สุภาว์ เทวกุลฯ ราชินีแห่งเรื่องสั้น

        จันทร์ 23 ธันวาคม พ.ศ.2567
เรื่องรักๆ

สุภาว์ เทวกุลฯ

supa : 0000-00-00

reader:769
reply:0

นิ้วมือยาวเรียวกลมกลึงสีน้ำตาลอ่อนจางซึ่งกำลังจับดินสอเขียนปราดๆ ลงไปบนสมุดฉีกเล่มหนาปึกนั้นหยุดชะงัก เมื่อปรากฏเสียงเหมือนของสิ่งหนึ่งถูกกระแทกลงบนของอีกสิ่งหนึ่งไม่ห่างไกลออกไปนัก   เจ้าของนิ้วมือสวยนั้นเงยหน้าขึ้น   ทันมองเห็นสหายของหล่อนยกมือขึ้นจากแฟ้มเอกสารซึ่งวางอยู่บนโต๊ะตรงกันข้ามคนละฟากห้องนั้น   พร้อมกับเจ้าของโต๊ะซึ่งเป็นคนเดียวกับผู้ที่ทำเสียงรบกวนสมาธิในการทำงานของหล่อนยกมือทั้งสองข้างชูขึ้น แล้วร้องออกมาด้วยเสียงที่ไม่สู้จะค่อยนักว่า

“พิมพ์ๆๆๆ พิมพ์กันทั้งวันไม่รู้จักหยุดจักหย่อน   ไม่รู้ว่าจดหมายติดต่ออะไรมันถึงได้มากมายเป็นบ้าเป็นบอยังงี้”

“จุ๊ๆ”   ดินสอแท่งนั้นถูกยกขึ้นแตะริมฝีปากทันทีอย่างตกใจ   “ตายจริง อร   เสียงดังเดี๋ยวคุณธันว์ได้ยินเข้าหรอก”   แล้วผู้พูดก็หันมองดูบังตาที่กั้นห้องอยู่นั้นอย่างหวั่นใจ

“ก็ให้ได้ยินไปสิ”   สหายของหล่อนกลับกระแทกเสียงตอบอย่างไม่หวั่นไหว   ยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกาแล้วชูให้ดูด้วย   “อีกเพียง ๑๕ นาทีเท่านั้นก็จะถึงเวลาเลิกงานแล้ว แต่มีคำสั่งให้พิมพ์จดหมายอีก ๔-๕ ฉบับ   ฮึ ป่านนี้คนอื่นเขาก็คงจะเตรียมตัวกลับบ้านกันแล้ว”

“อ้อ” อีกฝ่ายหนึ่งอุทาน พลางยิ้มมองดูสหายอย่างเข้าใจ   “เย็นนี้เธอคงจะมีนัดกับคุณสมชายละซิ”

“สมชายจะมารับไปกินน้ำชาที่บ้านพี่สาวของเขาที่เป็นภรรยาอธิบดี   เขาอยากจะให้ฉันรู้จักกับญาติพี่น้องของเขา   แพร   เธอต้องรู้ซีนะว่างงานเลี้ยงน้ำชาวันนี้น่ะ สำคัญมากเพียงไรสำหรับฉัน   สมชายนัดไว้จะไปรับที่บ้านห้าโมงเย็น   คิดดูซิ   ฉันมีเวลาเพียงชั่วโมงเดียวเท่านั้นสำหรับจะรีบวิ่งกลับไปอาบน้ำอาบท่าเปลี่ยนเสื้อผ้า ก็ยังเกือบจะไม่ทันอยู่แล้ว”   หล่อนยกมือทั้งสองข้างขึ้นพินิจดูเล็บทั้งสิบที่เคลือบสีชมพูเหลือบมุกสดใส   “เล็บก็อุตส่าห์ลงทุนทำไว้ตั้งแต่เช้า   แล้วนี่เกิดมีคำสั่งให้พิมพ์จดหมายอีกตั้งปึก   โธ่ ฉันอยากฆ่าตัวตายนัก”

หญิงสาวผู้ถูกเรียกว่า แพร ก้มลงมองดูนาฬิกาที่ข้อมือของหล่อนบ้างแล้วเงยหน้าขึ้นยิ้มกับสหายอย่างเห็นใจ   บอกว่า

“เอาเถอะ อร   เธอกลับไปก็แล้วกัน   ประเดี๋ยวฉันร่างจดหมายฉบับนี้เสร็จแล้ว ฉันจะพิมพ์จดหมายที่ว่านั่นแทนเธอเอง   รีบไปเถอะ”

“แหม เธอใจดีจริง”   อรร้องขึ้น ดวงตาสดใสขึ้นมาในฉับพลัน   หล่อนกุลีกุจอหยิบแฟ้มมาวางลงบนโต๊ะของสหาย   “ขอบใจเธอเหลือเกิน แพร   จริงๆ นะ   ฉันจะไม่ลืมบุญคุณของเธอเลย   เธอคงรู้ดีว่าถ้าพลาดงานวันนี้แล้วฉันจะเป็นยังไง   เอ แต่ว่า…..เมื่อเช้านี้ดูเหมือนคุณป้าบอกว่าเย็นนี้คุณสุนทรจะมารับทานอาหารเย็นที่บ้านไม่ใช่หรือแพร”

“ไม่เป็นไรหรอก”   แพรว่า   “ฉันกลับไปถึงบ้านหกโมงเย็นก็คงทัน   เธออย่าลืมบอกคุณป้าด้วยก็แล้วกันนะ อร   ว่าวันนี้ฉันจะกลับบ้านช้าหน่อย   แต่ แหม   เลยอดดูเธอแต่งตัวเลยอยากเห็นจริงว่าเธอจะแต่งชุดอะไร”

หน้าตาที่เบิกบานแช่มชื่นของอรดูจะสลดหมดสุขลงในทันใดที่ได้ฟังคำพูดของสหายผู้เป็นทั้งญาติของหล่อน   “ชุดอะไร   ฉันมีชุดอะไรใหม่ๆ จะแต่งกับเขาที่ไหนกันล่ะ   เงินเดือนเดือนนี้ฉันซื้อกระเป๋ากับรองเท้าเสียหมดแล้ว   อยากจะตัดเสื้อใหม่สักชุดเลยไม่ได้”   หล่อนเม้มริมฝีปากเหลือบมองดูเพื่อนสาว แล้วพูดต่อโดยเร็วว่า   “ขอยืมเสื้อชุดสีเขียวฝรั่งของเธอใส่หน่อยได้ไหมแพร   มันไปกันกับรองเท้าและกระเป๋าสีนมสดของฉันได้ดีทีเดียว”

“ไหน สีเขียวฝรั่งตัวที่ฉันเพิ่งตัดมาใหม่น่ะหรือ อร   ตายจริงฉันกำลังคิดว่าจะเก็บไว้ใส่ไป...”   หล่อนชะงักคำพูดคำต่อไป   นิ่งคิดอยู่อึดใจหนึ่งก็พยักหน้าบอกว่า   “เธอเอาไปใส่ก่อนก็ได้   ถ้าหากว่าจะไม่รำคาญว่าเอวคับเหมือนตัวอื่นๆ เหมือนกัน”

“ไม่เป็นไรหรอก”   อรรีบตอบโดยเร็ว   “ฉันจะใช้สเต   ขอบใจเธอมากนะแพร   เธอใจดี๊ ดี   ฉันจะไม่มีวันลืมบุญคุณของเธอเลย   ฉันไปละ”

อรกระวีกระวาดกลับไปยังโต๊ะของหล่อน   เก็บของที่วางเกลื่อนกลาดอยู่บนโต๊ะยัดใส่ลิ้นชักแล้วฉวยกระเป๋าถือจ้ำอ้าวไปยังประตู

“อย่าลืมบอกคุณป้านะ อร”   แพรร้องตามหลังสหายไป   มองดูจนอรออกประตูไปแล้วจึงหันกลับมาสนใจกับงานตรงหน้าของหล่อนต่อไป

๑๗.๓๐ น.   แพรกำลังพิมพ์งานของอรจดหมายฉบับสุดท้าย เมื่อได้ยินเสียงรองเท้ากระทบพื้นดังก้องเข้ามาในสำนักงาน   อีกอึดใจต่อมา ชายหนุ่มหน้าตาแจ่มใสรื่นเริงคนหนึ่งก็โผล่เข้ามาในห้อง

“ฮัลโหล คุณแพร”   เขาเลิกคิ้วแล้วร้องทักหล่อน   “ขยันจริงนะ   เย็นแล้วยังคั่วข้าวตอกอยู่อีกเรอะครับ   มีงานด่วนหรือไร”

“ค่ะ   คุณทิวามาหาหัวหน้าหรือคะ”

“ครับ   คงยังอยู่ซีนะ   ผมเห็นเขาอยู่เย็นๆ เสมอเลยมาตอนนี้”

“ยังอยู่ค่ะ   เชิญซีค่ะ   ประเดี๋ยวดิฉันพิมพ์หนังสือนี่เสร็จแล้วก็จะเอาไปให้หัวหน้าลงชื่อแล้วก็คงจะกลับกัน”   แพรพูดพลางชำเลืองดูนาฬิกา   เข็มยาวเลยเลขหกไปกว่าห้านาทีแล้ว   คุณสุนทรชอบพล่ากุ้ง   หล่อนสั่งให้ซื้อกุ้งใส่ตู้เย็นเอาไว้แล้ว   คุณป้าจะสั่งให้ใครปอกเอาไว้ให้หรือเปล่าก็ไม่รู้ซี

