สุภาว์ เทวกุลฯ ราชินีแห่งเรื่องสั้น

        จันทร์ 23 ธันวาคม พ.ศ.2567
ในฝัน

สุภาว์ เทวกุลฯ

supa : 0000-00-00

reader:889
reply:0

คุณอาภัสราคะ

คุณคงจะรู้สึกแปลกใจมิใช่น้อย   ที่จู่ๆ ก็ได้รับจดหมายจากดิฉัน ซึ่งเป็นผู้ที่คุณไม่เคยรู้จักมักจี่คุ้นเคย   ไม่เคยแม้แต่จะเห็นรูปร่างหน้าตาหรือได้ยินชื่อเสียงเรียงนามมาก่อนเลย   แต่ก็ช่างเถอะค่ะ  ดิฉันเป็นผู้รู้จักคุณแต่เพียงฝ่ายเดียวก็เป็นการเพียงพอแล้วมิใช่หรือคะ รู้จักและนิยมชมชื่นในนาม   “อาภัสรา”   นี้มานานนักหนาแล้วด้วย   ฉะนั้น คุณจึงเป็นคนแรกที่ดิฉันระลึกถึงในยามที่เกิดมีปัญหาคับอกคับใจ  ขึ้นมา   ได้โปรดเป็นที่พึ่งในยามยากให้แก่ดิฉันสักครั้งเถิดค่ะ   คุณอาภัสราขา   เวลานี้ดิฉันเปรียบเสมือนกับคนที่กำลังตกอยู่ในความมืด   จะเหลียวแลไปทางใดก็ประสบแต่ความมืดมนไปเสียทุกทิศทาง  จะมีแสงสว่างอยู่บ้างหรือก็สลัวรางลิบๆ อยู่เบื้องบน   สุดกำลังที่จะพาคนล่องลอยไปให้ถึง   ดิฉันตกที่นั่งแค้นคับอับปัญญาเสียจริง   จะเห็นอยู่ก็แต่คุณนี่แหละค่ะ ที่จะช่วยชี้ช่องทางนำดิฉันจากความมืดมนออกมาสู่ที่สว่างได้

เรื่องของดิฉันมีอยู่ว่า   ขณะนี้ผู้ใหญ่ของดิฉันกำลังจะยกดิฉันให้กับผู้ชายคนหนึ่ง ผู้ชายคนนี้เป็นบุตรของเพื่อนเก่าของคุณพ่อคุณแม่ของดิฉัน  แต่เราไม่เคยรู้จักหรือติดต่อกันมาก่อนเลยค่ะ   เขาได้เห็นดิฉันเข้าในสถานที่แห่งหนึ่งโดยบังเอิญ   แล้วก็เลยเกิดติดอกติดใจ ถึงกับสืบสาวราวเรื่องดูจนได้ความว่า   ดิฉันเป็นลูกเต้าเหล่าใคร  เขาพาผู้ใหญ่ทางฝ่ายเขามาหาผู้ใหญ่ของดิฉันก่อน   นัยว่ามาฟื้นฟูมิตรภาพดั้งเดิมนั่นแหละค่ะ  หลังจากที่ได้ไปมาหาสู่กันได้ไม่กี่ครั้ง คุณพ่อคุณแม่ของดิฉันก็บอกกับดิฉันว่า  เขาได้จัดให้ผู้ใหญ่ของเขามาสู่ขอดิฉัน และท่านก็ได้สืบสวนดูความประพฤติตลอดจนหลักฐานตำแหน่งการงานของเขาแล้ว   ปรากฏว่าเขาจะเป็นที่พึ่งอย่างดีแก่ดิฉันได้ตลอดไป   ท่านจึงคิดจะตอบตกลงกับผู้ใหญ่ของเขาไป

แต่นอกจากผู้ชายคนนี้แล้ว  ยังมีชายอีกคนหนึ่งที่เข้ามาพัวพันกับชีวิตของดิฉัน สำหรับชายคนหลังนี้เรามีวัยไล่เลี่ยกัน   บ้านก็อยู่ใกล้เคียงกัน  เติบโตเล่นหัวสนิทชิดเชื้อมาด้วยกันจนกระทั่งดูเหมือนว่าเราจะอ่านความรู้สึกนึกคิดของกันและกันออกหมด   ทุกข์สุขอย่างไรเราก็เล่าสู่กันฟังเสมอ จนกระทั่งรู้สึกว่าเราจะขาดเสียซึ่งกันและกันไม่ได้  แม้กระนั้นเราก็ยังไม่เคยบอกกันเลยว่าเรารักกัน   ทั้งเรื่องที่มีคนมาสู่ขอดิฉันเขาก็รู้ดี   ดูเขาซึมไปเล็กน้อย แต่ก็มิพูดว่ากระไร   ดิฉันเองก็ไม่ทราบว่ารักเขาหรือไม่  บางครั้งดิฉันเคยรู้สึกคิดถึงเขาอย่างเหลือเกิน แต่บางคราวก็ได้ลืมเขาไปเสียตั้งหลายๆ วัน ก็เคยมี   แต่อย่างไรก็ตาม  คุณอาภัสราขา สิ่งเดียวที่ดิฉันรู้และแน่ใจก็คือว่า   ผู้ชายทั้งสองคนนี้มิได้เป็นชายในฝันของดิฉันอย่างแน่นอน   เขาทั้งคู่มิได้มีสิงใดที่จะคล้ายคลึงหรือใกล้เคียงกับรูปร่าง ลักษณะตลอดจนคุณสมบัติต่างๆ ของชายที่ดิฉันได้วาดไว้ในฝันแม้สักนิดเดียว   แต่อย่างไรก็ตาม  ดิฉันจำจะต้องตัดสินใจในเร็วๆ นี้   เพราะคุณพ่อคุณแม่ได้เร่งรัดจะเอาคำตอบจากดิฉันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันแล้ว กรุณาช่วยดิฉันตัดสินใจด้วยเถิด  คุณอาภัสราขา   ว่าดิฉันจะตอบตกลงยินยอมแต่งงาน กับชายคนที่ผู้ใหญ่เห็นดีเห็นชอบดี?   หรือว่าปฏิเสธแล้วปรับความเข้าใจกับอีกคนหนึ่งซึ่งเติบโตมาด้วยกันและเข้าอกเข้าใจกันทุกอย่างนั้น?   หรือว่า ตัดทิ้งไปเสียทั้งสองคน แล้วตั้งหน้าตั้งตาคอยชายในฝันต่อไปจนกว่าจะพบ?

จากดิฉันผู้กำลังตกอยู่ในความมืดมนอย่างแท้จริง.......     อิสตรี


พวงครามได้อ่านพบถ้อยความข้างต้นนี้จากหน้ากระดาษของนิตยสารสำหรับสตรีฉบับหนึ่ง เธอถอนใจยาวพลางยิ้มน้อยๆ เมื่ออ่านจบลง   เออ  ช่างเป็นปัญหาหนักใจเสียจริงแล้ว สำหรับคนที่กำลังประจญประจัญกับมันอยู่  จนถึงกับต้องพึ่งพาร้องขอให้ผู้อื่นช่วย  ตัดสินใจให้   ก็ไอ้การที่จะอาศัยความคิดความอ่านของคนอื่นเขานั้นน่ะ ใช่ว่าจะใช้ได้ผลเสมอไปเมื่อไร คนอื่นเขาเป็นเพียงคนนอก   จะมารู้เรื่องราวสายสนกลในอะไรกับเราด้วย   เขาจะทำได้ก็แต่เพียงให้คำแนะนำไปตามทางที่เขาเห็นถูกเห็น ควรเท่านั้น   แต่ก็นั่นแหละ มันก็ดีไปอย่างหนึ่งตรงที่ได้ระบายความทุกข์และความคับอกคับใจออกมาเสียบ้าง   ดีกว่าปล่อยให้มันอัดแน่นอยู่ในอกแต่ผู้เดียว  แต่ในที่สุด  เมื่อถึงเวลาของมันแล้ว มันก็จะพบทางออกของมันเองโดยที่ไม่ต้องอาศัยการแนะนำจากผู้ใดเลย

