม่ก็   มันมีมือคนเดียวเมื่อไหร่ล่ะ”   ลูกสาวว่า แกก็เลยค้อนให้

“นังแก่นแก้ว   แกมันเป็นพูหญิงยิงเรือจะไปสู้รบปรบมือกับมันไหวเรอะ”

“ไหวหรือไม่ไหวก็สู้แค่ตายแหละจ้ะ”   ลุกสาวตอบคล้ายจะยั่วให้แกหมั่นไส้ยิ่งขึ้น   ซึ่งก็ได้ผล เพราะแกค้อนให้อีกขวับหนึ่ง ร้องว่า

“เออ นังคนเก่ง   ข้าจะคอยดูไป   ขืนอวดเก่งเกินตัวยังงี้ละก็น้ำตาจะเช็ดหัวเข่าสักวันหรอกจำไว้”   โมโหและเป็นทุกข์ด้วยเรื่องร้อนที่ลูกสาวคนใหญ่ไปก่อไว้ อารมณ์แกก็เลยเสีย พาลรีพาลขวางไปถึงลูกสาวคนเล็กที่แกใช้ให้ไปขอเครื่องปรุงน้ำพริกแกงที่บ้านคนรู้จัก   “นี่นังชมมันไปมุดหัวอยู่เสียที่ไหนนะ   ใช้ไปแค่นี้ละก็ไปเสียอยู่ได้เป็นนานสองนาน   เฮอ กูหนอกู   มีลูกกับเขาแต่ละคนหรือก็แสนจะหนักอกหนักใจ   คนใหญ่ก็ยังงั้น คนเล็กก็ยังงั้น   ประเดี๋ยวเห็นจะต้องวานใครไปจิก...”

“ไม่ต้องจิกดอกจ้า มาแล้ว”

เสียงร้องมาทางหัวบันไดพร้อมๆ กับที่ร่างของเด็กหญิงในวัย ๑๒-๑๓ ปี คนหนึ่งโผล่พ้นนอกชานขึ้นมา   ดวงหน้าของหล่อนเรียวจนเหมือนพี่สาว   ทั้งดวงตาและสีหน้าก็ช่างเล่นเหมือนกัน   ผมของหล่อนปล่อยยาวประบ่า   ที่หูทั้งสองข้างทัดดอกไม้สีสดจ้าฉูดฉาด   เด็กหญิงเข้ามานั่งยองๆ วางของที่มารดาใช้ให้ไปขอมาลงข้างมารดา พร้อมกับพูดว่า

“ที่บ้านน้าไปล่เขามีเมื่อไหร่ล่ะแม่ก็   หนูต้องไปขอที่บ้านป้าผินมา”

“แล้วเอ็งเลยเถลไถลไปชมป่าชมเขาเสียยังงั้นซี   ทัดดอกไม้เสียแดงแจ๋เป็นอีเงาะดูเข้าได้หรือน่ะ   ให้พ่อเขาดูทีซิว่าสวยเหมือนอีเงาะหรืออีนังตุ้งแช่”

ชื่นหัวเราะด้วยนึกขันในคำพูดประชดประชันของมารดา   และยิ่งขันหนักขึ้นเมื่อน้องสาวหันมาทางพ่อ   ทำหน้าทะเล้นเอียงคอ ร้องถามมาว่า

“พ่อจ๋า พ่อ   แม่เขาให้พ่อดูว่าหนูสวยเหมือนนังเงาะหรือนังตุ้งแช่กันแน่จ๊ะพ่อ”

แต่แล้วชื่นก็เกือบสะดุ้งด้วยความตกใจเมื่อได้ยินเสียงบิดาร้องตวาดว่า

“เฮ้ย ! เอาดอกไม้นั่นออกจากหูเสียเดี๋ยวนี้ทีเดียว นังชม”

เด็กหญิงทำตามด้วยความตกใจในน้ำเสียงอันดุดันของบิดามากกว่าที่จะเข้าใจ   ชื่นได้ยินเสียงบิดาคำรามอยู่ในลำคอว่า