“คุณนี่ช่างขยันดีเหลือเกินนะ คุณแพร”   ชายหนุ่มยังไม่ปฏิบัติตามคำเชิญของหล่อน   เขากลับนั่งหมิ่นๆ ลงบนโต๊ะ มองดูแพรอย่างนิยมชมเชยแล้วพูดต่อไป   “ผมอยากมีเลขานุการขยันๆ อย่างนี้สักคน   งานด้านผมกำลังขยายตัวกว้างขวางออกไปทุกวัน”

แพรยิ้มรับคำพูดของเขา   เข็มนาฬิกาเคลื่อนผ่านไปอีกแล้ว   ระยะทางจากที่ทำงานนี่ไปถึงป้ายรถประจำทางวิ่งตั้งยี่สิบนาที   ถ้ารถติดก็เข้าไปตั้งครึ่งชั่วโมง

“สมัยนี้มีคนนิยมการทัศนาจรกันมากทั้งในประเทศและนอกประเทศ”   ชายหนุ่มยังคงพูดต่อไป   “คุณสนใจในงานแผนกผมบ้างไหม คุณแพร”

“เอ้อ ค่ะ”   แพรชักกระวนกระวายใจ   คุณสนทรจะมาถึงบ้านหกโมงครึ่ง   เสียเวลาทำกุ้งพล่าสักสิบห้านาที เผื่อกุ้งยังไม่ได้ปอก   รถประจำทางวิ่งอีกยี่สิบนาที   จะมีเวลาอาบน้ำแต่งตัวสักสิบนาทีได้ไหมนี่

“ค่ะน่ะหมายความว่ายังไง”   ทิวายังคงซักต่อไปอย่างสนุกสนานเพราะไม่ทันสังเกตความรู้สึกของผู้ที่เขาพูดด้วย   “สนใจหรือไม่สนใจ”

“สน สนใจค่ะ”   เห็นจะต้องยอมเสียค่าแท้กซี่กลับบ้านเสียสักวันหนึ่งแล้ว   หญิงสาวเหลือบไปเห็นขากางเกงสีเทาเข้มปรากฏขึ้นที่ใต้บังตาจึงรีบบอกอย่างโล่งใจว่า   “นั่นแน่ะค่ะหัวหน้าออกมาแล้ว”

พร้อมๆ กันกับที่หล่อนพูด บังตาก็ถูกผลักออก   เจ้าของขากางเกงสีเทาเข้มนั้นก้าวออกมาก้าวหนึ่งแล้วก็หยุด

“อ้อ ทิวา”   ขมวดคิ้วเล็กน้อย   “เอ๊ะ นี่เธอยังอยู่อีกหรือ คุณแพร   เลยเวลางานมาตั้งนานแล้วนี่”

“จดหมายที่คุณต้องการจะลงชื่อวันนี้ยังไม่เสร็จค่ะ”

“หน้าที่พิมพ์จดหมายเป็นของคุณอรนงค์ต่างหาก”

“อรนงค์มีธุระต้องรีบกลีบค่ะ ดิฉันเลยรับอาสาพิมพ์แทน”

อีกฝ่ายหนึ่งพยักหน้ารับรู้   คิ้วยังไม่คลายจากอาการขมวดมุ่นดีเมื่อหันไปทางทิวาผู้ยังคงยิ้มอยู่ริมโต๊ะทำงานของแพร ถามว่า

“แล้วคุณล่ะ มีธุระรีบด่วนกับผมหรือ ทิวา”

“มีเหมือนกันแหละ” ทิวาตอบ   ค่อยๆ เลื่อนกายลงจากโต๊ะอย่างเกียจคร้าน   “แต่ดูทางคุณกำลังยุ่ง   งั้นก็เอาไว้พูดกันในที่ประชุมวันพรุ่งนี้ก็ได้   ผมไปก่อนละครับคุณแพร”

“สวัสดีค่ะ” แพรตอบ   มองตามร่างปราดเปรียวที่หันหลังกลับเดินออกไปจากห้อง   หันกลับมา ก็พบตาดุๆ กำลังจ้องมาที่หล่อนอยู่

“ผมกำลังคอยเซ็นหนังสือ”   เขาบอก ก่อนที่จะหันไปผลักบังตาเดินกลับเข้าห้องไป

แพรก้มลงมองดูนาฬิกา   ต๊าย ตาย ช่างรวดเร็วอะไรอย่างนี้   อีกสิบห้านาทีจะหกโมงเย็นอยู่แล้ว หฃ่อนรัวนิ้วทั้งสิบลงบนเครื่องพิมพ์ที่อยู่ตรงหน้าทันที

อีกไม่ถึงห้านาทีต่อมา หล่อนก็เปิดบังตาเข้าไปวางจดหมายที่พิมพ์เสร็จแล้วทั้งภาษาไทยและอังกฤษลงบนโต๊ะตรงหน้าเจ้าของห้องซึ่งหมกมุ่นอยู่กับงานและยืนกระสับกระส่ายอยู่   เป็นหลายนาที ใบหน้าคล้ามๆ ดุๆ นั้นจึงหันมา

“เสร็จแล้วรึ   นั่งก่อนซิ   ขอเวลาผมอ่านดูก่อน”

แพรนั่งลงบนเก้าอี้ตรงหน้าโต๊ะอย่างเงียบๆ   เข็มยาวชี้ใกล้เลขสิบสองเข้าไปทุกที   ไม่มีเวลาที่จะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่เสียแล้ว   แม้แต่จะล้างหน้าก็ไม่ทัน   คุณป้าพร่ำบอกอยู่เป็นนักหนาว่าคุณสุนทรนั้นเป็นคนสะอาด รักสวยรักงาม   แต่ บางทีถ้าคุณป้าใจดี ลงมือทำกุ้งพร่าเสียเองก่อนเพราะเห็นหล่อนกลับช้า   แพรก็อาจจะพอมีเวลาประเทืองโฉมได้บ้างสักนิดหน่อยกระมัง   หล่อนไม่อยากทำให้คุณป้าขุ่นเคือง   เพราะคุณสุนทรคนนี้แหละที่คุณป้านิยมชมชื่น หมายมั่นปั้นมือ อยากจะให้เขามาเกี่ยวดองเป็นญาติสนิทนัก   อรอนงค์ทำให้ท่านไม่พอใจไปคนหนึ่งแล้วเพราะความดื้อรั้นเลือกคนรักเอาเอง ไม่ตามใจท่าน   และถ้าสมชายคนรักของอรอนงค์จะมีฐานะดีกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ขึ้นอีกสักนิดหนึ่งคุณป้าก็คงจะไม่ว่าอะไร   แต่นี่เต็มที   แม้ว่าสมชายจะไม่ใช่คนยากจน แต่พี่น้องของเขาก็มีอยู่ด้วยกันถึงเก้าคน   สมชายเป็นลูกคนที่สองรองจากพี่สาวคนที่เป็นเมียอธิบดี   คุณป้าจึงไม่พอใจที่หลานสาวของท่านจะไปรักใคร่กับชายหนุ่มที่ต้องมีภาระมากมายเช่นนี้   แต่อรอนงค์ก็ไม่เคยเชื่อฟังคำพูดของท่าน ซ้ำยังกลับทำให้ท่านไม่สบายใจบ่อยๆ ด้วยการออกไปเที่ยวตามลำพังสองต่อสองกับสมชายเสมอ   แพรสงสารคุณป้าจึง ไม่อยากจะขัดใจและทำให้ท่านต้องไม่สบายใจเพราะหล่อนอีกคนหนึ่ง

“คุณแพร”

แพรสะดุ้งเมื่อถูกเรียกชื่อโดยไม่ทันรู้ตัวเพราะกำลังคิดเพลินอยู่   หล่อนเงยหน้าขึ้นมองสบตาดุใต้คิ้วขมวดคู่นั้นพลางยิ้มจืดๆ

“เป็นอะไรไป เพียงแต่เรียกชื่อก็ถึงกับสะดุ้งเทียวนะ”   เสียงของเขาช่างไม่แตกต่างกับดวงตาและสีหน้าเลย   “ดูซี พิมพ์ภาษาอังกฤษผิดเป็นหลายคำ   ยิ่งฉบับสุดท้ายนี่…”   เขาวางกระดาษที่พิมพ์ข้อความไว้นั้นลงตรงหน้าของหล่อน   “ลองอ่านดูทีรึว่าเป็นยังไง”

แพรก้มลงมองแผ่นกระดาษเบื้องหน้า   แต่ใจคอของหล่อนไม่เป็นปรกติ จนไม่อาจที่จะควบคุมสติให้มั่นคงแน่วแน่พอที่จะอ่านข้อความนั้นให้รู้เรื่องรู้ราวขึ้นมาได้   หล่อนมองสบตาแวบหนึ่ง แล้วพึมพำว่า

“ดิฉันขอประทานโทษค่ะ... แต่ว่า...”

