สุภาว์ เทวกุลฯ ราชินีแห่งเรื่องสั้น

        จันทร์ 23 ธันวาคม พ.ศ.2567
กรรมใดใครก่อ

สุภาว์ เทวกุลฯ

supa : 0000-00-00

reader:721
reply:0

ไม่มีใครรู้ว่านักโทษผู้ซึ่งได้สิ้นลมไปแล้วเมื่อสักครู่นี้ ได้พูดอะไรกับปลัดทวน ปลัดอำเภอหนุ่มใหญ่วัยกลางคนผู้นั้น

ปลัดทวน   ยืนอยู่หน้ากระจกเงาเก่าๆ บานหนึ่งซึ่งใส่กรอบแขวนตะปูไว้ข้างฝา เหนือตู้เตี้ยๆ   ซึ่งบนหลังตู้เลอะเทอะอยู่ด้วยหนังสือ และรูปภาพที่บรรจุไว้ในกรอบตั้งที่มีขนาดและลักษณะต่างๆ กัน   ในขณะที่ในบริเวณที่เขาพักอยู่นั้น ก็กำลังวุ่นวายอยู่ด้วยประการต่างๆ กัน   ข้างล่าง ปรากฏเสียงเลื่อยไม้   เสียงตอกตะปูกันโป้งเป้ง เพื่อเตรียมต่อโลงใส่ศพของนักโทษผู้นั้นนำไปฝังไว้ที่สุสานของทัณฑนิคม     และบนเรือนพักของเขาเอง   ในห้องๆ หนึ่ง ก็มีคนไม่น้อยกว่าสามคน กำลังวุ่นวายต่อการทำความสะอาดและจัดตั้งเครื่องเรือน   ซึ่งทั้งๆ ที่มีอยู่ไม่เกินสามชิ้น แต่ก็ปรากฏเสียงติชม   เสียงออกความเห็น   และเสียงวัตถุหนักๆ ถูกยกลากเคลื่อนที่อย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น     ดูเหมือนจะเป็นงานใหญ่ที่ต้องใช้ความประณีตบรรจงเป็นพิเศษ

เสียงเคลื่อนย้ายเงียบไป พร้อมกับที่ดวงหน้าหนึ่งเยี่ยมออกมาที่ช่องประตู   ร้องว่า

“คุณปลัด   คุณปลัดคร้าบ   เชิญมานี่สักประเดี๋ยวเถอะ   ช่วยดูทีซิว่าพอใช้ได้หรือยัง”

“เออ   ยังไงก็เอาเข้าไปเถอะน่า   ชั่วแต่นอนพักคืนเดียวเท่านั้นแหละ”

ปลัดทวนร้องตอบโดยมิได้หันไป   ดวงตาของเขายังคงจับจ้องอยู่เฉพาะเงาที่สะท้อนออกมาจากกระจกมัวๆ ตรงหน้า   ยังผลให้ผู้ที่เยี่ยมหน้าออกมาร้องขอความเห็นเขม้นมองดูด้วยประหลาดใจ   เอ   คุณปลัดแกเกิดเป็นอะไรของแกขึ้นมา   ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นแกส่องกระจกสักที   นี่เกิดยืนจ้องเอาๆ เหมือนกับจะมองให้เห็นทะลุถึงรูปในของตัวเองอย่างนั้นแหละ   เมื่อเห็นว่าจะไม่ได้ความเห็นจากปลัดทวนจริงๆ แล้ว ใบหน้านั้นก็ผลุบกลับเข้าไป   และในอึดใจต่อมา   เสียงเอี๊ยด อ๊าด   ครืด คราด   อันเกิดจากการเคลื่อนย้ายเครื่องเรือนก็ดังขึ้นอีกคำรบหนึ่ง

เสียงนั้นหาได้แผ้วพานหรือเรียกร้องความสนใจจากปลัดทวนได้ไม่   แม้ว่าความคิดของเขาในขณะนั้นจะกำลังหมกมุ่นวุ่นวายอยู่ด้วยสาเหตุเดียวกันอันเป็นที่มาแห่งความชุลมุนในห้องนั้น   คือข่าวการมาของท่านเลขาฯ กับภรรยา

ในอุ้งมือข้างหนึ่งของปลัดทวน มีรูปถ่ายขนาดเล็ก น้ำยาตกเป็นสีซีดจางแล้วอยู่ใบหนึ่ง     เป็นภาพที่ถ่ายมานานแล้วไม่ต่ำกว่ายี่สิบปี   เขาก้มลงมองดูมัน   แล้วก็เอื้อมมือไปหยิบเอาอีกภาพหนึ่ง ซึ่งใส่กรอบตั้งไว้รวมกับภาพอื่นๆ บนหลังตู้นั้นมาวางเคียงเปรียบเทียบกัน พลางมองดูอย่างพินิจพิเคราะห์   เขายกภาพทั้งสองชูออกไปจนสุดช่วงมือ   เอียงคอมองดูทั้งซ้ายและขวา แล้วจึงหดกลับเข้ามาชิดตัว เพ่งดูในระยะใกล้อีกอย่างจริงจัง   สักครู่รอยยิ้มประหลาด กึ่งทึ่งกึ่งพอใจค่อยระบายขึ้นที่ริมฝีปากอันค่อนข้างอุดมไปด้วยหนวดเครา   เขามองดูเงาในกระจกอีกครั้งหนึ่ง พลางยกมือขึ้นลูบคาง   หัวเราะหึๆ ในลำคอ บอกกับตัวเองว่า

“ท่ามันคงสนุกดีเหมือนกัน”

แล้วเขาก็ชักลิ้นชักตู้ออก   ยัดภาพที่บรรจุในกรอบลงใต้กองกระดาษในลิ้นชักนั้น   ผลักลิ้นชักเข้าไปในที่ของมัน   ส่วนอีกภาพหนึ่งซึ่งมีน้ำยาตกซีดออกเป็นสีเหลืองแล้วนั้น เขาเก็บใส่กระเป๋าเสื้อเชิ้ตไว้   ละจากกระจกเดินกึงๆ ไปยังห้องซึ่งยังคงตบแต่งไม่รู้จักเสร็จนั้น   ยกมือทั้งสองขึ้นท้าวกรอบประตู ชะโงกเข้าไปบอกว่า

“ไม่ต้องประดิษฐ์ประดอยอะไรนักหรอกน่า พรรคพวก   ยังไงๆ ก็ตั้งมันเข้าไปก็แล้วกัน   กะอีเรื่องซุกหัวนอนคืนเดียวเท่านั้น”

ชายสามคนที่กำลังก้มๆ เงยๆ อยู่ในห้องนั้นลามือจากงาน ยืดกายขึ้นมองดูเขาพร้อมกัน   คนที่ท่าทางเป็นหัวหน้าพูดอย่างไม่เข้าใจว่า

“ก็ท่านเลขาฯ...”

