สุภาว์ ราชินีเรื่องสั้น | |
7 | ทายาทของยายพลอย |
15 | พรานติดแร้ว |
16 | วจีกรรม |
22 | กรรม |
28 | ในฝัน |
29 | แท้กซี่ |
30 | ยายบัว |
31 | ระหว่างกากับหงส์ |
34 | กรรมของสัตว์ |
35 | ชบาแดง |
36 | แดงเพลิง |
38 | เรื่องรักๆ |
39 | เคียงขวัญ |
40 | ผู้พิทักษ์ |
41 | ห้องดำ |
42 | เมืองคนโม้ |
43 | พระเอกของธารี |
44 | เพราะฉันรักเธอ |
45 | กำไล |
50 | กรรมใดใครก่อ |
หน้าที่
1/3 |
เป็นไปได้เทียวหรือ ที่คนเราจะสามารถผูกคอตายได้แม้แต่กับหมอนที่ใช้หนุนนอนเพียงใบเดียว?
ข้อความข้างบนนี้ ข้าพเจ้าสรุปมาจากปัญหาที่ได้ยินเด็กสาวสองคนถกเถียงกันบนรถราง หลังจากที่ได้นั่งฟังอยู่นานพอสมควร ก็พอจะจับเรื่องได้เป็นเค้าๆ ว่า คนใดคนหนึ่งในระหว่างเด็กสาวคู่นั้น ได้อ่านนวนิยายซึ่งกล่าวถึงหญิงสาวผู้พลาดรัก และในที่สุดได้มีคนไปพบหล่อนกระทำอัตวินิบาตกรรมในลักษณะประหลาด กล่าวคือหล่อนผูกคอตายกับหมอนที่หนุนนอนอยู่นั้น
อย่างไรก็ตาม ด้วยลักษณะอาการอันประหลาดเช่นนี้แล้ว ที่ข้าพเจ้าได้ประสบพบมาด้วยตนเองในเวลาอันล่วงไปแล้วมิช้ามินานนัก
ข้าพเจ้ายังจำเช้าอันน่าตระหนกนั้นได้ดี ข้าพเจ้าตื่นขึ้นภายในโรงแรมเล็กๆ นอกจังหวัดพระนคร ด้วยเสียงฝีเท้าอันสับสน เสียงโจษจันอย่างไม่เกรงอกเกรงใจใครซึ่งแฝงไว้ด้วยความตื่นเต้น ทำให้ข้าพเจ้าอดมิได้ที่จะเปิดประตูโผล่หน้าออกไปดู ว่าเขายกกองขึ้นมาทำอะไรกันบนโรงแรมซึ่งมีขนาดเพียงหกห้องนี้ ก็ได้เห็นผู้คนมีจำนวนไม่น้อยกว่าสิบ กำลังจับกลุ่มมุงกันอยู่หน้าประตูห้องริมสุด หันหน้าเข้าปรึกษาหรือแสดงความคิดเห็นอะไรอย่างหนึ่งต่อกันและกันอย่างเอาจริงเอาจัง สองหรือสามคนกำลังป้วนเปี้ยนอยู่ประตูห้องซึ่งยังปิดอยู่ คนหนึ่งก้มลงมองทางรูกุญแจ และอีกคนทำท่าดันคล้ายจะเปิดเข้าไป ขณะที่ข้าพเจ้ายังงุนงงอยู่นั้น เจ้าเด็กหนุ่มรุ่นคนรับใช้ประจำโรงแรมก็ผ่านมาให้ข้าพเจ้าได้จับตัวไว้ซักไซ้ได้ความว่า
“แม่ค้ามาจากกรุงเทพฯ ครับ แกสั่งไว้ว่าให้ปลุกแต่เช้าจะรีบไปพบกับใครที่ระยองก็ไม่ทราบ แต่นี่ผมขึ้นมาปลุกถึงสามครั้งแล้ว แกยังคงเงียบอึดอยู่ น้าเหลี่ยมเขาเลยคิดว่าท่าจะมีเรื่องมิดีมิร้ายเกิดขึ้นกับแกเสียแล้ว” เจ้าเด็กนั่นเล่าอย่างไม่สู้ตกอกตกใจอะไรนัก เป็นแต่ตื่นเต้นหน่อยๆ แล้วก็ดูจะสนุกนิด ๆ ด้วยซ้ำ แถมยังยิ้มยิงฟันขาวเมื่อพูดต่อไปว่า “นี่น้าเหลี่ยมเขาไปบอกตำรวจแล้วครับ ขออนุญาตพังประตูเข้าไปดู”
ข้าพเจ้ามองดูนาฬิกาข้อมือซึ่งผูกติดตัวอยู่ตลอดเวลาพลางขมวดคิ้ว เพิ่งจะเก้านาฬิกาเท่านั้น ก็ยังไม่สายเกินไปนักที่จะทำให้เกิดการสงสัยกันขึ้น ถึงข้าพเจ้าเองก็เพิ่งตื่นเหมือนกัน แต่เหตุใดผู้คนเหล่านั้นจึงไม่มามุงดูที่หน้าห้องพักของข้าพเจ้าบ้างเล่า ต่อความฉงนสนเท่ห์ข้อนี้ของข้าพเจ้า เด็กรับใช้มีคำอธิบายให้ว่า
“ถ้าเป็นห้องอื่นเขาก็ไม่พากันติดอกติดใจสงสัยอะไรหรอกครับ นี่เผอิญเป็นห้องดำเสียด้วย น้าเหลี่ยมแกบ่นมาตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว”
“ห้องดำ ?” ข้าพเจ้าทวนคำ แต่ยังไม่ทันจะซักไซ้ต่อไปให้ได้ความกระจ่างแจ้ง เด็กนั่นก็เดินไปทางบันไดเสียแล้ว ข้าพเจ้าจึงจำเป็นต้องระงับความอยากรู้ไว้เพียงนั้น ประเดี๋ยวตำรวจจะมา เห็นจะต้องมีการซักถามปากคำอะไรกันบ้างตามธรรมเนียมเป็นแน่ เห็นทีจะต้องแต่งเนื้อแต่งตัวเสียให้เรียบร้อยสะอาดสะอ้านแก่การมองหน่อยท่าจะดี
ตำรวจมาถึงขณะที่ข้าพเจ้ายังอยู่ในห้องน้ำ มีเสียงเดินย่ำหนักๆ ผ่านที่หน้าห้องไป แล้วอีกสักครู่หนึ่งต่อมาก็มีเสียงดังโครมๆ ซึ่งคงจะเกิดจากการพังประตู โรงแรมซึ่งสร้างด้วยไม้ ไหวสะท้านสั่นเยือกไปทั้งหลัง คล้ายกับจะโค่น ลงไปกองอยู่กับดิน ข้าพเจ้ารีบตักน้ำรดๆ ตัว ล้างคราบสบู่ให้หมด แล้วฉวยผ้าเช็ดตัวคลุม เปิดประตูกลับมาห้อง ระยะทางเพียงสามสี่ก้าวที่เดินจากห้องน้ำมายังห้องพักนั้น ข้าพเจ้าได้เห็นว่าประตูห้องริมสุดนั้นได้เปิดออกแล้ว ฝูงคนที่ยืนมุงอยู่ข้างนอกได้กรูกันเข้าไปในห้องนั้น
ข้าพเจ้ารีบแต่งตัวอย่างรวดเร็วจนมือไม้สั่น เมื่อเปิดประตูห้องออกไปอีกครั้งหนึ่ง เจ้าเด็กรับใช้คนเดิมก็เดินผ่านมาพอดี แต่คราวนี้ กิริยาท่าทางที่ดูตื่นเต้นสนุกสนาน หมดสิ้นไปแล้ว เจ้าหนูนั่นมีใบหน้าอันซีดขาวคล้ายคนจะเป็นลม