“นี่เธอคงจะเป็นโรคใจลอยขนาดหนัก” เขาว่าต่อไป   “หรือไม่เช่นนั้นก็คงจะรีบร้อนอย่างเหลือเกินที่จะพิมพ์มันให้เสร็จๆ ไปเพราะจะต้องรีบไปทำอะไรอย่างอื่น   อันที่จริงถึงงานนี้จะเป็นของคุณอรอนงค์   แต่เมื่อเธอรับอาสาจะทำแทนเขา เธอก็ควรจะตั้งอกตั้งใจทำให้มากกว่านี้สักหน่อย”

แพรอยากจะร้องไห้ออกมาเป็นที่สุด   รู้สึกทั้งอายและโกรธ   อายเพราะตนหมดความสามารถควบคุมจิตใจของตนเองให้แน่วแน่มั่นคง   ปล่อยใจให้ขาดสมาธิจนกระทั่งเป็นเหตุให้เกิดความบกพร่องในการปฏิบัติงาน   โกรธ..   หญิงสาวไม่แน่ใจว่าหล่อนโกรธใครกันแน่   โกรธตัวเองที่ทำงานบกพร่อง จนทำให้ถูกตำหนิ หรือโกรธญาติของหล่อนที่ปลีกตัวไปหาความสุขสำราญเสีย ทิ้งให้หล่อนต้องทำงานที่มิได้เป็นหน้าที่ของหล่อน   หรือโกรธผู้ที่ได้ใช้ถ้อยคำตำหนิติเตียนหล่อนอย่างไม่เกรงอกเกรงใจผู้นี้กันแน่

“ว่ายังไง”   เสียงห้วนๆ นั้นยังคงคุกคามขวัญของหล่อนต่อไป   “คุณมีธุระอะไรรีบร้อนด้วยเหมือนกันหรือ”

“เปล่าค่ะ”   แพรพยายามกลืนก้อนสะอื้นลงไปในลำคอ   “เพียงแต่ว่า...”

“อะไร” เขาซักเมื่อหล่อนหยุดไม่พูดต่อไป   เสียงของเขาบอกความรำคาญเมื่อพูดต่อไปว่า   “จะพูดอะไรก็ไม่พูดออกมาให้รู้เรื่องกันเสียทีเดียว   พูดๆ หยุดๆ ยังงี้แล้วอีกกี่ปีถึงจะรู้เรื่อง”

น้ำเสียงและวิธีที่เขาพูดทำให้หญิงสาวรู้สึกฉิว   และความฉิวนั่นเองที่ทำให้หล่อนเกิดความกล้าที่จะพูดออกไปว่า   “ไม่มีอะไรดอกค่ะ   นอกจากว่าค่ำนี้จะมีแขกมารับประทานอาหารเย็นที่บ้านของดิฉัน”

“แขก... อ้อ... ท่าจะเป็นแขกที่มีความสำคัญมากซีนะ   เธอจึงได้ใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวจนพิมพ์หนังสือผิดๆ ไปหมดเช่นนี้”

แพรขมวดคิ้วมองดูเขา   ไม่แน่ใจว่าเขาตั้งใจจะพูดประชดหรืออย่างไร เพราะไม่มีความผิดปรกติอย่างหนึ่งอย่างใดปรากฏขึ้นในดวงตาและใบหน้าที่เคร่งขรึมนั้นเป็นพิเศษไปจากที่เคยเป็นอยู่   “คนอะไรดุดันไม่มีหัวใจอย่างนี้”   หญิงสาวคิด   ตั้งแต่ทำงานด้วยกันมาก็ตั้งเกือบสองปีแล้ว   ดูเหมือนไม่เคยยิ้มสักครั้งเดียว   เอาแต่งานๆๆ แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้นเอง”

“นี่แน่ะ คุณแพร” เสียงของเขาอ่อนลงเล็กน้อยเมื่อพูดต่อไป   “ผมเห็นใจเธอเรื่องที่จะต้องกลับไปรับรองแขกคนสำคัญคนนี้   แต่ทว่ามีความจำเป็นที่ผมต้องการจะลงชื่อในจดหมายพวกนี้เสียให้เสร็จสิ้นในวันนี้   พรุ่งนี้จะได้ส่งออกไปแต่เช้า   ในตอนเช้าผมมีธุระจะต้องไปที่อื่น จะแวะมาเซ็นไม่ได้   ที่บ้านเธอมีใครบ้างไหมที่จะทำหน้าที่รับรองแขกคนนี้แทนเธอสักวัน”

“มีคุณป้าค่ะ”

“คุณป้า?   คุณอรอนงค์เล่า   ไม่ได้อยู่บ้านเดียวกับคุณดอกหรือ”

“อยู่ค่ะ   แต่...ไม่แน่ว่าอรอนงค์จะกลับไปทันหรือเปล่า   เพราะเขา   เอ้อ   เขาก็มีธุระเหมือนกัน”

เขานิ่งไปครู่หนึ่งแล้วจึงบอกว่า   “ถ้าอย่างนั้นก็ขอความกรุณาจากคุณป้าก็แล้วกัน   ที่บ้านของเธอมีโทรศัพท์หรือเปล่า   ผมจะโทร. ไปเรียนให้ท่านทราบเองก็ได้ ท่านจะได้ไม่เป็นห่วง”

“ไม่ต้องหรอกค่ะ”   แพรบอก ใจคอแห้งเหี่ยวอย่างบอกไม่ถูก   “ดิฉันจะโทร. ไปเองเพราะที่บ้านไม่มีโทรศัพท์   ต้องต่อไปที่บ้านข้างๆ แล้วขอให้เขาไปตามคุณป้ามาพูดอีกทีหนึ่ง”

เขาพยักหน้า   “ถ้างั้นก็จัดการเสียซี   เอ้านี่แน่ะ   จดหมายสองฉบับที่พิมพ์ผิด ต้องแก้ใหม่”

แพรรับกระดาษมาจากเขา แล้วเดินกลับจะออกไปจากห้อง   แต่เมื่อเดินไปถึงบังตา ก็ได้ยินเสียง

“เดี๋ยวก่อน คุณแพร”

หญิงสาวหันกลับไปมองดูเป็นเชิงถาม

“เธอกับทิวาน่ะ สนิทสนมกันดีอยู่หรอกหรือ”

แพรขมวดคิ้วอย่างฉงน   ตอบว่า   “ดิฉันรู้จักกับคุณทิวามานานเท่าที่รู้จักกับคุณค่ะ”

“ผมไม่ได้พูดถึงการรู้จัก   ผมพูดถึงความสนิทสนม”

“คุณทิวาเป็นคนรื่นเริง ชอบพูดคุยกับใครๆ ทุกคนแหละค่ะ”   อยากจะต่ออีกสักนิดด้วยซ้ำว่า ผิดกับคุณที่ตลอดทั้งชาติไม่เคยยิ้มเคยหัวเราะกับใครเขาเลย

“เท่านั้นแหละ ไปได้”

เขาบอก แล้วแพรก็ผลักบังตาออกมา

ทรุดลงนั่ง   ยกศอกเท้าลงบนโต๊ะเอามือกุมหน้าอย่างอ่อนใจครู่หนึ่งแล้วจึงจัดการต่อโทรศัพท์ไปถึงคุณป้า   กว่าจะพูดกับคุณป้าได้ และกว่าจะพูดกันรู้เรื่องก็กินเวลาเข้าไปอีกหลายนาที   ยามเข้ามาเปิดไฟให้แล้วกลับออกไป   นาฬิกาที่ข้อมือบอกเวลา ๑๘.๓๐ น. พอดีเมื่อแพรลงมือพิมพ์จดหมายอีกครั้งหนึ่ง

๑๙.๑๐ น.   เมื่อแพรเก็บของชิ้นสุดท้ายใส่ไว้ในลิ้นชักโต๊ะ   พอหล่อนหยิบกระเป๋าถือขึ้นมาผู้บังคับบัญชาของหล่อนก็ผลักบังตาออกมา

“จะกลับบ้านไม่ใช่รึ   ผมจะขับรถไปส่ง”   เขาบอกโดยไม่มองหน้าแล้วเดินผ่านหล่อนไปหญิงสาวก้าวตามเขาไป   บอกว่า

“ขอบคุณค่ะ แต่ไม่ต้องหรอก   ดิฉันกลับแท้กซี่ก็ได้”

เขาหยุดเดินทันที   หันขวับมาจนเกือบจะชนกับหล่อน   หน้าเคร่งตามเคยเมื่อพูดว่า   “อย่ายังงั้นยังงี้ไปหน่อยเลยน่ะ   ผมบอกแล้วว่าจะขับรถไปส่ง”

แล้วก็ก้าวเดินต่อไป   แพรนิ่งเงียบเพราะไม่รู้ว่าจะพูดว่าอย่างไร นอกจากเดินตามเขามาเฉยๆ   ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่หล่อนได้นั่งรถของเขานับตั้งแต่ทำงานในหน้าที่เลขานุการของเขามาเป็นเวลานานเกือบสองปี

“เอายังงี้เถอะ”   ชายหนุ่มกล่าวขึ้นเมื่อขับรถไปตามทิศทางที่แพรบอกแก่เขาแล้วครู่หนึ่ง   “ในฐานที่ทำให้เธอต้องเลื่อนเวลาอาหารเย็นของเธอออกไป   ผมจะขอเลี้ยงอาหารมื้อนี้เป็นการชดเชยเสียเองเป็นไง”

