สุภาว์ ราชินีเรื่องสั้น | |
7 | ทายาทของยายพลอย |
15 | พรานติดแร้ว |
16 | วจีกรรม |
22 | กรรม |
28 | ในฝัน |
29 | แท้กซี่ |
30 | ยายบัว |
31 | ระหว่างกากับหงส์ |
34 | กรรมของสัตว์ |
35 | ชบาแดง |
36 | แดงเพลิง |
38 | เรื่องรักๆ |
39 | เคียงขวัญ |
40 | ผู้พิทักษ์ |
41 | ห้องดำ |
42 | เมืองคนโม้ |
43 | พระเอกของธารี |
44 | เพราะฉันรักเธอ |
45 | กำไล |
50 | กรรมใดใครก่อ |
หน้าที่
1/3 |
เพียงก้าวขึ้นพ้นบันไดสามขั้นของเฉลียงหน้าบ้าน วิริยะก็ได้ยินเสียงมารดาของเขาร้องบอกออกมาจากในห้องรับแขกว่า
“มาแล้วซี พ่อพระเอก เลยเข้ามาในนี้เลยเถอะจ้ะ มีแขกเหรื่อเขามาคอยพบอยู่น่ะ”
ดังนั้น แทนที่จะเดินเลยเข้าไปในประตูกลาง วิริยะจึงถอดรองเท้าไว้ที่ริมบันไดชิดลูกกรงใกล้กับรองเท้าอีกคู่หนึ่งซึ่งวางอยู่ก่อนแล้ว เลี้ยวซ้ายเดินเข้าไปในห้องรับแขก ยกมือขึ้นทำความเคารพชายที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หวายตัวยาว ทักว่า
“พี่ธัชมานานแล้วหรือครับ ผมไม่รู้นี่ว่าจะมาวันนี้ ไม่งั้นก็รีบกลับมาเสียนานแล้ว นี่รับประทานอะไรมาแล้วหรือยัง”
เขาถามพร้อมกับทิ้งตัวลงบนเก้าอี้อีกตัวหนึ่งในลักษณะกางมือกางขา คล้ายกับว่ามีความเหนื่อยอ่อนเสียเต็มประดา ผู้ที่เขาเรียกว่าพี่ธัชตอบว่า
“เรียบร้อยแล้ว คุณน้าเลี้ยงข้าวมันส้มตำพี่เสียพุงกางไปแล้ว”
เกือบจะพร้อมๆ กับที่ผู้เป็นมารดา ของเขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แสดงความ “หมั่นไส้” ออกมาว่า “เขาเห็นว่าวันนี้เป็นวันเสาร์นึกว่าแกจะกลับบ้านแต่วี่แต่วัน เขาก็เลยแวะมาเยี่ยมเยียนถามทุกข์สุขดูน่ะซียะ หารู้ไม่ว่าพ่อไปทำท่าพระเอกอยู่เสียที่ไหน นี่ เด็กๆ เอ๊ย นังแวว เจ้าเพียน หายหัวไปไหนกันหมด มาถอดถุงเท้าให้คุณวิทีซิ”
วิริยะรีบทรงกายลุกขึ้นนั่งพลางโบกมือ “ไม่ต้องครับคุณแม่ ผมถอดของผมเองได้” เขาก้มลงดึงถุงเท้าออกแล้วเลยกองไว้ตรงขาเก้าอี้ “วันนี้คุณแม่ทำข้าวมันส้มตำหรือครับ เก็บเอาไว้ให้ผมบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ พอได้ยินเท่านั้นท้องชักจะร้องบอกว่าหิวอีกแล้ว”
ผู้เป็นมารดาค้อนให้ราวกับว่าท่านเป็นสาวรุ่นๆ “มันน่าเก็บไว้ให้นักนี่ ของแม่มันจะเอร็ดอร่อยอะไร้ จะสู้ฝีมือแม่นางเอกของแกได้หรือ ว่าแต่จะกินจริงๆ หรือยังไง จะได้บอกให้เด็กมันยกออกมาให้”
วิริยะอดหัวเราะไว้ไม่ได้ “คุณแม่ของผมละน่ารักอย่างนี้แหละ” เขาหยอดลูกประจบเข้าให้ไว้ก่อนที่จะปฏิเสธว่า “ยังไม่ต้องเดี๋ยวนี้หรอกครับ ไว้ตอนบ่ายๆ ดีกว่า ตอนนี้ขอคุยกับพี่ธัชก่อน พี่ธัชคุยอะไรให้คุณแม่ฟังแล้วบ้างครับ”
“จะเรื่องอะไร้ ก็เรื่องแม่นางเอกของแกน่ะซี้” มารดาตอบ
“นางเอกของผม” วิริยะทวนคำพลางขมวดคิ้ว ความสนใจจุดขึ้นในดางตา “พี่ธัชคุยถึงนางเอกของผมว่ายังไงครับ”
เขามองดูดวงหน้าของผู้มีศักดิ์เป็นพี่ แต่ก่อนที่ฝ่ายนั้นจะทันให้คำตอบ มารดาของเขาก็ร้องแทรกขึ้นมาเสียก่อนด้วยเสียงค่อนข้างแหลมว่า
“อ้อ นี่ตกลงแปลว่ายอมรับละหรือว่าแม่นั่นเป็นนางเอกของตัว?” ท่านหวังว่าเขาจะปฏิเสธในคำกล่าวหาชนิดซ้อมค้างนั้น แต่เมื่อเขาไม่ปฏิเสธ ซ้ำยังทำท่าคล้ายจะโมเมรับเอาเป็นจริงจังเสียด้วยซ้ำ ก็เลยทำให้บังเกิดความพื้นเสียขึ้นมาทันที ตีโพยตีพายต่อไปว่า “ไม่เอานะ ตาวิ แม่ไม่ยอมนะ แกจะหลับหูหลับตาไปคว้าเอานังแม่นั่นมาจริงๆ ไม่ได้เป็นอันขาดทีเดียว แม่ไม่ยอมจริงๆ ด้วย”
ชายหนุ่มจุปาก หัวเราะค่อยๆ อย่างรู้สึกขันแกมยุ่งยากใจ
“อะไรกันครับ คุณแม่ พูดกันยังไม่ทันจะรู้เรื่องอะไรเลยคุณแม่ก็เอะอะตีโดยตีพายเสียก่อนแล้ว ใครนะครับพี่ธัช ที่คุณแม่บอกว่าเป็นนางเอกของผม”