“เฮ่ย   ขา แขน อะไรก็ช่างปะไรวะ”   ปลัดทวนตัดบทเสียก่อนที่จะทันพูดจบ   “เรื่องเจ้าทบของเราสำคัญกว่า   เร่งๆ มือเข้าหน่อย แล้วจะได้ไปฝังมันให้พร้อมเพรียงหน้ากัน”

พูดจบแล้วเขาก็หันกลับ   เดินกึงๆ ลงบันไดไปยังข้างล่าง ซึ่งการต่อโลงใส่ศพนักโทษที่ตายยังคงดำเนินต่อไปอย่างรีบเร่ง   ปล่อยให้ลูกน้องมองตามหลังไปอย่างฉงนฉงายด้วยไม่เข้าอกเข้าใจว่าปลัดแกคิดยังไงของแก   ท่านเลขาฯ เป็นคนใหญ่โตใช่น้อยเมื่อไร แกกลับไม่สนใจต่อการมาของท่าน   กลับไปเห็นการฝังซากศพของเจ้านักโทษเลวๆ คนหนึ่งสำคัญกว่า   ความคิดของแกประหลาดพิกล

ปลัดทวนวันนี้มีท่าทางแปลกๆ ยังไงอยู่   ดูครึกครื้นกระหยิ่มยิ้มย่องและลับลมคมนัยชอบกล   ที่โกนหนวด ซึ่งไม่เคยถูกแตะต้องมานานนับเป็นเดือนๆ แล้ว   ถูกค้นเอาออกมาทำความสะอาดและเปลี่ยนใบมีดเสียใหม่   ลูกน้องคนหนึ่งซึ่งไม่เคยได้เห็น ‘คุณปลัด’ ใช้ที่โกนหนวดเลย นอกจากจะใช้กรรไกรเล็มขลิบเคราที่คางเป็นบางครั้งเพื่อกันมิให้มันยาวเกินไปนัก   อดความสงสัยไว้มิได้ ต้องออกปากถามว่า

“นั่นคุณปลัดจะโกนหนวดเรอะครับ”

“ก็ว่างั้นแหละ   ลื้อคิดว่าการที่อั๊วต้องยอมสละหนวดงามๆ ที่อั๊วพากเพียรไว้มาตั้งหกเดือนแลกกับการมาของท่านเลขาฯ คืนเดียวนี่มันคุ้มกันไหมวะ”

หมอนั่นยืนงง   ไม่แน่ใจว่าตนควรจะตอบอย่างไรจึงจะให้ถูกใจผู้บังคับบัญชา เลยถือโอกาสไม่ตอบ   เลี่ยงออกไปเสียดื้อๆ


กว่ารถคันดีที่สุดซึ่งส่งไปรับท่านเลขาฯ กับภรรยาจะมาถึงที่พักก็ร่วมสองทุ่มเข้าไป   ปลัดทวนเดินออกมายืนที่หัวบันไดในขณะที่ท่านเลขาฯ ร่างสมบูรณ์ค่อยๆ พาร่างก้าวลงมาจากรถด้วยท่าทางกะปลกกะเปลี้ยหมดแรงเต็มที   เสียงท่านสาบถสาบานอะไรอยู่ในลำคอ แล้วก็ก้มตัวมองเข้าไปในรถ   พูดด้วยเสียงเกือบเป็นกระชากกับคนที่ยังอยู่ข้างในว่า

“ถึงที่แล้ว   เสด็จลงมาเสียทีซีเธอ   จะนั่งเฉยอยู่หาอะไรอีกเล่า”

ผู้ที่ก้าวตามท่านเลขาฯ ลงมานั้นเป็นหญิง   หล่อนแหงนหน้ามองขึ้นมาบนเรือนซึ่งมีตะเกียงเจ้าพายุสว่างไสวจุดแขวนไว้ที่ระเบียง   แสงจากตะเกียงสาดต้องเบื้องหลังร่างของปลัดอำเภอผู้ยืนผงาดเงื้อมอยู่เหนือบันได ทำให้ร่างนั้นดูดำทะมึน   ทั้งสูง ทั้งใหญ่ ข่มขวัญผู้ที่ได้เห็นยิ่งนัก   ภรรยาของท่านเลขาฯ เขยิบกายเข้ายืนชิดสามี   พูดด้วยเสียงกระซิบ คล้ายเกรงบุรุษร่างใหญ่เหนือบันไดจะได้ยินเข้าว่า

“ที่นี่น่ะเรอะคะ ที่เราจะพักกันในคืนนี้”

“ก็ที่นี่น่ะซี”   ท่านเลขาฯ รับอย่างหัวเสีย   ร่างยักษ์บนระเบียงนั้นไม่สู้จะทำให้ท่านหวั่นเกรงเท่าใดนัก   พุทโธ่ ต่อให้ใหญ่เท่าใหญ่ไม่เห็นเคยมีใครสักคนที่จะมาอวดมาทำกำแหงแสดงศักดากับท่าน   ผ่านมาเสียนักแล้ว   ใหญ่ๆ อย่างนี้แหละ   ลองท่านออกปากอยากได้อะไรสิ ประเดี๋ยวก็ขี้คร้านจะหัวซุกหัวซุนวิ่งหามาประเคนให้ดังใจไปเสียอีก   เอ   แต่ไอ้หมอนี่มันยังไงของมันโว้ย   รู้ว่าเรามาถึงแล้วมันยังไม่ยักกะลงมารับเรา   ทำยืนจังก้าเป็นไอ้บ้าอยู่ได้   ดังนั้น เมื่อท่านพูดต่อไป   น้ำเสียงจึงแสดงถึงความหัวเสียยิ่งขึ้น

“ฉันนึกไม่ถึงว่าเขาจะจัดให้เราต้องมาพักในไอ้ที่โปเกอย่างนี้เลยพับผ่า   ม่ายงั้นก็เหมาเครื่องบินจากกรุงเทพฯ มาเสียรวดเดียวเป็นจบเรื่องแล้ว   เฮ้ย ว่าไง   นี่นายแกหายหัวไปไหนกันหมด หา   ไม่ออกมาต้อนรับขับสู้ข้าสักคน   เห็นข้าเป็นยังไงไป”

ประโยคท้ายๆ นี้ท่านหันมาไล่เบี้ยเอากับเสมียนอำเภอ และคนอื่นๆ ที่ออกมายืนคอย ‘ต้อนรับ’ ท่านเลขาฯ และภรรยาอยู่   ทุกคนต่างหันมามองดูหน้ากัน แล้วแหงนมองดูร่างที่ยืนตระหง่านอยู่ที่หัวบันได แล้วก็หันกลับมามองดูหน้ากันอีก   อึกอักๆ ไม่รู้จะตอบว่ากระไร ก็พอดีได้ยินเสียงห้าวๆ ดังมาจากบนระเบียงว่า