“ขอบคุณค่ะ แต่อย่าดีกว่า   ดิฉันกลับไปหาอะไรรับที่บ้านก็ได้”

“ไม่ลำบากรึ   ถ้าคนอื่นเขากินกันหมดแล้วล่ะจะทำยังไง   อีกกย่างหนึ่งเธอคงหิวแย่กว่าจะถึงบ้าน”

“ไม่เป็นไรดอกค่ะ   ดิฉันไม่รู้สึกหิวเลย”

“อ้อ   เสียใจที่พลาดกินพร้อมกับแขกคนสำคัญจนถึงกับคอหอยตีบตันจนกินอะไรไม่ลงเทียวรึ”

แพรขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำพูดประโยคนั้น พร้อมกับหันไปมองดูหน้าคนพูด   แต่แสงสว่างสลัวๆ จากโคมไฟตามข้างถนนไม่สว่างพอที่จะทำให้หญิงสาวจับความรู้สึกจากสีหน้าของผู้พูดได้ถนัด   จึงได้แต่คิดในใจว่าผู้ชายคนนี้นี่พิกล   ดูเหมือนเขาจะรู้จักแต่จะพูดให้คนโกรธ กลัวและขวัญเสียเท่านั้น   ไม่เห็นเคยพูดเพราะๆ อ่อนหวานเหมือนใครอื่นเขาบ้างเลยแม้สักครั้งเดียว   ทั้งเขาและหล่อนต่างคนต่างนั่งเงียบ   มิได้ปริปากพูดอะไรแน่กันอีกจนกระทั่งเขาเทียบรถเข้าจอดที่ประตูบ้านของเธอ

รุ่งขึ้นเป็นวันเสาร์   บริษัทที่แพรและอรอนงค์ทำงานไม่หยุด เพราะมีการประชุม   แต่บริษัทของสมชายหยุดครึ่งวัน   แพรซึ่งเป็นคนใจอ่อนทนมองเห็นญาติสาวทำตาปริบปรอยผุดลุกผุดนั่งกระสับกระส่ายอยู่ไม่ไหว จึงรับอาสาจะทำงานแทนเพื่อให้โอกาสแก่อรอนงค์ออกไปสำเริงสำราญกับคนรักของหล่อน   ความจริงงานในวันเสาร์ก็มีไม่ค่อยมากนัก   ตามปรกติถ้าไม่มีการประชุมก็เลิกครึ่งวัน   แต่เฉพาะเสาร์ที่มีประชุม ได้มีคำสั่งจากคณะกรรมการดำเนินงานให้คนงานในบริษัทผลัดกันหยุดครั้งละครึ่งจำนวน   แต่สำหรับธันว์   เขาเคยสั่งให้แพรอยู่ทุกครั้ง เพราะหลังจากการประชุมแล้ว เขามักจะต้องมีงานพิเศษทำเสมอ

แพรกำลังจัดแยกแฟ้มแยกประเภทเข้าเก็บไว้ในตู้เอกสาร เมื่อได้ยินเสียงทิวาเดินคุยอ้าวมากับธันว์   หล่อนไม่ได้ยินเสียงคุยของธันว์แต่ก็จำเสียงฝีเท้าเดินหนักๆ เป็นระยะ สม่ำเสมอของเขาได้ดี

“ฮัลโหล คุณแพร   อยู่โยงตามเคยนะครับ”

ทิวาร้องทักเอะอะตามเคยของเขา   แพรเงยหน้าขึ้นยิ้มรับคำทักทายนั้น   ทิวาเดินขึ้นหน้าธันว์มาหยุดยืนเกาะโต๊ะ   มองดูมือของหญิงสาวที่กำลังแยกประเภทของเอกสารออกเป็นพวกๆ อย่างคล่องแคล่วแล้วพูดว่า

“มือคุณแพรนี่สวยจริงแฮะ   เพิ่งสังเกตเห็นเดี๋ยวนี้เอง   มือสวยๆ อย่างนี้ไม่น่าจะทำงานเก่งเลย”

แพรก้มลงมองดูมือของตัวเองซึ่งปลายเล็บทั้งสิบตัดขลิบไว้จนเกือบชิดเนื้อเป็นสีชมพูเรื่อธรรมชาติแล้วเงยหน้าขึ้นยิ้มกับผู้ชมอย่างขอบใจ   ตาของหล่อนเลยไปสบตาดูอีกคู่หนึ่งเข้าโดยมิได้ตั้งใจ   ธันว์ก้าวเดินหนักๆ ผ่านโต๊ะของหล่อนตรงไปที่บังตาพร้อมกับสั่งว่า

“คุณแพร   ประเดี๋ยวเข้ามาในนี้หน่อย   เอาสมุดเข้ามาด้วย”

“คุณธันว์”   ทิวาร้องตามหลังไป   ธันว์ชะงักมือที่ยกขึ้นจะผลักบังตา   หยุดฟังแต่มิได้หันหน้ามาดู   “อย่าลืมที่ตกลงกันไว้นะ   หวังว่าคุณจะไม่ทำให้ผมผิดหวังเป็นแน่”

ธันว์นิ่งไปอึดใจหนึ่งแล้วจึงผลักบังตาเดินเข้าห้องไป   ทิวามองดูบังตาที่ถูกปล่อยกลับมาค่อนข้างแรงแล้วหันกลับมายิ้มกับแพร

“อารมณ์ของเขาเป็นยังไงนะ หัวหน้าของคุณนี่   เคยหัวเราะกับลูกน้องบ้างหรือเปล่า”

“ดิฉันไม่ทันสังเกตค่ะ” แพรตอบหน้าเฉยๆ   ทิวาหัวเราะ มองดูหล่อนเฉยอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงปล่อยมือออกจากโต๊ะ ถอยห่างออกไป   บอกว่า

“เอาละ ผมจะกลับเสียที   หัวหน้าเขาสั่งให้คุณเข้าไปจดคำสั่งไม่ใช่หรือ   รีบเข้าไปเถอะครับ   เดี๋ยวชักช้าไม่ทันใจจะถูกดุ   หวังว่าพรุ่งนี้ผมคงจะได้รับข่าวดีจากเขา   สวัสดี คุณแพร”

แพรกล่าวคำสวัสดีตอบเขา   ยืนคอยจนชายหนุ่มก้าวยาวๆ ออกไปจากห้องแล้วจึงคว้าสมุดจดและดินสอเข้าไปในห้อง

ธันว์ยืนสูบบุหรี่หันหลังให้ประตูอยู่เมื่อแพรเข้าไป   มือข้างหนึ่งซุกอยู่ในกระเป๋ากางเกง   เขาหันกลับมาเมื่อได้ยินเสียงบังตา   สั่งว่า

“นั่งสิ”

แพรนั่งลงบนเก้าอี้ที่หล่อนเคยนั่ง   ตั้งท่าเตรียมพร้อมที่จะจดลงไปตามคำบอกของเขา   ธันว์ดึงมือออกจากกระเป๋ากางเกงเดินกลับมาที่โต๊ะ   กดก้นบุหรี่ลงในจานกระเบื้องที่ใช้เขี่ยบุหรี่แล้วจึงนั่งลง   หลังทอดพิงพนัก   แขนทั้งสองราบไปบนเท้าแขน   เขาจับตามองดูแพรซึ่งนั่งตัวตรงสำรวมกิริยาในท่าเตรียมจดอย่างพินิจวิเคราะห์ แล้วถามขึ้นว่า

“เธอสนิทสนมกับทิวาดีอยู่หรือ”

หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองสบตาเขาโดยเร็วด้วยความประหลาดใจ   แต่หล่อนตอบด้วยเสียงที่ราบเรียบเป็นปรกติว่า   “ดูเหมือนเมื่อวานนี้ดิฉันจะได้เรียนให้หัวหน้าทราบแล้วว่าดิฉันรู้จักกับคุณทิวานานเท่ากับที่ดิฉันเข้ามาทำงานในหน้าที่นี้”

เขาเงียบไป ไม่พูดว่าอะไร แล้วก็ทรงกายขึ้นนั่ง   ใช้แขนเท้าโต๊ะชะโงกมาทางเบื้องหน้า บอกว่า

“เอ้าจดลงไป   นี่เป็นจดหมายติดต่อภายในบริษัท   ฟังนะ”

“เรียนหัวหน้าแผนกบริการนำเที่ยว”   เขาเริ่มบอก   “ตามที่ท่านได้ขอร้องให้ทางแผนกธุรกิจจัดหาเลขานุการให้ท่านคนหนึ่งนั้น   ข้าพเจ้าขอเสนอให้นางสาวอรอนงค์ ชูลักษณ์ได้รับตำแหน่งนี้”

“เอ๊ะ!”   ดินสอที่กำลังเคลื่อนปราดๆ ไปบนหน้ากระดาษชะงักกึกพร้อมกับเสียงอุทานที่ดังขึ้นเพราะเจ้าตัวอดกลั้นความรู้สึกพิศวงไว้ไม่อยู่   ธันว์เลิกคิ้วมองดูหล่อน