“อย่ามาทำไขสือ” มารดาของเขาเอ็ดแว้ดขึ้นมาเสียก่อนที่ธัชจะทันได้อ้าปากพูดตามเคย “จะมีใคร้ ก็มีแต่นังครูสาวที่แกไปทำก้อร่อก้อก้อติดอยู่ทุกวี่ทุกวันนั่นแหละ พ่อธัชเขาเห็นแกเดินหิ้วของตามหลังมันต๊อกๆ อยู่แถวบางลำภูเมื่อวานนี้”
ชายหนุ่มทำเสียงในลำคอย่างเข้าใจ พลางมองดูหน้าผู้เป็นลูกพี่ด้วยสายตาคล้ายจะถามว่า นี่แหละหรือ คือทุกข์สุขที่ทำให้ต้องแวะมาเยี่ยมเยียนถามข่าวคราว อันทำให้อีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งอ่านความหมายในสายตานั้นออก รู้สึกร้อนตัว รีบให้คำอธิบายว่า
“พี่ไม่เคยรู้จักผู้หญิงคนนั้นมาก่อนหรอกนะ วิริยะ เรื่องมันมีอยู่เพียงว่า เมื่อวานนี้พอเลิกจากงานแล้ว พี่กับเพื่อนคนหนึ่งก็มานั่งกินแกแฟอยู่แถวบางลำพู พอดีเห็นเธอเข้า พี่จึงชี้ให้เพื่อนของพี่ดูแล้วบอกว่า นั่นไงน้องผม เพื่อนพี่เขากลับถามว่า “อ้อนั่นนะน้องคุณเรอะ เป็นแฟนของแม่สาวคนที่เดินนวยนาดอยู่ข้างหน้านั่นหรือไง” พี่ก็บอกว่า “ผู้หญิงเป็นใครก็ไม่รู้ ผมไม่รู้จักหรอก แต่ถึงเขาจะเป็นแฟนกันก็ไม่แปลกไม่ใช่เรอะ แม่สาวน้อยคนนั้นก็หน้าตาจิ้มลิ้มไม่เลวเลยทีเดียว” เพื่อนพี่เขาก็หัวเราะฮิๆ บอกว่า “ไอ้เรื่องหุ่นน่ะ ของหล่อนหล่อเหลาพอที่จะพาออกโชว์โดยไม่ต้องอายใครเขาแน่ แต่ทว่าหล่อนยังมีน้องนุ่งที่จะต้องส่งเสียเลี้ยงดูอีกถึงสามคน”
“เลี้ยงเมียคนเดียวยังไม่พอ ยังน้องเมียอีกถึงสามคน แกมิเหลือแต่หนังหุ้มกระดูหรือยะ ตาวิ” มารดาเขาว่า
“ผมคิดว่าลำพังรายได้ของผม พอจะเลี้ยงน้องของหล่อนได้ถึงห้าคนด้วยซ้ำไปครับ คุณแม่” วิริยะตอบด้วยเสียงเคร่งขรึมอันทำให้มารดาของเขาถึงกับต้องร้องออกมาว่า
“อกจะแตก จัดแจงตีวงกั้นทีเดียวนะ มันไม่ชั่วแต่เท่านั้นน่ะซี พ่อคุ้น เอ้า ฟังพ่อธัชเขาเล่าต่อไปก่อนดีกว่า”
วิริยะแปรสายตาไปที่พี่ชาย ถามเรียบๆ ว่า “พี่ธัชยังมีความรู้อะไรเกี่ยวแก่ช่อผกาอื่นหรือครับ”
ลูกพี่ของเขากระแอมอย่างอึดอัดใจ “เพื่อนพี่เขาพูดต่อไปว่า “ลำพังแค่เพียงน้องสามคนน่ะยังไม่กระไรนัก แต่น้องชายคุณไม่รู้ดอกรึว่าพ่อของหล่อนเป็นบ้า แม้แต่เดี๋ยวนี้ก็ยังอยู่ในโรงพยาบาลบ้า.... นี่แหละ วิริยะก็เป็นญาติสนิทของพี่แท้ๆ เธอคงจะไม่คิดว่าพี่เสือกเกินไปหรอกนะ ที่เกิดเป็นห่วงเธอขึ้นมา”
“คิดยังงั้นได้เรอะ” มารดาของวิริยะว่า “ขืนคิดยังงั้น แกมันก็เป็นคนอกตัญญูละ ตาวิ จะว่ายังไง แม่ไม่ยอมหรอกนะ จะแต่งกับผู้หญิงคนไหนแม่ก็ไม่ว่า ขอให้เป็นคนดีก็แล้วกัน แต่สำหรับแม่คนนี้น่ะขอเสียที เขาว่าโรควิกลจริตนี่น่ะมันเป็นกรรมพันธุ์ ลองพ่อแม่เป็นบ้าแล้วละก็ลูกหลานก็ไม่แคล้วไปได้ แม่ยังไม่อยากเห็นหลานของแม่เป็นบ้า แกก็เหมือนกัน แกคงไม่ต้องการเห็นลูกเห็นเมียแกเป็นบ้าคุ้มคลั่งไม่ใช่รึ ตาวิ”
วิริยะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ยกมือขึ้นลูบคาง ในดวงตาเต็มไปด้วยแววครุ่นคิดและยุ่งยาก เขาพึมพำว่า “ช่อผกาไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้กับผมเลย”
“เพื่อนพี่เขาบอกว่า....” ธัชเล่าต่อ “แต่แรกน้องชายของเขาก็เคยไปติดพันแม่ผู้หญิงคนนี้อยู่เหมือนกัน ไม่ชั่วแค่เขาคนเดียวหรอก ยังมีใครต่อใครอีกหลายคน ก็หล่อนเป็นคนสวยนี่ พวกผู้ชายก็ต้องชอบผู้หญิงสวยด้วยกันทั้งนั้น แต่พอเขารู้เข้าว่าพ่อของหล่อนเป็นบ้า เขาก็รามือกันไปตามๆ กัน โรควิกลจริตนี่มักจะติดต่อกันโดยเป็นกรรมพันธุ์ จริงอย่างคุณน้าว่า วิริยะ พี่คิดว่าถ้าจะเกิดความเศร้าโศกเสียใจกันขึ้นแล้ว เธอก็ควรจะยอมเศร้าเสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้ยังจะมีวันหาย แต่ถ้าเธอจะยอมให้เกิดความเศร้าขึ้นมาในภายหลังแล้ว เธอก็จะต้องเศร้าและเสียใจจนตาย.!”