“ตายแล้ว” เขาบอกกับข้าพเจ้าเสียงกระซิบสั่นระรัวฟังแทบไม่เป็นภาษา “ผูกคอตาย... ผมไม่เคยเห็นศพที่น่าเกลียดน่ากลัวอย่างนี้มาก่อนเลย” แล้วก็ยกมือขึ้นกุมคอ รีบเดินรุดลงบันไดไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องเสียเวลาคิดหรือตัดสินใจ ข้าพเจ้าเดินตรงไปยังห้องที่เกิดเหตุนั้นทันที
มีผู้คนจับกลุ่มกันอยู่ที่หน้าห้องแน่นหนาขึ้น ข้าพเจ้าเบียดแทรกคนเหล่านี่เข้าไปที่ประตูแล้วก็ยื่นหน้าเข้าไปมองดู และก็ได้เห็น... คุณพระ! ไม่มีภาพอะไรที่จะน่าเกลียดน่ากลัวและชวนให้สยดสยองเท่ากับภาพที่ได้เห็นนั้นอีกแล้ว ผู้หญิงกลางคนรูปร่างเจ้าเนื้อคนหนึ่ง นอนหงายอลึ่งฉึ่งอยู่บนเตียงแคบๆ ขนาดสี่ฟุต ขาข้างหนึ่งห้อยลงมาข้างๆ ร่างกายปกคลุมด้วยโสร่งดอกใหญ่ เก่าๆ ตัวหนึ่ง กับเสื้อชั้นในคอกระเช้า แต่ที่น่าเกลียดน่ากลัวมากที่สุดก็คือใบหน้าที่บวมฉุเขียวคล้ำ แกมม่วง ดวงตาถลนและลิ้นที่จุกอยู่ระหว่างริมฝีปาก ที่ลำคอโดยรอบนั้นมีเข็มขัดนากรัดแน่นอยู่ ลายฉลุ อันสุกปลั่ง ของโลหะ กดประทับลึกลงไปในเนื้อซึ่งบวมเป่งจนแทบปริ เป็นสีม่วงเขียวคล้ำขึ้นมาตามรอยฉลุนั้น มือทั้งสองข้างของคนตายตะกุยและจิกผ้าปูที่นอนไว้แน่น ราวกับว่าก่อนจะตาย นางได้ประสบกับสิ่งอันน่าสยดสยอง และพยายามดิ้นรนต่อสู้จนสุดกำลังเช่นนั้น
สิ่งที่ทำให้ข้าพเจ้า บังเกิดความมหัศจรรย์ใจและฉงนสนเท่ห์ยิ่งนัก ก็คือปลายเข็มขัดนากเส้นนั้นมันมิได้ผูกยึดอยู่กับสิ่งใด นอกจากจะพาดพันอยู่กับหมอนที่คนตายให้หนุนนอนอยู่นั้นเฉยๆ นางฆ่าตัวตายเองหรือว่าใครเป็นคนฆ่า ถ้าถูกฆ่า..เจ้าคนร้ายจะหนีไปทางไหน ในเมื่อหน้าต่างก็มีลูกกรงเหล็กใส่ไว้แน่นหนาทุกบาน ทั้งประตูก็ใส่กลอนลงสลักเรียบร้อย ถ้าหากว่านางเกิดอยากฆ่าตัวตายเองเล่า จะเป็นไปได้เทียวหรือ ที่คนเราจะคิดฆ่าตัวตายโดย ผูกคอตนเองกับหมอนที่หนุนนอนอยู่พียงใบเดียว?
การสอบปากคำกินเวลาไม่ช้านัก จากการปิดประตูลงสลักอย่างเรียบร้อยของคนตาย ทำให้ผู้ที่มาพักรายอื่นๆ พ้นข่ายสงสัยไปได้ ขณะที่คอยให้ตำรวจติดต่อกับญาติของผู้ตายให้มารับศพไปนั้น เราก็ลงมาออกันอยู่ที่ชั้นล่าง ซึ่งเป็นภัตตาคารไปในตัว ข้าพเจ้าเลี่ยงไปหา “น้าเหลี่ยม” เจ้าของที่พักแรม ซึ่งนั่งเคร่งขรึมลูบหนวดอันดกครึ้มอยู่ที่เค้าเตอร์ ด้วยอยากจะซักไซ้ไล่เลียงให้ความสงสัยที่มีอยู่ในใจสว่างออกมาเสียที
“น้าเหลี่ยม” ยิ้มกับข้าพเจ้าเล็กน้อยตามอัธยาศัยที่เจ้าของโรงแรมพึงมีกับลูกค้า แล้วพูดอมๆ แบบคนมีหนวดทั้งหลายว่า “คุณคงตกใจไม่น้อยหรือไงครับ รายที่อยู่ห้องติดกันนั้นดูออกจะปอดลอยมาก พอให้ปากคำเจ้าหน้าที่เสร็จก็ขนของเปิดเลย”
“ก็ตกใจบ้างเหมือนกันแหละครับ” ข้าพเจ้าว่า “แกนึกยังไงของแกขึ้นมานะถึงได้ฆ่าตัวตายทุเรศยังงั้น แล้วนี่เกิดมีคนตายขึ้นมายังงี้ รายได้ของน้ามิตกแย่หรือครับ”
เจ้าของโรงแรมโคลงศรีษะไปมา บอกว่า
“ผมห้ามแล้วตั้งแต่เมื่อคืนนี้เทียวนา ว่าห้องเต็มหมด ให้ไปพักที่อื่นดีกว่า ที่นี่เหลือแต่ห้องดำห้องเดียว แกก็ไม่เชื่อ บอกยังไงๆ แกก็ไม่ยอมไป บอกว่าที่อื่นเป็นโรงแรมจีน แกไม่อยากอยู่ จะขออยู่ที่นี่ให้ได้ เมื่อแกยืนยันจะอยู่ที่นี่ให้ได้ท่าเดียว ผมก็เลยต้องยอมน่ะซี แล้วจริงอย่างที่ผมหวั่นไหมล่ะ” แกส่ายหัวแล้วส่ายหัวเล่า “ไม่ว่ารายไหนก็รายนั้นเป็นเสร็จทุกรายเลย เฮี้ยนชะมัด คุณรู้ไหมครับว่าตั้งแต่ผมรับเซ้งที่นี่ต่อจากเถ้าแกเจียมมาเกือบสิบปีแล้ว ผมปิดห้องดำตายเลย เคยเปิดสามครั้งก็เกิดเรื่องทั้งสามครั้ง”
“ห้องนั้นน่ะรึที่น้าเรียวกว่าห้องดำ”
“ครับ ไอ้ห้องระยำนั่นแหละ เปิดออกรับคนทีไรเป็นเกิดเรื่องทีนั้น คนเคราะห์ร้ายแหละครับ ที่จะดื้อดึงพักให้ได้ คนเคราะห์ดียังไม่ถึงที่ พอเราเตือนเขาก็เชื่อ สามครั้งเข้านี่แล้ว ตายอย่างเดียวกันเสียด้วยซี ผูกคอตายกับหมอน.! คุุณเห็นกับตาแล้วใช่ไหมล่ะครับ”
“น้าหมายความว่าคนที่เข้าไปพักในห้องนั้นน่ะ ต้องผูกคอตายกับหมอนทุกคนงั้นรึ”
“เท่าที่ผมอยู่มานี่ก็สามคนแล้ว” ชายกลางคนตอบพลางส่ายหน้า “ตายทุเรศเหมือนกันหมด หาเค้าเงื่อนไม่ได้เสียด้วย ตำรวจงี้งงงันเป็นถูกสะกดไปเลย เขาสางความลับไม่ออก ก็เลยเรียกมันว่าห้องดำยังไงล่ะคุณ”
“มันคงจะต้องมีอะไรสักอย่างหนึ่งเป็นแน่” ข้าพเจ้ารำพึง น้าเหลี่ยมมองดูข้าพเจ้า ถามว่า
“คุณคิดว่ามันจะมีอะไรเล่า”
“อาจเป็นอะไรสักอย่างหนึ่งที่เขาเรียกกันว่าอาถรรพณ์”