“อ้าว   ทิวาเขาไม่ได้บอกเธอดอกรึว่าเขาต้องการเลขานุการ”   เขาถาม   “ผมเห็นว่าเป็นโอกาสที่จะได้ทำงานถูกกับนิสัย   จะได้ทั้งเงินเดือนขึ้นและยังได้ท่องเที่ยวไปตามที่ต่างๆ   ผมจึงได้เสนอชื่อคุณอรอนงค์   ทำไม   เธอไม่ดีใจกับเพื่อนของเธอด้วยดอกรึ คุณแพร”

“ดี... เอ้อ... ดีใจซีคะ” แพรตอบ มีความรู้สึกอยากร้องไห้ขึ้นมาในฉับพลัน

ดีใจกับอรอนงค์ !   ประโยคนี้ก้องอยู่ในหูแพรตลอดเวลา   นับจากขณะนั้นเป็นต้นมา แม้กระทั่งเมื่อกลับมาถึงบ้านแล้ว   ตำแหน่งที่ใครๆ ก็ต้องการ   เงินเดือนดี งานเบา   ได้มีโอกาสไปเที่ยวตามที่ต่างๆ เมื่อมีการนำเที่ยว   แถมยังได้เบี้ยเลี้ยงพิเศษอีกด้วย   มันเป็นการยุติธรรมแล้วหรือที่อรอนงค์จะได้ตำแหน่งนี้ ในเมื่อหล่อนเข้าทำงานทีหลังแพรตั้งเกือบครึ่งปี แล้วยังขาดงานบ่อยๆ   ตำแหน่งก็ด้อยกว่าแพร   แต่แล้วอรอนงค์กลับได้เลื่อนปรูดปราดขึ้นหน้าหล่อนไป   อยากจะทำตัวให้เป็นคนใจกว้าง แต่ก็ทำไม่ไหว   มันอยุติธรรม   อยุติธรรมจริงๆ   นี่คงจะเป็นเพราะธันว์เกลียดเธอนั้นเอง จึงได้เสนอชื่ออรอนงค์   ธันว์เกลียดแพร   เขาต้องการแกล้งแพรด้วยการดึงเธอไว้ให้จมอยู่กับงานหนัก   คนอะไร... นอกจากจะดุดันกราดเกรี้ยวไม่มีวันสุภาพอ่อนหวานแล้ว ยังใจร้ายสกปรกถึงขนาดนี้อีกด้วย

รุ่งขึ้นเป็นวันอาทิตย์   สุนทรมาที่บ้าน   แพรต้องเป็นธุระวุ่นวายอยู่กับการต้อนรับเขา พูดคุยกับเขา ทำอาหารกลางวันให้เขารับประทาน   แม้กระนั้นเรื่องนี้ก็ยังคงกรุ่นอยู่ในใจเธอตลอดเวลา   อรอนงค์คนใจแตกออกจากบ้านไปกับคนรักของหล่อนตามเคย   แพรอยากจะทำใจให้ลืมเรื่องอยุติธรรมของธันว์ที่ทำร้ายจิตใจของเธอนี้เสียด้วย การแสวงหาความสนุกสนานมาช่วยบรรเทามันลง   ดังนั้น เมื่อสุนทรชวนเธอออกไปหาอาหารเย็นรับประทานและดูภาพยนตร์ แพรจึงไม่ปฏิเสธ   ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เธอจะออกไปเที่ยวนอกบ้านกับผู้ชายแต่ลำพังสองต่อสองในเวลาค่ำคืน   แม้ว่าสุนทรจะเป็นผู้ชายที่สุภาพเรียบร้อยและเป็นผู้ดีพอที่จะไว้ใจได้ว่าจะไม่เป็นอันตรายแก่ผู้หญิง   แต่แพรก็รู้สึกว่ามันไม่เหมาะ   แม้กระนั้น ทั้งที่รู้   เธอก็ยังอยากจะทำ   แล้วก็หาเหตุผลไม่พบเสียด้วยซีว่าเหตุใดเธอจึงได้เกิดความรู้สึกอยากจะทำตัวให้ประหลาดพิสดารขึ้นมาเช่นนี้

สุนทรเป็นสุภาพบุรุษจริงๆ สมกับความนิยมชมชื่นและไว้วางใจที่คุณป้ามีต่อเขา   เขาพาเธอไปรับประทานอาหารค่ำที่ภัตตาคารโอ่อ่าแห่งหนึ่ง   ความสะอาดสะอ้านของสถานที่   ความสงบเงียบและบริการที่ดีช่วยทำให้แพรรู้สึกสบายใจขึ้นบ้าง   เธอกินอาหารช้าๆ พลางพูดคุยกับสุนทร อย่างอ้อยอิ่งตามสบาย   สุนทรมิได้แสดงว่ารำคาญหรือเบื่อหน่าย   ดูเหมือนเขาเองก็พอใจที่จะทำเช่นนั้นเหมือนกัน

แพรพิจารณาดูชายหนุ่มที่นั่งอยู่เบื้องหน้าของหล่อน   สุนทรเป็นผู้ชายธรรมดาๆ ที่ไม่มีลักษณะอันใดเป็นที่สะดุดตาแก่ผู้อื่น   จะจับจะทำอะไรก็เป็นไปอย่างเชื่องช้าระวังระไวคล้ายผู้หญิง   แต่เขาก็เป็นผู้ชายที่สุภาพ และมั่งคั่งพอที่จะเนรมิตความสุขอย่างตามปรารถนาให้แก่หญิงที่เป็นคู่ครองของเขาได้   โอกาสนี้อยู่ใกล้แค่มือเอื้อมของแพรนี่เอง   สุนทรแสดงทีท่าอย่างเปิดเผยมานานแล้วว่าเขาชอบเธอ   ถ้าเพียงแต่แพรจะไม่พยายามวางตัวเหินห่าง ไม่ยอมใกล้ชิดสนิทสนมกับเขา   ป่านนี้เขาอาจจะจัดผู้ใหญ่มาสู่ขอเธอแล้วก็เป็นได้   นี่เธอโง่หรือเปล่าที่ทำเช่นนั้น   ความสุขสบายมั่งคั่งสมบูรณ์วางรออยู่เพียงแค่เอื้อมมือ เหตุใดเธอจึงได้แกล้งทำเมินเฉยเสีย   ทนทำงานหนัก   ทนถูกดุถูกว่าอยู่ได้ตั้งสองปี

เนื่องจากอาหารเย็นวันนั้นล่าช้าไปกว่าเวลาปรกติ กว่าจะเสร็จก็เกินสองทุ่ม   รายการดูภาพยนตร์จึงต้องเลื่อนไปเป็นรอบดึก   ทีแรกแพรลังเลเมื่อสุนทรบอกว่า

“ดูหนังรอบดึกกันเถอะนะครับ   ผมชอบดูรอบดึก   คนไม่มาก สบายดี”

ที่ลังเลไม่กล้าตอบรับคำเขาในทันทีก็เพราะความรู้สึกผิดชอบกระตุ้นเตือนอยู่ภายใน   แต่เมื่อพิจารณาดูว่าสุนทรก็เป็นสุภาพบุรุษ และเธอเองก็รับปากรับคำแล้วว่า จะมาดูภาพยนตร์กับเขา   แพรจึงตกปากรับคำชวนนั้น   ลองดูเสียบ้างก็ดีเหมือนกัน   ทำตัวสงบเสงี่ยมเรียบร้อย ไม่เที่ยวไม่เตร่ หมั่นเรียนแล้วก็หมั่นทำงานมานานนักหนาแล้ว   คราวนี้จะลองใช้ชีวิตให้สนุกสนานเป็นอิสระดูเสียสักทีซิ ว่ามันจะให้รสชาติแตกต่างกันอย่างไร

ขณะที่แพรและสุนทรนั่งคอยเวลาเลิกของภาพยนตร์รอบแรกอยู่บนโรงภาพยนตร์นั้นเอง   โดยมิได้คาดฝัน   เธอเห็นทิวาและธันว์ขึ้นบันไดมากับชาวต่างประเทศสองสามคน   ธันว์มองปราดมาเห็นเธอเข้าในทันที   แพรมีความรู้สึกอยากจะหายตัวไปได้ในบัดดล   ธันว์มองดูเธอคล้ายมองคนที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน   แพรอึกอักไม่แน่ใจว่าเธอควรจะทำความเคารพเขาก่อนในฐานะที่เขาเป็นนายงานของเธอหรือไม่   แล้วก็ตัดสินใจที่จะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เสีย   ช่างปะไร   เวลานี้มันนอกเวลาทำงานแล้ว   จะมาตั้งตัวเป็นหัวหน้าเป็นลูกน้องกันอยู่ตลอดเวลามันก็เหลือเกินละ   แพรขยับจะหันหลังให้   แต่เผอิญทิวาได้มองมาเห็นเข้าเสียก่อน   เขาเลิกคิ้วทำตาโตอย่างดีใจแล้วปราดเข้ามาหา

“คุณแพร   ไงมาเจอกันเข้าได้   ชอบดูหนังรอบดึกเหมือนกันหรือนี่”

เขามองปราดไปที่สุนทรซึ่งลุกขึ้นยืนเยื้องไปทางข้างหลังแพร   หญิงสาวจึงแนะนำให้ชายทั้งสองรู้จักกัน

“คุณแพร” ทิวาหันกลับมาพูดกับเธอ   “ไม่นึกเลยนะว่าคุณจะไม่สนใจตำแหน่งเลขานุการของผม   ธันว์เขาบอกผมแล้ว   นี่เขาก็มาด้วย”

“คุณธันว์บอกคุณ”   แพรอุทานอย่างพิศวง   “บอกว่ายังไงคะ”

“บอกว่าคุณไม่สนใจและขอให้คุณอรอนงค์ได้รับตำแหน่งแทนน่ะซิ   คงจะเป็นเพราะคุณไม่ชอบเที่ยวกระมัง   หรือว่า...”