ก็ผมออกมายืนคอยท่านเลขาฯ อยู่นี่แล้วไงล่ะครับ   เชิญท่านขึ้นมาได้แล้ว   ระวังนะครับ   บันไดที่นี่ไม่เหมือนกับที่คฤหาสน์ของท่านในกรุงเทพฯ   ออกจะสูงสักหน่อย   กันเสือซึ่งชอบออกจากป่ามาหากินแถบนี้บ่อยๆ   “เฮ้ย เอากระเป๋าเสื้อผ้าของท่านขึ้นมาแล้วเอาเข้าไปไว้ในห้องเลย”

ท่านเลขาฯ สบถแกมด่าอยู่ในลำคอ   ผู้ที่ยืนอยู่ในระยะใกล้ชิดฟังดูคล้ายๆ จะเป็น   “ไอ้เวรนี่อวดดี” หรืออะไรทำนองนั้น   แต่คำว่า “เสือ”   กับภูมิภาพที่มืดทึบทึมรอบข้าง   ทำให้ท่านไม่กล้าเอะอะหรือโยกโย้ต่อไปอีกมากนัก   รีบพาร่างอันสมบูรณ์ด้วยเนื้อและไขมันไต่ขึ้นบันไดไปข้างบน   ปลัดทวนถอยห่างจากขั้นบันไดไปเล็กน้อย   ท่านเลขาฯ ชะงักมือและเท้าทันทีที่มองเห็นใบหน้าอันปกคลุมด้วยหนวด และเคราสีดำมืดนั้นถนัด   แต่แล้วก็ต้องรีบไต่ขึ้นไปอีก เพราะภรรยาของท่านตามขึ้นมาติดๆ กัน   จนกระทั่งขึ้นไปยืนอยู่บนชานระเบียงทั้งสองคน

“บันไดสิบขั้นนี่ทำเอาท่านหอบเทียวนะครับ”   ปลัดทวนพูด   เสียงของเขาไม่ทำให้ผู้ฟังเดาออกว่าเขาพูดโดยเจตนาจะเยาะหรือว่าแสดงความเห็นใจ

“ไอ้ที่นี่น่ะเรอะเป็นที่ที่ดีที่สุดแล้วที่จะให้พัก”   ท่านเลขาฯ ถาม   “ที่ดีกว่านี่น่ะหาไม่ได้แล้วหรือไง”

“ถ้าจะให้ดีกว่านี่ก็ต้องในโน้นซีครับ”   ปลัดชี้มือออกไปในความมืด   “ในทัณฑนิคมนั่น ผู้คนคึกคัก   แล้วยังมีตำรวจถือปืนยืนยามเปลี่ยนเวรกันตลอดคืนอีกด้วย”

ท่านเลขาสบถพึม   “คุณเป็นใคร หา   ที่นี่ไม่มีใครเป็นผู้หลักผู้ใหญ่อีกเลยงั้นเรอะ   ใครเป็นผู้บังคับบัญชาเหนือคุณ”

ปลัดทวนหัวเราะหึๆ   รู้สึกขันในท่าทางหัวเสียของท่านเลขาฯ   ส่วนภรรยาของท่านนั้น ก็หากล้ามองสบตาเขาไม่   ได้แต่ยืนแอบๆ อยู่ข้างหลังสามี   แม้ว่าจะแต่งตัวสะสวยงดงาม แต่หล่อนก็อยู่ในวัยเกินสาวแล้ว   มิหนำซ้ำยังดูเหมือนจะมีประสาทอ่อนเต็มทีอีกด้วย

“ผู้ใหญ่สำหรับที่นี่ก็ต้องนายอำเภอซีครับ”   เขาตอบ   “แต่เคราะห์ร้ายที่เผอิญนายอำเภอถูกนักโทษที่แหกคุกมาฆ่าตายเสียเมื่ออาทิตย์ก่อนนี้   ทางกรุงเทพฯ ก็ยังไม่แต่งตั้งใครมาแทน   ผมเลยต้องรั้งตำแหน่งแทนไปพลางๆ ก่อน   ว่าแต่ท่านเข้าไปเหยียดแขนเหยียดขาข้างในเสียก่อนมิดีกว่าจะยืนแขวนอยู่ที่นี่หรือครับ”

แล้วเขาก็เดินนำเข้าไปในห้องกลาง ซึ่งมีเก้าอี้หวายหมู่เก่าๆ ตั้งล้อมโต๊ะซึ่งมีขวดบรรจุของเหลวชนิดหนึ่งตั้งอยู่กับถ้วยแก้วอีกสองสามใบ   ปลัดเดินนำไปนั่งลงพร้อมๆ กับที่แขกผู้มีเกียรติของเขาทิ้งร่างลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งโดยแรง

“ไอ้รถริยำที่คุณส่งไปรับมันฟัดฉันเสียแย่   พับผ่าซี   ถ้ารู้ว่าไอ้ที่นี่มันเป็นรถยังงี้ละก็ฉันไม่ยอมมาค้างหรอก ให้ตาย   เอ้า นั่งเสียทีซีเธอ

ประโยคหลังท่านพูดกับภรรยาซึ่งยังคงยืนอยู่   เมื่อได้ฟังคำสั่งเช่นนั้นหล่อนก็ค่อยๆ หย่อนกายลงนั่งหมิ่นๆ พลางเหลียวมองออกไปทางนอกประตูด้วยท่าทางที่บ่งบอกว่าใจคอไม่สู้จะดี

“นักโทษหนีออกมาบ่อยๆ หรือคะ”   หล่อนถาม   ไม่กล้ามองใบหน้าที่อุดมไปด้วยหนวดเครานั้นให้เต็มตานัก   รู้สึกว่าดวงตาที่มองมายังหล่อนนั้นมีแววพิกลอย่างไรอยู่   เค้าหน้าอย่างนี้ดูเหมือนจะเคยเห็น คุ้นๆ ตาอย่างไรชอบกล แต่ก็ไม่แน่ใจนัก

“ก็เท่าที่โอกาสจะอำนวยแหละครับ”   เป็นคำตอบ   “นักโทษที่นี่เป็นนักโทษที่ต้องโทษหนักทั้งนั้น   แต่ละคนดูเหมือนจะไม่รู้ว่าความตายน่ากลัวยังไง   ถ้าได้โอกาสหนีละก็พี่แกเป็นคว้าทันที”

“ไอ้คนอย่างนี้จับได้มันน่ายิงทิ้งเสียเลย”   ท่านเลขาฯ ว่า   “คุณเป็นคนกรุงเทพฯ รึ   มาอยู่ที่นี่นานแล้วหรือยัง   สำเร็จจากธรรมศาสตร์หรือไง   เอ   แต่ดูคุณอายุมากแล้วนี่   คงจะเกือบพอๆ กับฉันละมัง”

ปลัดทวนหัวเราะหึๆ ในลำคอ   รินน้ำใสๆ ในขวดลงในแก้วสองใบ   เลื่อนใบหนึ่งไปตรงหน้าท่านเลขาฯ   อีกแก้วหนึ่งเขาถือไว้ แล้วหันไปพูดกับภรรยาของท่านว่า