“โฮ้ย อาถรรพณ์อาแถนอะไร พูดให้มันยากไปเปล่าๆ คุณ” แกว่า “ที่นี่เขาว่ามันเป็นห้องผีสิงทั้งนั้นแหละ ในห้องดำนั่นแหละมันมีผีสิง คุณเชื่อเรื่องผีเรื่องสางไหมล่ะ”
“ผีอะไรครับ ผีใครกันล่ะที่สิงอยู่ในห้องนั้น”
“มันมีประวัติ” แกว่า “เด็กๆ รุ่นหลังๆ นี่มันเพิ่งโตกันขึ้นมา ไม่ค่อยมีใครรู้เรื่องดีหรอก เพราะเรื่องมันเกิดขึ้นในสมัยที่เถ้าแก่เจียมยังเป็นเจ้าของอยู่ ตั้งสิบห้าสิบหกปีมาแล้ว”
“ถ้างั้นน้าคงรู้ดี”
“รู้ซีคุณ ก็ผมมันคนถิ่นนี้ เกิดที่นี่โตที่นี่ มีลูกมีเมียก็ที่นี่ แล้วก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะตายที่นี่อีกเหมือนกัน อะไรๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อผมเกิดมาแล้วผมก็ต้องรู้ทั้งนั้นแหละ”
“งั้นน้าเล่าให้ผมฟังบ้างได้ไหมล่ะ ประวัติของห้องดำที่น้าว่ามันมีนั่นน่ะ”
“คุณอยากจะรู้ไปทำไม” แกย้อนถาม ข้าพเจ้าก็ตอบไปว่า
“ก็อยากจะรู้ไปตามประสาคนอยากรู้อยากเห็นอย่างนั้นแหละ ก็มีอย่างหรือ เกิดเรื่องลึกลับน่ากลัวยังงี้ แล้วน้ายังบอกว่ามันมีประวัติยอกย้อนเข้าไปอีก ผมก็อยากรู้น่ะซี น้าเล่นเล่าครึ่งๆ กลางๆ ยั้งงี้ ผมก็กลุ้มใจตายเลย”
ชายเจ้าของโรงแรมหัวเราะชอบใจ “คุณพูดตรงไปตรงมาดีผมชอบ” แกว่า “เอาเถอะเมื่ออยากรู้จริงๆ ผมก็จะเล่าให้ฟัง”
“เมื่อสิบห้าปีล่วงมาแล้ว ขณะนั้นเป็นเวลาที่เมืองไทยเรากำลังทำสงครามกับอังกฤษและอเมริกา เครื่องบินของข้าศึกมาทิ้งระเบิดโจมตีพระนครแทบไม่เว้นแต่ละวัน ทำให้ผู้คนพลเมืองเกิดความหวาดกลัวระส่ำระสาย ต้องรีบหาทางอพยพออกจากพระนครกันเป็นการใหญ่ โรงร่ำโรงเรียนต้องพากันปิดเป็นแถวๆ ที่จังหวัดของเรานี้ แม้ว่าจะอยู่ไม่ไกลจากพระนครเท่าใดนัก แต่ก็ยังมีคนอพยพมาอยู่กันไม่น้อย ในตอนนั้นเถ้าแกเจียมยังเป็นเจ้าของดำเนินกิจการงานในโรงแรมนี้อยู่ ผมเป็นเพียงแต่ลูกค้ามานั่งกินเหล้าและอ่านหนังสือพิมพ์ รับฟังข่าวคราวจากรุงเทพฯ ที่นี่เป็นประจำเท่านั้น
ในสมัยนั้น ยังไม่มีการปราบอันธพาลกันอย่างเอาจริงเอาจังเหมือนในสมัยนี้ “ระบบคุ้มกัน” ซึ่งพวกนักเลงโตประจำถิ่นยึดเอาเป็นอาชีพ โดยบังคับแกมเรียกร้องค่าจ้างคุ้มกันเอาจากเจ้าของห้างร้านต่างๆ ระบาดไปทั่ว แม้กระทั่งที่นี่ก็เช่นเดียวกัน ในตอนนั้น เจ้าสุขตั้งตัวเป็นเจ้าที่เจ้าทางของถิ่นนี้ ทุกๆ คนที่เป็นเจ้าของร้านรวงต้องยอมซูฮกให้มัน แม้แต่เถ้าแกเจียม ถึงแม้บางทีมันจะเบ่งผิดกาลเทศะไปบ้าง ก็ต้องทำเป็นตาไม่ดูหูไม่ฟังเสีย ทุกคนรู้ดีว่า การทำให้เจ้าสุขขัดใจนั้น มีความหมายร้ายกาจเช่นไร มันอาจจะหมายถึงการถูกลอบทำร้ายเบื้่องหลัง หรืออย่างเบาะๆ ก็บ้านช่องถูกไฟเผาพลาญเป็นจุณไป ลูกเมียไม่มีที่อยู่ต้องร้องไห้กันกระจองอแง ซึ่งเถ้าแกเจียมก็เช่นเดียวกัน
บ้านเมืองคึกคักขึ้น ร้านรวงก็มีคนปลูกเพิ่มขึ้น ขายของแก่พวกที่อพยพมาจากกรุงเทพฯ และพร้อมกันนั้น พวกผู้หญิงโสเภณีซึ่งแต่ก่อนเคยสลบซบเซาก็พลอยคึกคักมีชีวิตชีวาขึ้นกับเขาด้วยบ้างเหมือนกัน ตกค่ำลงก็อาบน้ำแต่งตัวผัดหน้าขาววอกมาเดินกรายไปกรายมาอยู่ตามโรงแรม ที่นี่ก็หยอกเมื่อไหร่ละครับ เต็มไปหมด เจ้าสุขมาทีไรก็มาเบ่งขอขึ้นห้องฟรีซะเรื่อย เถ้าแก่เจียมแกก็ไม่กล้าว่าอะไร ขอแต่อย่าให้ทำเข้าของของแกแตกฉิบหายเป็นใช้ได้ เรื่องผู้หญิงหากินแกก็ไม่ถือ ขอแต่ให้ได้เงินเท่านั้นเป็นพอ แต่ผมไม่ได้นะครับ เดี๋ยวนี้ผมห้ามไม่ให้ผู้หญิงพวกนั้นขึ้นโรงแรมของผมเด็ดขาด
มาวันหนึ่ง ขณะที่ผมมานั่งซดโอยัวะรอบเช้า อ่านหนังสือพิมพ์ไปพลางอยู่นั้น ที่โรงแรมนี้ก็ได้ต้อนรับแขกแปลกหน้าคู่หนึ่ง เป็นหญิงชายชาวกรุงเทพฯ ทั้งคู่มีกระเป๋ามาด้วยใบเขื่อง ขณะที่เขากำลังถามหาห้องเช่าจากเถ้าแกเจียม ผมก็มองดูผู้หญิงคนนั้น หล่อนมีรูปร่างแน่งน้อย แบบบางขาวสะอาดและหน้าตาตื่นๆ แต่น่ารักเอาการทีเดียว พลันความคิดของผมก็แล่นไปถึงเจ้าสุข ถ้ามันมาพบผู้หญิงคนนี้เข้าที่นี่..!? คุณพระ ผมไม่กล้าคิดต่อไปอีก หล่อนเป็นผู้หญิงดีๆ ไม่น่าจะมาพักในที่เช่นนี้เลย”
“มีเหลืออยู่ห้องเลียวพอลี” เสียงเถ้าแกเจียมว่า “ห้องเบอร์สามลิมสุด อาตี๋โอ๋ย มายกกิเป๋าพาคุงสองคงนี่ไปที”
คนทั้งคู่หายเงียบขึ้นไปบนห้องพักใหญ่ ก็ลงมาแล้วนั่งลงที่โต๊ะอาหารใกล้โต๊ะที่ผมนั่งอยู่ ผู้ชายร้องสั่งชาร้อนและข้าวผัดสองที่ แล้วก็หันมายิ้มกับผมอย่างจะผูกไมตรีด้วย พลางพูดว่า