ทิวาชำเลืองตาไปยังสุนทรอย่างเป็นนัย แต่แพรมิได้สนใจต่อท่าทีของเขา   เธอมองตะลึงไปยังธันว์ซึ่งยืนหันหลังมาทางเธอและคุยอยู่กับชาวต่างประเทศ   ในหูของแพรกึกก้องไปด้วยคำบอกเล่าของทิวา   “ธันว์บอกผม ว่าคุณไม่สนใจและขอให้คุณอรอนงค์รับตำแหน่งแทน”

ธันว์บอกผม ว่าคุณไม่สนใจและขอให้คุณอรอนงค์รับตำแหน่งแทน   โอ นิ่หมายความว่าอย่างไร   ในอกในใจของเธอดูมันอัดแน่นไปหมดด้วย...ด้วยอะไรก็เหลือที่จะอธิบายได้   สุนทรพร่ำพูดอยู่ตลอดเวลาว่าหนังเรื่องนี้แสนดีแสนสนุกเสียเหลือเกิน   แต่สำหรับแพร   ภาพยนตร์เรื่องที่กำลังดูอยู่นั้นจะดีสักแค่ไหน   จะสนุกสักแค่ไหน   เรื่องราวของมันไปยังไงมายังไงเธอจะได้รับรู้แม้สักนิดหนึ่งก็เปล่าเลย

เมื่อแพรลงจากห้องของเธอมายังห้องอาหารข้างล่างในตอนเช้าวันจันทร์นั้น   ปรากฏว่าอรอนงค์กำลังอิ่มอาหารเช้าพอดี   อรอนงค์ทำตาโตอ้าปากค้างเมื่อเห็นแพรยังคงสวมเสื้อคลุมตัวยาวที่เธอชอบใช้สวมเมื่อเวลาอยู่กับบ้านอยู่อีก   หล่อนรีบก้มลงมองดูนาฬิกาข้อมือแล้วร้องออกมาว่า

“ตายแล้ว แพร   นี่เกิดอะไรขึ้นมา   แปดโมงเช้าแล้วนี่ ยังไม่แต่งตัวอีกหรือ”

“แต่งตัวไปไหน”   แพรย้อนถามหน้าตาเฉยเมื่อนั่งลงที่ที่ของเธอ แล้วเริ่มลงมือแบ่งข้าวต้มกุ้งใส่ชามเล็ก   ทำเอาอรอนงทำตาปริบๆ พูดไม่ออกเอาเลยทีเดียว   แพรทำท่าเหมือนนึกขึ้นมาได้   “อ๋อ ไปทำงานน่ะหรือวันนี้ฉันไม่ไปหรอก”

“ไม่ไป?   เธอเป็นอะไรไปหรือ   ไม่สบายหรือง่วงนอน   อ้อท่าจะง่วงนอน   ก็เมื่อคืนนี้เธอกลับดึกมากนี่   นึกขลังยังไงขึ้นมานะแพรถึงได้ออกไปเที่ยวกับคุณสุนทร   ฉันยังไม่เคยเห็นเธอไปเที่ยวกลางคืนกับใครสักที”

แพรยักไหล่   “ก็เกิดอยากเที่ยวขึ้นมาบ้างนี่นา แปลกด้วยรึ”

“ก็ทำไมจะไม่แปลก”   อรอนงค์ว่า   “แล้วนี่เธอจะให้ฉันบอกกับหัวหน้าแผนกว่ายังไง   ไม่สบาย งั้นหรือ”

“บอกว่าไงก็บอกเถอะ   หรือจะไม่บอกเลยก็ได้   ฉันตั้งใจจะหยุดเสียสักสามวัน”

“หยุดสามวัน   ตายแล้ว... นี่เกิดอะไรขึ้นมา   คุณธันว์จะว่ายังไงบ้างก็ไม่รู้”

“ปล่อยให้ว่าไปถ้าเขาอยากว่า”

อรอนงค์มองดูญาติสาวอย่างไม่เข้าใจ   อึ้งไปครู่ใหญ่แล้วจึงพูดขึ้นคล้ายบ่นว่า

“เธอหยุดเสียคนฉันคงหัวปั่นแย่   คุณธันว์ต้องร่างจดหมายโต้ตอบเองละ   แล้วก็แหม   เลยอดดูหนังรอบเย็นกับคุณสมชายไปตั้งสามวัน”

แพรชำเลืองมองดูผู้พูด   มีความรู้สึกอยากจะกล่าววาจาอย่างใดอย่างหนึ่งโต้ตอบคำพูดนั้นให้สาสมกับที่ใจคิด แต่ก็กลับเฉยเสีย   อรอนงค์ยืนหมุนไปหมุนมาอยู่อีกครู่หนึ่งแล้วก็ออกจากห้องไป

กลับจากข้างล่างขึ้นมานอนต่อเสียอีกงีบหนึ่ง   ตื่นขึ้นมาเมื่อสิบโมงเช้า   แพรเข้าห้องอาบน้ำ   อาบไปพลางก็นึกถึงเสื้อสวยๆ ที่เธอตัดเอาไว้ใหม่ๆ อีกหลายตัวโดยที่ยังไม่มีโอกาสได้ใส่   หยุดสามวันนี้จะแต่งตัวให้สวย เที่ยวเสียให้สนุกทีเดียว

เปิดตู้เสื้อผ้าออก... แพรต้องถึงกับขมวดคิ้วเสื้อใหม่ๆ ที่เธอตัดเอาไว้หายไปไหนหมดกันนี่   สีเขียวฝรั่ง สีน้ำเงินหม่น รวมทั้งสีชมพูกุหลาบตัวสวย   แพรตรงไปที่ห้องของอรอนงค์ทันที   จริงอย่างที่เธอคิด   เสื้อใหม่ทั้งหมดสามตัวของเธอแขวนอยู่ในตู้เสื้อผ้าของอรอนงค์   ทุกตัวมีรอยยับ   รอยเปื้อนที่คอ   แสดงว่าใช้แล้ว   ตัวสีเขียวฝรั่งมีรอยกาแฟหยดเปื้อนที่อกเสื้ออีกด้วย   นอกจากนี้ เธอยังพบเสื้อชั้นนอก กระโปรง และเข็มกลัดสำหรับติดเสื้อของเธอรวมอยู่ด้วย   แพรหอบของเหล่านี้กลับมาห้องด้วยใจพลุ่งพล่าน   ทั้งโกรธ ทั้งน้อยใจ   อยากจะร้องไห้ อยากจะขว้างปาอะไรต่ออะไรให้สาสมแก่ใจ   นี่หรือคือความยุติธรรม   อรอนงค์ทำความดีอย่างใดเหนือเธอบ้าง   อรอนงค์ชอบหนีงานไปเที่ยว เธอก็ต้องทำแทน   เธอมีเสื้อผ้าเครื่องใช้สวยๆ อรอนงค์ก็ถือวิสาสะหยิบไปใช้สอยเอาตามใจชอบโดยมิได้บอกกล่าว   อรอนงค์แสนที่จะรู้มากเห็นแก่ตัว   ทำงานก็บกพร่องสารพัดถึงเพียงนี้ หล่อนก็ยังกลับได้มีโชคดี   ได้เลื่อนตำแหน่ง ได้เงินเดือนขึ้น ได้... โอย แพรไม่อยากจะคิด ไม่อยากนึก   มันทำให้เธอหมดกำลังใจที่จะทำความดี   หมดความศรัทธาในเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน   ยิ่งคิดไปก็จะยิ่งทำให้เธอเกลียดเพื่อนร่วมโลก   มองเห็นโลกโหดร้าย สกปรก อยุติธรรมสารพัด

เคราะห์ดีที่ชุดเหลืองไข่ไก่ที่เธอเพิ่งเย็บเสร็จและพับไว้บนหลังจักรรอดพ้นจากสายตาของอรอนงค์ไปได้   เธอจึงได้มีเสื้อสวยใส่ออกจากบ้านในวันนั้น   แพรทำใจให้ลืมนึกถึงงานที่คอยเธออยู่ที่บริษัท   เธอไปเยี่ยมเพื่อนฝูงที่มีครอบครัวไปแล้ว   ไปซื้อผ้า   ซื้อของกระจุกกระจิกสวยๆ งามๆ ของผู้หญิง   ไปกินไอสครีม   ดูหนัง ซื้อหนังสือ และของฟุ่มเฟือยที่เคยอยากซื้อ แต่ก็ได้อดใจไว้   คงเป็นเพราะเธอนุ่งเจียมห่มเจียมมุ่งหน้าแต่จะทำงาน ธันว์จึงมองเห็นเธอคร่ำครึ ล้าสมัยงุ่มง่าม ไม่สมกับตำแหน่งที่ทิวาเสนอมาให้   ดีละ ต่อจากนี้ไปเธอจะไม่ยอมอยู่ทำงานล่วงเวลาอีกต่อไป   เธอจะแต่งตัวให้สวย   จะทำตนให้เก๋   จะเที่ยวให้สนุกโดยไม่หวั่นเกรงต่อสายตาหรือคำครหาของใครอีกต่อไปแล้ว