“คุณนายอย่าดีกว่านะครับ   เหล้าไม่เหมาะสำหรับผู้หญิงเลย   เชิญครับ ท่าน   อุ่นท้องเรียกเลือดเสียหน่อย   มันคงจะช่วยให้การพักผ่อนที่นี่ของท่านคืนนี้สะดวกสบายขึ้น”

“เหล้าอะไร”   ท่านเลขาฯ ยังถามเอาเชิงนิดหน่อย ที่ทั้งๆ มือเอื้อมออกมาคว้าแก้วไปถือไว้แล้ว   “ล่อกันทั้งดุ้นๆ ไม่ต้องมีโซดาไม่ต้องมีกับแกล้มยังงี้น่ะรึ”

“ที่นี่เขาว่ากันเพียวๆ ยังงี้แหละครับ   เออ! ตายจริง   ผมยังไม่ทราบเลยว่าท่านกับคุณนายรับประทานข้าวปลามาแล้วหรือยัง   ไม่ได้สั่งให้ใครเขาหาอะไรไว้เสียด้วย”

“เรียบร้อยแล้วละคุณ”   ท่านเลขาฯ ยกมือขึ้นโบก   “เคราะห์ดีที่ฉันจัดการมาแต่บนรถไฟแล้ว   ว่าแต่คุณให้ใครไปหาไก่สักตัวมาแกล้มนี่มิดีกว่าเรอะ   ไอ้ฉันน่ะคืนนี้เห็นจะนอนไม่หลับแน่   นั่งล่อไอ้นี่ไปพลางๆ ก่อนท่าจะดี   มันอาจช่วยทำให้นอนในนรกนี่หลับง่ายเข้า”

ปลัดอำเภอลุกขึ้น เดินกึงๆ ไปทางหลังบ้าน   เสียงเขาตะโกนสั่งลูกน้องให้จัดการหาไก่มากินแกล้มเหล้าตัวหนึ่ง   ภรรยาท่านเลขาฯ เขยิบชิดสามี   กระซิบว่า

“คุณคะ   ปลัดอำเภอคนนี้ดิฉันคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเคยเห็นที่ไหนถ้า...ไม่มีหนวดและเครานั่น...”

หล่อนหยุดพูดเพราะผู้ที่ถูกกล่าวถึงเดินกลับเข้ามา   ท่านเลขาฯ ซึ่งบัดนี้ได้ลองจิบเจ้าน้ำใสนั้นเข้าไปเกือบครึ่งแก้วแล้วดูอารมณ์จะดีขึ้นเล็กน้อย   บอกกับเขาว่า

“เมียผมเขาว่าดูเหมือน เขาจะเคยเห็นคุณ   คุณเป็นคนกรุงเทพฯ รึไง   เออ จริงนา   ผมก็ว่าคล้ายๆ จะเคยเห็นอยู่เหมือนกัน”

ปลัดทวนนั่งลงในที่เดิมก่อนจะตอบว่า   “ถูกแล้วครับ   เมื่อก่อนนี้ผมเคยอยู่กรุงเทพฯ   บางทีท่านและคุณนายอาจจะเคยพบผมที่กรุงเทพฯ บ้างแล้วก็เป็นได้   แต่ว่าผมมาจากนั่นสิบกว่าปีแล้วนะครับ”

“ทำไมถึงมาจากกรุงเทพฯ เสียล่ะ   ไม่ชอบหรือไง   ผมว่ามันเจริญน่าอยู่กว่าบ้านป่าเมืองเถื่อนยังงี้ลิบลับ”

“มันมีความจำเป็นทำให้อยู่ไม่ได้น่ะซีครับ”   เขายกแก้วขึ้นดื่มรวดเดียวหมด   วางแก้วลงบนโต๊ะ   ใช้หลังมือเช็ดริมฝีปาก แล้วพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงปรกติว่า   “ผมถูกหาว่าฆ่าคนตาย”

เมียท่านเลขาฯ สะดุ้งขึ้นเกือบทั้งตัว   หล่อนอ้าปากค้าง และเพ่งมองดูเขาอย่างจริงจังด้วยดวงตาที่ส่อถึงความหวาดกลัว   สงสัย ไม่แน่ใจ   แต่ตัวท่านเลขาฯ เองยังคงเฉยๆ อยู่   ไม่มีกิริยาอาการเปลี่ยนแปลกไปอย่างไร

“แล้วคุณฆ่าเขาจริงหรือเปล่าเล่า   เอ๊ะ แล้วคุณพ้นจากคดีแล้วรึเวลานี้”

ปลัดอำเภอหัวเราะเสียงกร้าว   เขารินเหล้าใส่ลงในแก้วของเขาอีกจนเต็ม   “ถ้าผมฆ่าจริง ผมก็คงไม่ใช้คำว่า ถูกหา”   เขาหันไปทางภรรยาของท่าน   พูดคล้ายปลอบว่า   “คุณนายมีท่าขวัญเสีย   อย่ากลัวเลยครับ   ผมไม่ใช่นักโทษฆ่าคนตายหรอก   ผู้ร้ายตัวจริงนั้นยังคงลอยนวลอยู่ได้อย่างสบายจนเดี๋ยวนี้”

“เมียผมเขาประสาทไม่ค่อยดีนัก   แล้วยิ่งมาอยู่ในที่น่ากลัวอย่างนี้   เอ้อ   แล้วก็คำบอกเล่าของคุณกับหนวดเคราคุณน่ะ ทำให้ผู้หญิงที่ขวัญอ่อนสะดุ้งได้ง่ายทีเดียว   จำเป็นต้องเอามันไว้ด้วยหรือ”

“เอาไว้เพิ่มบุคคลิกลักษณะสำหรับข่มขวัญคน ยังไงล่ะครับ   โธ่ ผู้คนทางนี้น่ะดุๆ ทั้งนั้นนาครับ   เมืองนักเลงทีเดียว   แล้วยังพวกนักโทษในทัณฑนิคมนี่อีกล่ะ   โอ๊ย   ล้วนแต่หัวเห็ดทั้งนั้น   แต่ว่า...”   เขายกมือขึ้นลูบคาง   “ผมควรจะโกนเสียในคืนนี้ เผื่อคุณนายจะได้ค่อยคลายความหวาดกลัวลงบ้าง   ท่านเลขาฯ คงไม่ว่านะครับ ถ้าผมจะโกนหนวดต่อหน้าท่าน”

“เฮ่ย ไม่ว่าหรอก”   ท่านเลขาฯ ตอบอย่างใจกว้างขวางแสดงว่าท่านไม่ถือตัว   “ว่าแต่จะโกนมันเสียทำไม   ไม่จำเป็นหรอกน่ะ”