วิริยะไม่โต้ตอบว่ากระไร เขาเฝ้าแต่พึมพำว่า “ทำไมช่อผกาจึงไม่เล่าให้ผมฟังถึงเรื่องนี้”
“เขาจะเล่าให้แกฟังเรื่องอะไร” มารดาของเขาอดอยู่ไม่ได้ที่จะไม่แสดงความหมั่นไส้ออกมา “เขาหวังจะตะครุบแกไว้นี่ ขืนเล่าให้แกฟังแกก็จะได้กระโจนหนีเหมือนอย่างคนอื่นๆ น่ะซี”
ถ้อยคำของมารดา และคำบอกเล่าของธัช ลูกผู้พี่ดังก้องอยู่ในหูของวิริยะคลอดคืนนั้น ช่อผกา ผู้หญิงคนเดียวที่เขาใส่ใจนิยมชมชอบน่ะหรือมีบิดาวิกลจริต หล่อนไม่เคยปริปากระแคะระคายให้เขารู้เลยแม้แต่น้อย จะเป็นเป็นไปได้ไหม ที่หล่อนอาจมีเจตนาอย่างที่คุณแม่ว่า โอ ช่อผกา แม่สาวน้อยแสนสวยที่มีดวงหน้าอันงดงามอ่อนหวาน มีดวงตาที่อ่อนโยนมองดูซื่อบริสุทธิ์ หล่อนจะมีดวงใจที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม ฉลาดแกมโกงถึงเพียงนั้นเทียวหรือ
เช้าวันอาทิตย์ วิริยะตื่นขึ้นมาด้วยจิตใจที่หงุดหงิดไม่ผ่องใสเช่นที่เคยมา รู้สึกว่าโลกที่ตนเองอยู่นั้นช่างเต็มไปด้วยสรรพสิ่งที่น่าเบื่อหน่ายไม่ถูกอารมณ์เสียเลยแม้แต่น้อย เขาตั้งใจว่าอาทิตย์นี้จะไม่ออกไปไหน จะนอนอยู่กับบ้านเสียทั้งวัน แต่ความตั้งใจนี้ดำรงอยู่ได้ไม่นานนัก ความร้อนรุ่มกระวนกระวายใจมีอำนาจเหนือกว่า จึงในที่สุดเขาก็ต้องลุกขึ้น อาบน้ำแต่งตัวออกจากบ้านไป
ต่อจากนั้นไม่นานนัก เขาก็มาถึงบ้านของหญิงที่ใส่ใจรักแต่ก็หาได้พบหล่อนไม่
“พี่ผกาออกไปตั้งแต่เช้าแล้วครับ” น้องชายของหล่อนซึ่งออกมาต้อนรับบอก “เชิญคุณวิริยะนั่งคอยก่อนซิครับ ประเดี๋ยวพี่ผกาก็คงกลับ เห็นบอกผมเอาไว้ว่าจะกลับก่อนเที่ยง”
น้องชายและหญิงอีกสองคนของช่อผกาเข้ามาสมทบในการสนทนาด้วย เพราะตามปกติวิริยะเป็นผู้ที่มีอารมณ์ดีและมีศิลปะในการพูดคุยจนกระทั่งทำให้เด็กๆ ชอบเขา แต่มาในวันนี้ เขาเต็มไปด้วยความหงุดหงิดจนเด็กๆ สังเกตเห็น จึงในไม่ช้า เมื่อคำถามของคนไม่ได้รับคำตอบหรือถูกบอกปัดบ่อยๆ เข้า เด็กๆ ก็เริ่มรู้สึกครั่นคร้าม ค่อยๆ เลี่ยงออกไปจากห้องทีละคน คงเหลือแต่น้องชายคนโตของช่อผกา ที่ยังคงต้องทนนั่งอยู่ ตามมารยาทที่ดีของเจ้าของบ้าน ดังที่พี่สาวได้สั่งสอนเอาไว้
วิริยะไม่มีแก่ใจจะพูดคุยอย่างเคย เขานั่งเผาบุหรี่มวนแล้วมวนเล่า เขากดขยี้ก้นบุหรี่ลงกับที่เขี่ย ลุกขึ้นยืนแล้วบอกกับน้องชายของหญิงสาว ซึ่งนั่งเงียบอยู่ตลอดเวลานั้นว่า
“ผมจะกลับละ คุณจะบอกกับช่อผกาก็ได้ว่า....”
“บอกช่อผกาว่ายังไงคะ”
เสียงหวานใสดังขึ้นที่หน้าประตู วิริยะหันขวับไปทางนั้นทันที พร้อมกันกับที่หนุ่มน้อยน้องชายของหล่อนผลุดลุกขึ้นยืน สีหน้าแสดงความโล่งใจแล้วก็รีบเลี่ยงออกไปจากห้องนั้น
“คุณวิริยะมีอะไรจะบอกกับดิฉันหรือคะ” หญิงสาวถามขณะที่เดินผ่านห้องเข้ามาวางของที่ถืออยู่ในมือลงบนโต๊ะ แล้วหล่อนจึงได้หันมายิ้มกับเขาอย่างอ่อนหวาน “มานานแล้วหรือคะนี่ ดิฉันคิดว่าคุณจะมาบ่ายๆ เสียอีก เลยเถลไถลเรื่อยเปื่อยไป”
“ไม่รู้นี่ ผมคิดว่าวันนี้เป็นวันอาทิตย์คุณคงจะอยู่บ้านทั้งวัน คุณไปเที่ยวที่ไหนมา ช่อผกา บอกผมบ้างได้ไหม ไปเที่ยวตลาดนัดมารึ”
“ไม่ได้ไปตลาดนัดดอกค่ะ” หล่อนบอก มองดูหน้าเขาอย่างยับยั้งชั่งใจก่อนที่จะลดเสียงลง เมื่อพูดว่า “ดิฉันไปเยี่ยมคุณพ่อมา”
“เยี่ยมคุณพ่อ!” วิริยะอุทานด้วยเสียงค่อนข้างดัง หญิงสาวซี้ดปากด้วยท่าทางตกใจ หล่อนใช้นิ้วมือแตะที่ริมฝีปากเขา กระซิบว่า
“จุ๊ จุ๊ เบาหน่อยค่ะ นี่เป็นความลับ น้องๆ ไม่มีใครรู้เลยว่าคุณพ่อยังมีชีวิตอยู่”
“แต่ ช่อผกา” เขากระซิบด้วยเสียงร้อนรน จับมือหล่อนจูงแกมดึงไปที่หน้าต่าง “ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าคุณพ่อเธอยังมีชีวิตอยู่ ท่านไม่ได้อยู่ในบ้านนี้ด้วยดอกหรือ ท่านอยู่ที่ไหนกันเล่า”
หญิงสาวค่อยๆ ดึงมือจากมือเขาไปประสานกัน นัยน์ตาตกลงมองพื้นเป็นครู่ใหญ่ หล่อนจึงได้เงยหน้าขึ้น บอกกับเขาว่า “ท่านอยู่ที่โรงพยาบาลค่ะ วิริยะ ใครๆ เขาว่าท่านเป็นบ้า”