แต่อย่างไรก็ตาม   จากใจความในจดหมายฉบับนี้  ทำให้เธอหวนกลับไปนึกถึงเรื่องราวของตัวเธอเอง นึกถึงบ้านเก่าอันแสนสุขซึ่งเธอเคยอยู่กับคุณพ่อคุณแม่และพี่น้องของเธอ   แล้วก็นึกถึงคุณป้าสมร ผู้ใจดี ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านที่สนิทชิดชอบกันดีกับครอบครัวของเธอมานานนับสิบปี แต่บ้านของเธอกับบ้านของคุณป้าสมรมิได้อยู่ในลักษณะ       “บ้านอยู่ชิดติดกัน เขตรั้วกั้นเอาไว้”     เพราะว่าบ้านของเธออยู่ติดกับถนนใหญ่ตรงปากทางที่จะเข้าไปสู่ย่านตลาดกลางตัวเมือง   แต่ทว่าคุณป้าสมรนั้นทำไร่อยู่ไกลตัวเมืองออกไป   และยังมีบ้านอันงดงามแสนสบายปลูกอยู่ใกล้กับริมทะเล สีเขียวคราม   ได้ยินเสียงคลื่นซัดสาดฝั่งเป็นตนตรี กล่อมอยู่ชั่วนาตาปีอีกด้วย

คุณป้าสมรเป็นหญิงกลางคนรูปร่างสมบูรณ์ อารมณ์ดีและขยันขันแข็งอยู่เสมอ   แม้ว่าคุณป้าจะตกเป็นพุ่มหม้ายมาได้สามปี แล้วก็ตาม   แต่กิจการในไร่ของคุณป้าก็ยังคงดำเนินมาด้วยดีโดยที่คุณป้าเองไม่ต้องควบคุมดูแลเท่าไรเลย  ทั้งนี้เป็นเพราะอัธยาศัยใจคอของท่านเป็นที่รักใคร่นับถือของพวกคนงานนั่นเอง   คุณป้าจึงมีเวลาว่างมากมายพอที่จะทำอาหารแปลกๆ ไปเที่ยวแจกจ่ายตามบ้านใกล้เรือนเคียง

วันหนึ่งคุณป้าได้มาถึงบ้านของเธอพร้อมด้วยแกงบวนหม้อเขื่อง   พอมองเห็นหน้าพวงครามเข้าคุณป้าสมร ก็ร้องทุกข์เอากับเธอทันทีว่า

“เวลานี้หัวสมองป้ายุ่งเหยิงไม่ผิดกับแกงบวนในหม้อนี้เทียวหลานเอ๋ย   พ่อรูปหล่อของป้าเขากลับมาจากกรุงเทพฯ แล้วยังไง”

เมื่อคุณป้าสมรพูดคำว่า  “พ่อรูปหล่อ”  ใครๆ ก็รู้ดีว่าท่านหมายถึงนายบุษป์ ลูกชายคนเดียวของท่าน ซึ่งขณะนี้กำลังเป็นนักศึกษาปีสุดท้ายของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ   แต่พวงครามไม่เข้าใจว่าเหตุใดการกลับมาเยี่ยมบ้านของบุษป์ จึงได้ไปเกี่ยวกับความยุ่งเหยิงของสมองคุณป้าด้วย   ในเมื่อทุกๆ คนก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าคุณป้าสมรดีอกดีใจเพียงไรทุกครั้งที่ “พ่อรูปหล่อ” ของท่านกลับมาบ้าน

“มหาวิทยาลัยปิดเทอมแล้วรึคะ”   พวงครามถามพลางทรุดกาย ลงนั่งพับเพียบ ระหว่างคุณป้าสมรและคุณแม่ของเธอ   “คุณป้าจะได้หายเหงาไปอีก หลายวัน   มีบุษป์ กลับมายุ่งๆ ด้วยอีกคนหนึ่ง”

“มันยุ่งก็ไม่ยุ่งแต่เพียงคนเดียวน่ะซี หลาน   นี่ไพล่ไปหาคนอื่นเขามายุ่งด้วยอีก เฮ้อ ป้าไม่เข้าใจเลยว่าคนสมัยนี้เขาเลี้ยงเด็กกันอย่างไร   ลูกหลานเป็นสาวเป็นแซ่แท้ๆ   ปล่อยให้เที่ยวไปนอนค้างอ้างแรมที่ไหนๆ กับผู้ชายก็ได้”

เมื่อเห็นพวงครามมองดูท่านเป็นเชิงสงสัย   คุณป้าสมรก็เล่าต่อไปว่า     “พ่อรูปหล่อของป้านะแหละ  หนูพวง   กลับมาคราวนี้ไม่มาคนเดียวพาเอาแม่สาวๆ มาด้วย ถ้าเป็นเพื่อนผู้ชายด้วยกันละก็ ป้าจะไม่ว่าเลยทีเดียว   แต่นี่ลูกเขาเป็นสาวเป็นนางแท้ๆ   ถ้าฉวยมาเป็นอะไรละก็   ต๊าย ป้ามิถูกผู้ใหญ่ของเขามาถอนหงอกแย่เรอะ”

ท่าทางของคุณป้าสมรทำให้พวงครามรู้สึกขันมากกว่าที่จะพลอยรู้สึกเดือดร้อนไปกับท่านด้วย เธอได้ยินคุณแม่ถามว่า

“แม่สาวที่คุณพูดถึงนี่น่ะ  เขามากับพ่อบุษป์แต่ลำพังคนเดียวจริงๆ หรือคะ”

“ก็ไม่ลำพังคนเดียวหรอกค่ะ   แต่มันก็ไม่งามกว่ากันเท่าไหร่หรอก ไอ้การที่จะหาพี่สาวมาเป็นเพื่อนด้วยอีกคนหนึ่งน่ะ   เพราะทั้งพี่ทั้งน้องก็ดูเหมือนอายุจะยังไม่เต็มยี่สิบดีทั้งสองคน”

“แล้วคนไหนแน่ล่ะคะที่คุณป้าคิดว่าเป็นแขกคนสำคัญของบุษป์เวลานี้”   พวงครามถามด้วยอาการกลั้นยิ้ม

“ป้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”   คุณป้าสมรสารภาพ  “ป้าก็เห็นลูกป้ามันคลุกคลีเล่นหัวประจ๋อประแจ๋กับเขาทั้งสองคน   เมื่อวานนี้เห็นมันเปิดวิทยุเพลงฝรั่งแล้วก็เต้นรำเต้นแร้งอะไรของมันโครมๆ อยู่วันยังค่ำ   ขนขนมมากินกันกองไว้เต็มบ้านเต็มช่อง   ทั้งพี่ทั้งน้องแต่งตัวกันงี้ ชาวบ้านเห็นแล้วจะลมจับตาย     อ้อ     เออป้าพอจะเห็นเค้าแล้วละ   ท่าเจ้าหนูของป้ามันจะชอบแม่คนน้องมากกว่าคนพี่   หน้าตามีภาษีดีกว่ากันนี่ แล้วเมื่อเช้านี้ก็เห็นมันตื่นแต่เช้ามืดลงไปเล่นน้ำวิ่งไล่กันอยู่ที่หาดทราย   เพียงสองคน   แม่คนพี่ยังไม่ตื่นเลย”

“สมัยนี้เขามักจะปล่อยลูกปล่อยหลานกันอย่างนี้ละค่ะคุณ”     คุณแม่บอก คุณป้ายกมืออันอวบอูมขึ้นปัดตรงหน้าอย่างอ่อนอกอ่อนใจ

“โอ๊ย ดิฉันเห็นจะไม่เอาแล้ว   เคราะห์ดีเหลือเกินที่ไม่มีลูกผู้หญิงกับเขา   ขืนมีแล้วเป็นอย่างนี้ละก็อายุดิฉันคงสั้นแน่ๆ   คุณน่ะดีนะคะที่มีลูกผู้หญิงอย่างหนูพวง   ดูรึอายุก็ยังน้อยเท่านี้ได้เป็นครูบาอาจารย์เขาแล้ว ไม่ปรู๊ดปร๊าดไปโน่นมานี่อย่างผู้หญิงสมัยนี้เขา” แล้วท่านก็หันมาทางเธอ   บอกว่า     “ป้าอยากให้หนูพวงไปดูตาบุษป์เสียบ้างจริง”

“แต่ คุณป้าคะ   บุษป์เขาอาจจะไม่...”