“เอาเถอะครับ เพื่อเป็นการเอาใจสุภาพสตรี”   เขาลุกขึ้นเดินไปที่ตู้ข้างฝา   ทำอะไรก็อกแก็กอยู่ครู่หนึ่ง   สักครู่ก็เดินกลับมาพร้อมด้วยแก้มและคางที่เต็มไปด้วยคราบสบู่   มือหนึ่งถือใบมีด อีกมือหนึ่งถือกระจกเงาบานเล็ก   “ผมไม่มีโอกาสจะเอาใจผู้หญิงมานานแล้ว”   เขาบอกทั้งๆ ที่ปากคางยังเต็มไปด้วยคราบสบู่   นั่งลงบนเก้าอี้ แล้วลงมือโกนหนวดเคราต่อหน้าท่านเลขาฯ อย่างหน้าตาเฉย   พลางลอบสังเกตดูกิริยาอาการของคนทั้งสอง   ท่านเลขาฯ นั้นยังไม่สู้กระไรนัก   ได้แต่มองดูเขาอย่างรำคาญแกมทึ่งหน่อยๆ   คล้ายจะคิดว่าเจ้านี่มันบ้าหรือยังไงที่อยู่ๆ ก็มานั่งโกนหนวดอวดแขก   แต่สำหรับเมียของท่านนั่นสิ   แต่ละครั้ง ที่เขาใช้ใบมีดโกนปาดเจ้าหนวดเครานั้นออกไปจากใบหน้า   อาการกระสับกระส่ายของหล่อนก็เพิ่มมากขึ้น   หล่อนมองดูเขาทีหนึ่ง แล้วหันไปมองดูสามีทีหนึ่ง ด้วยท่าทางวิตกกังวลไม่เป็นสุข   ดูเหมือนหล่อนกำลังอยากจะบอกอะไรสักอย่างหนึ่งกับผู้ชายผู้เป็นสามีนัก

ชั่วเวลาไม่ถึงสองนาที   พิธีโกนหนวดเคราในวาระอันแปลกที่สุดนี้ก็เสร็จสิ้นลง   ปลัดทวนวางใบมีดโกนและกระจกเงาลงบนโต๊ะตรงหน้า   พูดขึ้นด้วยเสียงดังเป็นกังวานว่า

“เอาละครับ   ผมจัดการลอกคราบสกปรกทิ้งไปหมดแล้ว   ที่นี้คุณนายท่านเลขาฯ คงจะรู้สึกสบายใจขึ้นบ้างเป็นแน่”

ท่านเลขาฯ มองดูเขาพลางยิ้มอย่างขันแกมสมเพชในตอนแรก   แต่ชั่วอึดใจใหญ่ต่อมา รอยยิ้มนั้นก็ค่อยเลือนไป   ท่านยืดกายขึ้นจากท่าที่นั่งทอดไถลอย่างสบายนั้นขึ้นเป็นนั่งตัวตรง   ชะโงกเข้ามามองดูเขาอย่างพินิจพิเคราะห์   แล้วทันใดก็ผงะกลับไป   อุทานเหมือนครางออกมาว่า

“คุณพระช่วย   นี่คุณเกิดเล่นตลกอะไรขึ้นมาเล่านี่”

“ทำไมหรือครับ”   ปลัดทวนถาม ขณะวางหน้าเฉย   “ผมเพียงแต่โกนหนวดเคราเพื่อที่จะได้ทำให้คุณนายของท่านค่อยคลายความหวาดกลัวลงเท่านั้นเอง”

“ตรงกันข้าม   คุณกลับทำให้เราตกใจจนเกือบช้อคเสียแล้ว”   ท่านเลขาฯ ว่า   “คุณช่างเหมือนกับใครคนหนึ่งที่เราเคยรู้จักเหลือเกิน”

“เพียงแต่การที่ผมไปเหมือนกับใครคนหนึ่งเข้าเท่านั้นก็เกือบจะทำให้ท่านและคุณนายช็อกเทียวหรือครับ”   ปลัดทวนพูดเรื่อยๆ   แต่ดวงตาอันคมปลาบของเขามองจับอยู่ที่ดวงหน้าของท่านเลขาฯ และคุณนายอย่างพินิจ   “แล้วก็ถ้าได้พบเขาจริงๆ ท่านจะไม่ดีใจหรอกหรือครับ”

“คุณเป็นอะไรกับเขา”   ภรรยาท่านเลขาฯ ถามโพล่งออกมา   ยังผลให้เขาต้องหัวเราะ

“ผมไม่ทราบว่าคุณนายพูดถึงเขาคนไหน   แล้วผมจะรู้ได้ยังไงว่าผมเป็นอะไรกับใคร”

“เมียผมประสาทไม่ค่อยดี   คุณทำให้เขาตกใจก็เลยพูดจาเลอะเทอะเลื่อนเปื้อนไป   คุณคงจะไม่ใช่คนที่เราเคยรู้จักแน่”

“คนๆ นั้นมีความสำคัญแก่ท่านและคุณนายมากนักเทียวหรือครับ”   ปลัดทวนถาม   “ขอโทษ ถ้าผมจะถามว่าเขาเป็นอะไรกับท่าน”

“เขาเป็นเพียงเพื่อนของเราคนหนึ่งซึ่งหายไปนานหนักหนาแล้ว”   ท่านเลขาฯ ตอบอย่างไม่เต็มใจ

“ผมเองก็เป็นเพื่อนที่หายหน้าไปนานหนักหนาแล้วเหมือนกันของเพื่อนฝูงทางกรุงเทพฯ”   ปลัดทวนว่า แล้วหัวเราะด้วยเสียงประหลาด   “ใครๆ เขาคงจะคิดว่าผมตายไปแล้ว   นับตั้งแต่ผมถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตในคดีฆ่าคนตายอย่างเลือดเย็นและโดยเจตนา”

ภรรยาของท่านเลขาฯ ยื่นมืออันเย็นเฉียบไปแตะที่มือของสามีพลางกระซิบด้วยเสียงที่สั่นเครือว่า

“คุณคะ   ดิฉันว่าเราคิดผิดเสียแล้วที่มาพักที่นี่ในคืนนี้”

แต่ท่านเลขาฯ ผู้ได้รวบรวมความกล้าด้วยความพยายามเป็นอย่างยิ่ง   ได้พูดขึ้นด้วยเสียงข่มขู่อย่างผู้กำไพ่เหนือกว่าว่า   “ถ้างั้นขณะนี้คุณก็เป็นผู้ที่กำลังหลบหนีคดีน่ะซี   คุณโง่หรือบ้ากันแน่ที่มาบอกผมอย่างนี้   รู้หรือเปล่าว่าผมสามารถจะทำให้คุณต้องกลับเข้าคุกไปอีกได้”

ปลัดทวนหัวเราะเสียงดัง   “ไม่สำเร็จหรอกครับ ท่านเลขาฯ   ท่านเอาผมเข้าคุกไม่ได้หรอก   ไม่มีหลักฐานพอ   ผมไม่เคยทำอะไรโดยหละหลวม   การเสียรู้แต่ครั้งหลังเป็นบทเรียนที่ดีพอสำหรับผมแล้ว   ทำเฉยๆ เสียดีกว่าครับ   ดื่มเหล้าไปพลาง แล้วฟังผมคุย   บางทีเรื่องที่ผมจะเล่านี้ อาจจะช่วยฆ่าเวลาได้บ้างพอเพลินๆ ก่อนที่จะถึงเวลานอนของท่านและคุณนาย”