วิริยะทิ้งมือทั้งสองข้างลงข้างกาย บอกไม่ถูกว่าขณะนั้น ความรู้สึกของเขาเป็นอย่างไร ดีใจหรือเสียใจหรือโล่งใจ ดูมันระคนปนเปสับสนกันจนแยกไม่ออก เขามองดูหล่อนนิ่งอยู่เป็นครู่จึงได้กล่าวว่า
“ผมไม่เคยได้รู้เรื่องนี้มาก่อนเลย ทำไมคุณไม่บอกผมช่อผกา”
“ก็คุณไม่เคยถาม” หล่อนว่าพลางฝืนยิ้ม “แต่อย่างไรก็ตามบัดนี้คุณก็ได้รู้แล้ว คุณจะว่าอย่างไรบ้างคะ วิริยะ”
วิริยะมิได้ตอบคำถามของหล่อน เขาหาคำตอบไม่ได้
หญิงสาวมองดูเขานิ่งอยู่ ในไม่ช้าความโทมนัสก็ปรากฏขึ้นที่ดวงหน้าของหล่อน เมื่อหล่อนพูด เสียงของหล่อนเต็มไปด้วยความขมขืนเจ็บช้ำจนฟังได้ถนัด
“ในที่สุด สิ่งที่ดิฉันหวั่นก็กลายเป็นจริงขึ้นมา ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป คุณก็จะไม่ย่างเหยียบมาที่นี่อีก ไม่ต่างกับคนอื่นเลย วิริยะ ดิฉันอ่านความยุ่งยากใจในดวงตาของคุณออก สำหรับคนอื่นดิฉันไม่แคร์ แต่สำหรับคุณ....” เสียงของหล่อนขาดหายไปในลำคอ สั่นระริก ไม่ผิดเสียงสั่นสะอื้นลึกในลำคอเมื่อหล่อนบอกกับเขาว่า “กลับไปเสียเถิด วิริยะ ถ้าจะต้องจากกันแล้ว ก็ได้โปรดจากไปเสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้”
ชายหนุ่มมองดูหล่อนอย่างยุ่งยากใจ ร่างแน่งน้อยที่ยืนหันหลังให้อยู่นั้นสั่นสะท้านแม้จะไม่มีเสียงคร่ำครวญสะอึกสะอื้น เขาร่ำๆ จะเข้าไปประคองรับขวัญและปลอบประโลมหล่อน แต่อีกใจหนึ่งรั้งไว้ ควรหรือที่เขาจะปล่อยอารมณ์ไปกับเหตุการณ์เฉพาะหน้า อนาคตสิเป็นเรื่องที่จะต้องใคร่ครวญไตร่ครองให้จงหนัก ธัช พี่ชายของเขาพูดถูก ที่ว่าถ้าหากว่าจะต้องมีการโศกเศร้าเสียใจกันแล้ว ก็ควรที่จะปล่อยให้มันเกิดเสียแต่บัดนี้ ดีกว่าที่จะเกิดขึ้นในภายหลัง ซึ่งอาจจะต้องเสียใจไปจนวันตาย
วิริยะมองดูหล่อนนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ แล้วก็ก้มหน้า หักใจเดินจากมโดยมิได้หันกลับไปมองอีก หล่อนอาจจะยังคงอยู่ที่เดิมข้างหน้าต่างบานนั้น และมองตามหลังเขามา แต่หล่อนก็มิได้ร้องเรียกให้เขากลับไป ไม่มีแม้แต่เสียงสะอื้นกระซิกกระซี้ แต่แน่ละ ถ้าหากว่าความรู้สึกของหล่อนตรงกับของเขา ป่านฉะนี้หัวใจของหล่อนก็คงจะต้องสะอื้นเช่นหัวใจของเขานี้ดุจกัน
“เฮ้ เจ้าวิ หน้าตาเหี่ยวแห้งเทียวเว้ย เป็นอะไรไป ถูกคู่รักหักอกมารึ”
วิริยะฝืนยิ้ม ทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของผู้ที่ส่งเสียงร้องทักเขาอย่างเพลียๆ บอกว่า “หมอ อั๊วมีเรื่องที่ต้องขอความช่วยเหลือจากลื้ออย่างหนึ่ง”
“อ๋อ ใช่แน่ ฉันรู้แล้ว ไม่งั้นแกก็ไม่ลากสังขารโผล่หัวมาหาฉันถึงนี่หรอก ว่าแต่ใช่ไหมละ แกถูกคู่รักหักอกเลยพาลจะเป็นบ้า เลยต้องรีบมาให้ฉันรักษาเสียแต่เนิ่นๆ”
“อุบ๊ะ แกนี่มันจะเกณฑ์ให้ฉันเป็นบ้าให้ได้เทียวนะ ถามจริงๆ เถอะวะ หมอ นี่แกเที่ยวสันนิษฐานเฮงซวยแบบนี้ใส่หน้าใครๆ ที่เขามาหาแกที่นี่เสียหมดงั้นเรอะ”
“เฮ่ย มันก็ต้องพิจารณาเป็นรายๆ ไป อย่างแกงี้ละก็ใช่แน่ๆ ว่าไง ใช่ไหม ยอมรับไหมล่ะว่าที่หน้าเกรียมอยู่นี่น่ะ เพราะโดนแมงกะพรุนไฟรูปหัวใจเข้าแล้ว”
“อ้ายบ้า” ทั้งๆ ที่กำลังไม่สบายใจอย่างเอก วิริยะก็ยังอดหัวเราะมิได้ “ศัพท์ของแกละมันเหลือเกิน สมเป็นหมอโรคจิตจริงนิ นี่แน่ะ แกมีคนไข้ที่ใช้นามสกุลอย่างนี้ไหม”
เขาระบุนามสกุลของช่อผกา เพราะไม่รู้จักนามบิดาของหล่อน พอได้ยิน สหายของเขาก็รับว่า
“มีซี แต่แกเป็นคนไข้ของที่นี่มาก่อนที่ฉันจะมาประจำอยู่นานนักหนาแล้ว เป็นคนไข้ของผู้อำนวยการว่ะ ดูเหมือนอยู่มาตั้งสิบปีกว่าแล้วละมั้ง ทำไม แกมีธุระอะไรกันตานี่เรอะ”
“อาการแกเป็นไงมั่ง”
“ก็ไม่เห็นเป็นไงนี่ แกเป็นคนที่จัดอยู่ในจำพวกดีที่สุดในกระบวนคนบ้า แต่จะเป็นคนบ้าที่สุดในกระบวนคนดีหรือเปล่าฉันไม่รู้นะ เพราะคนสมัยนี้ บางคนก็ว่าตัวเป็นคนดี แต่ว่า...”