แพรกลับถึงบ้านเมื่อใกล้ค่ำ   ในอ้อมแขนเต็มไปด้วยถุงกระดาษใส่ของและห่อเล็กห่อใหญ่พะรุงพะรัง   เป็นการจ่ายของอย่างมโหฬารครั้งแรกนับตั้งแต่เธอทำงานหาเงินได้ทีเดียว

กำลังจะเดินผ่านห้องรับแขกซึ่งเปิดไฟสว่าง เสียงคุณป้าร้องออกมาว่า

“นั่นใครจ๊ะ หนูแพรหรือหนูอร   เข้ามาในนี้หน่อยเถอะ”

แพรจึงเลี้ยวเข้าห้องรับแขก พร้อมๆ กับคุณป้ากระวีกระวาดเดินมาที่ประตู   เพียงก้าวแรกที่ก้าวล้ำประตูเข้าไปหญิงสาวก็หยุดชะงักจังงัง   มองแลเลยร่างเล็กๆ ที่อ้วนกลมของคุณป้าไปยังอีกคนหนึ่งในห้องนั้นที่กำลังลุกขึ้นช้าๆ จากเก้าอี้ที่นั่งและมองตรงมาทางเธอ   เสียงของคุณป้าพูดแจ้วๆ ว่า

“คุณคนนี้มาคอยพบหนูอยู่สองชั่วโมงแล้วละ หนูแพร   นั่นหอบอะไรมาพะรุงพะรัง   วางไว้เสียก่อนซีจ๊ะ   ป้าจะให้เด็กมาช่วยขนขึ้นไปเก็บไว้ที่ห้องก่อนเอาไหม”

แพรมิได้ตอบคำถามของคุณป้า   ความประหลาดใจอย่างคาดไม่ถึงทำให้เธอยืนงงอยู่กับที่   พูดไม่ออก ทำอะไรไม่ถูก   จนกระทั่งคุณป้าออกไปจากห้อง และได้ยินคำถามว่า

“สนุกมากหรือวันนี้”

นั่นแหละ แพรจึงได้ไหวตัว   เธอหันไปวางสรรพสิ่งของที่หอบหิ้วมาทั้งหมดนั้นลงบนโต๊ะใกล้ประตู   มิได้โต้ตอบคำพูดประโยคนั้น

“อรอนงค์บอกว่าเธอจะไม่ไปทำงานสามวัน จริงหรือ”   เขาถามต่อไปขณะที่แพรยังหันหลังให้   หญิงสาวหันกลับไปตอบโดยมิได้มองหน้าว่า

“ดิฉันตั้งใจจะทำอย่างนั้น”

“เพราะอะไร   เธอก็ไม่ได้เจ็บไข้ได้ป่วยอะไรไม่ใช่รึ”

“เพราะดิฉันอยากหยุด   ทำไมคะ ดิฉันทำงานมาเกือบสองปีแล้วโดยที่ไม่เคยขาดงานเลยสักวันเดียว   การที่ดิฉันจะขอลาพักผ่อนสักสามวันนี่น่ะ มันเป็นความผิดนักหนาจนคุณถึงกับต้องมาไต่สวนด้วยตัวเองเชียวหรือคะ”

“คำพูดของเธอแปลกไปมาก   หรือจะเป็นเพราะว่าเดี๋ยวนี้เธอเกิดนิยมการดูภาพยนตร์รอบดึกขึ้นมา   ก็เลยมีความจำเป็นที่จะต้องพักผ่อนในเวลากลางวัน”

แพรรู้สึกว่าหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาด้วยความโกรธ   “ดิฉันไม่เข้าใจว่าคุณหมายความว่ายังไงที่พูดเช่นนี้”

“ฉันคิดว่าเธอกำลังจะลาออก ใช่ไหม”

“นั่นเป็นคำแนะนำโดยปริยายของคุณใช่ไหมคะ”   แพรกัดริมฝีปาก   แค้นใจจนน้ำตาแทบร่วง   “ถ้าคุณต้องการเช่นนั้นดิฉันก็ยินดีทำตาม   ดิฉันขอลาออกเสียเดี๋ยวนี้เลย”

แพรรู้สึกว่าเสียงของเธอสั่นสะท้านและรุนแรงผิดจากที่เคยเป็น จนเขาถึงกับนิ่งมองดูด้วยความพิศวง   เธอเชื่อว่าเขาคงจะโกรธจนพูดไม่ออก แล้วก็จะกราดเกรี้ยวเอากับเธอในไม่ช้า   แต่แล้วด้วยความประหลาดใจเป็นที่สุด   เธอได้ยินเขาพูดออกมา ด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบเหลือเกินว่า

“นี่เธอโกรธผมเรื่องอะไร”

หญิงสาวมองดูเขาครู่หนึ่งแล้วก็เบนสายตาไปเสียทางอื่นเมื่อตอบว่า   “เปล่า ดิฉันไม่ได้โกรธคุณ   แต่ดิฉันคิดว่าคนเรา ทั้งๆ ที่ได้ตั้งหน้าตั้งตาพยายามทำงานมาตลอดเวลาสองปีโดยที่ตั้งใจจะไม่ให้งานนั้นบกพร่อง   แล้วกลับได้รับความอยุติธรรมเป็นการตอบแทน แล้วจะต้องทนทำอยู่ทำไม   ถึงเวลาที่ดิฉันควรจะลาออกได้แล้วไม่ใช่หรือคะ”

“คุณแพร   นี่หมายความว่าเธอต้องการจะไปทำงานกับทิวาอย่างนั้นใช่ไหม”

“ดิฉันไม่ได้พูดว่าดิฉันต้องการจะทำงานกับคุณทิวา   ดิฉันคิดแต่เพียงว่าตามความยุติธรรมแล้วดิฉันควรจะได้รับตำแหน่งนั้น ในเมื่อดิฉันทำงานมาก่อนอรอนงค์ถึงครึ่งปี ถูกไหมคะ”

“ถูก”

“ตำแหน่งของดิฉันก็สูงกว่าอรอนงค์ และดิฉันยังต้องอยู่ทำงานล่วงเวลามาเกือบตลอดเวลาในเมื่ออรอนงค์เกือบจะไม่เคยอยู่เลย จริงไหมคะ”

“จริง... แต่ว่า”

“แต่ว่าเป็นเพราะคุณเกลียดดิฉัน คุณจึงต้องการจะกดดิฉันไว้ให้จมอยู่กับงานหนัก   คุณไม่อยากให้ดิฉันได้เลื่อนขึ้นไป   กลัวดิฉันจะได้เงินเดือนมากขึ้น   กลัวว่าดิฉันจะสบายเกินไป   คุณทิวาเสนอขอตัวดิฉัน แต่คุณกลับปกปิดไว้และเสนออรอนงค์ผ่านหน้าดิฉันไปแทน   คุณทำเช่นนี้เพราะคุณเกลียดดิฉัน   ทำไมคุณถึงได้เกลียดดิฉัน   ดิฉันทำอะไรให้คุณ   ดิฉันได้ตั้งใจทำงานตลอดมา... ดิฉัน...”

เสียงของเธอสั่นสะท้าน รุนแรงขึ้นด้วยความกดดันของอารมณ์ที่ระเบิดพลุ่งขึ้นมาเมื่อถึงขีดสุด   แต่แล้วก็ขาดห้วนไปเฉยๆ   แพรหันหน้าเข้าเกาะโต๊ะ น้ำตาไหลพรากและสะอื้นออกมาด้วยความโกรธแค้นและเจ็บใจจนลืมอาย   เธอได้ยินเสียงเขาสาวเท้าอย่างเร่งร้อนเข้ามาหยุดยืนอยู่เบื้องหลัง

“แพร   นี่ทำไมจึงได้เข้าใจผิดเอาอย่างมากมายเช่นนี้”   เสียงพูดของเขาแสดงถึงความร้อนใจ   แพรพยายามกล้ำกลืนเสียงสะอื้น ตอบโดยที่มิได้หันกลับไปว่า

“อย่าเสียเวลาและลำบากใจต้องหาคำอธิบายเลยค่ะ   เหตุการณ์ทั้งหมดมันแจ่มแจ้งอยู่แล้ว   ที่ดิฉันจะขอลาหยุดงานเพียงสามวันในตอนแรก ก็เพราะต้องการจะทำจิตใจให้แจ่มใสลืมเรื่องนี้เสีย แล้วก็จะกลับไปก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไปตามเดิม   แต่เมื่อคุณถึงกับยอมลำบากมาที่นี่เสียเองเพื่อจะแนะนำให้ดิฉันลาออก... ดิฉันก็...”

“โธ่ แพร   นี่ใครบอกเธอว่าที่ผมมาที่นี่เพราะจะมาบอกให้เธอลาออก”

“ถ้าไม่ใช่เพราะคุณต้องการจะมาบอกให้ดิฉันลาออกแล้วละก็จะมาเพราะอะไร   หรือว่าคุณต้องการจะมาหยั่งเสียงดูว่าคุณทิวาได้เอาความลับของคุณมาเปิดเผยให้ดิฉันทราบเสียแล้วหรือยังเช่นนั้นกระมัง”

“นั่นก็ไม่ใช่อีกเหมือนกัน   ผมจะบอกให้ว่าที่ผมมาที่นี่วันนี้เพราะอะไร   ผมมาเพราะ...”