“วอนเสียแล้วลูกคนนี้   อยู่ดีไม่ว่าดีชอบเล่นไอ้ที่มันเป็นเสนียดจังไรแก่ตัวเอง”

ชื่นมองดูดอกไม้ในมือทั้งสองข้างของน้อง   มองดูหน้าแม่.. หน้าสาลี่เพื่อนสาวและเด็กหนุ่มเพื่อนบ้านที่มาช่วยขูดมะพร้าว   ซึ่งต่างก็วางมือจากงานที่ทำอยู่ด้วยความตกใจในน้ำเสียงของพ่อที่ตวาดชม   ต่างคนต่างมีสีหน้าที่ตื่นตระหนกและงงงวย แสดงว่าไม่เข้าใจในเรื่องราวที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย   ยิ่งชมด้วยแล้ว   ความตกใจและงงงันดูเหมือนจะมีมากกว่าใครทั้งหมด   เด็กหญิงไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดเพียงแต่การที่ตนเด็ดดอกไม้สีสดทัดหูมาข้างละดอกเพราะความสนุกคะนองมืออยู่ไม่สุข จะถูกบิดาเกรี้ยวกราดเอาถึงปานนี้   หล่อนมองดูดอกไม้ที่อยู่ในมือข้างละดอกพลางทำหน้าคล้ายจะร้องไห้

“ทำไมล่ะจ๊ะ พ่อ”   ชื่นเป็นคนออกปากถามพ่อเพราะสงสารน้อง กอปรทั้งความสงสัยเป็นกำลังของหล่อนในอาการของพ่อด้วย   “ที่จริงมันก็ดอกชบาธรรมดาๆ นี่เท่านั้นนี่จ๊ะ   เมื่อเล็กๆ ฉันยังเคยเด็ดเล่นบ่อยๆ ไป”

v

“เล่นก็ได้ แต่ไม่มีใครเขาเอามันมาทัดหูสองข้างเหมือนอย่างนี้”   พ่อตอบเสียงห้วนแต่ค่อยลงเพราะรู้สึกตัวต่อการที่แกทำใครต่อใครตกใจตามๆ กัน

“ทำไมหรือจ๊ะพ่อ   ทัดหูสองข้างแล้วเป็นยังไง”

“เอ็งไม่เคยรู้บ้างเลยหรือนังหนู”   พ่อย้อนถาม   “ว่าคนที่กำลังจะถูกเขาเอาตัวไปประหารน่ะ   เขาต้องเอาดอกชบาทัดหู   เข้าชื่อเข้าคาพาเดินไปประจานรอบๆ เมืองเสียก่อนแล้วจึงเอาไปเข้าหลักประหาร”

“คุณพระช่วย”   แม่ยกมือขึ้นตบอกหันไปขนาบลูกสาวคนเล็กทันที   “ลูกคนนี้เล่นอะไรไม่เป็นมงคลแก่ตัวเสียเลย   ทิ้งไปเดี๋ยวนี้นะ ดอกไม้ในมือนั่นน่ะ   แล้วต่อไปอย่าเก็บมันมาเล่นอีก   แม่จะหวดให้ยับเทียวละ”