“ที่นี่กลางคืนคงไม่เหงาเท่าไหร่นะครับน้า”
ความจริงตอนนั้นผมเพิ่งจะอายุสี่สิบเท่านั้น ยังไม่แก่ถึงขนาดที่คนโตๆ จะมาเรียกผมว่าน้าเลย แต่ทว่าไอ้หนวดที่ผมไว้นั่นคงจะทำให้ดูแก่ไปพอแรง แล้วจะว่าไป พ่อนั่นท่าทางแกก็ดูยังเด็กอยู่มาก คงจะเพิ่งพ้นยี่สิบไม่กี่ปีนัก ถ้าผมมีพี่สาวและพี่สาวผมมีลูกก็คงจะโตขนาดนี้เหมือนกัน
“ขอโทษ คุณมาจากกรุงเทพฯ รึครับ” ผมถาม
“ครับ” ผู้ชายตอบ ผู้หญิงยิ้มอ่อนๆ ท่าทางซื่อๆ และอ่อนโยน ดูเป็นเด็กดีทั้งคู่ แต่ผู้หญิงมีท่าหวาดๆ ขวัญไม่ค่อยจะอยู่กับตัวนัก “เราจะมาพักอยู่ที่นี่ชั่วคราว... ภรรยาผม...” เขาหันไปมองดูหญิงสาว ดวงตาแสดงความรักใคร่ห่วงใยอย่างล้นพ้น “เขากลัวเครื่องบินมาก บ้านของเราอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ด้วยครับ ลูกระเบิดหล่นลงใกล้ๆ บ้านเราสองครั้งแล้ว มันทำให้เรานอนหลับไม่สนิทสักคืนเดียว ยิ่งเดือนหงายๆ อย่างนี้ด้วยยิ่งแล้วใหญ่”
“ผมไม่ชอบให้คุณมาพักโรงแรมอย่างนี้เลย ผ่าซี” ผมบอกเขาออกไปตามตรง เขามองดูผมอย่างฉงนสนเท่ห์
“ทำไมรึครับ น้า ที่โรงแรมนี้มีอะไรที่... ที่ไม่เหมาะสำหรับเราจะพักหรือครับ”
“ไม่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคุณผู้หญิงจะมาพัก” พอผมพูดเช่นนี้ หน้าของหญิงสาวก็ซีดลงในฉับพลัน หล่อนมองดูสามีอย่างจะขอความเห็นแล้วหันมาพูดกับผมว่า
“แต่ที่อื่นก็ไม่มีห้องเหลือแล้วค่ะ นอกจากที่นี่ และดิฉันก็คิดว่าจะทนนอนที่กรุงเทพฯต่อไปอีกแม้แต่คืนเดียวก็ไม่ไหว เสียงหวูดสัญญาณภัยทางอากาศทำให้ดิฉันหวาดกลัวจนบอกไม่ถูก กำลังเดือนหงายๆ อย่างนี้มันดังติดๆ กันมาหลายคืนแล้ว เสียงหวีดหวิวของลูกระเบิดที่แหวกอากาศลงมาเกือบทำให้ดิฉันช็อค เราจึงคิดกันว่ากลางคืนจะหลบมานอนต่างจังหวัด เช้าขึ้นก็เข้าไปทำงานในกรุงเทพฯ”
“คุณต้องนั่งรถไฟนานพอใช้”
“ราวสองชั่วโมง” ผู้ชายตอบ “แต่ภรรยาของผมเขาไม่เข้าไปหรอกครับ เรามีบ้านญาติกันที่นี่ กลางวันผมจะพาเขาไปฝากไว้ที่นั่น กลางคืนผมกลับมาแล้วจึงจะไปรับเขากลับมานอนที่นี่”
“บ้านญาติ? ถ้าคุณมีญาติอยู่ที่นี่ ทำไมไม่ไปพักกับเขาแทนที่มาพักโรงแรมนี้” ผมถาม “ที่นี่อาจไม่ปลอดภัยนักสำหรับคุณผู้หญิง”
“บ้านเขาคับแคบ แล้วเวลานี้ก็มีคนอพยพมาก่อนผมอาศัยอยู่เต็มไปหมด นี่ผมกำลังขอให้เขาต่อห้องเผื่อเราสักห้องหนึ่งแล้ว เขาบอกว่าอีกในราวอาทิตย์หนึ่งจึงจะเสร็จ เราจึงต้องพักอยู่ที่นี่ไปพลางๆ ก่อน แต่ถ้าน้าคิดว่าเราจะไม่ปลอดภัยถ้าอยู่ที่นี่ เราก็จะพยายามหาห้องพักตามโรงแรมอื่นต่อไป”
ผมยกมือขึ้นโบก บอกว่า “โรงแรมนี้หรือโรงแรมไหนก็เหมือนกันแหละคุณ ขึ้นชื่อว่าโรงแรมละก็ ผมบอกคุณตามตรงก็ได้ว่ามันเต็มไปด้วยผู้หญิงพรรค์อย่างงั้นทั้งนั้น โฮ้ย ตกค่ำละก็ คุณจะเห็นเองแหละ มันเดินกันจุ้นจ้านเต็มไปหมดราวกับแมงหวี่แมงวันก็ไม่ปาน”
ผมยิ่งพูด หน้าของหญิงสาวก็ยิ่งซีดลงตามลำดับ ทั้งสองคนผัวเมียหันหน้าเข้ามองดูกันอย่างเป็นทุกข์ ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่แล้วจึงพูดขึ้นว่า
“แต่เราไม่มีที่จะไปแล้วละครับน้า บ้านของเราที่กรุงเทพฯ ก็วานเพื่อนเขามาเฝ้าให้ แล้วถ้าจะย้ายไปจังหวัดอื่นก็ไม่รู้จักที่จักทาง เอาละครับถ้าอย่างนั้นเราก็จะเก็บตัวอยู่เงียบๆ ไม่ออกไปวุ่นวายกับใครเขา ผมต้องออกจากที่นี่แต่เช้ามืด กว่าจะกลับมาถึงก็คงค่ำมาก แล้วจะรับภรรยาเข้ามาจากบ้านญาติกลับมานอนเลย”
“ทางที่ดีคุณควรจะกินอาหารมาเสียให้เสร็จเรียบร้อยด้วย เพราะที่นี่ตอนค่ำๆ มันวุ่นวายกันนัก คุณก็คงจะเดาได้นะครับ ที่ไหนมีนารีมันก็ไม่พ้นที่จะมีสุราและนักเลงอยู่ด้วย เคราะห์คุณไม่ค่อยดีหน่อยตรงที่ไม่มีเด็กมาด้วย ถ้ามีลูกอุ้มมากระจองอแงสักสองคนก็คงจะดูสะดวกดีกว่านี่”
“เราเพิ่งแต่งงานกันได้ไม่ถึงสามเดือนดี” ชายหนุ่มบอก ดวงหน้าของเขาเป็นสีเรื่อขึ้นนิดๆ “บิดามารดาของภรรยาผมถูกลูกระเบิดเสียชีวิต เขาไม่มีใครอยู่ด้วยเราจึงต้องรีบแต่งงานกัน ทั้งๆ ที่เราเคยตั้งใจไว้ว่าจะรอจนกว่าสงครามเลิกเสียก่อน และเพราะเหตุที่น้องเสียพ่อเสียแม่ไปเพราะลูกระเบิดนี่แหละครับ ภรรยาของผมจึงมีประสาทไม่ค่อยดีนัก เธอเคยนอนละเมอร้องกรีดๆ บ่อยๆ เราจึงคิดว่าเป็นการไม่ฉลาดนักที่จะทนอยู่ในกรุงเทพฯต่อไป”
