สุภาว์ เทวกุลฯ ราชินีแห่งเรื่องสั้น

        จันทร์ 23 ธันวาคม พ.ศ.2567
กำไล

สุภาว์ เทวกุลฯ

supa : 0000-00-00

reader:756
reply:0

“ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคุณพ่อจึงต้องทำพินัยกรรมตั้งเงื่อนไขไว้อย่างพิสดารเช่นนี้ด้วย”

ผู้ที่ระเบิดคำพูดประโยคนั้นออกมาด้วยน้ำเสียงที่แสดงชัดถึงความหงุดหงิดไม่พึงพอใจนั้น   เป็นชายหนุ่มอายุไม่เกินสามสิบปี     หน้าตาของเขาจะน่าดูมิใช่น้อยถ้าจะไม่ขมวดมุ่นบอกความมีอารมณ์ไม่ดีอย่างที่เป็นอยู่ในขณะนั้น   เขายืนอยู่หลังเก้าอี้ชนิดหมุนได้ ซึ่งตั้งอยู่หลังโต๊ะทำงานขนาดใหญ่   หันข้างให้กับคู่สนทนาของเขา ซึ่งเป็นชายสูงอายุ ผู้นั่งอยู่หัวโต๊ะ และเฝ้ามองดูเขาอยู่อย่างอารมณ์เย็น   มือทั้งสองของชายหนุ่มกอดประทับอก   คิ้วดกดำขมวดเข้าหากัน

“อันที่จริงเงื่อนไขข้อนี้มันก็ไม่พิสดารอะไรเลย”   ชายสูงอายุพูดเรื่อยๆ   มีรอยยิ้มนิดๆ กราดอยู่ในใบหน้าที่ค่อนข้างอวบอูมด้วยสุขภาพอันสมบรูณ์   ชายหนุ่มหันมามองอย่างไม่พึงใจที่ความคิดเห็นของเขาไม่ได้รับการเห็นพ้องด้วย

“อย่างนี้ยังไม่นับว่าประหลาดพิสดารอีกหรือครับ”   เขาว่า คิ้วยังไม่คลายขมวด   “มีใครเขาทำพินัยกรรมกันแบบนี้บ้าง   ถ้าหากต้องการแต่งงาน จะต้องค้นหากำไลเพชรอีกข้างหนึ่งมาเข้าคู่กันให้ได้เสียก่อน   กำไลเพชรอะไร อยู่ที่ไหน รูปร่างมันเป็นยังไง ผมไม่เคยได้รู้ได้เห็นมาก่อนเลย   แล้วจู่ๆ พินัยกรรมจะมาระบุไว้ให้ผมเป็นคนไปค้นหา   นี่คุณเชี่ยวคิดว่าผมมีตาทิพย์หรือยังไงกันครับ”

“เย็นๆ   ใจเย็นเข้าไว้ก่อน คุณเนติ”   ชายสูงอายุร้องอย่างอารมณ์เย็นพร้อมๆ กับที่ยกมือขึ้นโบกไปมา   “แล้วก็การที่ผมจะคิดยังไงนั้นมันมันไม่สำคัญหรอก เพราะผมไม่ได้เป็นเจ้าของพินัยกรรม   มันเป็นความประสงค์ของคุณพ่อของคุณ   ท่านระบุเอาไว้เช่นนั้น   ผมเป็นผู้รักษาพินัยกรรม   หน้าที่ของผมคือจัดการให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามความประสงค์ที่ท่านผู้ตายบ่งบอกไว้เท่านั้นเอง”

“ผมไม่เข้าใจเลยว่าคุณพ่อท่านนึกยังไงขึ้นมาถึงได้สั่งเอาไว้ยังงั้น”   ชายหนุ่มยังคงกล่าวย้ำดามความรู้สึกของเขา   “แล้วก็ไม่เข้าใจด้วยว่าทำไมคุณเชี่ยวจึงได้เพิ่งมาบอกผมเอาเดี๋ยวนี้ ทั้งๆ ที่คุณพ่อก็เสียไปตั้งห้าปีแล้ว”   เขาจ้องเขม็งดูทนายความ เน้นเสียงทุกพยางค์เมื่อพูดประโยคต่อไป   “จำเพาะเจาะจงมาบอกเอาก็เมื่อผมบอกว่าผมจะแต่งงานกับงามโฉมนี่แหละ”