“เราไม่ต้องการจะฟังหรอก”   คุณนายพูดขึ้นด้วยเสียงอันสั่น พลางหันไปมองดูสามีอย่างวิงวอน   “คุณคะ ดิฉันคิดว่าเราควรจะหาทางไปจากที่นี่เสียดีกว่า”

“เห็นจะเป็นไปไม่ได้หรอกครับ คุณนาย”   ปลัดทวนพูดเรียบๆ   “คุณนายจะต้องเดินทางผ่านเข้าไปในป่าอีกเป็นระยะทางตั้งเกือบห้าสิบกิโล   ออกจะไม่ปลอดภัยนักสำหรับเวลากลางคืนเช่นนี้   ในป่าเต็มไปด้วยอันตรายร้อยแปด   มีทั้งเสือจริงและเสือคน   แล้วยังนักโทษซึ่งแหกคุกไปเมื่ออาทิตย์ก่อนนี้ซึ่งเรายังจับไม่ได้อีกสามคน   ยังไงๆ เสีย คืนนี้ผมก็จะปล่อยให้คุณทั้งสองไปไม่ได้”

“แกจะทำไมกับเรา”

ปลัดทวนแหงนหน้า หัวเราะด้วยเสียงอันดัง   “ท่านเลขาฯ ถามแปลก   ผมจะทำอะไรกับท่าน นอกจากจะให้การต้อนรับอย่างดี?   ที่นี่ไม่ใช่ที่เจริญ   ไม่มีวิทยุ   ไม่มีโทรทรรศน์   ไม่มีแม้กระทั่งหีบเสียง   ผมก็อยากจะหาความเพลิดเพลินให้แก่ท่านด้วยการเล่าเรื่องส่วนตัวของผมให้ท่านฟัง   อย่างน้อย นอกจากมันจะให้ความเพลิดเพลินแก่ท่านได้บ้างแล้ว   มันยังอาจจะให้บทเรียนแก่ท่าน เกี่ยวกับความทรยศของเพื่อนและเมียได้ด้วย”

ท่านเลขาฯ ควักผ้าเช็ดหน้าออกมาซับเหงื่อ   ในขณะที่เมียของท่านนั่งหน้าซีดหมดสีเลือดและปราศจากเรี่ยวแรงอยู่ในเก้าอี้   ปลัดอำเภอมองดูภาพเบื้องหน้าอย่างพึงพอใจและออกรสสนุก   เขาพูดต่อไปว่า

“ถ้าท่านไม่อยากจะฟัง ผมก็จะขอเล่าแต่เพียงย่อๆ   เพราะไหนๆ ก็ได้ตั้งใจแล้วว่าจะเล่าให้ท่านฟังให้ได้   ฟังนะครับ   เรื่องของผมก็ไม่มีอะไรมากนัก   มีอยู่ว่าเมื่อสิบปีก่อนนี้ ผมยังดำเนินชีวิตอยู่อย่างชาวกรุงเทพฯ   มีบ้านมีเมีย และมีงานซึ่งจะนำอนาคตอันสดใสต่อไปมาให้ผม   ถ้าจะไม่เกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นกับผมเสียก่อน

ผมรับราชการประจำอยู่แผนกการเงินในหน้าที่ของผู้ช่วยแผนก   หัวหน้าแผนกนั้นก็มิใช่ใครอื่น เคยเป็นเพื่อนนักเรียนร่วมชั้นมากับผมนั่นเอง   นอกจากผมกับหัวหน้าแผนกที่รับผิดชอบร่วมกันในเรื่องเงินแล้ว   ยังมีคนอีกคนหนึ่งซึ่ง รับผิดชอบร่วมกันในหน้าที่ผู้ช่วยผมอีกต่อหนึ่งด้วย   คนๆ นั้นชื่อ วิจิตร   ผมยังจำได้

อ้าว ท่านเลขาฯ ครับ   นั่นคุณนายเป็นอะไรไปเสียแล้ว   หน้าซีดทีเดียว   รู้สึกจะเป็นลมหรือยังไงครับ”

“หยุดเล่าเรื่องบ้าๆ ของแกนี่เสียที”   ท่านเลขาฯ คำรามพลางซุกมือข้างหนึ่งลงในกระเป๋าเสื้อชั้นนอกที่ยังคงสวมอยู่   ปลัดทวนยิ้มอย่างไม่สนใจ   เขารินเหล้าลงในแก้วอีกใบหนึ่ง   เลื่อนมันไปตรงหน้าภรรยาเลขาฯ   บอกว่า

“ลองดูสักอึกซีครับคุณนาย   ตามปรกติผมไม่ชอบเห็นผู้หญิงดื่มเหล้า   แต่เวลานี้มันอาจจะช่วยคุณนายได้บ้าง”

ผมจะเล่าต่อนะครับ   ก่อนที่จะเล่าถึงเรื่องร้ายที่เกิดขึ้นกับตัวผมต่อไป... จำเป็นที่จะต้องบอกเสียก่อนว่าวิจิตรกับผมนั้น   แม้ว่าเราจะทำงานร่วมสถานที่ ร่วมความรับผิดชอบด้วยกันก็จริงอยู่   แต่เราก็ไม่ค่อยจะลงรอยกันนัก   เพราะเราเกิดมารักผู้หญิงคนเดียวกันเข้า   และผู้หญิงคนนั้นเลือกผมเป็นคู่สมรสของหล่อน   ครั้งหนึ่งในงานเลี้ยงของกรม   วิจิตรกินเหล้าเมาเข้าไปและพูดจาก้าวร้าวถึงเมียของผม   ผมได้ชกหน้าเจ้าหมอนั่นแล้วกล่าวคำมาดร้ายกับเขาต่อหน้าธารกำนัล   ว่า ถ้าขืนพูดล่วงเกินเมียผมอีกละก็ ผมจะฆ่าเสียทีเดียว   ใครๆ ก็ได้ยินกันทั้งนั้น   ผมมันบัดซบไหมล่ะที่ปล่อยให้ฤทธิ์โทสะครอบงำได้ถึงเพียงนั้น

เพียงไม่กี่วันต่อจากที่เกิดเรื่องวันนั้น วิจิตรก็ถูกฆ่าตายในวันที่เขาต้องอยู่เวรที่กรม   เงินสดหายไปจากที่เก็บทั้งหมดโดยไม่มีรอยงัดแงะแต่อย่างใด   ข้าวของอย่างอื่นก็ไม่ถูกรื้อค้น แสดงว่าคนร้ายต้องมีลูกกุญแจและรหัสเซฟ   ซึ่งความสงสัยนี้จะต้องตกอยู่กับผมและหัวหน้าแผนกเท่านั้นเอง   หัวหน้าแผนกพ้นเคราะห์ไป เมื่อปรากฏว่าหลักฐานสำคัญมันชี้บ่งมาที่ผม   ให้ตายซี   ผมเองก็ไม่รู้ว่ามันเป็นไปได้ยังไง ที่ผ้าเช็ดหน้าของผมมันจะไปตกอยู่ในที่เกิดเหตุได้   มิหนำซ้ำยังเปื้อนเลือดนายวิจิตรเสียอีก   ตกลงหลักฐานมันก็มัดตัวผมจนดิ้นไม่หลุด   ผลที่ผมได้รับก็คือ คำตัดสินจำคุกตลอดชีวิต!