แต่ก็ยังฉลาดกว่าที่เลือกมาพักที่นี่ ผมคิดพลางโคลงศีรษะ มิได้กล่าวเป็นคำพูดออกไป เพราะเห็นว่าเพียงแค่นั้นทั้งสองก็ดูขวัญเสียพออยู่แล้ว บ้าจริงๆ เรานี่ ผมคิดตำหนิตัวเอง ไม่น่าที่จะเอาเรื่องร้ายๆ อย่างนั้นมาเล่าให้ผู้หญิงขวัญอ่อนๆ อย่างนี้ได้รู้ได้ฟังเลย ผมน่าจะหาโอกาสเตือนสามีของหล่อนแต่ลำพังจะดีกว่า แต่ผมก็ได้พูดออกไปแล้ว ไม่มีทางจะแก้ไขเป็นอย่างอื่น นอกจากจะนึกภาวนาขออย่าให้เจ้าสุขเกิดสะดุดหูสะดุดตาสองคนนี่ขึ้นมาเลย
“ผมจะพยายามเลี่ยงออกห่างทุกๆ อย่าง” ชายหนุ่มบอกกับผมเหมือนจะให้สัญญา “คงจะไม่มีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นนะครับ”
“ผมก็จะภาวนาขออย่าให้เกิดอะไรขึ้นเลย”
ผมบอกกับเขาอย่างจริงใจ นึกเวทนาใบหน้าซื่อๆ และยังอ่อนเยาว์คู่นั้นเป็นล้นพ้น
ในยามค่ำคืน ซึ่งตามปรกติผมก็มักจะเตร็ดเตร่มานั่งอุ่นเครื่องที่โรงแรม ของเถ้าแก่เจียมอยู่เป็นนิจ แต่ในคืนนั้นผมมาที่นี่ด้วยจิตใจหนักอึ้งผิดธรรมดา อันที่จริงหญิงชายคู่นั้นก็มิได้เกี่ยวดองเป็นญาติกายาติโกอะไรกับผมหรอก แต่ทว่าผมก็อดเป็นห่วงมิได้ เพราะรู้สึกว่าเป็นเหยื่อที่เจ้าสุขจะขอเอาได้ง่ายเหลือเกิน ผมรู้ดีว่าถึงผมจะอยู่ด้วย แต่ถ้าเกิดเรื่องเกิดราวอะไรกันขึ้นมา ผมก็ช่วยเขาไม่ได้ แม้ใครๆ จะนับถือว่าผมเป็นนักเลงเก่ารุ่นพี่ แต่ผมก็เป็นเสือเก่าที่ถอดเขี้ยวถอดเล็บเสียแล้ว ลูกน้องก็กระจัดกระจายพลัดพรากแก่เฒ่าไปตามๆ กันไปหมด ไหนจะสู้เจ้าสุขซึ่งกำลังหนุ่มฉกรรจ์แตกเปลี่ยวกลัดมันอยู่ได้ ลูกน้องของมันก็มีอยู่นับสิบ ผมก็ได้แต่ภาวนาขออย่าให้เจ้าสุขมาเกะกะแถวนี้ หรือให้มันจับไข้ไปสักอาทิตย์หนึ่งเท่านั้น
แต่โชคไม่เข้าข้างผมหรือสองผัวเมียชาวกรุงคู่นั้นเลย เพราะพอผมมาถึงที่นี่ตอนค่ำ ผมก็พบเจ้าสุขซึ้งมานั่งกร่ำอยู่ก่อนแล้ว สมุนซ้ายขวาแห่ห้อมอยู่พร้อมพรั่ง เถ้าแกเจียมต้องเสียเป็ดย่างสองตัวและเหล้าไม่น้อยกว่าสองขวดเป็นเครื่องเซ่นจ้าวที่จ้าวทางตามเคย นางนกต่อสองสามตัวร่อนไปร่อนมาอยู่ตามโต๊ะต่างๆ เจ้าสุขมันยังนั่งเฉยอยู่ได้ก็เพราะว่านางพวกนั้นมันเก่าเสียจนจะขึ้นราอยู่แล้ว ผมเลี่ยงไปถามเจ้าตี๋เด็กรับใช้ถึงผัวเมียคู่นั้น ได้ความว่ายังไม่กลับเข้ามาจึงเลี่ยงมานั่งคอยอยู่ห่างๆ
เกือบสามทุ่ม หญิงชายคู่นั้นจึงได้ก้าวเข้ามาเงียบๆ เจ้าสุขกำลังกร่ำอยู่ทีเดียว เคราะห์ดีที่มันนั่งหันหลังให้ทางเข้า สองคนผัวเมียเดินเงียบๆ ไปทางบันไดขึ้นชั้นบน ทันใดนั่นเอง เจ้าสมุนตาไวคนหนึ่งของเจ้าสุขก็เหลือบไปเห็นเข้า มันเป่าปากเปี๊ยวออกมาอย่างคึกคะนอง ปากของมันตะโกนขึ้นว่า
“แม่เจ้าโว้ย นี่น่ากลัวพลัดมาจากวิมานบางกอกแน่แฮะ”
เจ้าสุขชะงักมือที่กำลังยกแก้วเหล้าขึ้นจ่อปาก..! ส่ายตาอันแดงก่ำไปมา ปากก็ถามว่า “ไหนวะ ใครที่ไหนวะ”
“นั่นไงพี่” เจ้านั่นชูหัวแม่มือบุ้ยมาทางบันได “เจ้าหนุ่มนั่นกำลังจะจูงมือขึ้นวิมานอยู่รอมร่อนั่นแล้วไงล่ะ
เจ้าสุขเบนสายตาไปจ้องจับอยู่ที่ร่างของชายและหญิงทั้งคู่ ซึ่งขณะนั้นยืนตะลึงจับมือกันอยู่ที่เชิงบันไดนั้นเอง พอเห็นรอยยิ้มแสยะของเจ้าสุข ผมก็รู้ทันทีว่ามันบังเกิดความพึงพอใจในแม่หญิงนั้นแล้ว มันวางแก้วเหล้า ลุกขึ้นยืนโงนเงนอยู่ครู่หนึ่ง มองดูคนทั้งคู่ราวกับหมีร้ายจ้องจะตะปบเหยื่อ แล้วมันก็หัวเราะออกมาด้วยเสียงที่ชวนให้ขนลุก พลางเดินส่ายเข้าไปหาสองคนผัวเมียที่ยืนตะลึงอยู่
“ไง น้องชาย” มันพยักหน้ากับผู้ชายพูดด้วยเสียงคล้ายสำราก “ใจคอลื้อจะขึ้นสวรรค์เสียคนเดียวเทียวเรอะ เผื่อแผ่กันบ้างซีโว้ย”
ใบหน้าของชายหนุ่มผู้นั้นซีดแล้วแดงก่ำขึ้น ขณะที่หญิงสาวหลบไปแอบอยู่เบื้องหลังเขา หล่อนกำลังตระหนกอกสั่นขวัญหายอย่างประมาณไม่ถูกแน่นอน
“หมายความว่ายังไง” หนุ่มชาวกรุงถาม “นี่เมียของผม ไม่ใช่ผู้หญิงอย่างที่พี่ชายเข้าใจ ถ้าพี่ชายเมามากก็ไปนอนเสียเถิด”
“เมา.. ฮ่ะ ฮ่ะ นี่ดูถูกว่าไอ้สุขเมาทั้งๆ ที่ข้ายังดวดเข้าไปไม่ถึงขวดงั้นรึวะ ไอ้นี่ไม่รู้จักกูเสียแล้ว มึงจะยอมแบ่งให้กูไหมวะ นังคนนี้น่ะ บอกมาเสียดีๆ”
ใบหน้าของหนุ่มชาวกรุงเปลี่ยนเป็นสีเขียว แต่เขายังพยายามระงับกิริยาให้เป็นปรกติเมื่อบอกว่า
“ฉันบอกแล้วไงว่านี่เมียของฉัน ไม่ใช่ผู้หญิงพรรค์นั้น ถ้ายังไม่อยากนอนก็กลับไปนั่งกินเหล้าตามเดิมดีกว่า ผู้หญิงอื่นๆ ที่เดินว่อนอยู่โน่นไง ตั้งสามสี่คนทำไมไม่เลือกเข้าสักคนล่ะ”