“ไม่รู้ละ   วันนี้ป้าจะทิ้งหม้อแกงของป้าไว้ที่นี่   พรุ่งนี้หนูเอาไปคืนให้ป้าก็แล้วกัน หม้อข้าว หม้อแกงของป้ายิ่งจะไม่พอใช้อยู่ด้วย”  คุณป้าสมรตัดบทเอาดื้อ ๆ

คุณป้าลากลับไปพร้อมกับทิ้งความยุ่งยากไว้ให้พวงคราม   ด้วยทุกครั้งที่เดินผ่านหม้อเคลือบขาวใส่แกงของคุณป้าสมร ซึ่งคุณแม่ล้างวางคว่ำไว้ที่ชั้นวางของเรียบร้อยแล้วนั้น   พวงครามให้นึกบังเกิดความรำคาญใจราวกับว่าเจ้าหม้อแกงใบนั้นมันเป็นลูกระเบิดเวลาก็มิปาน   เธอตั้งใจไว้ว่าจะทำเป็นเฉยๆ ไม่รู้ไม่ชี้เสีย  อีกสองสามวันคุณป้าสมรก็จะต้องมาที่บ้านของเธออีกแน่ๆ  ดังนั้นในวันรุ่งขึ้นซึ่งคุณป้ากำหนดให้เธอเอาหม้อไปส่งนั้น  พวงครามจึงแกล้งทำเป็นทำงานอื่นๆ ง่วนเสียทั้งวัน โดยทำเป็นลืมคำสั่งของคุณป้าสมรเสีย   แต่แล้วก็คุณแม่นั่นเองที่เป็นฝ่ายเตือนขึ้นเมื่อพวงครามรับอาสาจะทำครัวในวันนั้น

“อ้าว หนูพวง   วันนี้คุณสมรเธอบอกให้หนูช่วยเอาหม้อแกงไปคืนเธอด้วยไงล่ะจ๊ะ เผื่อเธอมีธุระต้องการจะใช้”

“หม้อของคุณป้ามีอยู่ตั้งสองโหลเห็นจะได้กระมังคะ คุณแม่”   พวงครามว่า    “หนูไม่อยากไปเลย กลัวบุษป์เขาจะหาว่าหนูหาเรื่องไปดูเพื่อนสาวของเขา”

“ก็เราอย่าไปยุ่งกับเขาซีลูก กลัวเขาจะว่าก็   ส่งของคุณป้าแล้วก็กลับมาก็แล้วกัน ประเดี๋ยวคุณป้าจะคอย   ท่านอุตส่าห์ทำมาให้กินกันก็เป็นบุญคุณอยู่เหลือหลายแล้วนะลูก”

พวงครามจึงจำเป็นต้องฉวยเอาหม้อใบนั้นไปใส่ตะกร้า  หลังรถจักรยานคู่ชีพของเธอ แล้วขึ้นนั่งถีบไปยังไร่ของคุณป้าสมร

เมื่อเธอถีบรถขึ้นเนินไปยังบ้านอันหรูหรา แสนสบาย ของคุณป้านั้น   เธอได้ยิน เสียงเพลงดังก้องลงมา คละเคล้าด้วยเสียงหัวเราะประสมประสานกัน   เมื่อเธอเทียบรถเข้ากับบันไดหินหลังบ้าน คุณป้าสมรก็โผล่หน้าออกมาจากครัวทันสมัยของท่านแล้วกวักมือเรียกเธอให้ขึ้นไป

“ขึ้นมาบนนี้เลยเถอะ  หนูพวง   ป้ากำลังยุ่ง   มือไม่ว่างทีเดียว”

พวงคราม จึงคว้าหม้อเดินขึ้นไปหาคุณป้าสมรในครัว   คุณป้าวางมือจากชามผสมหน้าขนม แล้วรับหม้อจากมือเธอไปวางตามที่ของมันบนชั้น

“พ่อรูปหล่อของป้าเขาขอให้ทำขนมเค้กเลี้ยงเพื่อนเขาสักวัน”     คุณป้าสมรบอก และโดยที่พวงครามไม่ทันคัดค้าน ท่านก็เดินผ่านเธอออกไปที่ประตูห้อง   ร้องตะโกน บอกออกไปทางหน้าบ้านซึ่งกำลังครึกครื้นอยู่ด้วยเสียงดนตรีว่า  “ตาบุษป์ หนูพวงมาแน่ะ”

พวงครามตกใจ  เธอไม่ชอบที่จะให้คุณป้าใช้ถ้อยคำเช่นนั้น   ฟ้งดูแล้วคล้ายๆ กับว่าเธอมีความสัมพันธ์เป็นพิเศษอยู่กับบุษป์ซึ่งไม่เป็นความจริงเลย  บุษป์และเธอเป็นแต่เพียงเพื่อนเล่นที่เติบโตขึ้นมาด้วยกันเท่านั้น  พวงครามจึงนึกภาวนาขอให้เสียงดนตรีกลบเสียงของคุณป้าสมรเสีย   แต่ปรากฏว่าคำภาวนาของเธอไม่เป็นผล   เพราะชั่วในอึดใจต่อมานั่นเอง   บุษป์ก็โผล่หน้าอันรื่นเริงแจ่มใสของเขามาที่ประตูครัว

“ฮัลโหล  พวง   แหม  ไม่ได้พบกันสามเดือนเท่านั้นเธอแปลกไปจนผิดตา เธอมากำลังดีทีเดียว   เรากำลังจะเลี้ยงน้ำชากันอยู่   คุณแม่ก็ทำขนมให้อย่างสุดฝีมือ งั้นไม่ใช่หรือฮะ คุณแม่”

“ย่ะ พ่อเจ้าประคุณ   ไงจ๊ะ หนูพวง   ไม่ไปร่วมวงเต้นไอ้เซ่อๆ ซ่าๆ กับเขาบ้างหรือ นอกจากเค้กแล้วป้ายังมีแซนวิช อร่อยไว้เลี้ยงอีกนะ”

“เขาเรียกกัวราช่ากับกาลิบโซ่ครับคุณแม่   มาเถอะ พวง  ไปร่วมวงกับเรา แล้วเธอจะได้รู้จักกับเด็กผู้หญิงที่น่ารักที่สุดคนหนึ่ง”     แล้วโดยไม่ยอมให้เวลาพวงครามคัดค้าน   บุษป์ก็ใช้ความสนิทสนมคุ้นเคยที่มีอยู่ต่อกัน ถือวิสาสะจับต้นแขนของเธอครึ่งจูงครึ่งดึงตามเขาไปทันที

ห้องกระจกอันสวยงามของคุณป้า  ซึ่งหันหน้าออกสู่ทะเลนั้น ถูกเปลี่ยนแปลงให้ผิดไปจากสภาพเดิมที่พวงครามเคยเห็น   เก้าอี้แบบเก๋ๆ แปลกหลายตัวที่คุณป้าสะสมไว้นั้น ถูกเลื่อนเข้าไปชิดผนังจนหมดสิ้น   แม้กระทั่งโต๊ะวางของกระจุกกระจิกและกระถางปลูกไม้ใบแปลกๆ ก็ไม่อยู่ในที่ที่มันเคยอยู่   ทุกสิ่งทุกอย่างถูกเลื่อนออกไปจากที่เดิม เพื่อจะเว้นที่ว่างไว้เพื่อการประลองฝีเท้าในการลีลาศเป็นแน่แท้  ในห้องนั้นมีดรุณีอยู่สองนาง   แต่งกายคล้ายคลึงกัน   คือ คนหนึ่งนุ่งกางเกงขาสั้นสีขาว   เชิ้ตปล่อยเอวริ้วสลับสีสดนั่งเหยียดยาวอยู่บนชิงช้า พลิกดูแมกกาซีนต่างประเทศ พลางหยิบขนมจากชามแก้วที่วางอยู่บนโต๊ะข้างๆ ใส่ ปากอย่างแสนสำราญ  ส่วนดรุณีอีกนางหนึ่งนั้น ยืนเกาะตู้วิทยุอยู่  มือหนึ่งถือแผ่นบิสกิ้ต รออยู่ใต้ปาก   เธอกัดขนมพลางก็โยกตัวขยับขาและเท้าให้เข้ากับจังหวะเพลงที่กำลังดังอยู่นั้น  ร่างของเธอที่ซ่อนอยู่ภายใน กางเกงขาสั้นสีน้ำตาลไหม้ และเสื้อยืดแนบเนื้อแขนสั้นคอตัดสีอิฐนั้น   สมส่วนสมสัดน่าดูนัก