แพรกลั้นหายใจคอยฟังเขา   ชายหนุ่มนิ่งเงียบไปอึดใจใหญ่ แล้วต่อมาเธอจึงได้ยินเสียงต่ำๆ ของเขาพูดว่า

“ผมมาเพราะเมื่อคืนนี้พบเธอไปดูหนังกับคนอื่นต่างหาก”

แพรรู้สึกเหมือนกับว่าเธอจะได้ลืมหายใจไปชั่วขณะหนึ่ง   อะไรกันนี่   หูเธอเชือนไปหรืออย่างไร   เจ้าอารมณ์ที่พลุ่งพล่านรุนแรงร้อยแปดนั้นหายวับไปอย่างสิ้นเชิงในฉับพลัน อย่างไม่รู้สึกตัว   เธอหันขวับไปทางเขา   ธันว์ยืนอยู่ตรงหน้าเธอในระยะใกล้ชิดอย่างที่ไม่เคยได้ใกล้กันถึงขนาดนี้มาก่อน   อาการสารภาพ วิงวอน และกระดากอายประมวลกันอยู่ในดวงตาคู่ที่มองตรงมายังเธอนั้นอย่างบริบูรณ์   มันทำให้เขาผิดไป   เปลี่ยนไปจากที่เธอเคยเห็นและเคยรู้จัก   แพรรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งลำคอ แก้มและขมับ   หัวใจเต้นแรงขึ้น   มันเป็นความรู้สึกที่ประหลาดจนทำให้เธอเป็นใบ้ไปชั่วขณะ

“เป็นความจริงที่ทิวาเขาเสนอขอเธอมา”   ธันว์พูดต่อไป   เสียงของเขาเป็นกังวานช้า ชัดและอ่อนโยน   แต่มันก็ยังสามารถบีบหัวใจของเธอให้เต้นถี่เร็วยิ่งขึ้นกว่าเสียงดุดันวางอำนาจที่เคยชินมาแล้วนั้นเสียอีก   “ในตอนนั้นที่ผมไม่ให้ ผมก็คิดว่าคงเป็นเพราะเธอทำงานดีกว่าอรอนงค์ และผมเห็นแก่ตัวอยากจากจะได้เธอเอาไว้ใช้เท่านั้น   แต่มาเมื่อคืนนี้ เมื่อผมเห็นเธอไปเที่ยวกับคนอื่นและผมดูหนังไม่รู้เรื่อง   ผมจึงรู้ว่าผมไม่ยอมให้เธอแก่ทิวาเพราะอะไร”

เสียงของเขา   คำพูด... กิริยาท่าทางของเขาตลอดจนดวงตาของเขาที่จ้องมองดูเธอทำให้แพรสุดจะทนยืนฟังเขาพูดอยู่ต่อไปอีกได้   เธอขยับจะผละหนีไปเสีย แต่ก็หาได้ว่องไวไปกว่าเขาไม่   มือแข็งแรงทั้งคู่เอื้อมออกมาจับบ่าของเธอยึดไว้มั่น

“จะหนีไปไหน   ผมไม่ยอมให้เธอไปไหนก่อนที่ยังฟังผมพูดไม่จบหรอก   วันนี้ผมไม่เป็นอันทำงานเลยรู้ไหม   ทำอะไรก็ผิดๆ พลาดๆ หมด   และยิ่งเมื่อทิวามาถามถึงเธอผมก็ยิ่งรู้ใจตัวเองมากขึ้น   ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมจึงรู้สึกขัดหูขัดตานัก เมื่อเห็นทิวาทำตัวสนิทสนมกับเธอ   ผมรู้สึกหงุดหงิดเมื่อได้ยินเขาชมว่าเธอสวยอย่างโน้นดีอย่างนี้   แล้วเมื่อเขาขอเธอมา ผมก็ไม่ให้   ที่ผมไม่ให้น่ะไม่ใช่เพราะว่าผมเกลียดเธอ   ไม่ใช่เพราะผมต้องการจะกดเธอไว้ กับตัวเอาไว้ให้ทำงานหนักอย่างที่เธอเข้าใจ   แต่ผมไม่ให้ก็เพราะผมหวง   เข้าใจไหมแพร   ผมหวงเธอและต้องการจะได้เธอไว้อยู่ใกล้ตัวผมเท่านั้นเอง”

“ปล่อยดิฉันเถิดค่ะ”   แพรร้อง   เธออายจนสุดที่จะมองหน้าเขาได้   “ดิฉันจะทนทำงานอยู่กับคนที่เห็นแก่ตัวกระไรได้   ดิฉันมิต้องทนทำงานอยู่ในตำแหน่งนี้เรื่อยไปจนแก่ตายหรือคะ”

“ไม่ถึงแก่หรอก”   เขาบอก   ยังไม่ยอมปล่อยมือจากต้นแขนของเธอตามที่เธอขอร้อง   “ผมจะยอมให้เธอทำอยู่อีกเพียงเดือนเดียวเท่านั้นสำหรับจะช่วยฝึกคนใหม่ขึ้นมาทำแทน”

“คุณจะให้ดิฉันออกหรือคะ”

“ให้ออกแน่”   เขาพูดเสียขึงขัง   “เพราะเธอทำผิดที่เมื่อคืนนี้ริไปเที่ยวกลางค่ำกลางคืนกับคนอื่นโดยมิได้บอกผม   บอกผมมาซิว่าผู้ชายคนนั้นเขาเป็นอะไรกับเธอ เธอคิดที่จะแต่งงานกับเขาหรือเปล่า”

“อุ๊ย เปล่า... เปล่าค่ะ”   แพรปฏิเสธอย่างตกใจ   เป็นความจริงที่เธอมิได้เคยคิดไปถึงขั้นนั้นเลย   แม้ว่าเธอจะรู้สึกนิยมความเป็นสุภาพบุรุษของสุนทรอยู่มากก็ตาม

“ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว   ทีนี้อย่าไปไหนกับเขาตามลำพังอีกนะ   ถ้าอยากไปเที่ยวที่ไหนละก็บอกผม   ผมจะพาไป”

ประหลาดพิลึก ผู้ชายคนนี้   แพรคิด   พร้อมกันนั้นก็รู้สึกถึงความอบอุ่นของมือแข็งแรงทั้งสองของเขาที่ถ่ายทอดเข้าสู่ร่างของเธอ   รู้สึกถึงความวาบหวามใจอันลึกล้ำเมื่อตาสบตาและเมื่อเขากระซิบถามเธอว่า

“เธอจะแต่งงานกับผมไหม แพร”

แพรหลบสายตาของเขา เสถามว่า   “นี่เป็นคำสั่งหรือคำขอร้องคะ”

“ถ้าเป็นคำสั่ง เธอจะปฏิบัติตามหรือ”

“ดิฉันกลัวคนดุ”

เขาหัวเราะเบาๆ เมื่อได้ยินเธอพูดเช่นนั้น   เสียงหัวเราะของเขาเป็นของแปลกสำหรับเธอ   น่าอัศจรรย์ใจที่มันช่างนุ่มนวลและน่าฟังอะไรเช่นนั้น

“อย่ากลัวเลย”   เขาบอก   “ผมรู้จักเคารพในตำแหน่งและสิทธิของแต่ละคนดีดอก   เมื่ออยู่ในที่ทำงานผมก็ใช้สิทธิของผม   แต่เมื่ออยู่ในบ้าน ผมทราบดีว่าควรจะยกให้ใครเป็นผู้ถืออำนาจสิทธิ์ขาด   แต่จะวิตกทำไม   ผมบอกแล้วนี่ ว่าจะยอมให้เธอทำงานต่อไปได้อีกเพียงเดือนเดียวเท่านั้น”

แพรมองสบตาเขา   รู้สึกแปลกใจในความอ่อนหวาน   ความรักใคร่อย่างลึกซึ้งซึ่งปรากฏออกมาอย่างกระจ่างชัด ทางดวงตา และดวงหน้าของคนที่เธอไม่เคยคาดคิดว่าจะมีคุณลักษณะเช่นนี้   จนกระทั่งเธอลืมคิดที่จะขัดขืน เมื่อเขาดึงร่างของเธอเข้าไปสู่อ้อมแขนของเขา   เธอรู้อยู่ก็แต่เพียงอย่างเดียว   คือว่าความรู้สึกของเธอในขณะนั้นมันช่างประหลาดล้ำนัก   มันว้าวุ่นอับอายอดสู   แต่ก็ช่างเป็นสุขซาบซ่านอย่างน่าอัศจรรย์ใจเสียนี่กระไร   นี่หรือคือสิ่งที่เขาเรียกกันว่าความรัก   แพรถามตัวเองขณะที่เฝ้ามองดูริมฝีปากของเขาที่ค่อยๆ เคลื่อนต่ำลงมาหาเธอ....


........ลงพิมพ์ในนิตยสารศรีสัปดาห์ ฉบับที่ 479 ปีพ.ศ.2503