ชมเองก็ตกใจไม่น้อยเหมือนกัน   ภาพของการประหารชีวิตนักโทษ ในสมัยโบราณเหมือนเคยได้ยินได้ฟังผู้หลักผู้ใหญ่เขาเล่ากันมา ปรากฏขึ้นในความคิดของเด็กหญิง   หล่อนเห็นภาพนักโทษนั่งขัดสมาธิพนมมือถูกมัดติดกับหลักเตี้ยๆ มีผ้าปิดตาและดินอุดหู   เบื้องหน้านักโทษนั้นคือหลุม ซึ่งขุดไว้เตรียมฝังหลังการประหาร   ต่อจากนั้น เพชฌฆาตหน้าตาถมึงทึงน่ากลัว นุ่งผ้าหยักรั้งสีแดงรำดาบอันยาวโง้งเป็นประกายขาววาบมาทางเบื้องหลัง   รำๆ ถอยๆ อยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วที่สุดนั้นก็ฟาดลง   แล้วก็... ฮึ้ย   เด็กหญิงขนลุกเกรียว สะบัดดอกไม้ในมือกระเด็นโดยไม่เอาใจใส่ว่ามันจะไปตกอยู่ ณ สารทิศใด   ตัวเองถลาพรวดไปนั่งลงแทบเท้าของบิดาพร้อมๆ กับที่พี่สาวของหล่อนพูดว่า

“แต่สมัยนี้ไม่มีการประหารชีวิตแบบนั้นอีกแล้วนี่จ๊ะ พ่อ   ยังจะถือกันอยู่อีกหรือจ้ะ”

“ไม่ว่าจะสมัยนี้สมัยไหนก็ตามเถอะ นังหนูเอ๊ย”   พ่อของหล่อนว่า   “อะไรที่ผู้หลักผู้ใหญ่เขาถือเขายึดมั่นกันตลอดมาแล้วละก็ มันเป็นไปได้ทั้งนั้นแหละ   เพราะฉะนั้นถ้าผู้ใหญ่เขาเตือนอะไรเขาห้ามอะไรละก็เชื่อเขาไว้เถอะ ไม่มีเสียหลายหรอก   พ่อจะบอกให้     อีกอย่างหนึ่ง   เมืองของเรานี่นะเป็นเมืองโบราณ   สมัยที่พม่าเข้าตีจนกรุงแตกน่ะ   ศพทับถมกันเต็มเมืองเทียวนะ   เล่าว่าทั้งพม่าทั้งไทย ต่างก็กำลังกระหายเลือดอยู่ด้วยกันทั้งนั้น   เฮอ!   พูดไปพวกเอ็งก็จะกลัวกัน   บางคนเขาเรียกกันว่าเมืองผีดุด้วยซ้ำ”

“เมืองเรานี่หรือจ๊ะ พ่อ เมืองผีดุ”   ชื่นหัวเราะ รู้สึกขันเต็มประดา   “ตั้งแต่เกิดมาฉันวิ่งซ่อกๆ ไปทั้งกลางวันกลางคืนยังไม่เคยพบผีสักที”

“นังคนอวดดี”   แม่ตวาดแว้ดออกมาจากวง   “อวดดีไปเถอะจะเจอดีสักวันหนึ่ง”

“แกยังไม่เคราะห์ร้ายถึงขีดน่ะซี”   พ่อบอก   “หรือไม่ก็ยังไม่ได้ทำผิดลบหลู่ดูหมิ่นอะไรเข้า   แต่แกก็ควรเลิกไปไหนต่อไหนเวลาค่ำคืนได้แล้ว   อย่าลืมเจ้ากลั่น   ผีดุไม่น่ากลัว   แต่คนดุนี่จะวางใจไม่ได้ทีเดียว”

“พ่อจ๋า   แล้วพ่อเคยเห็นเขาประหารชีวิตคนไหมจ๊ะ”   ชมจับเข่าบิดาเขย่ากระซิกกระเซ้าถามด้วยยังติดใจในเรื่องเก่าที่คุยค้างอยู่นั้น ทั้งๆ ที่หวาดเสียวอยู่เต็มประดา   “ป้าผินแกเล่าให้ฟังว่าพอเขาตัดหัวขาดแล้ว หัวยังแลบลิ้นอยู่แผล็บๆ จริงไหมจ๊ะพ่อ”

“ยังไงก็ไม่รู้ พ่อไม่เคยเห็นหรอก นังหนู   พ่อเคยแต่ว่า.....”