ในนาทีต่อมา พวงครามก็ได้รู้ ว่าแม่คนที่นั่งอยู่บนชิงช้านั้นเป็นเพื่อนนักศึกษาปีเดียวกับ บุษป์ ชื่อมัทนา   ส่วนอีกคนหนึ่งนั้นเป็นน้องสาวของเธอ   ชื่อนลินี  เพิ่งจะเข้าไปเป็นน้องใหม่ปีนี้  และชั่วเวลาไม่นานนัก   ที่พวงครามได้ร่วมวงกับเขานั้น   เธอก็แน่ใจว่าบุษป์กำลังติดอกติดใจแม่สาวน้อยคนน้องไม่น้อยเลย

พวงคราม ยังจำได้ว่า   ครั้งหนึ่งที่เคยคุยกัน   บุษป์ได้เคยรำพันถึง “นางในฝัน” ของเขาให้เธอฟัง  ว่า สำหรับผู้หญิงที่เขาจะรักและแต่งงานด้วยนั้น   จะต้องเป็นผู้ที่มีรูปร่างงดงามได้ส่วนสัดตามเยี่ยงหญิงงามทั่วไป

“ผมชอบผู้หญิงร่างระหงค่อนข้างสูงเพรียว  มองดูคล่องแคล่วและเป็นสง่าในเวลาเยื้องกราย   เธอต้องมีตาคมผมดำขลับ   คิ้วสวย  ปากอิ่มเต็ม และสวยพอที่จะทำให้ผมเกิดความรู้สึกภาคภูมิใจในเวลาที่เดินไปกับเธอโดยมีสายตาคู่อื่นๆ ต้องแลตามด้วยความริษยา”

ก็แล้วแม่สาวน้อยนลินีคนนี้เล่า   เธอมิได้มีลักษณะทุกสิ่งทุกอย่าง ตรงกับภาพวาดนางในฝันของบุษป์ดอกหรือ   ชะรอยบุษป์จะได้พบกับนางในฝันของเขาแล้วกระมัง

บุษป์เองก็เคยถามเธอ   ว่าพวกผู้หญิงได้วาดภาพคนในฝันของเธอไว้บ้างไหม

“แน่ละ”   พวงครามบอก  “ก็ทีผู้ชายวาดภาพ นางในฝัน ของเขาได้ ทำไมพวกผู้หญิงจะไม่รู้จักวาดภาพ เจ้าชายในฝัน ของเธอบ้างล่ะ   คนเรามีสิทธิ์ที่จะฝันได้เท่าเทียมกันนี่นะ”

“แหม ! อยากรู้จริงว่า เจ้าชายในฝันของพวกผู้หญิงจะเป็นยังไงนะ”   เขารำพึงดังๆ “อย่างเรานี่พอจะมีลักษณะใกล้เคียงกับเจ้าชายในฝันของใครบ้างไหมหนอ”

พวงครามพินิจดุเขาอย่างเปิดเผย   หัวเราะดังๆ แล้วพูดตรงๆ ว่า   “แปลกจริงนะ บุษป์  ทุกครั้งที่ได้ยินคุณป้าสมรเรียกเธอว่า พ่อรูปหล่อ   ฉันอดหัวเราะไม่ได้สักที เพราะฉันไม่เคยเห็นว่าเธอจะหล่อสักทีในสายตาและความรู้สึกของฉัน”

บุษป์มองดูเธอ   ครึ่งฉิวครึ่งขัน  พูดว่า     “ฉันอยากจะคอยดูนักว่าผู้ชายในฝันของเธอจะขนาดไหน  จึงจะ หล่อสมใจ   เธอจะบอกให้รู้บ้างไม่ได้หรือ  ว่าเธอนึกวาดภาพพระเอกของเธอไว้ยังไง”

“ได้ซี ทำไมจะไม่ได้  ที่แน่นอนที่สุดว่าไม่ได้เหมือนเธอเลยแม้แต่นิดเดียว พระเอกของฉันจะต้องมีรูปร่างสูงสง่าล่ำสันสมชาย  ที่จริงเธอก็ล่ำสันดีอยู่หรอก   แต่ยังเตี้ยกว่าคนที่จะมาเป็นพระเอกของฉันตั้งฝ่ามือ   ใบหน้าของเขาเข้มคม สมเป็นแมน  แต่ในขณะเดียวกัน   ก็เจือความอ่อนโยนและเมตตากรุณาไว้ด้วย   เขาจะต้องเป็นคนที่รักความสะอาด   แต่งตัวประณีตเรียบร้อย และมีดวงตาที่มีแววพิเศษอย่างที่จะสามารถทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่น เป็นสุข และอ้า...   วาบหวามใจทุกครั้งที่มองสบตากับเขา”

“อู๊ย....”   บุษป์แกล้งร้องลากเสียงยาว พลางทำท่าขนลุก

“เดี๋ยว ยังไม่หมด”     พวงครามทำเป็นไม่เอาใจใส่ในการล้อเลียนของเขา “ยังมีอีกหน่อยหนึ่ง   คือฉันชอบคนผิวค่อนข้างคล้ำ แล้วก็ผมดำ  หยักศกนิดหน่อย   อันที่จริงผมของเธอก็ดำดีเหมือนกันนะ บุษป์   แต่เสียที่แข็งแล้วก็หยิกยังกับแปรง”

“ย่ะ ขอบใจที่อุตส่าห์ชมฉันเสียจนเกือบสะดุ้ง   เออ ดีละ   เราจะคอยดูซิว่าเธอจะต้องใช้เวลานานสักกี่สิบปีจะควานพบพระเอกในฝันคนนี้ของเธอ”

“ฉันก็จะคอยดูเหมือน กันว่าเธอจะหนวดหงอกเสียก่อนที่จะพบกับ นางในฝันของเธอหรือไม่”

“หนอย ถ้างั้นเรามาพนันกันไหมล่ะ ว่าใครจะได้พบคนในฝันของใครก่อนกัน”     บุษป์ท้า

นั่นเป็นเหตุการณ์ที่ล่วงเลยมาได้นานประมาณสักสองปีมาแล้ว   และเธอกับบุษป์ ก็ไม่ลืมที่จะล้อเลียนกันทุกครั้งที่ได้พบกัน   ว่าได้พบคนในฝันแล้วหรือยัง   แต่มาคราวนี้ พวงครามไม่มีโอกาสที่จะกระซิบถามเขา   ว่าแม่สาวน้อยนลินีคนนี้หรือ  คือนางในฝันของเขา   เพราะเมื่อได้พบกันวันนั้นแล้ว   เธอก็ไม่ได้พบกับบุษป์อีกเลย   จนกระทั่งเปิดภาคการศึกษาเทอมใหม่ และบุษป์กลับไปกรุงเทพฯ เตรียมตัวสอบครั้งสุดท้ายเพื่อรับปริญญา

วันเวลาผ่านไป  พวงคราเพลิดเพลินอยู่กับการขับเคี่ยวสอนหนังสือแก่เด็กนักเรียนตัวเล็กๆ ของเธอ จนลืมนึกถึงเรื่องนี้   จนกระทั่งการสอบไล่ประจำปีผ่านไปแล้ว   และเธอได้รับเชิญไปในงานที่จวนผู้ว่าราชการจังหวัดนั่นแหละ  พวงครามจึงได้หวนคิดขึ้นมาถึงเรื่องที่เธอกับบุษป์เคยพูดกันไว้นั้น   ทั้งนี้ก็เพราะว่าที่จวนผู้ว่าราชการจังหวัดนั่นเอง   ที่เธอได้พบกับชายคนหนึ่งเข้าโดยมิได้เคยคาดฝันมาก่อนเลย

เขาผู้นั้น มีลักษณะเหมือนกับชายในฝันที่เธอได้เคยนึกวาดภาพไว้ทุกประการ !