“คัทโว้ย” วิริยะร้องเสียงดังจนบุรุษพยาบาลที่เดินผ่านหน้าห้องไปหยุดชะงักหันกลับมามอง “ฉันว่าว่างๆ ลองตรวจตัวแกเองดูเสียมั่งเป็นไงหมอ พุทโธ่! เราอยากรู้อาการของคนไข้ดันทะเล้นไปอธิบายเรื่องอะไรก็ไม่รู้ ว่ามาซี จะบอกหรือไม่บอก”
“บอกซี บอกซี แกนี่มันใจน้อยจริงโว้ย รู้ไหม คนที่ใจร้อน หงุดหงิด โกรธง่าย เจ้าโมโหโทโสนั้นน่ะมีอาการขั้นต้นของโรคจิตชนิดหนึ่งแล้วละ หรือคนที่ชอบคิดฟุ้งซ่านจนไม่เป็นอันกินอันนอนก็เหมือนกัน”
วิริยะมองดูหน้าเพื่อน ทำตาปริบๆ เพราะพูดอะไรไม่ถูก สักครู่ก็ส่ายหน้าช้าๆ พลางพูดปนหัวเราะว่า “ไปแน่แล้วแก คุณหมอจ๋า สงบสติอารมณ์เสียบ้างซีแก แล้วลองบอกมาซิว่าอาการของคนไข้ที่ฉันอยากรู้น่ะเป็นยังไง”
นายแพทย์หัวเราะหึๆ อย่างอารมณ์ดี ตอบหน้าตาเฉยว่า “ฉันก็ไม่เห็นว่าแกจะเป็นยังไง”
“หือ แกหมายความว่ายังไงนะหมอ”
“ก็หมายความว่าแกก็เหมือนๆ อย่างคนธรรมดานี่แหละ พูดคุยอะไรกันก็รู้เรื่องดี ขออยู่อย่างเดียวเท่านั้น คืออย่าให้แกอยู่คนเดียวว่างๆ โดยไม่มีอะไรทำ เพราะแกเป็นคนชอบคิด พอคิดแล้วละก็เป็นร้องห่มร้องให้โฮๆ สะอึกสะอึ้นรำพันไปครึ่งค่อนวันทีเดียว เราต้องชวนแกคุย หรือไม่ก็ขนหนังสือไปให้แกอ่านอยู่ตลอดเวลาไม่มีหยุดจนกว่าแกจะง่วงหลับไปเอง ถ้าวันไหนแกไม่มีหนังสือละก็วันนั้นเป็นอันว่า คนอื่นแทบไม่ต้องได้หลับได้นอนกันละ ตอนหลังพวกเราก็เลยรู้แกว ถ้าวันไหนเราไม่มีหนังสือให้แกอ่านละก็วันนั้นเราต้องให้ยานอนหลับแก”
“กัน... กันอยากจะลองคุยกับแกดูสักหน่อยจะได้ไหม” วิริยะถาม นายแพทย์ผู้เป็นสหายมองหน้าเขาด้วยความประหลาดใจ
“เกิดนึกอะไรขึ้นมาล่ะ หรือว่าจะมาหาเรื่องราวแปลกๆ ไปเขียนหนังสือขาย กับตาคนนี้น่ะไม่เป็นไรหรอก แต่กับคนไข้อื่นอย่าเสี่ยงเลยน่าแก ดีไม่ดีเดี๋ยวถูกฟัดตายโหง”
“เฮ่ย ฉันอยากจะพูดกับรายที่ว่านี่คนเดียวเท่านั้นแหละ เพราะฉัน... เอ้อ... มีเรื่องอะไรเกี่ยวข้องกับแกนิดหน่อย แล้ววันหลังจะบอกให้แกรู้ ว่าไงอนุญาตไหมครับ คุณหมอ”
นายแพทย์มองดูเขาอย่างตรึกตรอง ครู่หนึ่งจึงพยักหน้าอย่างตัดสินใจ “เอาวะ” คุณหมอว่า “เขาเป็นคนไข้ของผู้อำนวยการ แต่เวลานี้ผู้อำนวยการไม่อยู่ ฉันอนุญาตเอง เผื่อไม่ชอบมาพากลเอะอะยังไงขึ้นมา ฉีดยาเข้าไปสักเข็มก็เงียบ” เขาลุกขึ้นจากโต๊ะ พยักหน้ากับวิริยะให้เดินตามไป
ทั้งสองเดินมาตามเฉลียงมาลงบันใดด้านข้าง นายแพทย์พาสหายเดินลัดสนามไปยังตึกแบบทันสมัยหลังหนึ่ง แต่หาได้ขึ้นไปบนตึกไม่ กลับเดินไปขึ้นบันใดเรือนเล็กๆ ชั้นเดียวซึ่งอยู่ข้างตึกนั้น ชายคนหนึ่งนอนอยู่ที่เก้าอี้ผ้าใบที่ระเบียงเล็กๆ หน้าห้อง พอมองเห็นคนทั้งสอง ชายผู้นั้นก็ลุกขึ้นยืนต้อนรับ นายแพทย์บุ้ยปากเข้าไปในห้อง ถามว่า
“วันนี้เป็นไงบ้าง”
“เรียบร้อยครับ กำลังอ่านหนังสืออยู่” เขาตอบพลางยิ้มยิงฟันขาวชะโงกหน้าเข้าไปที่ประตูห้อง ร้องบอกกับผู้ที่อยู่ข้างในห้อง แล้วทักชายในวัยกลางคนซึ่งลุกขึ้นนั่งห้อยขาอยู่บนเตียงว่า “สวัสดีครับคุณชิน ดอกไม้นั่นสวยจริงนะ”
คนไข้มองแจกันใบป้อมที่ปักดอกไม้สีม่วงอ่อน ดอกเล็กกลีบละเอียด ซึ่งวางอยู่บนโต๊ะด้วยดวงตา ที่ทอแสงชื่นชม บอกว่า “ลูกสาวผมเขาเอามาเมื่อเช้านี้เอง เชิญคุณหมอนั่งก่อนซิครับ”
“นี่เพื่อนของผม” นายแพทย์หันมาทางวิริยะ “เขามาหาผม ผมจึงเลยชวนมาที่นี่ด้วย คุณชินมีอะไรคุยให้เขาฟังบ้างไหมล่ะครับ”
ชายนั้นหัวเราะ พูดว่า “ผมอยู่แต่ในนี้ตาปีตาชาติ จะมีเรื่องอะไรคุยให้คุณฟัง คุณน่ะซิควรจะเล่าอะไรๆ ที่เกิดขึ้นข้างนอกให้ผมฟังบ้าง”
วิริยะยิ้มขณะที่ทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ใกล้กับสหาย เขามองดูชายกลางคนที่นั่งอยู่บนเตียงด้วยความสนใจ นี่น่ะหรือคือบิดาของหญิงที่เขารัก ไม่มีอะไรสักนิดที่จะสำแดงอาการของคนวิกลจริต นอกจากแววตาที่ค่อนข้างจะเลื่อนลอยเท่านั้น ผมทั้งศีรษะหงอกขาว ดวงหน้ากร้านเกรียมเต็มไปด้วยริ้วรอยที่บ่งบอกถึงความทนทุกข์ทรมาน ดวงตาของเขาเหลือบไปเห็นกระดาษขาวๆ แผ่นหนึ่งหล่นอยู่ บนพื้นห้องข้างขาเตียงจึงก้มลงเก็บขึ้นมา บนกระดาษแผ่นนั้นปรากรอยหมึกจางๆ เขียนไว้ด้วยลายมือของผู้หญิงว่า
พ่อแม่ญาติพี่น้อง มิตรสหายของฉัน อาจลงความเห็นว่าฉันเลือกคนผิด ถึงฉันเองก็รู้ไม่ได้ว่าฉันเลือกผิด หรือถูก แต่สิ่งเดียวที่ฉันรู้ก็คือ ฉันเลือกเธอ เพราะฉันรักเธอ
เมื่อเขากลับดูอีกด้านหนึ่งจึงเห็นว่าเป็นภาพถ่ายของชายที่นั่งอยู่เบื้องหน้านั้นเอง คงจะถ่ายไว้ในขณะที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มแน่นสมบูรณ์ทั้งร่างกายและกำลังความคิด
“รูปของผมเอง” เจ้าของห้องกล่าวพลางยื่นมืออกมารับไป “ตัวหนังสือข้างหลังนั้นเมียผมเขาเขียนเอาไว้” เขาก้มลงมองแผ่นกระดาษในมือนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเงยหน้าขึ้นถามวิริยะว่า “คุณแต่งงานแล้วหรือยัง”
“ยังครับ” วิริยะตอบ “แต่กำลังอยู่ในระหว่างตัดสินใจ”
นายแพทย์หันมาทำตาโตกับเขาเป็นเชิงถามว่า แกกำลังพูดจริงๆ รึนี่ พร้อมๆ กับที่ชายสูงอายุพูดด้วยเสียงเศร้าๆ ว่า “การตัดสินใจไม่สำคัญเท่ากับความมั่นใจ ถ้าคุณต้องการจะให้ชีวิตสมรสของคุณราบรื่นตลอดไป คุณจะต้องมั่นใจว่าจะสามารถทำให้ภรรยาของคุณมีความสุขได้ตลอดไป โดยไม่ทำตามอารมณ์ของคุณแต่ฝ่ายเดียว”
“ผมจะจำคำตักเตือนนี้ไว้” วิริยะบอก
ชายสูงอายุก้มศีรษะด้วยท่าทางเนิบเนือยเศร้าสร้อย
“คุณชินครับ” นายแพทย์ท้วง เมื่อเห็นว่าเข็มของการสนทนาชักจะหันเหไปในทิศทางที่ออกจะไม่สู้ดีเสียแล้ว แต่คนไข้ของเขากลับบกมือขึ้นโบก
“อย่าวิตกเลยหมอ ขณะนี้จิตใจของผมเป็นปรกติดี และผมจะพยายามควบคุมมันไว้จนสุดความสามารถ ผมมีชีวิตอยู่อย่างคนรกโลก อย่างคนไร้ความสามารถมานานนักหนาแล้ว ขอให้ผมได้ทำประโยชน์บ้าง อย่างน้อยชีวิตของผมก็อาจเป็นบทเรียนบทหนึ่งแก่เพื่อนของหมอได้” เขาแปรสายตามายังวิรยะ ถามว่า “คุณกำลังจะแต่งงานรึ เจ้าสาวของคุณอายุเท่าไร”
“ยี่สิบครับ... แต่ว่า ผมยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะแต่งงานกับหล่อนหรือไม่”
“ยี่สิบ” ชายกลางคนพึมพำโดยไม่เอาใจใส่ต่อคำพูดในประโยคต่อไปของวิริยะ “ยังมีอายุมากกว่าของผมเสียอีก เมื่อผมแต่งงาน เจ้าสาวของผมอายุสิบเจ็ดเท่านั้น.....