ปลัดทวนหัวเราะเสียงกร้าวๆ   เขามองดูหญิงชายคู่ที่นั่งอยู่เบื้องหน้าผู้มีอาการตกประหม่าจนเกือบจะหมดสติ   ฝ่ายชายก็เฝ้าแต่เวียนซับเหงื่ออยู่ไม่หยุด   เขาเอื้อมมือไปหยิบด้ามมีดโกนขึ้นมาถือไว้ พลางแกว่งไกวให้ปลายมันฉวัดเฉวียนวนเป็นวงกลมอยู่ไปมา

“ขณะนั้น” เขาพูดต่อไป   “ผมงงไปหมดจนจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูก   ผมไม่รู้ว่าผ้าเช็ดหน้าของผมซึ่งมีชื่อย่อปักอยู่ไปตกอยู่ในที่นั้นได้อย่างไร   การเงินที่ค่อนข้างขาดแคลนของเรากับคำยืนยันของเมียผมต่อศาล   ที่ว่าผ้าเช็ดหน้านั้นเป็นของผม เพราะหล่อนเป็นคนปักชื่อย่อนั้นด้วยมือของหล่อนเองก็เป็นหลักฐานมั่นคงพอแล้ว   แต่ผมกลับไม่มีความสงสัยว่าใครจะคิดร้ายต่อผมเลย   หัวหน้าแผนกรึก็เป็นเพื่อนของผมเอง   เขาแสนดีต่อครอบครัวของผม   เมียก็เป็นคนที่ผมรักและไว้ใจที่สุดในโลก   เธอเพียงแต่ให้การไปตามจริงเท่านั้น คงไม่มีเจตนาที่จะปรักปรำให้ร้ายผมเป็นแน่   ผมคิดเสียว่ามันคงเป็นเคราะห์กรรมของผมเองมากกว่า   จึงจำต้องก้มหน้ารับกรรมที่ผมมิได้เป็นคนก่อขึ้นไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น

แต่แล้ว ความระแวงแคลงใจของผมก็เริ่มฟักตัวขึ้น   เมื่อปรากฏว่านับแต่ก้าวแรกที่ผมเหยียบย่างเข้าไปในคุกผมก็ไม่มีโอกาสได้พบหน้าเมียผมอีกเลย   หล่อนตัดหางปล่อยวัดผมเสียอย่างเลือดเย็นเป็นที่สุด   แรกๆ ผมก็ไม่ได้สงสัยอะไร คิดว่าหล่อนคงจะเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นอะไรไป   หล่อนเป็นที่รักดังดวงใจของผม   การที่คิดว่าหล่อนกำลังเจ็บหรือกำลังพบกับความยากลำบากโดยที่ผมต้องถูกกักขังไปช่วยเหลือปรนนิบัติพยาบาลดูแลหล่อนไม่ได้นั้น   มันทรมานจิตใจผมเพียงไรขอให้คุณคิดดู   สิ่งเดียวที่ผมสามารถจะทำได้ ก็คือวิ่งเต้นขอความช่วยเหลือจากญาติของนักโทษด้วยกันให้ช่วยสืบข่าวของเมียผมมาบอกผมด้วย   แต่ข่าวที่ผมได้รับนั้น กลับตรงกันข้ามกับที่ผมคาดคิดอย่างหน้ามือเป็นหลังมือทีเดียว   เมียผมหาได้เจ็บไข้หรือลำบากลำบนอย่างที่ผมคิดไม่   หล่อนกำลังเป็นสุขสนุกสบายอยู่เสียด้วยซ้ำ   หล่อนได้ผู้อุปการะแทนผมแล้ว   ใคร คุณรู้ไหมละ   พ่อเพื่อนคนดีหัวหน้าแผนกของผมยังไง   เขาเข้าครองตำแหน่งของผมอย่างสุขกายสบายใจเสียนี่กระไร   อย่า! อย่านะครับท่านเลขาฯ   อย่าชักมือข้างนั้นออกมาจากกระเป๋า   มือท่านสั่นยังนี้อย่าเสี่ยงดีกว่า   ส่วนผม…

เขาหัวเราะเหี้ยมๆ ยกมือที่ถือมีดโกนชูสูงขึ้น   ใบมีดกระทบกับแสงไฟเป็นเงาวาบวับบาดตา   “สิบปีที่ผมอยู่ในคุก   คุกได้สอนวิชาต่างๆ ให้ผมมากขึ้นกว่าที่คุณจะคาดคิด   จะยิงผมได้   แต่ผมก็จะเฉือนคอหอยคุณให้ได้เช่นกัน   เพราะฉะนั้น อย่าเสี่ยง.!”

“แก แก”   ท่านเลขาฯ หลุดออกมาได้อย่างลำบากยากเย็น   “ไหนเขาว่าแกถูกส่งไปนิคมแล้วยังไง   แล้วทำไม...”

“ผมถูกส่งไปจริง แต่ก็ออกมาได้แล้ว   ผมคอยโอกาสนี้มานานหนักหนาแล้ว และมันก็มาถึงผมโดยไม่รู้สึกตัว   โอกาสที่ผมจะได้แก้แค้นเมียใจคดและเพื่อนทรยศ...”

“สมทบ!”   ภรรยาของท่านเลขาฯ โผเข้ามาคุกเข่าอยู่ตรงหน้าแทบเท้าของเขา   ร่างของหล่อนสั่นเทิ้มและดวงหน้าซีดขาวเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นจนระงับสติไว้ไม่อยู่   “อย่าฆ่าดิฉันเลย   ฟังดิฉันก่อน”

“นั่นเธอเป็นบ้าไปแล้วเรอะ”   ท่านเลขาฯ ตวาด   “อย่าหลงกลเจ้าหมอนี่ง่ายๆ เลยน่ะ   มันขู่เล่นหรอก   ความจริงมันไม่มีหลักฐานอะไรที่จะทำร้ายเราได้เลย   หยุดการกระทำที่โง่บัดซบของแกเสียที นายสมทบ   ถ้าแกไม่อยากให้ฉันเรียกคนอื่นเข้ามาบอกให้เขารู้   ว่า ที่แท้แกนั้น เป็นนักโทษฆ่าคนตายที่แหกคุกหนีมา”