พวงครามรู้สึกสะดุดตาในเขาตั้งแต่นาทีแรกที่เขาปรากฏร่างเข้ามาในบริเวณสนามซึ่งใช้เป็นที่เลี้ยงอาหาร   ร่างของเขาดูสูงสง่าชวนมองยิ่งนัก  เขามีบุคลิกลักษณะที่แสนจะจับตาจับใจเธอซึ่งนั่งพินิจดูเขาอยู่เงียบๆ  ขณะนั้นพวงครามลืมสิ้นว่าเธอเป็นแม่ครูของลูกศิษย์ตัวน้อยๆ มีจำนวนหลายสิบคน   ความรู้สึกของเธอก็เป็นเช่นเดียวกันกับเด็กสาวทั่วๆ ไปที่ได้พบกับชายที่มีลักษณะถูกตาถูกใจเข้าเป็นครั้งแรก   และพอเธอได้สบสายตากับเขา   พวงครามก็แทบจะลืมอะไรๆ ทั้งหมดในโลกทีเดียว

ในที่สุดเธอกับเขาก็มีโอกาสรู้จักและสนทนากัน   เขาช่างเป็นชายที่เต็มไปด้วยเสน่ห์จับใจอะไรเช่นนั้น   เธอได้ความรู้ว่าเขาเป็นหลานชายของท่านผู้ว่าราชการจังหวัด   เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศและเพิ่งมายังจังหวัดนี้เป็น  ครั้งแรก   วันนี้เป็นวันแรกที่เขามาถึง แต่แม้กระนั้น  พวงครามก็รู้สึกว่า เขาได้หัวใจของบรรดาผู้หญิงสาวๆ ไปกำไว้แล้วเกือบจะทั่วทั้งจังหวัด

ดูเขาช่างอ่อนโยน  สุภาพและเอาอกเอาใจผู้หญิงเก่งเสียเหลือเกิน   พวงครามคิดขณะที่นั่งเฝ้ามองเขาอยู่   จากโต๊ะโน้นมาโต๊ะนี้   แจกจ่ายยิ้มและคำพูดทักทาย ล้อเลียนเป็นกันเองอย่างสนิทสนมไปอย่างทั่วถึง   พวงครามรู้สึกว่าเธอไม่ได้เข้าข้างตนเองแน่นอนที่คิดว่าดวงตาของเขาที่มองมาประสานกับดวงตาของเธอเมื่อถูกแนะนำให้รู้จักกันนั้น  ทอประกายพิเศษกว่าเมื่อเขามองดูผู้หญิงอื่น

“ผมไม่ยักคิดมาก่อนว่าที่เมืองนี้จะมีของสวยงามน่ารักถึงเพียงนี้”   เขาบอกกับเธอในขณะที่ทุกคนกำลังจะลุกขึ้นจากโต๊ะอาหารเพื่อขึ้นไปยังห้องโถงบนตึก ซึ่งถูกดัดแปลงให้เป็นห้องเต้นรำชั่วคราว

พวงครามมองดูเขา แล้วก็หันไปมองดูรอบๆ  ตัวเพื่อค้นหาสิ่งที่เขาพูดถึงนั้น   เธอได้ยินเสียงเขาหัวเราะเบาๆ แล้วบอกว่า

“อย่าไปมัวมองหาอยู่เลย   ผมหมายถึงคุณนั่นแหละ”

พวงครามเบิกตาโตเงยหน้าขึ้นมองดูเขา   แต่แล้วก็ต้องหลบลงต่ำทันทีที่ได้พบกับดวงตาอันเปล่งประกายประหลาดคู่นั้น   เลือดฉีดขึ้นใบหน้าและขมับจนร้อนผ่าวไปหมด   เธอได้ยินเสียงเขาพูดต่อไปว่า

“ไม่มีใครเคย บอกคุณมาก่อนเลยรึครับ   ว่าคุณสวยและน่ารักราวกับตุ๊กตางาไม่มีผิด”

พวงครามสั่นศีรษะ  เธอไม่รู้ว่าสุ้มเสียงหายไปไหนหมด   ขณะนั้นเธอกับเขากำลังจะเดินขึ้นบันไดไปบนตึก   ร่างอันสูงสง่าของเขาทำให้เธอรู้สึกคล้ายกับว่าได้กลับไปเป็นเด็กเล็กๆ อีกครั้งหนึ่ง   แทนที่จะเป็น “คุณครู” ตามที่ใครๆ รู้จัก

“รู้ไหม ว่าผมของคุณนี่ถูกใจผมจริงๆ เขาพูดต่อไป   “มันเป็นสีน้ำตาลแปลกตา มันระยับแล้วก็ดูอ่อนนุ่มราวกับกลุ่มไหม   หน้าตาท่าทางของคุณก็ดูแตกต่างไปจากผู้หญิงคนอื่นที่ผมเคยพบมาแล้ว เออ   คุณจะเต้นรำกับผมในเพลงแรกนี่ได้ไหม”

คราวนี้พวงครามเงยหน้าขึ้นมองดูเขาอย่างตกใจ   เธอรู้สึกอายเล็กน้อยเมื่อบอกกับเขาว่า “ดิฉันเต้นรำไม่เป็นหรอกค่ะ”    พร้อมกันนั้นก็รู้สึกเสียใจและเจ็บใจตัวเองเสียนี่กระไร อย่างไรก็ตาม พวงครามก็ไม่ต้องรู้สึกทุกข์ร้อนมากนัก   ในเมื่อคืนนั้น แม้ว่าเขาจะได้ผลัดเปลี่ยนเต้นรำกับสตรีอื่นๆ อยู่เกือบจะไม่ได้หยุดพัก   แต่ก็ยังไม่ลืมและทอดทิ้งเธอเลย   เมื่อเธอมองไปยังเขาทีใดก็เป็นได้ประสานสายตากับเขาทีนั้น แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังพยายามจะแวะเวียนมาเสมอทุกขณะที่มีโอกาส   ดังนั้นจึงไม่น่าที่จะต้องสงสัยเลยว่า เหตุใด แม้เมื่องานที่จวนผู้ว่าฯ   จะล่วงเลยไปแล้วกี่วันต่อกัน   แต่นามของเขา   ฤกษ์ไชย ก็ยังคงฝังใจเธออยู่ไม่รู้คลาย

ใครๆ ในจังหวัดได้เคยเห็นหลานชายของท่านข้าหลวงถีบจักรยามคู่กันไปกับครูพวงคราม ไม่ต่ำกว่าสามสี่ครั้ง   เด็กๆ มีข่าวไปเล่าให้ผู้ใหญ่ทางบ้านฟัง   ว่าตอนเย็นๆ   หลานชายท่านข้าหลวงมักจะไปรับครูพวงครามที่โรงเรียน   แล้วก็ถีบจักรยานไปเป็นเพื่อนเธอในเวลากลับบ้านเสมอ   และก็มีอยู่บางครั้งที่เขาไปรับเธอด้วยรถสปอร์ทคันหรูของเขา

“โดยมากมักเป็นเวลาที่คุณฤกษ์เธอกลับมาจากกรุงเทพฯค่ะ”   ตัวพวงครามเองได้ขยายความจริงข้อนี้แก่คุณป้าสมร ขณะนี้เธอกำลังไปขอถ่ายทอดวิชาปรุงและประดิษฐ์กับข้าวและขนมสมัยใหม่ต่างๆ ซึ่งคุณป้ามีฝีมือนักหนา