“เคยอะไรจ๊ะพ่อ”   ชมเขยิบเข้าไปอีกตาเบิกโตอย่างสนใจ

“เมื่อพ่อยังบวชเป็นพระ ก่อนที่จะสึกออกมาแต่งงานกับแม่ของแก”   พ่อเล่า   “พ่อเคยฝึกหัดนั่งทางในอย่างที่เขาเรียกว่า นั่งวิปัสสนา   ตอนนั้นพ่อมีศรัทธาแก่กล้ามาก   จะทำให้สำเร็จให้ได้ จึงเที่ยวไปแสวงหาที่สงบสงัดนั่งฝึกจิต   วันหนึ่ง พ่อเลือกได้วัดร้างแห่งหนึ่ง จึงเข้านั่งกรรมฐานมุ่งกระทำวิปัสสนา   พ่อนั่งอยู่นานสักเท่าใดบอกไม่ถูก   รู้สึกว่าคล้ายจะเคลิ้มๆ ไปก็พอดีเห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินช้าๆ มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของพ่อ   ผู้หญิงคนนั้นมีผมสยายยาวนุ่งผ้าพื้นและห่มผ้าแถบ   หล่อนยืนมองดูพ่อนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่ง   แล้วทันใดนั้น หัวของหล่อนก็หลุดออกจากตัวหล่นลงบนพื้นดิน   มือและเท้าของหล่อนหลุดออกจากแขนและขา   ร่างของหล่อนล้มลงบนพื้นดิน   อกแดงฉานเพราะรอยผ่าเป็นช่องที่ทรวงอก   แล้วก็หายวับไปหมด”

“โฮ้ย น่ากลัวจริง”   ชมกอดเข่าทำตัวซีดตัวสั่น “แล้วพ่อ.. พ่อไม่เป็นยังไงมั่งหรือจ๊ะ”

“ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาพ่อก็เลิกเพียรที่จะนั่งกรรมฐาน   รู้ตัวเสียแล้วว่าบุญเรามีไม่ถึง”   พ่อบอก

“วัดไหนจ๊ะ ที่พ่อเห็นผู้หญิงคนนั้น”

พ่อนิ่งไปครู่หนึ่งอย่างไม่เต็มใจก่อนจะตอบว่า   “ที่วัดเดิมใกล้บ้านเรานี่เอง”

“ต๊าย ตาย ที่วัดเดิมนี่เองน่ะหรือจ๊ะพ่อ”   ชื่นร้องอย่างแปลกใจ   “แหม ใครกันนะอยากรู้จริง”

“พ่อมารู้ทีหลังจากผู้หลักผู้ใหญ่ว่าที่วัดร้างนี้เคยถูกใช้เป็นที่ประหารชีวิตของพระสนมคนหนึ่งที่ล่วงละเมิดกฎมณเฑียรบาลเรื่องคบชู้   พระสนมผู้นั้นพร้อมด้วยชายชู้ถูกล่ามโซ่ใส่ชื่อคาพาตระเวนประจานไปทั่วเมือง   แล้วจึงนำมาตัดศีรษะ ผ่าอกและตัดมือตัดเท้าที่วัดร้างนั้น   แต่อะไรก็ตาม   ที่พ่อเห็นชัดเจนและจำติดหูติดตามาจนบัดนี้ก็คือดอกไม้ที่ผู้หญิงคนนั้นทัดหูอยู่ทั้งสองข้าง   ดอกชบาแดงนี่เอง   พ่อจำได้ไม่มีลืมเลือนเลย”

“คราวนี้หนูเห็นจะไม่กล้าเฉียดเข้าไปใกล้วัดเดิมนี่อีกละ”   ชมว่า   “เมื่อก่อนนี้หนูไม่รู้ยังเคยชวนเพื่อนเล่นซ่อนหากันที่นั่นบ่อยๆ  เจ้าประคุ้น”   เด็กหญิงยกมือขึ้นพนมท่วมศีรษะ   “ที่หนูเอาดอกชบามาทัดหูเล่นนี่ขออย่าให้หนูเป็นอะไรไปเลย   หนูทำไปเพราะไม่รู้เรื่องเลยจริงๆ   คุณพระคุณเจ้าช่วยด้วยเถิดเจ้าข้า”