“ไอ้นี่พูดวางโตเกินตัวเว้ย” เจ้าสุขหันมาพยักหน้ากับลูกน้อง ซึ่งยังผลให้เจ้าพวกนั้นพากันผละจากโต๊ะลุกมายืนคุมเชิงอยู่ห่างๆ เหมือนฝูงหมาป่าที่กำลังรุมล้อมจะกินลูกแกะ “มึงอย่ามาทำเป็นหมาหวงก้างที่นี่เลยวะไอ้หนู ตบตาคนอย่างไอ้สุขมันไม่ได้กินเสียหรอก หลีกไปเสียดีๆ ข้าจะจูงนังนั่นมันขึ้นวิมานละวะ”
พร้อมกันนั้น มันก็ผลักชายหนุ่มเซไปทางหนึ่ง แล้วก้าวเข้าไปคว้าเปะปะตรงข้อมือหญิงสาว หล่อนร้องกรีดพลางสะบัดแล้วหนีเข้าไปข้างหลังสามี มันออกจะเกินไปจนผมเหลือจะทนนิ่งเฉยอยู่ได้ ผมรู้ว่าลำพังผมคนเดียวนั้นจะสู้พวกเจ้าสุขทั้งฝูงไม่ได้แน่นอน แต่ถึงอย่างไรก็ต้องลองเสี่ยงดู ผมจึงทำใจดีสู้เสือเดินเข้าไปที่เจ้าสุข ยกมือขึ้นตบไหล่มันเบาๆ บอกว่า
“เบาๆ มือหน่อยเว้ย น้องชาย นั่นญาติของกันเอง ไม่ใช่คนอื่นคนไกลที่ไหน”
เจ้าสุขหันขวับมาทางผม มันยิ้มแสยะใส่หน้าผมอย่างรู้เท่าทัน “งั้นเรอะ เกิดนึกใจอ่อนขึ้นมารึไง พี่เหลี่ยม อย่านะเว้ย หมูเขากำลังจะหาม อย่านึกว่าที่ยอมเรียกว่าพี่น่ะจะเตะเสียไม่ได้ ถอยออกไปดีกว่าน่า ถ้าไม่อยากเจ็บตัวละก็ หรืออยาจะขอปันส่วนนังนี้มั่งก็บอกมาเสียดีๆ”
คำพูดของมันทำให้หน้าผมร้อนขึ้นมาวูบหนึ่ง ผมเงื้อหมัดสะอึกเข้าไป อยากจะแสดงลวดลายเสือเก่าฝากมันเสียสักนิด แต่หมัดของผมยังไม่ทันจะถูกเหวี่ยงไปยังหน้าของ เจ้านักเลงใหม่ยะโสคนนั้น ผมก็ต้องซวดเซคะมำไปข้างหน้าแล้วก็ผงะถอยกลับมาข้างหลังก้นกระแทกจ้ำเบ้าดวงตาพร่าพรายเห็นดาวขึ้นระยิบระยับ เลือดสีแดงข้นไหลรินลงมาตามขมับสู่ลำคอของผม ลูกสมุนของเจ้าสุขนั่นเอง มันแอบเล่นงานผมทางเบื้องหลังด้วยขวดเหล้า แล้วมิหนำยังชักมีดขาวเป็นเงาปลาบออกขู่เมื่อผมขยับจะลุกขึ้น
“อย่าดีกว่าน่า พี่เหลี่ยม อยู่เฉยๆ แล้วดีเอง” มันขู่ผมพลางหัวเราะกวนๆ “พี่สุขเขากำลังจะขึ้นสวรรค์ อย่าไปขัดคอเขาดีกว่า อย่าเอาชื่อนักเลงเก่ามาทิ้งเสียที่นี่เลย น้องยังนับถือพี่อยู่นา ผ่าวะ”
ผมไม่ได้ตอบมันว่ากระไร เพราะขณะนั้นเจ้าสุขเริ่มแผลงฤทธิ์ของมันแล้ว เสียงหัวเราะของมันดังลั่นร้าน ขณะที่เถ้าแก่เจียมทำเป็นตาบอดหูหนวกอยู่ที่เค้าเตอร์ แกกลัวเจ้าสุขเสียจนกระทั่งดีดลูกคิดไม่รู้เรื่อง คนอื่นๆ ที่ขลาดหน่อยก็ค่อยๆ ถอยออกไปทีละคนสองคน เหลืออยู่แต่พวกอยากรู้อยากเห็นกับลูกน้องของเจ้าสุข ซึ่งลุกขึ้นมายืนตีวงล้อมดูอยู่ พลางส่งเสียงหัวเราะเฮฮาอย่างสนุกสนาน คล้ายกับกำลังดูละครตลกฉากหนึ่งซึ่งลูกพี่ของมันเป็นผู้แสดง เจ้าสุขมันกระชากชายหนุ่มออกมาจากภรรยาของเขาได้แล้ว แล้วมันก็ย่างสามขุมเข้าไปหาหญิงสาวซึ่งถอยไปยืนตัวสั่นเทาอยู่ชิดฝา พอมันฉวยได้ข้อมือ หล่อนก็ร้องกรีดขึ้นมาสุดเสียง พร้อมๆ กับที่ชายผู้สามีกระโจนเข้าไปตะปบทางเบื้องหลังของมันจนแซแซ่ดๆ เกือบเสียหลัก
“ไอ้สัตว์” มันด่าพลางหันขวับมาทางเขาเหมือนกับสัตว์ป่าเวลาถูกทำร้าย ดวงตาที่แดงก่ำเพราะพิษเหล้าอยู่แล้วลุกโพลง ส่อประกายเหี้ยมโหดที่ฝังอยู่ในจิตใจ เพียงหมัดขวาหมัดเดียวที่มันลั่นออกไป ก็ยังผลให้ร่างแบบบางของหนุ่มชาวกรุงผู้นั้นปลิวไปตามแรงส่ง หมอบฟุบอยู่กลางฝูงลูกน้องของมันพอดี เมื่อเขาพยุงกายลุกขึ้นยืนอีกครั้งหนึ่ง แขนทั้งสองข้างก็ถูกลูกสมุนเจ้าสุขยึดไว้อย่างแน่นหนา
“เฮ่ย อย่าทำใจโตเกินตัวไปหน่อยเลยวะไอ้หนู” มันปรามอย่างย่ามใจ คะนองปาก “ตัวเล็กๆ กระดูกอ่อนๆ อย่างเอ็งนี่น่ะ ไม่พอมือพี่สุขเขาหรอก อยู่เฉยๆ คอยฟังเสียงเวลาชิ้นของเอ็งเขาขึ้นวิมานกับพี่สุขเขาดีกว่า อยู่ที่นี่จะทำเป็นหมาหวงก้างไม่ได้ ต้องหัดทำใจนักเลงหน่อยซีวะ ไอ้ลูกแมว”
น่าสงสารแม่หญิงคนนั้นเหลือเกิน หล่อนมีสภาพไม่ผิดอะไรกับลูกหนูเล็กๆ ที่ถูกแมวไล่ไปจนมุม เจ้าสุขตะครุบหล่อนได้แล้ว ก็ยึดหล่อนไว้แน่นในวงแขนที่ลำสันเต็มไปด้วยขนของมัน มิได้นำพาหรือสะดุ้งสะเทือนต่ออาการดิ้นรนขัดขวางทั้งมือทั้งเท้าของหล่อน กลับส่งเสียงหัวเราะลั่นๆ ราวกับมันมีความพออกพอใจสนุกสนานเป็นที่สุด ด้วยอาการครึ่งลากครึ่งอุ้ม มันปลุกปล้ำพาหล่อนขึ้นบันไดไปทีละขั้นๆ มิได้เอาใจใส่กับสามีของหล่อนซึ่งกำลังดิ้นรนอย่างสุดฤทธิ์เพื่อจะให้พ้นจากการถูกยึด ซึ่งเป็นความพยายามที่ไร้ผล ท่ามกลางการดิ้นรนขัดขืนของหญิงสาว เสียงลมหายใจอันหอบแรงของคนทั้งสอง