“หนูทำเป็นแต่พวกกับข้าวไทยๆ อย่างที่คุณแม่เคยสอนไว้เท่านั้น”   เธอให้เหตุผลแก่คุณป้าสมรอย่างอายๆ   “แต่คุณฤกษ์เธอไปอยู่เมืองนอกเมืองนามาเสียเกือบตั้งสิบปี   คุณป้าขา   ชื่ออาหารแต่ละอย่างที่เธอพูดออกมานั้นล้วนแต่ฟังดูหรูหราทั้งสิ้น   แต่หนูไม่มีความรู้เลย นอกจากจะตำน้ำพริก ทอดปลาทู แกงจืด แกงเผ็ด แกงคั่วไปตามประสาชาวบ้าน”

คุณป้าสมรถ่ายทอดวิชาให้อย่างเต็มใจ   แม้กระนั้น ใบหน้าท่าทางของท่านก็ไม่สู้จะสบายนัก ครั้งหนึ่งท่านเคยถอนใจดัง “เฮ้อ” ให้พวงครามฟังดังๆ แล้วบอกว่า  “เรื่องเจ้าลูกชายของป้ากับแม่เพื่อนสาวของมันยังไม่ทันจะทำให้ป้าหายกลุ้มใจดี   นี่ก็มีเรื่องของหนูพวงอีกแล้ว ป้ายังเดาไม่ถูกเลยว่ามันจะไปยังไงมายังไง  และลงเอยกันยังไง”

ขณะนั้นพวงครามกำลังหัดทำขนมอย่างใหม่อยู่   เธอไม่ยอมวางงานที่เธอกำลังทำ คือการตีไข่   ได้แต่เหลือบตามองดูคุณป้าสมรแล้วก็ตอบท่านว่า

“คุณป้าไม่น่าที่จะต้องกลุ้มอกกลุ้มใจอะไรเลยนี่คะ คุณป้าขา บุษป์ เขาพบนางในฝันของเขาแล้ว   และหนูก็... เอ้อ... คุณฤกษ์เป็นผู้ชายที่มีอะไรๆ ถูกใจหนูมาก”

“ป้าไม่เข้าใจเลยว่าผู้หญิงผู้ชายสมัยนี้เขาแต่งงานกันเพราะอะไร  เพราะเหตุว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเกิดไปมีลักษณะตรงกันเข้ากับ คนในฝันที่อีกฝ่ายหนึ่งนึกวาดภาพ เอาไว้เท่านั้นเองหรือ เดี๋ยวนี้ความเข้าอกเข้าใจกันไม่มีความหมายอะไรเสียแล้วรึไง   ความรักของหนุ่มสาวสมัยนี้น่ะ ดูออกจะเป็นเรื่องเพ้อๆ อยู่มากนา ป้าว่า”

พวงครามได้แต่มองดูท่านอย่างขันๆ   เธอรู้สึกว่าไม่น่าที่ผู้ใหญ่จะต้องพลอยวิตกเดือดร้อนไปกับการเลือกหาคู่ครองของลูกหลานสมัยนี้เลย   บุษป์หรือก็จะสำเร็จได้ปริญญาออกมาทำการทำงานอยู่ในปีนี้แล้ว   และเธอก็ทำหน้าที่อบรมเด็กๆ มาได้ถึงสองปีแล้วทีเดียว

วันหนึ่งเมื่อพวงครามไปยังบ้านของคุณป้าสมรเพื่อหัดทำขนมอย่างเคยนั้น   เธอได้พบบุษป์เข้าโดยไม่นึกฝัน   เขามาจากกรุงเทพฯ แล้วอย่างเงียบๆ  และคุณป้าสมรก็มิได้แจ้งข่าวการมาของ “พ่อรูปหล่อ” ของท่านให้เธอรู้อย่างเคย บุษป์ทักทายเธอย่างดีเหมือนเดิม แต่ว่าดูเขาเคร่งขรึมไป และมักจะมองดูเธอด้วยดวงตาสำรวจตรวจตรามากขึ้นกว่าเดิม

“ขนนนี่น่ากินจริงนะ”   บุษป์พูดขึ้นในตอนเย็นวันนั้น ซึ่งเป็นเวลาที่พวงครามทำขนมเสร็จแล้ว  และขณะนั้น   ทั้งสองกำลังนั่งเล่นกันอยู่ที่เก้าอี้ผ้าใบ ที่ลานหินหน้าบ้าน หันหน้าออกสู่ทะเลสีเขียวคราม มีโต๊ะเล็กๆ วางคั่นอยู่   บนโต๊ะมีน้ำชาวางอยู่คนละถ้วยและขนมที่พวงครามเพิ่งทำเสร็จวางอยู่ในจาน

“ลองกินดูซิ บุษป์”  พวงครามบอก   บุษป์ใช้ซ่อมตักขนมเข้าปากคำหนึ่ง แล้วบอกว่า

“อร่อย แต่บอกตรงๆ นะว่าฉันชอบกินขนมแบบไทยๆ เรามากกว่า  อย่างพวกสำปันนี  ฝอยทองกรอบ   ทองม้วน  กรอบเค็ม  อย่างนี้”

“ขนมพวกนั้นฉันเรียนรู้มาจากคุณแม่แล้วทั้งนั้น   แต่นี่...”

“ฮื่อ แม่บอกฉันแล้วละว่าเธอกำลังเตรียมตัวจะไปเป็นแม่บ้านให้ นายนักเรียนนอกคนหนึ่ง เขามีรูปร่างเหมือนกับพระเอกในฝันของเธอไหมพวงคราม”

พวงครามรู้สึกกระดาก จนแก้มจุดสีเลือด   แต่เธอก็ก้มศีรษะรับแล้วเสถามว่า   “แล้วเธอละบุษป์ มาคราวนี้ทำไมไม่ชวนนางในฝันของเธอมาด้วยอีก  เขาสวยดีจัง   ฉันชอบ พอมองเห็นแวบเดียวก็รู้ทันทีว่าเธอพบกับนางในฝันของเธอเข้าแล้ว”

บุษป์หัวเราะในลำคอ  ไม่พูดถึงเรื่องของเขาว่ากระไร   แต่กลับซักถึงเรื่องของเธอต่อไปว่า    “เขากับเธอตกลงทำความเข้าใจกันแล้วหรือ   อายไหม พวงคราม   ถ้าฉันจะถามเธอตรงๆ ว่าเขาสารภาพรักกับเธอหรือยัง”

พวงครามหน้าแดง  แต่บุษป์เป็นเพื่อนสนิทพอที่เธอจะบอบตรงๆ ได้ว่า     “ยังไม่ถึงขนาดนั้นหรอก   แต่ทว่าเราเคยพูดกันถึงเรื่องอะไรต่ออะไรต่างๆ อย่างที่... เอ้อ... นี่ฉันจะพูดยังไงดีเธอจึงจะเข้าใจ”

“ฉันเข้าใจแล้ว     เธอกับเขาคงช่วยกันต่อเติมวาดภาพวิมานในความฝันเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยน่ะซี  ใช่ไหมล่ะ   แล้วเธอเลยวิ่งโร่มาขอให้แม่ของฉันช่วยสอนให้เธอทำอาหารอย่างที่เขาชอบให้   เธอทำเก่งแล้วนี่  แม่บอกฉัน”

“แต่ฉันไม่ชอบทำนักหรอก”     พวงครามสารภาพ     “ฉันชอบทำกับข้าวของกินแบบไทยๆ เรามากกว่า   ไม่เบื่อ   แล้วก็สะดวกใจมากกว่ากันด้วย”

“ไม่เป็นไรน่า   ทำเพื่อความรักไม่เห็นน่าจะเป็นการฝืนอกฝืนใจอะไรเลยนี่นา แหม อยากเห็นหน้านายนักเรียนนอกคนนี้จริง”