ชื่นหัวเราะ   “พุทโธ่ ที่วัดเดิมนี่เอง   คุณบันเทิงเคยเดินผ่านกลับไปที่พักบ่อยๆ ไม่เคยพบอะไรบ้างหรือยังไงนะ”

คำพูดประโยคนั้นสะดุดหูหญิงสาวอีกคนหนึ่งซึ่งนั่งฟังอยู่เงียบๆ เข้าอย่างจัง   มือที่จับมีดหั่นลงบนชิ้นไก่เฉือนออกเป็นชิ้นเล็กๆ อย่างรวดเร็วคล่องแคล่วนั้นหยุดชะงัก   ตาของหล่อนเหลือบดูผู้คนแวบหนึ่งแล้วตกลงมาจับอยู่ที่ดอกชบา ซึ่งเด็กหญิงโยนเปะปะอย่างไม่ตั้งใจมาตกอยู่ข้างกายของหล่อน   ริมฝีปากของหล่อนเม้มเข้าหากัน   และดวงตาก็เต็มไปด้วยแววครุ่นคิด

คืนนั้น กว่าแขกจะพากันแยกย้ายกลับไปจนหมดก็ร่วมห้าทุ่ม   บันเทิง หนุ่มแปลกหน้าจากกรุงเทพฯ กลับเป็นคนสุดท้าย   ขณะที่กำลังขัดดานประตูหลังจากที่เดินออกไปส่งเขาแล้ว ชื่นก็ได้ยินเสียงๆ หนึ่งกระซิบเรียกชื่อหล่อนอยู่ที่ข้างรั้วอย่างร้อนรนว่า

“พี่ชื่น พี่ชื่น”

“ใครมาเรียกฉันอยู่นั่นแน่ะ”

“ฉันเองพี่ชื่น   มน มนจ้ะ”

“อ๋อ มนรึ”   ชื่นว่าพลางเดินไปชิดรั้วตรงที่เสียงนั้นมาเรียกอยู่   มนคือเด็กหนุ่มคนที่มาช่วยตำน้ำพริกและขูดมะพร้าวอยู่เมื่อตอนเย็นนี้

“มีธุระอะไรหรือมน   ไปไหนมาน่ะค่ำมืดดึกดื่นป่านนี้แล้ว”

“ไปที่ตลาดมาน่ะซี พี่ชื่น   นี่แน่ะ ฉันจะบอกอะไรให้   พี่ชื่นอย่าไปไหนคนเดียวค่ำๆ มืดๆ นะพี่ชื่น   ฉันได้ยินพี่กลั่นกับพวกเขาพูดกันว่าจะฉุดพี่ชื่นแน่ะ  เขาโกรธที่พี่ชื่นไปตบหน้าเขาที่ร้านเจ็กตง ฉันเลยรีบมาบอกพี่ชื่นให้รู้ตัวไว้”

“ให้มันมาฉุดหน่อยเถอะน่า”   ชื่นว่า   “ขอบใจนะมนที่มาบอก   ดีแล้ว   รู้เสียยังงี้พี่จะได้ระวังตัว”

เมื่อบันเทิงมาที่บ้านของชื่นอีกในเย็นวันรุ่งขึ้นนั้น เขามิได้พบชื่น   พ่อของหล่อนบอกว่า

“มันเข้าไปที่ตลาดในเมืองครับ   เต็มทีลูกสาวผมคนนี้มันแก่นสิ้นดี   ใครเขาเตือนให้ระวังตัวมันก็ไม่เชื่อเสียเลย”

หนุ่มกรุงเทพฯ นั่งคุยอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยถามขึ้นว่า   “เออ ลุงครับ  ตรงวัดร้างทางที่จะมาบ้านลุงนี่มีบ้านใครอยู่ข้างหลังบ้างหรือเปล่า”