ผมพบเธอ ในขณะที่เพิ่งแรกรุ่นขึ้นมา ยังบริสุทธิ์ต่อโลกเหลือเกินทั้งกายและใจ เพียงแค่ได้เห็นเธอครั้งแรก ผมก็ตัดสินใจทันทีว่าผมจะต้องแต่งงานกับเธอ ผมแก่กว่าเธอหลายปี รู้จักโลกและชีวิตมามากกว่าเธอ จึงมีโอกาสที่จะทำให้เธอรักผมได้ง่าย เธอรักผม เธอมีศรัทธาเลื่อมใสในตัวของผมจนเชื่อมั่นและไว้วางใจผม จนกระทั่งไม่ว่าผมจะออกปากขอร้องอะไรเธอ ถ้าเธอสามารถจะให้ผมได้ เธอก็ให้ผมทันทีโดยไม่มีความลังเลหรืออาลัยอาวรณ์แต่ประการใด ไม่แยแส แม้กับคำทัดทานของเพื่อนฝูงหรือผู้ใหญ่ของเธอ
ในที่สุด ผมก็ได้แต่งงานกับเธอสมประสงค์ ความรักของเธอก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง ผมเองก็รักเธอมิใช่น้อย แต่ดูซิผมได้ตอบแทนเธออย่างไรบ้าง ก่อนที่จะพบกับเธอ ผมก็เคยสมัครรักใคร่กับคนอื่นมาก่อนแล้ว แต่มีเหตุจำเป็นมาทำให้เราต้องเลิกรากันไปก่อนที่ผมจะมาพบกับเธอเข้า เมื่อยังรักกันใหม่ๆ ผมเคยคิดถึงเธอจนถึงกับลงทุนว่ายข้ามแม่น้ำไปหาเธอ พฤติการณ์ของผมอันนี้ดูเป็นที่น่าซาบซึ้งใจเธอเหลือเกิน เธอภาคภูมิใจที่ผมรักเธอยิ่งนัก แต่เมื่อแต่งงานกันแล้ว ผมได้เล่าให้เธอฟังถึงเรื่องคนรักเก่าๆ ของผม เล่าถึงอาการต่างๆ ที่เราเคยปฏิบัติต่อกัน เล่าแม้กระทั่งว่าผมได้ลงทุนเดินจากพญาไทไปถึงคลองเตยเพื่อที่จะไปหาหล่อน คนรักเก่าของผมคนนั้น โดยไม่ได้คำนึงถึงความรู้สึกของเธอแม้สักนิดเดียว
มิใช่แต่เพียงเท่านั้น แม้แต่เมื่อแต่งงานกันแล้ว จนกระทั่งมีลูก ผมก็ยังติดต่อมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงคนอื่นอีก ผมไปค้างกับหล่อนแทบทุกคืน พาหล่อนไปเที่ยวกินอาหาร ดูหนัง ดูละคร ตามที่นั่นที่นี่โดยไม่แคร์ว่าจะมีคนเห็นหรือเก็บมาบอกกับเธอว่าอย่างไร ผมซื้อเสื้อผ้า น้ำหอมราคาแพงๆ ให้แก่ผู้หญิงคนนั้น ในขณะที่เมียของผมมีเงินไม่พอที่จะซื้อแม้แต่กระเป๋าถือถูกๆ สักใบหนึ่ง ผมเล่นการพนัน เมื่อผมมีอารมณ์เสียกลับมา และภรรยาของผมพูดไม่ถูกหู ยั่วอารมณ์ของผมให้เสียมากขึ้น ผมก็ทำทารุณกับเธอ”
เขายกมืออันสั่นระริกทั้งสองข้างขึ้นดูด้วยดวงตาที่คลอคลองไปด้วยน้ำตา “ผมจักแหล่นจะมีลูกกับผู้หญิงคนนั้น ผมยังสงสัยอยู่ว่าถ้าหากว่าผมมีลูกกับหล่อน เรื่องราวจะกลับกลายไปในทางใดแทนที่จะมาลงเอยเช่นนี้ แต่ในที่สุดผู้หญิงคนนั้นก็หนีผมไป ผมกลับมาขอโทษภรรยา แน่ละ เธอยกโทษให้ผม แล้วเราก็กลับคืนดีรักใคร่กันตามเดิม จนกระทั่งลูกคนหลังๆ เกิดตามกันออกมา
ฐานะของเราไม่มั่งมีอะไรนัก ค่อนข้างจะยากจนเสียด้วยซ้ำ แต่เธอก็ยังอยู่กับผมด้วยความอดทน ส่วนผมเล่า ผมทำอะไรบ้าง ผมทำงานแล้วก็ทำอะไรต่างๆ ตามอารมณ์ของตัวเองจะสั่งให้ทำตามเคย ผมไม่เคยที่จะคำนึงถึงความรู้สึกของเธอ ผมรู้อยู่แต่ว่าเธอรักผม ไม่ว่าผมจะทำอะไรลงไป ในที่สุด เธอก็จะต้องยกโทษให้ผมอยู่เสมอ ผมทำทุกสิ่งที่ผมต้องการจะทำแม้กระทั่ง ได้ติดต่อผูกพันกับผู้หญิงคนอื่นๆ อีก
เช่นเดียวกับที่ได้เคยทำมาแล้ว ผมได้ทอดทิ้งเธอโดยไปคลุกคลีอยู่กับผู้หญิงคนใหม่นั้นติดๆ กันหลายวัน แม้ว่าผมจะได้รับคำกับเธอไว้แล้วว่าจะกลับบ้าน แต่เมื่อผู้หญิงคนนั้นทำฤทธิ์กระบิดกระบวนไม่ยอมให้ผมกลับ ผมก็ยอมตามใจหล่อน ยอมผิดคำพูดกับเธอ ยิ่งกว่านั้น เพื่อเป็นการแสดงให้เธอรู้ว่าผมไม่มีสิ่งใดเป็นความลับปิดบังเธอ ผมยังได้เล่าถึงเรื่องของผมกับผู้หญิงคนนั้นให้เธอฟังเสียอย่างละเอียดลออ ผมพร่ำรำพันถึงเสน่ห์ของหล่อน ความงามของหล่อน และความติดอกติดใจที่ผมมีต่อหล่อนให้เธอฟังหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง เธอจะรู้สึกอย่างไรผมไม่เคยคำนึงถึง ก็เท่าที่ผมเล่าให้เธอฟังทุกอย่างโดยไม่ปิดบัง อย่างนี้แล้วยังไม่เป็นเครื่องยืนยันที่เพียงพออีกแล้วหรือว่า ผมรักเธอ เพียงไร”