“เขาเป็นหลานชายของท่านข้าหลวงที่นี่  วันหนึ่งเธอคงจะต้องได้พบกับเขา”  พวงครามบอก

“ดีละ ฉันสอบเสร็จแล้วและจะอยู่ที่นี่ต่อไปอีกนาน   คงจะได้มีโอกาสพบกับเขาเป็นแน่”

เมื่อถึงเวลาที่สองชายได้พบกันเข้าจริงๆ นั้น  พวงครามรู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่บุษป์มิได้แสดงความตื่นเต้นหรือประหลาดใจอะไรเลย  เขามองดูฤกษ์ไชยของเธอย่างธรรมดาคล้ายกับว่าเคยรู้จักกันมาแล้ว   จะหาทึ่งหรือสนใจปรากฏในดวงตาแม้แต่นิดหนึ่งก็ไม่พบ   และเมื่ออยู่กันลับหลังฤกษ์ไชย   บุษป์ก็กล่าวขึ้นมาลอยๆ ว่า

“นึกว่าใครที่ไหน   ที่แท้ก็พ่อนักเรียนนอกหน้าโก้ ขี่รถหรูคนนี้นี่เอง”

“เธอรู้จักเขามาก่อนแล้วหรือ บุษป์   แต่ไม่เห็นเขาทำท่าว่าเคยรู้จักกับเธอมาแล้วนี่”

ดวงหน้าซึ่งมีผิวค่อนข้างขาวของบุษป์แดงขึ้นเล็กน้อยจนเห็นได้ชัด   เขาหัวเราะห้วนๆ ในเมื่อบอกว่า   “เขาไม่รู้จักฉันหรอก  แต่ฉันรู้จักเขา   ชื่อเสียงเขา ออกหอมหวนทวนลมอยู่ในกรุงเทพฯ พวกผู้หญิงดูเหมือนจะพากันคลั่งไคล้ถึงแต่พ่อหนุ่มคนนี้ทั้งนั้น   แต่ที่ฉันเคยเห็นเขาบ่อยๆ น่ะ   ก็เพราะว่าเขาเคยขับรถคันโก้ของเขาไปรับเพื่อนของฉันที่มหาวิทยาลัย   มัทนากับนลินีไงล่ะ  เธอคงจำได้   สองคนพี่น้องที่เคยมาพักอยู่ที่นี่ นั่นแหละ   เขาเป็นลูกสาวรัฐมนตรี”

พวงครามรู้สึกว่าใบหน้าของเธอคงจะซีดหมดสีเลือดทีเดียว ขณะที่เธอเบิ่งตามองดูเขาอย่างนึกไม่ถึง และรู้สึกวูบวาบที่หัวใจจนบอกไม่ถูก ทั้งอ่อนเพลียและวาบหวิวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนเลย

“เธอหมายความว่า.. ว่า..  ” เสียงที่หลุดออกจากปากนั้นเหมือนกระซิบ   บุษป์เอื้อมมืออันแข็งแรงของเขามาตบลงบนหลังมือเธอเบาๆ  ปลอบว่า

“อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้เลยน่า พวง ใจเย็นๆ ไว้เถอะ  สังคมในกรุงเทพฯ เขาไม่ถือกันหรอก   เรื่องเล็กน้อยอย่างนี้   เขาอาจจะควงเล่นๆ ก็ได้ ใครจะรู้”

ถ้าหากฤกษ์ไชยควงคนอื่นเล่นๆ ได้  เขาก็คงจะควงเธอเล่นๆ เช่นเดียวกัน พวงครามคิด   และคำพูดเพ้อพร่ำต่างๆ ที่เขาเคยรำพันไว้กับเธอนั้นก็คงจะไม่เป็นจริงเป็นจังอะไรนัก นอกจากว่าเขาเพียงแต่จะแสวงหากำไรจากเวลาอันว่างเหลืออยู่เปล่าๆ เท่านั้นเอง   แต่ยังก่อน  เธอจะยังปลงใจเชื่ออะไรไปทีเดียวในขณะนี้ยังไม่ถูก   เธอควรจะคอยดูจนกว่าเหตุการณ์จะพิสูจน์ตัวของมันเองออกมาเสียก่อน

แล้วเรื่องราวก็ค่อยๆ คลี่คลายออกช้าๆ ในทางที่เธอนึกหวั่นใจ   มันเริ่มด้วยการที่ฤกษ์ไชยมิได้หยุดพักผ่อน หน้าร้อนอยู่ที่จังหวัดนี้ดังที่เขาได้บอกไว้กับเธอ

“เราจะลงเล่นน้ำทะเลด้วยกันทุกเย็น   แล้วก็เช่าเรือใบแล่นไปเที่ยวเกาะ  หรือไม่ก็ขับรถไปปิกนิกกันไกลๆ นะ ตุ๊กตางาของผม”     เขาเคยบอกกับเธอไว้เช่นนี้ แต่ครั้นเมื่อเขาได้ลาหยุดหน้าร้อนเข้าจริงๆ สิ   เขากลับบอกเธอว่า   “พวกเพื่อนๆ เขาชวนให้ผมไปตากอากาศกับเขา   เกรงใจเขาเหลือเกิน   เราไม่ได้พบกันนานมาแล้ว   จะปฏิเสธหรือก็น่าเกลียด   แต่ผมไม่ได้อยากจะไปกับเขาเลยเป็นความจริงนะคนดี   ผมอยากจะอยู่ใกล้ๆ กับตุ๊กตางาของผมมากกว่า”

เขาพูดเช่นนี้ ทั้งๆ ที่น้ำเสียงของเขานั้นมิได้แสดงความเสียใจ หรือเสียดมเสียดาย อะไรจริงจังไปตามคำพูดเลยแม้แต่น้อย   และยิ่งกว่านั้นก็คือ จากภาพและข่าวในหนังสือพิมพ์ไม่น้อยฉบับ ทำให้เธอรู้ว่า ที่แท้เพื่อนที่เขาพูดถึงนั้นก็คือ สองสาว มัทนาและนลินี   ธิดาของท่านรัฐมนตรีคนหนึ่งนั่นเอง

พวงครามเต็มไปด้วยความผิดหวังและท้อแท้   แม้กระนั้นเธอก็ยังเฝ้าติดตามข่าวของเขาด้วยความอดทน   จนกระทั่งเธอได้ยินข้าหลวงพูดเองในวันหนึ่งว่าหลานชายหัวแก้วหัวแหวนของท่านจะแต่งงานกับลูกสาวรัฐมนตรีแน่

“ลูกเต้าของผมก็ไม่มี”     ท่านข้าหลวงพูดถึงหลานชายให้คนอื่นๆ ฟังอย่างภาคภูมิและปลื้มอกปลื้มใจ   “มีอยู่ก็แต่เขานี่แหละ ผมเลี้ยงมาเหมือนกับลูกในไส้ ถ้าเขาจะฉลาดรู้จักแสวงหาอนาคตที่สดใสมีหลักมีฐานให้กับตัวเอง ผมก็พอใจและนอนตาหลับ”

วันนั้นพวงครามไปถึงบ้านของคุณป้าสมรด้วยอาการของคนที่เบื่อโลกและไม่มีชีวิตจิตใจ พบคุณป้ากับลูกชายของท่านนั่งอยู่ด้วยกันที่ห้องกระจก  พอเห็นเธอ   คุณป้าก็ร้องทักว่า

“ไงจ๊ะ หนูพวง   วันนี้เราจะทำอะไรกันดี   เอาบัญชีชื่ออาหารมาเปิดดูซีว่าหนูอยากจะทำอะไร”

พวงครามฝืนยิ้มทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้นวมตัวหนึ่งอย่างไม่มีแรง   บอกกับหญิงสูงอายุผู้ใจดีว่า     “วันนี้หนูจะมาเรียนคุณป้าว่าจะเลิกหัดทำขนมเสียทีละค่ะ   ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะหัดทำต่อไปอีกแล้ว”

คุณป้ามองดูเธออย่างตกตะลึงแล้วก็หันไปมองสบตาพ่อรูปหล่อของท่าน แล้วจึงพูดอย่างอ่อนโยนและกรุณาว่า