“เอ ไม่เห็นมีใครนี่คุณ   ทำไมหรือครับ”

“เปล่าครับ   เป็นแต่เมื่อคืนนี้ตอนขากลับผมพบผู้หญิงคนหนึ่ง”

“ผู้หญิง”   เจ้าของบ้านอุทานอย่างแปลกใจ   “ผู้หญิงที่ไหนจะอุตริไปเดินอยู่แถวนั้นดึกๆ ดื่นๆ กันคุณ   แต่งตัวยังไงผู้หญิงที่คุณเห็นน่ะ”

“นุ่งผ้าโจงกระเบนครับ   แล้วก็ห่มผ้าหรือสะไบนี่แหละ   ผมยังหยุดพูดกับหล่อนเลย”

“ฮึ้ย เอาแล้ว”   ชมซึ่งนั่งฟังอยู่ห่างๆ ร้องแล้วเผ่นเข้าห้อง นั่งพับเพียบพนมมือสวดมนตร์เป็นการใหญ่

“หน้าตามันเป็นยังไงคุณ   ผู้หญิงที่คุณพบน่ะ”   เด็กหญิงได้ยินบิดาของตนซักผู้เป็นแขกต่อไป หล่อนก็ตะแคงหูฟัง   ทั้งกลัวและทั้งอยากรู้ระคนกัน

“ผมเห็นไม่ถนัดหรอกครับ” เป็นคำตอบ   “แสงเดือนเมื่อคืนไม่สว่างพอ   แต่หล่อนก็ไม่น่ากลัวอะไรนัก   มีคนเขาบอกกับผมว่าตรงนั้นผีดุหรือครับ ลุง”

ชมไม่ได้ยินพ่อของหล่อนตอบว่ากระไร   หล่อนได้ยินหนุ่มกรุงเทพฯ พูดต่อไปว่า   “แต่ผีหรือคนผมก็ไม่กลัวทั้งนั้นละครับ   ผมกำลังคิดอยู่ว่าเมื่อคืนนี้ตาของผมฝาดไป หรือสติฟั่นเฝื่อนเพราะดื่มเหล้ามากเกินไป หรือเป็นเพราะอะไรกันแน่   ผมจะต้องลองพิสูจน์ดูในคืนนี้อีกที”

“แล้ว คุณ คุณจะทำยังไงถ้าพบเข้าอีกที คืนนี้”   ชมได้ยินเสียงบิดาของหล่อนกระซิบกระซาบถาม   และเด็กหญิงก็ค่อยฟังอย่างใจด้วยความอยากรู้   แต่ก็น่าเจ็บใจเหลือเกินที่เขานั้นตอบพ่อว่ากระไรหล่อนไม่ยักได้ยิน   ได้ยินแต่เสียงพ่อของหล่อนหัวเราะลั่นอย่างชอบอกชอบใจ   ร้องว่า

“ฮ่า ฮ่า   สำคัญนักนะ คุณน่ะ”