เขายกมือทั้งสองขึ้นปิดหน้า มีเสียงสะอึ้นลึกๆ ดังออกมาจากในลำคอ นายแพทย์มีท่าทางกระวนกระวาย ครู่หนึ่งชายสูงอายุก็ลดมือลง ดวงตาของเขาแดงก่ำทั้งสองข้าง เขาพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเจ็บช้ำว่า
“นอกจากความรัก และเงินที่ผมหามาให้เธอตามหน้าที่แล้ว ผมไม่ได้ให้อะไรแก่เธออีก การเอาอกเอาใจหรือความเห็นอกเห็นใจ แม้แต่เมื่อเธอเจ็บ ผมก็ไม่เคยที่จะพยายามรับรู้ถึงความเจ็บไข้ได้ป่วยของเธอ ไม่น้อยครั้ง ที่ผมปล่อยให้เธอต่อสู้ไปตามลำพัง ทั้งที่รู้ว่าเธอไม่ชอบ ผมก็ยังคงพร่ำพรรณนาถึงคุณงามความดีของผู้หญิงคนอื่นๆ กรอกหูเธออยู่เสมอ และเมื่อเวลาทะเลาะเบาะแว้งกัน ผมก็บริภาษเธอด้วยคำพูดที่หยาบคาย โดยไม่คำนึงว่าใครจะได้ยินได้ฟังบ้าง ทั้งๆ ที่เธอเคยขอร้อง แต่ผมก็มิได้คิดถึงและไม่เคยเอาใจใส่ว่าเธอรู้สึกอับอายขายหน้าคนอื่นอย่างไร ผมเคยไล่เธอออกจากบ้านบ่อยครั้ง แต่เมื่อรู้สึกตัว หายโกรธ ผมขอโทษเธอ เธอก็ยกโทษให้ผมตามเคย จนกระทั่งมาถึงครั้งสุดท้าย ผมไล่เธอออกจากบ้านขณะที่ฝนกำลังตกหนักในเวลากลางคืน เธอวิ่งออกมาท่ามกลางสายฝนและฟ้าซึ่งคะนองด้วยพายุ เมื่อความโกรธค่อยบรรเทาผมจึงออกตามหาเธอ แต่คืนนั้นตลอดทั้งคืนก็หาพบพานเธอไม่ แม้กระทั่งที่บ้านเก่าของเธอ ก็ไม่มีใครเคยล่วงรู้ถึงการเป็นปากเสียงแต่ละครั้งของเราเลย เธอไม่เคยปริปากเล่าให้ใครฟัง คืนนั้น ผมจึงได้รู้จักทุกข์ถึงเธอเป็นครั้งแรก ผมเพิ่งรู้ว่าผมรักเธอและเป็นห่วงเธอเพียงใด ถ้าหากว่าปราศจากเธอเสียแล้ว ชีวิตของผมจะมีความหมายอะไร ชีวิตของผมจะขาดเธอเสียมิได้เป็นอันขาด
ผมเที่ยวตามหาเธออยู่เหมือนบ้าคลั่ง เพื่อนฝูงพี่น้องของเธอหลายต่อหลายคนถูกผมปลุกขึ้นในยามวิกาลของคืนนั้น แต่ความพยายามของผมไร้ผล จนรุ่งเช้า จึงมีผู้ไปพบเธอนอนคุดคู้ตัวร้อนผ่าวไปด้วยพิษไข้อยู่ในกระต็อบเก่าๆ หลังหนึ่งไม่ห่างจากบ้านของเราเท่าไรนัก ขณะนั้นไข้ของเธอขึ้นสูงสุดเสียแล้ว เธอเพ้อและกระสับกระส่ายอยู่ถึงคืนกับวันเต็มๆ จึงได้สิ้นใจ เมื่อใกล้จะสิ้นใจ เธอกลับมีสติขึ้นมาอีก เธอมองดูหน้าของผมนิ่งอยู่ แล้วพึมพำออกมาว่า “ฉันรักเธอ” แล้วนัยน์ตาของเธอก็ปิดลง คอเอียงพับ มีน้ำตาค้างอยู่ที่หัวตาของเธอ”
เขาหยุดเล่า ยกมือขึ้นปิดหน้าพลางร้องไห้สะอึกสะอื้น นายแพทย์รีบลุกขึ้นเดินออกไปกระซิบอะไรสองสามคำกับชายที่นั่งเฝ้าอยู่หน้าห้อง ชายนั้นรับคำ ชะโงกหน้าเข้ามามองในห้องนิดหนึ่งแล้วรีบรุดลงบันไดไปโดยเร็ว นายแพทย์หวนกลับเข้ามาในห้องพอดีกับที่คนไข้เริ่มเล่าต่อไปทั้งที่ยังคงร้องไห้อยู่ว่า
“น้ำตาหยดนั้นมีความสำคัญยิ่งสำหรับผม มันหมายถึงความห่วงใยที่เธอมีต่อลูกเล็กๆ ทั้งสี่คนที่เธอต้องจากไป มันหมายถึงชีวิตที่ไร้ความสุขของเธอแม้กระทั่งในนาทีสุดท้าย ที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นก็คือมันหมายถึงความรักอันยิ่งใหญ่ของเธอที่ไม่มีวันสิ้นสุด”
เขาพลิกตัวไปฟาดกำปั้นลงกับที่นอนโครมๆ ด้วยอารมณ์คลุ้มคลั่งที่กดดันออกมาจากภายใน ในขณะเดียวกันนั้นปากก็พร่ำพูดด้วยเสียงคล้ายตะโกนว่า “มันไม่มีวันสิ้นสุด ไม่มีวันหมดสิ้น ตรงกันข้าม มันกลับเพิ่มพูนยิ่งขึ้น ทรมานจิตใจผมมากขึ้นทุกคืนทุกวัน ทุกคืนทุกวัน”
เขาหยุดตะโกนหายใจหอบจนตัวโยน ดวงตาชุ่มโชกไปด้วยน้ำตา มือประสานกันแน่นบิดไปมาด้วยความปวดร้าวในใจ ดูเหมือนเขาจะค่อยสงบลงอีก น้ำตาไหลรินออกมาจากดวงตาเมื่อเขาพูดต่อไปว่า