“ป้าเสียใจด้วยกับหนู   รอเดี๋ยวนะจ๊ะ   ป้าจะไปหาน้ำชาสักถ้วยกับขนมอร่อยๆ มาให้หนูสักชิ้น เป็นการปลอบขวัญที่เสียไป”

บุษป์มองตามร่างอันสมบูรณ์ของมารดาของเขาที่เดินออกไปจากห้องอย่างกระปรี้กระเปร่าไม่สมกับรูปร่าง   แล้วก็ลุกมานั่งข้างๆ พวงคราม   พูดเสียงอ่อยว่า    “ฉันเสียใจจริง พวง”

“ฉันก็ควรจะเสียใจกับเธอด้วย บุษป์  ถ้าหากว่าเธอชอบคนใดคนหนึ่งในสองสาวนั่นจริงๆ ฉันรู้มาแล้วว่าฤกษ์ไชยเขาจะแต่งงานกับคนหนึ่งในสองคนพี่น้องนั้นแน่”

บุษป์สั่นศีรษะ   “ฉันไม่ได้เสียอกเสียใจอะไรนี่   เมื่อก่อนนี้ฉันเคยชอบเขาจริงเพราะเขาเหมือนกับภาพที่ฉันเคยนึกวาดไว้ในใจ   แต่เมื่อได้คบกันนานๆ เข้า  ฉันจึงรู้สึกว่านิสัยใจคอบางอย่างของเราเข้ากันไม่ได้ อันที่จริงฉันรู้เค้ามานานแล้วละ   ว่าเขาจะไม่แต่งงานกับคนอย่างฉันแน่นอน  ถึงนายฤกษ์ไชยของเธอนั่นก็เหมือนกัน   ลุงของเขาเลี้ยงเขามาอย่างกับลูก   เขาก็จำจะต้องสนองคุณท่านด้วยการหาความมั่นคงให้แก่ตำแหน่งของท่าน   ใครๆ ที่กรุงเทพฯ ก็รู้กันทั้งนั้น”

“ถ้างั้นทำไมเธอจึงไม่บอกกับฉันเสียก่อนหน้านี้เล่า บุษป์”

เธอถามเขาตรงๆ   บุษป์มองดูเธอแล้วก็หลบลงมองดูพรมที่ปูหน้าเก้าอี้   บอกว่า     “ฉันไม่กล้าหรอกพวง   ฉันได้เคยพูดแย้มๆ ให้เธอฟังบ้างแล้วนี่   แต่ไม่ได้พูดออกมาตรงๆ เท่านั้น  ฉันกลัวเธอเสียใจ แล้วก็กลัวเธอคิดว่าฉันใส่ร้ายเขา”

“ทำไมฉันจึงจะคิดว่า เธอใส่ร้ายเขาเล่า บุษป์”   พวงครามถามอย่างสงสัย   บุษป์ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองดูเธอ  แต่ทว่าพวงครามเห็นว่าหน้าของเขาแดงเรื่อตลอดขึ้นมาถึงใบหู เขาอึกอักอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงตอบเธอว่า

“เพระ...   เพราะฉันรู้สึกชอบเธอมากเกินกว่าที่เธอเคยคิดน่ะซี พวงคราม”

พวงครามมองดูเขากึ่งตะลึงกึ่งอัศจรรย์ใจ   บัดนี้ดูเหมือนว่าเธอจะได้ลืมเรื่องราวกระทบกระเทือนใจที่เพิ่งได้รับรู้มาหยกๆ เสียสิ้นแล้ว   เธอนึกถึงคำพูด อันเป็นเชิงปรารภของคุณป้าสมรที่ว่า   สมัยนี้ความเข้าอกเข้าใยกันไม่เป็นของจำเป็นสำหรับหนุ่มสาวเสียแล้วหรืออย่างไร

“แต่บุษป์   ฉันไม่ได้มีอะไรที่คล้ายคลึงกับภาพนางในฝันของเธอเลยสักหน่อยนี่ ดูซีผมของฉันก็ไม่ดำ   รูปร่างของฉันก็ไม่ประเปรียว เป็นสง่าเตะตาใครๆ อย่างที่เธอชอบ”

บุษป์เงยหน้าขึ้นมองดูเธอ  ดวงตาของเขาแจ่มใสเมื่อเขาพูดว่า     “และเธอก็เหมือนกัน เธอหัวเราะเยาะฉันทุกครั้งที่แม่เรียกฉันว่า พ่อรูปหล่อ”

“แต่เธอก็โม่โกรธฉันนี่”

“นั่นซี ฉันเพียงแต่รู้สึกฉิวในบางครั้งเท่านั้น   แต่ไม่เคยนึกโกรธเธอสักที  ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นก็ไม่รู้”

พวงครามมองดูเขาอย่างครุ่นคิด   “เห็นจะเป็นเพราะว่า.....”

“เป็นเพราะว่าหัวสมองป้าจะได้ไม่ต้องยุ่งเหยิงอย่างแกงบวนอีกนั่นซี หลานเอ๋ย”   คุณป้าสมรผู้ซึ่งยกถาดใส่น้ำชาและขนมเข้ามาพูดขึ้นด้วยเสียงแจ่มใสและสบอารมณ์

พวงครามวางหนังสือเล่มนั้นลงบนโต๊ะเล็กข้างเตียง   แล้วพลิกกายหันมาทางคนที่นอนหลับสนิทอยู่ข้างกาย มีเสียงทารกร้องแอ๊ะ แอ๊ะ ขึ้นค่อยๆ ในห้องติดกันนั้น   แต่ก็ในทันทีนั้นเช่นเดียวกันที่เธอได้ยินเสียผู้ใหญ่ลุกขึ้นจัดการทำให้เงียบเสียงลงได้ในทันที   เธอยิ้มน้อยๆ อย่าง เป็นสุข คุณป้าสมรกำลังตื่นเต้นดีอกดีใจเป็นหนักหนาที่ได้หลานย่าเป็นผู้ชายพร้อมกันทีเดียวถึงสองคน แม้ใครจะพูดเป็นทำนองกล่าวหาว่าท่าน “เห่อ” หลาน ท่านก็ไม่โกรธ     และยังคงเป็นเจ้ากี้เจ้าการ รับภาระในการดูแลหลานแฝดเสียเองทุกสิ่งทุกอย่าง โดยที่ลูกสะใภ้ของท่านไม่ต้องอนาทรร้อนใจเลยแม้แต่น้อย   มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ลูกสะใภ้ของท่านอดรู้สึกขันมิได้ คือคุณป้าสมรได้เลิกเรียกลูกชายของท่านว่า พ่อรูปหล่อ เสียแล้ว   แต่กลับมาเรียกหลานชายตัวนิดๆ ทั้งสองนั้นแทน

“แต่แปลกเหลือเกิน”   พวงครามนึกพูดกับคนที่นอนหลับสนิทอยู่ข้างกายของเธอ “เดี๋ยวนี้ฉันกลับอยากจะเรียกเธอว่าพ่อรูปหล่อเสียเองแล้วละ”

เออ นี่ถ้าหากว่าเธอมีหน้าที่ตอบปัญหาหัวใจในนิตยสารฉบับนั้นเธอจะตอบว่ากระไร   เธอคิดว่าเธอจะตอบ จดหมายของแม่หญิงผู้ใช้นาม “อิสตรี” นั้นไปว่า.....อย่าดีกว่า   พวงครามคิดว่าเธอจะยังไม่แจงสี่เบี้ยกับความคิดของตัวเองละว่าเธอจะตอบอย่างไร   เธอจะคอยดูเสียก่อนว่า “อาภัสรา” จะตอบแม่หญิงคนนั้นอย่างไร  จะตรงกับความคิดของเธอหรือไม่ พวงครามเอื้อมมือไปดับไฟที่หัวเตียงแล้วลืมตาครุ่นคิดอยู่ในความมืดว่า   “อาภัสรา”   จะตอบปัญหาของ “อิสตรี” ว่ากระไรหนอ

จากนิตยสาร ศรีสัปดาห์........