และเสียงร้องกรี๊ดๆ ของหล่อน เจ้านักเลยใจทรามก็พาหล่อนหายลับไปจากช่องบันได มีเสียงตึงตังดังไปตามทางเดินข้างบน เสียงฝีเท้าหนักๆ และเสียงโครมครามคล้ายคนต่อสู้กันครู่ใหญ่ แล้วก็ปรากฏเสียงร้อยโหยหวนของหญิงสาวซึ่งค่อยๆ แผ่วลงๆ ในที่สุดชั่วเวลาไม่นานนัก เสียงจากข้างบนก็เงียบสนิท ผมถอนใจเฮือกอยู่ในอก อาการที่พวกลูกน้องเจ้าสุขแหงนหน้าขึ้นมองเพดานทำตาลอยอ้าปากค้างไปตามกันนั้นทำให้ผมขนลุกเกรียว รู้สึกแขยงจนบอกไม่ถูก ชีวิตนักเลงเมื่อครั้งยังหนุ่มๆ ของผมนั้นก็นับว่าได้เคยผ่านเหตุการณ์ที่ร้ายกาจต่างๆ มาเสียนักต่อนักแล้ว แต่ไม่เคยปรากฏว่าจะมีครั้งใดที่ร้ายกาจทารุณต่อความรู้สึกมากเท่าเหตุการณ์ในคืนนั้นเลย
ส่วนพ่อหนุ่มชาวกรุงผู้นั้น พอเสียงข้างบนเงียบหายไป ก็ลืมตัวกลัวตาย สะบัดจากการเกาะกุม โผนขึ้นบันได เจ้าสมุนของไอ้สุขคนหนึ่งมือไวมิใช่น้อย คว้าขวดเหล้าได้ก็เผ่นตามขึ้นไปประเคนลงที่กลางกระหม่อมดังโพละ เล่นเอาหนุ่มกรุงเทพฯหมดฤทธิ์ ม้วนตัวกลิ้งลงมาตามขั้นบันได หมอบกระแตสิ้นความรู้สึกอยู่ข้างล่าง
เมื่อเห็นว่าหมดหนทางที่จะช่วยเหลือต่อไปได้แล้ว ผมก็พยุงกายซึ่งมีบาดแผลถูกตีที่ศีรษะเลือดโทรมเดินโซเซออกไปจากที่นี่
บาดแผลที่ได้รับในวันนั้นทำให้ผมถึงกับต้องนอนซมอยู่กับบ้านในวันรุ่งขึ้น ทั้งๆ ที่อยากรู้ข่าวคืบหน้าของสองคนผัวเมียนั้นใจแทบขาด ก็ต้องทนนอนซบเซาอยู่กับที่ แต่แล้วในตอนเย็นวันนั้นเอง คนรู้จักกันคนหนึ่งที่รู้เห็นว่าผมเข้าไปเกี่ยวข้องกับเขาเมื่อวันวานนี้อยู่ด้วย ก็คาบเอาข่าวมาบอกผมถึงบ้านว่า สองคนผัวเมียนั่นตายเสียแล้ว
ผมเคยผ่านเรื่องต่างๆ มามาก เรื่องยิงแทงฆ่าฟันกันตายไม่เคยทำให้ผมตกอกตกใจได้เลย แต่ทำไมรายนี้ผมถึงได้รู้สึกก็ไม่รู้
“ทำไมตายวะ” ผมถาม เขาตอบว่า
“ผูกคอตายพี่ เมื่อคืนนี้เขาว่ากว่าเจ้าสุขจะโซเซลงมาก็ค่อนคืน ผัวแม่นั่นยังสลบเหมือดอยู่เลย มันสั่งให้ลูกน้องหามขึ้นไปส่งให้นังเมียแล้วสั่งไม่ให้ทุกคนไปกวนหรือทำอะไรที่ผิดปรกติ ให้ปล่อยไว้จนกว่าทั้งคู่จะรู้สึกตัวเอง เถ้าแก่เจียมงี้ หงอเสียไม่กล้าเงยหน้าทีเดียว สองคนนั่นก็หายเงียบอยู่ในห้อง ทุกคนคอยดูว่าเมื่อไหร่จะออกมากัน แต่ก็คอยหายๆ”
“แล้วใครเป็นคนไปพบเข้าล่ะ”
“ไอ้ตี๋น่ะซีพี่ มันยังเด็กอยู่ อดสอดรู้สอดเห็นไม่ได้ พอตกบ่ายเย็นเข้ามันอดรนทนอยู่ไม่ไหวก็เลยย่องๆ ขึ้นไปแอบดู คนข้างล่างได้ยินเสียงมันร้องโวยวายวิ่งหน้าตั้งตาเหลือกลงมาข้างล่าง ชี้มือขึ้นไปข้างบนท่าเดียว พูดไม่ออก จึงพากันขึ้นไปบ้าง พอพังประตูเข้าไปเท่านั้น ที่ไหนได้ล่ะ แขวนโตงเตงคู่กันอยู่กับช่องลมทีเดียว ผมดูแล้วก็ห้อมาหาที่นี่แหละบรื๋อ..! ยังติดตาไม่หายเลย น่าเกลียดน่ากลัวอะไรยังงั้นก็ไม่รู้ให้ตายซี”
เล่าจบ นายเหลี่ยมเจ้าของที่พักคนเดินทางสถานที่เกิดเหตุ อันน่าสยดสยองก็โคลงศีรษะไปมา อย่างสลดใจ “ไม่น่าเลย ผมนึกถึงคำบอกเล่าของเขาที่ว่าเพิ่งแต่งงานกันได้สามเดือนเท่านั้นแล้วก็อดเศร้าใจไม่ได้ ตำรวจเขามาเอาศพไปพิสูจน์ เขาว่าผู้หญิงเริ่มจะตั้งท้องอ่อนๆ เสียด้วยนา”
“แล้วตำรวจเขาว่าอย่างไรครับน้า ใครฆ่าหรือเขาฆ่าตัวตายเอง”
“ใครจะไปฆ่า ก็ประตูมันปิดใส่กลอนข้างในไว้นี่ครับ แต่เขาบอกว่าสองคนนี่ตายไม่พร้อมกันหรอก ผู้หญิงตายไปก่อนแล้วตั้งสี่ห้าชั่วโมงอะไรนั่นแน่ะ ทีนี้มันก็เหลือเป็นข้อสงสัยอยู่ว่า ผู้หญิงฆ่าตัวตายก่อน แล้วผู้ชายฟื้นขึ้นมาพบเมียตายก็เลยฆ่าตัวเองบ้าง หรือว่าฟื้นขึ้นมาพบเมียตายก็เลยฆ่าตัวเองบ้าง หรือว่าผู้ชายฆ่าผู้หญิงโดยรัดคอแล้วเอาขึ้นไปแขวนไว้แล้วจึงผูกคอตายตาม นี่แหละครับ ยังเป็นความลึกลับอยู่ ไม่มีใครให้ความสว่างได้มาจนกระทั่งเดี๋ยวนี้”
“แล้วเจ้าคนก่อเรื่องเล่า ไอ้นักเลงใหญ่น่ะ”
นายเหลี่ยมหัวเราะหึๆ “มันก็ลอยนวลไปเท่านั้นเอง ไม่มีหลักฐานอะไรพอจะจับมันได้นี่ครับ ทุกคนกลัวมันลานไปทั้งนั้น จนไม่มีใครกล้าเป็นพยานให้ตำรวจ ว่ามันเป็นต้นเหตุ แต่พระท่านไม่เข้ากับคนชั่วหรอกคุณ เดือนต่อมานั่นเอง เจ้าสุขก็ถูกจับฐานเมาสุรา อาละวาดแล้วทำร้ายร่างกาย มันถูกส่งตัวไปอยู่ลหุโทษที่กรุงเทพฯ ต่อมาก็คิดหนี แทงผู้คุมเสียอาการสาหัสปางตาย แต่หนีไม่รอดก็เลยถูกซ้อมเสียงอมพระราม คราวนี้เลยต้องเสด็จไปอยู่มหันตโทษโน่น เขาว่ากันว่ามันถูกปล่อยออกมาแล้วเมื่อหลวงท่านฉลองยี่สิบห้าพุทธศตวรรษนี่แหละ แล้วมันก็กลับเข้าไปอีก ฐานดื่มสุราแล้วก่อการวิวาทตามเคย คราวนี้เล่นเสียสามปี”