แต่แล้ว ในเช้าวันรุ่งขึ้นนั้นเอง   ทั่วทั้งเมืองก็สะท้านสะเทือนไปด้วยข่าวฆาตกรรม อันเลวร้ายทารุณเป็นประวัติการณ์ เมื่อมีผู้ไปพบหญิงสาวผู้หนึ่งนอนสิ้นชีวิตอยู่กลางทุ่งนาไกลจากตัวเมืองและหมู่บ้านออกไป   หญิงนั้นอยู่ในสภาพที่หวาดเสียวสยดสยองและควรแก่ควาสสมเพชเวทนายิ่งนัก   ร่างของหล่อนอยู่ในสภาพกึ่งเปลือย   ผ้าโจงกระเบนที่นุ่งอยู่หลุดลุ่ย   แถบที่ห่มอยู่ก็หลุดออกจากตัวไปพาดอยู่กับไม้ล้มลุกแถวนั้น ถูกฉีกออกเป็นริ้ว   ตามเนื้อตามตัวหล่อนก็มีรอยขูดขีดฟกซ้ำดำเขียวไปเกือบทั้งร่าง   แต่ที่น่าสยดสยองยิ่งนักก็คือที่คอของหล่อนมีรอยถูกฟันอย่างแรงจนศีรษะเกือบจะหลุดออกจากร่าง   ทั้งมือและเท้าของหล่อนนั้นเล่า ก็ถูกฟันหลุดกระเด็นจากตัว   ที่ทรวงอกมีรอยถูกของมีคมฟาดฟันลงอย่างหนักเป็นช่องลึก เห็นชัดได้ว่าเป็นการฆาตกรรมที่กระทำลงอย่างโหดร้ายและด้วยใจอาฆาตพยาบาทอย่างยิ่งยวด   ขวานคมกริบอาบเลือดโชก   อาวุธสังหารเป็นสิ่งเดียวเท่านั้นที่คนร้ายทิ้งไว้ให้เป็นปริศนา

ชายคนหนึ่งแหวกคนที่มุงล้อมดูศพจนแน่นขนัดออกมาข้างนอก   ในเวลาเดียวกันกับหญิงชายอีกคู่หนึ่งกำลังจะกันคนแหวกทางเข้าไปยังศพที่มีวงเชือกกั้นและมีเจ้าหน้าที่เฝ้าอยู่นั้น   ทั้งคู่ประจันหน้ากันตรงริมกลุ่มคนพอดี

พอเห็นชายหญิงทั้งคู่ถนัด   ชายที่แหวกคนออกมานั้นมีอาการคล้ายจะสะดุ้งผวาขึ้นทั้งตัว   ใบหน้าซีดขาว และดวงตาเหลือกลานราวกับได้พบสิ่งที่ก่อให้บังเกิดความตระหนกถึงขีดสุด

“แก... แกเรอะ นังชื่น”   คำพูดที่หลุดออกมาจากปากเขาโดยไม่ตั้งใจนั้นฟังเกือบไม่เป็นภาษาคน   แม่สาวที่ถูกทักสะบัดหน้าขวับอย่างเกลียดชัง   กระชากเสียงตอบว่า

“ก็ฉันน่ะซี คิดว่าปีศาจเรอะ   รีบแหวกคนเข้าไปเถอะค่ะ คุณบังเทิง”   หล่อนหันไปพูดกับชายหนุ่มที่มาด้วย   “ถ้าคุณอยากจะให้ฉันดูศพแม่คนที่ถูกฆ่าละก็เร็วๆ เข้าเถอะค่ะ   แล้วฉันจะได้กลับบ้าน   ที่นี่ตัวเหาตัวเห็บมันเยอะแยะนัก”

“เดี๋ยวก่อนน่า ชื่น”   หนุ่มกรุงเทพฯ ว่า   รั้งศอกหล่อนไว้มือหนึ่ง   ส่วนดวงตาก็จับจ้องมองหน้าชายอีกคนหนึ่งนั้นไม่วาง   “เธอสองคนนี่รู้จักกันดีเรอะ”

“ไหนคะ ... อ๋อ พ่อคนนี้น่ะ ทำไม้คะจะไม่รู้จัก”   หล่อนทำเสียงแหลมอย่างเจตนาจะกระทบกระแทก   “ใครๆ ก็ต้องรู้จักท่านกลั่นผู้ยิ่งใหญ่ประจำเมืองทั้งนั้นแหละค่ะ   อ้อ คุณบันเทิงคะ   ในฐานะคุณเป็นนายตำรวจมาจากกรุงเทพฯ ดิฉันขอร้องเรียนให้คุณทราบเอาไว้ด้วยนะคะว่านายกลั่นคนนี้เขาเคยกล่าวคำอาฆาตมาดร้ายดิฉันไว้ต่อหน้าชุมนุมชน”