ปลัดทวนหัวเราะเสียงดังอย่างสนุกสนาน   “ใครเขาจะเชื่อท่านเล่าครับท่านเลขาฯ   ผมเรียนท่านแล้วว่าผมไม่เคยทำอะไรโดยหละหลวม   แต่ก็จะแปลกอะไร   ผมเคยตั้งใจไว้แล้วว่าผมจะยอมสละทุกอย่าง   ขอแต่เพียงให้ได้รู้ความจริงที่เคลือบคลุมมานานนักหนาแล้วเท่านั้น   แล้วขอให้ได้แก้แค้นให้สมใจ...”   เขาขยับมีดในมืออีกครั้งหนึ่ง   แล้วทันใดนั้นก็ตะปบมือข้างหนึ่งลงบนแขนของหญิงที่ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้า   ทำให้หล่อนหวีดร้องขึ้นมาด้วยความตระหนก

“อย่า อย่าฆ่าดิฉันเลย สมทบ   ดิฉันยอมรับผิดต่อเธอ   ดิฉันหลงผิดไป   เขา เขา   เพื่อนของเธอคนนี้แหละที่บังคับให้ดิฉันทำ   เขาสั่งให้ดิฉันหยิบผ้าเช็ดหน้าของเธอไปให้   เขาเป็นคนวางแผนการทั้งหมด   เขา...”

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ นางตัวดี”   เสียงท่านเลขาฯ ตวาด   แต่ความหวาดกลัวได้เข้าครอบงำภรรยาของท่านเสียจนระวังจิตใจไว้ไม่อยู่เสียแล้ว   หล่อนยังคงละล่ำละลักสารภาพความจริงต่อไป ทั้งที่กายยังสั่นเทิ้ม   ดวงตาเหลือกลานจับจ้องอยู่ที่ใบมีดอันคมฉาบน่าสะพึงกลัวนั้น

“เขาเป็นคนขโมยเงินไป   เขาฆ่าคุณวิ...”

ปลัดทวนไม่ทันได้ฟังคำพูดพยางค์ต่อไปของหล่อน เพราะปรากฏเสียงระเบิดดังลั่นขึ้นกลบเสียก่อน   พอควันจางลง ร่างของภรรยาท่านเลขาฯ ก็ฟุบแน่นิ่งอยู่กับพื้นห้อง   ส่วนตัวท่านเลขาฯ ยืนถือปืนจังก้าตะลึงอยู่   มิทันที่กระสุนนัดต่อไปจะระเบิดซ้ำ   ชายสองคนที่เผ่นพรวดขึ้นมาจากข้างล่างเมื่อได้ยินเสียงกระสุนนัดแรกก็ตรงเข้ารวบแขนของท่านไว้ พร้อมกับยึดปืนเอาไป   ปลัดทวนเองก็ดูเหมือนจะงงงันไปกับเหตุการณ์อันบังเกิดขึ้นโดยมิได้คาดฝันนี้   เขาค่อยๆ ลุกขึ้นยืน   มองดูร่างที่ฟุบอยู่บนพื้นครู่ใหญ่ก็ถอนใจพลางส่ายหน้าไปมา

“ท่านออกจะหุนหันพลันแล่นเกินไปสักหน่อยแล้วละครับท่านเลขาฯ   ไม่น่าที่จะมือไวใจเร็วไปเล้ย ในเมื่อท่านก็รู้อยู่แก่ใจแล้วว่าผมไม่มีหลักฐานอะไรจะกล่าวหาท่านได้”   เขาถอนใจอีก แล้วบอกว่า   “ท่านก็พูดอยู่เองว่า ถ้าผมเป็นนักโทษหนีคุกแล้วผมจะมาเป็นปลัดอำเภอได้ยังไง   ก็แล้วทำไมท่านไม่เฉลียวใจบ้างล่ะว่าผมแกล้งเล่นละคร   นี่ถ้าท่านใจเย็นกว่านี้อีกสักนิดเดียว   ละครฉากนี้ก็จะต้องยุติลง   และพรุ่งนี้ท่านก็จะได้เดินทางต่อไปโดยสวัสดิภาพ   แต่นี่...”   เขายักไหล่ทั้งสองอย่างสังเวชแก่ใจ   “ผมจำเป็น ต้องจับกุมท่านส่งกลับไปกรุงเทพฯ ในข้อหาฆ่าภรรยาของท่านตายเสียแล้ว”

“ทำไม... แก... แกไม่ใช่เจ้านายสมทบดอกรึ”

ปลัดทวนหัวเราะก้าก   “ใครบอกท่านล่ะครับว่าใช่   ใครๆ เขาก็รู้จักผมในนามของปลัดทวนกันทั้งนั้น   ผมเพียงแต่ทำตามคำขอร้องของนักโทษคนหนึ่ง ที่เป็นไข้ป่าตายลงเมื่อตอนกลางวันวันนี้เอง   นักโทษคนนั้นใครๆ เขาเรียกกันว่า เจ้าทบ   ถูกจำคุกในคดีฆ่าคนและโจรกรรมเงินของราชการ   ล้มเจ็บด้วยไข้ป่าอย่างแรง จนผมต้องเอาออกมารักษาพยาบาลที่นี่ได้สักสามวันมาแล้ว   ผมสงสารคนใกล้จะตายก็เลยรับปากว่าจะทำตามคำขอร้องครั้งสุดท้ายของเขา   นี่หน้าของผมคล้ายกับหมอนั่นมากเทียวหรือครับ”   เขาหยุดพูด   สั่นศีรษะอีกครั้งหนึ่ง   “ไม่น่าเลยนี่นา   ผมบอกท่านแล้วเทียวว่า ผมไม่เคยทำอะไรหละหลวม   ท่านจะเอาผมเข้าตะรางไม่ได้แน่นอน ท่านก็ไม่ฟัง”


แล้วเขาก็หันไปพยักหน้ากับลูกน้อง   บอกว่า   “ไง อั๊วบอกลื้อแล้วว่าไม่ต้องวุ่นวายให้มากนักไอ้เรื่องจัดห้องจัดหับน่ะ   ท่านเลขาฯ ท่านไม่มีแก่จิตแก่ใจจะพิถีพิถันนักหรอก   จริงไหมครับ”

เขาเดินไปที่หน้ากระจกเงาอีกครั้งหนึ่ง   มองดูเงาในกระจกพลางยิ้มอย่างพึงพอใจ   พูดคล้ายพูดกับตนเองว่า

“วิญญาณเจ้าทบคงหายห่วงไปแล้ว   พับผ่าซี   ผมไม่นึกเลยว่าตัวเองจะเล่นละครได้สนิทแนบเนียนยังงี้...   แต่ว่า   เฮ้อ   กว่าหนวดเคราของผมจะขึ้นมาได้เท่าเก่าก็กินเวลาอีกตั้งหกเดือน   ดูมันไม่คุ้มกันเลย”


(เคยลงพิมพ์ในนิตยสาร ศรีสัปดาห์ เมื่อ ประมาณปี พ.ศ.2501-2503)