“ตลอดวันและคืนนั้น ผมปิดประตูห้องอยู่กับเธอเงียบๆ ลำพังสองต่อสองตลอดเวลา นั่งอยู่หน้าเตียงซึ่งร่างของเธอนอนนิ่งอยู่ เฝ้าคิดค้นลำดับภาพถึงความสัมพันธ์ของเราในอดีต ผมไม่ยอมให้ผู้ใดเข้ามาแตะต้องร่างกายของเธอ เธอเป็นของผมแต่ผู้เดียว ตลอดเวลาที่เธออยู่กับผม เธอได้เป็นผู้ให้ผมอยู่ตลอดเวลา ให้ความรัก ให้ร่างกาย ให้การปรนนิบัติ ให้ทั้งการอภัย ส่วนผมเล่า ผมได้ให้อะไรแก่เธอบ้าง แม้แต่จะให้ความสุขทั้งๆ ที่ผมรักเธอ ผมก็ไม่เคยทำให้เธอมีความมั่นใจในความรักของผม ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ผมได้ทำได้โดยง่าย แต่ผมก็ไม่เคยทำ ไม่เคยทำจนกระทั่งเธอตายไป”
เขายกมือขึ้นปิดหน้า ส่งเสียงร้องไห้ออกมาโฮใหญ่พลางตีอกชกหัวตัวเองอยู่ไปมา พอดีกับชายหนุ่มที่หมอใช้ให้คนไปตาม กระโดดขึ้นบันไดมา เขาส่งหม้อนึ่งใบเล็กให้หมอซึ่งรับมาเปิดออกหยิบเข็มฉีดยาออกมา ขณะที่กำลังเลื่อยตัดหลอดยา เขาก็พยักหน้ากับวิริยะ บอกว่า “ช่วยกันจับหน่อย แกมันอยากทำยุ่งดีนัก”
วิริยะกับบุรุษพยาบาลผู้นั้นจึงตรงเข้าช่วยกันยึดจับแขนขาชายกลางคนไว้มั่นในขณะที่นายแพทย์ปักเข็มลงในผิวหนังและดันน้ำยาในหลอดแก้วให้เคลื่อนเข้าสู่ร่างกายของคนไข้อย่างคล่องแคล่วชำนิชำนาญด้วยมือที่มั่นคง เขาถอนเข็มออกจากเนื้อ ใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์ คลึงผิวหนัง ตรงที่เป็นรอยเข็มครู่หนึ่งแล้วจึงปล่อยมือ บอกว่า
“ปล่อยได้แล้วละ”
พอทั้งสองปล่อยมือจากการยึด ร่างของชายสูงอายุก็เอียงซบลงกับที่นอน ดวงตาหรี่ปรืออยู่ชั่วอึดใจเดียวก็ปิดสนิท นายแพทย์เก็บเข็มลงในหม้อนึ่ง บอกกับชายหนุ่มที่มีหน้าที่พยาบาลว่า
“จัดการให้นอนให้ดีๆ ที ห่มผ้าให้เสียด้วย ปล่อยให้แกนอนตามสบายนะจนกว่าจะตื่นเอง” แล้วเขาก็หันมาทางวิริยะพยักหน้าชวนว่า “ไปกันเถอะเรา”
ขณะที่เดินลัดสนามมาด้วยกันช้าๆ นายแพทย์ยังอดบ่นไม่ได้ว่า “อยู่ๆ ไม่ควรไปกวนแกให้คลั่งขึ้นมาเล้ย ว่าไงแล้วเกิดประโยชน์อะไรกับแกบ้างล่ะ”
วิริยะยืดกายขึ้น สูดลมหายใจยาวยิ้มสดชื่น บอกว่า “เกิดประโยชน์อย่างยิ่งทีเดียว หมอเอ๋ย นายน่ะได้บุญโขเทียวรู้ไหม ขอบใจมากนะแก ฉันไปละ”
“อ้าว” นายแพทย์ร้องอุทานอย่างไม่เข้าใจ “บ๊ะ แกนี่มันยังไง บุปปับ ยังไม่ทันพูดทันจะให้รู้เรื่องกันเลยก็จะไปเสียแล้ว ไหนแกว่าจะบอกฉันถึงสาเหตุที่ทำให้แกมาขอสัมภาษณ์นายชินนี่ยังไงล่ะ”
“เออน่ะ” วิริยะว่าพลางตบไหล่สหายเบาๆ “แล้วสักวันหนึ่ง ในไม่ช้านี่แหละแกจะได้รู้แน่ๆ ฉันไปละหมอ”
เขาตบไหล่สหายหนักๆ อีกครั้งหนึ่ง แล้วจึงเดินแยกไปตามถนนที่ตรงไปสู่ประตูใหญ่ ก่อนจะออกจากประตูไปเขาหันกลับมาโบกมือให้กับนายแพทย์อีกครั้งหนึ่ง หัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นสหายยกมือขึ้นเกาศีรษะอยู่แกรกๆ”
วิริยะเดินมาตามถนนอันร่มรื่นด้วยร่มเงาของต้นก้ามปูด้วยความรู้สึกปลอดโปร่งยิ่งนัก ช่อผกายอดรัก ฉันกำลังจะไปขอแต่งงานกับเธออยู่เดี๋ยวนี้แล้ว ขณะนี้เธออาจจะกำลังเป็นทุกข์โทมนัส แต่ในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้ความทุกข์นั้นก็จะปลาสนาการไปสิ้น ไม่มีอุปสรรคใดกั้นอยู่ระหว่างเราอีกต่อไปแล้ว แม้แต่ความวิกลจริตของคุณพ่อของเธอ ความวิกลจริตของท่านเป็นเครื่องยืนยันถึงความรู้จักสำนึกในความผิดของตน และบ่งบอกถึงความรักอันลึกซึ้งที่ท่านมีต่อคุณแม่ของเธอ ตรงกันข้ามถ้าหากว่าฉันได้รู้เรื่องของคุณแม่ผู้น่าสงสารและได้พบคุณพ่อของเธอในสภาพที่ไม่วิกลจริต สามารถอยู่ต่อมาโดยไม่รู้สึกสะดุ้งสะเทือนแต่ประการใดแล้ว ฉันอาจจะไม่แต่งงานกับเธอก็ได้ เพราะสำหรับฉัน ความรักย่อมเป็นสิ่งล้ำค่า ศักดิ์สิทธิ์ และประเสริฐ จนเกินกว่าที่จะถือเป็นของเล่น เหยีบบย่ำ และดูแคลน
ทั้งนี้ก็เพราะว่า ฉันรักเธอ......
จากหนังสือมาลัยดอกรัก จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ ก้าวหน้า พ.ศ.2503