ดวงหน้าของกลั่นขาวซีดลงตั้งแต่คำว่า “ตำรวจ” ออกมาจากปากของหญิงสาว   เขามองดูหน้าหล่อนทีหนึ่ง   หน้านายตำรวจทีหนึ่ง   แล้วก็ขยับจะก้าวหลีกไป   แต่นายตำรวจเอื้อมมือออกไปจับแขนไว้เสียก่อน   พูดยิ้มๆ และดวงตาเป็นประกายกล้าคมกริบ

“เดี๋ยวก่อนซิ นายกลั่น   จะรีบไปข้างไหนนะ   คุยกันอีกสักประเดี๋ยวเถอะน่า”

กลั่นอึกอัก   “ผมไม่มีเรื่องอะไรจะคุยหรอก”   เขาว่าพลางล้วงกระเป๋ากางเกงเอาผ้าเช็ดหน้าออกมา หมายจะใช้เช็ดเหงื่อเม็ดที่ผุดออกมาเต็มหน้าเต็มตา   ทันใดนั้นสิ่งหนึ่งก็หลุดร่วงจากผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นลงสู่พื้นระหว่างเท้าของคนทั้งสามซึ่งก้มลงมองดูกัน   มันคือ ชบาแดง ดอกหนึ่งซึ่งมีกลีบอันยับเยินสิ้นแล้ว.!

นายตำรวจก้มลง ใช้นิ้วสองนิ้วคีบก้านของมันขึ้นมาอย่างระมัดระวัง   มือที่ยึดแขนกลั่นไว้กระชับแน่น   เขาออกคำสั่งแก่หญิงสาวว่า

“เธอช่วยเรียกตำรวจมาให้สักสองคนเถอะ   ชื่นบอกเขาว่าให้มาช่วยคุมตัวคนร้ายไปโรงพัก”

เมื่อรู้ข่าวที่กลั่นยอมรับคำสารภาพว่าเขาเองเป็นฆาตกรใจเหี้ยมคนนั้น ชื่นถึงกับปรารภออกมาดังๆ ต่อหน้าบิดาและบันเทิงซึ่งนำข่าวมาบอกว่า

“จริงๆ นะ ฉันไม่เข้าใจเลยว่าเจ้ากลั่นมันจะไปทำสาลี่มันทำไม   ร้อยวันพันปีไม่เห็นสาลี่มันจะเที่ยวไปสุงสิงหาเรื่องกับใคร   จะว่ามันจงใจทำฉัน แต่ทำผิดตัวก็แปลก   ก็สาลี่มันเคยออกจากบ้านค่ำๆ มืดๆ คนเดียวอย่างฉันเสียที่ไหน”

ทั้งพ่อและชายหนุ่มไม่มีใครตอบโต้คำพูดของหล่อน   ชื่นจึงหันไปทางนายตำรวจซึ่งนั่งอมยิ้มอยู่   ระบายความฉงนสนเท่ห์ของหล่อนต่อไปอีกว่า

“ทำไมเพียงแต่เห็นดอกชบาเท่านั้นคุณก็รู้ว่าเจ้ากลั่นเป็นคนฆ่าสาลี่เล่าค่ะ   ดอกชบามันไม่เกี่ยวอะไรด้วย   แล้วก็ทำไมมันถึงเข้าไปอยู่ในกระเป๋ากางเกงของเจ้ากลั่นได้”

คราวนี้นายตำรวจนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง   แล้วเขาจึงพูดขึ้นช้าๆ อย่างใช้ความคิดว่า

“นั่นซี   นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ฉันคิดไม่ออกว่าเจ้าชบาแดงดอกนั้นมันเข้าไปอยู่ในกระเป๋ากางเกงเจ้ากลั่นได้ยังไง”


........ลงพิมพ์ในนิตยสารศรีสัปดาห์ ฉบับที่ 452 ปีพ.ศ.2503