“ตกลงนายสุขก็คงไม่รู้อะไรที่เกี่ยวแก่ห้องดำเลยซินะครับ”
“ใครจะไปบอกมันครับ มันไม่รู้หรอกว่ากรรมที่มันก่อไว้ครั้งนั้น ได้ก่อกรรมยืดเยื้อสืบเนื่องกันมาอย่างไรบ้างกี่ครั้งกี่หน แต่เมื่อผมเข้ามาดำเนินงานนี่ก็สามศพเข้าไปแล้ว ตอนเถ้าแก่เจียมยังอยู่อีกเล่า เขาว่าใหม่ๆ เฮี้ยนมาก ตอนดึกๆ มีแต่เสียงคนร้องไห้สะอึกสะอื้นเกือบจะทุกคืนจนผู้คนไม่กล้ามาพัก เถ้าแกเจียมเองก็กลัวจนหัวหด ต้องปิดโรงแรมย้ายไปเซ้งห้องแถวที่ตลาดใหม่ขายของชำแทน ที่นี่ถูกปิดทิ้งอยู่ตั้งสองปีจนสงครามเลิกเรียบร้อยแล้ว ผมมีโชคถูกหวยเบอร์รัฐบาลจึงได้มาขอเซ้งต่อจากเถ้าแก่เจียม ซ่อมแซมทาสีทาสันเสียใหม่ ช่องลมก็เอาไม้ตีตายปิดหมดใส่ลูกกรงหน้าต่างแทน แล้วก็นิมนต์พระเจ้ามาสวดตามพิธีอย่างไทยๆ เราก็ไม่เห็นมีนี่ครับ เสียงร้องห่มร้องไห้อะไรนั่น ผมก็นึกว่าคงจะสงบไปแล้ว ที่ไหนได้เล่า พอมีคนมาพักห้องนั้นเป็นครั้งแรกเท่านั้นก็เกิดเรื่องเลยทีเดียว กลอนประตูห้องนั้นนะเปลี่ยนมาหลายครั้งหลายคราเต็มที่แล้วนะครับ คุณ”
“ประหลาดจริง” ข้าพเจ้าพึมพำ “อะไรนะที่มาจูงใจคนเคราะห์ร้ายเหล่านั้นให้ฆ่าตัวตาย ผูกคอตายกับหมอนเสียด้วย เหลือเชื่อทีเดียว อยากรู้ว่าอะไร มาหลอกหลอนเขา และมันมาในลักษณะอาการเช่นไร ผีหรืออะไรกันแน่”
เจ้าของโรงแรมหัวเราะหึๆ “นั่นซีคุณ ใคร ๆ ก็อยากรู้ด้วยกันทั้งนั้น แต่ก็ไม่มีใครสามารถบอกได้นอกจากคนที่ตายไปแล้ว ผมเองอยากรู้เสียจนลงทุนเข้าไปนอนด้วยตัวเองทีเดียวนะครับ”
“โอ้โฮ นับว่าน้าใจเด็ดเอาการเทียวนี่” ข้าพเจ้าร้องพลางมองดูเขาอย่างนิยมด้วยใจจริง “แล้วเกิดอะไรขึ้นบ้างไหมครับ”
“ผมรอดตายมาได้เพียงคนเดียวไงล่ะคุณ” เขาตอบอย่างอารมณ์ดี ดวงตามีแววครุ่นคิดเมื่อเล่าต่อไป “มันเกิดอะไรขึ้นก็บอกไม่ถูก คืนนั้นผมจุดตะเกียงทิ้งไว้ด้วย เพราะที่นี่ไฟฟ้ามีใช้เพียงถึงเวลาสองยามเท่านั้น ตอนหัวค่ำก็ไม่เห็นมีอะไร ผมง่วงหนักเข้าก็เลยนอนหลับไป มารู้สึกตัวอีกทีหนึ่งก็ดึกสงัด มันก็ไม่เชิงรู้สึกตื่นตัวเต็มที่หรอกครับ คล้ายๆ กับฝันไปอย่างนั้นแหละ แต่ก็ยังรู้สึกว่าแสงตะเกียงที่จุดไว้หรี่มัวไปอย่างประหลาด ทั้งๆ ที่ผมเติมน้ำมันไว้จนเต็ม และในความมืดมัวนั้น คล้ายๆ กับว่ามีคนยืนชะโงกหน้าจ้องมองดูผม จากทางหัวนอน เห็นเลือนๆ จับไม่ได้ว่ากี่คนกันแน่ คนเหล่านั้นกำลังชักชวนให้ผมทำอะไรอย่างหนึ่ง แต่ดูจะไม่เป็นที่ตกลงกันได้ในระหว่างเขา ผมรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาจะได้ยินเสียงพูดว่า ไม่ได้ ไม่ได้ และแก้แค้นอะไรในทำนองนี้ แล้วทุกสิ่งที่มัวๆ อยู่นั้นก็เลือนหายไป แสงตะเกียงสว่างไสวดังเดิม ผมตื่นขึ้นมาเหงื่อแตกเต็มตัว แต่อะไรจะมาประหลาดกว่าการที่ผมมารู้สึกตัวว่าผมกำลังถือเข็มขัดซึ่งก่อนเข้านอนยังคาดไว้ที่เอวเป็นไม่มีอีกแล้ว ผมถอดมันออกมาเมื่อไรและเพื่ออะไรก็ยังคิดไม่ออก แต่ผมก็ไม่กล้าเข้าไปนอนในห้องนั้นเป็นครั้งที่สองอีกเลย สั่งปิดตายไม่เปิดให้ใครพัก”
“ตกลงมันก็ต้องมีสภาพเป็นห้องผีสิงเช่นนี้ตลอดไปซีครับน้า”
“ห้องผีสิง... แหม... ผมไม่ชอบคำนี้เลย มันฟังดูไม่ค่อยเป็นมงคลแก่โรงแรมของผมนัก ผมเรียกมันว่าห้องดำครับ”
“แล้วน้าคิดหรือเปล่าครับว่ามันจะต้องถูกเรียกว่าห้องดำต่อไปอีกนานสักเท่าใด”
“ผมเองก็ไม่ทราบ” เจ้าของโรงแรมตอบ ดวงตาสีเหล็กของเขาเป็นประกายประหลาดเล็กน้อยเมื่อพูดต่อไปว่า “บางทีอาจจะเป็นจนถึงเมื่อเจ้าสุขถูกปล่อยตัวจากตะรางและกลับมาที่นี่กระมัง อีกไม่นานนักหรอก และผมกำลังคอยเวลานั้นอยู่”
ดวงตาและเสียง ซึ่งเต็มไปด้วยความหวังอันลึกล้ำนั้น ทำให้ข้าพเจ้าต้องเก็บเอามาคิดอยู่เป็นเวลาเนิ่นนาน ข้าพเจ้าจากสถานที่นั้นมานานเกือบขวบปี และมิได้ข่าวคราวประการใดอีกเลย จนบัดนี้ก็ยังไม่รู้ว่าเวลาที่นายเหลี่ยมนักเลงเฒ่าเจ้าของที่พักแรมลึกลับแห่งนั้นเฝ้าคอยอยู่มาถึงแล้วหรือยัง แต่ข้าพเจ้าก็ยังหวังอยู่ว่าคงจะได้ข่าวเกี่ยวกับ “ห้องดำ” นั้นอีกครั้งหนึ่งอย่างแน่นอน
เรื่องราวทั้งหมดที่ข้าพเจ้าเล่ามานี้แหละ คือคำตอบสำหรับข้อกังขา ที่ว่า เป็นไปได้เทียวหรือที่คนเราจะสามารถผูกคอตายได้แม้กับหมอนที่ใช้หนุนนอนอยู่เพียงใบเดียว