นายเชี่ยว พิทักษ์ราชกำหนด ทำหน้าพิกลกระแอมในคอติดๆ กันหลายครั้ง เหมือนกับมีอะไรเข้าไปติดขวางอยู่   “ทั้งนี้และทั้งนั้น เนื่องมาจากความประสงค์ของคุณพ่อของคุณทั้งสิ้นครับ   คุณเนติ”

“แม้กระทั่งคำสั่งที่ให้ผมไปงมหากำไลบ้าบออะไรนั่นตอนที่ผมคิดจะแต่งงานด้วยหรือครับ”

นายเชี่ยวกระแอมอีกครั้งหนึ่ง แล้วจึงรับว่า   “เป็นเช่นนั้นถูกแล้วครับ”

“ถ้าผมไม่ทำตาม ดันทุรังไปแต่งงานเสียก่อน   ก็เป็นอันว่าทรัพย์สมบัติทั้งหมดจะต้องถูกเรียกคืนไปยกให้องค์กรอะไรนั่นถูกไหมครับ”

ชายสูงอายุมีทีท่าเหมือนกับอากาศในห้องนั้นมีไม่พอให้หายใจ   แต่เขาก็ตอบอย่างเรียบร้อย   “พินัยกรรมระบุไว้เช่นนั้น”

“พินัยกรรมๆ เอะอะอะไรก็อ้างพินัยกรรม”   ชายหนุ่มก้าวเดินเร็วๆ กลับไปกลับมา สองสามก้าวอย่างงุ่นง่านหงุดหงิด   “นี่ถ้าสมมุติว่าผมเกิดปุบปับไปแอบ แต่งงานเสียก่อนเงียบๆ ไม่บอกให้ใครรู้ล่ะ   คุณเชี่ยวจะว่ายังไง”

ทนายความหัวเราะหึๆ เมื่อบอกว่า   “ผมน่ะไม่มีอะไรจะว่าหรอกครับ   ถ้าคุณทำยังงั้นก็นับว่าคุณเคราะห์ร้ายอย่างช่วยไม่ได้เลยทีเดียว   แต่ผมคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้”

เนติหยุดเดิน หันกลับมาจ้องหน้าคู่สนทนา   “ทำไมถึงจะเป็นไปไม่ได้”

“เพราะผมคิดว่า คงจะไม่มีผู้หญิงคนไหนที่จะยอมแต่งงานกับคนหนุ่มที่โก้และรวยอย่างคุณเนติ พรชัย คนนี้   โดยยอมพลาดโอกาสที่จะประกอบพิธีอย่างหรูหราเพื่อประกาศ ความมีชัยเหนือหญิงอื่นของหล่อนหรอกครับ”

“แหม คุณพูดได้ราวกับนักเขียนหนุ่มๆ ในยุคสำนวนเพรียวลมเทียวนะครับ คุณเชี่ยว”   ชายหนุ่มพูดด้วยเสียงที่เยาะนิดๆ และทึ่งหน่อยๆ   ทนายความอมยิ้ม

“แต่ถึงอย่างไร ผมก็หนีไม่พ้นความจริงที่ว่า ผมกำลังจะมีอายุครบห้าสิบปีอยู่ในเวลาอีกสองเดือนข้างหน้านี้อยู่ดี   เพราะฉะนั้น   ถ้าคุณจะเมตตาแก่คนที่เลยวัยหนุ่มแน่น มานานนักหนาแล้วอย่างผมนี่ละก็   ได้โปรดหยุดเดินกลับไปกลับมาเสียทีจะดีไหมครับ   ผมรู้สึกว่าตาเริ่มจะลายคล้ายจะเป็นลมแล้วละ”

เนติ พรชัย มีสีหน้าที่อธิบายได้ยาก   ครู่หนึ่งเขาจึงบอกว่า   “ผมขอโทษ”   แล้วก็เลื่อนกายเข้าในช่องว่างระหว่างเก้าอี้กับโต๊ะ   ทิ้งร่างลงนั่งเหมือนไม่สู้จะเต็มใจ

นายเชี่ยว พิทักษ์ราชกำหนด   แสดงความพอใจออกมาทางดวงตา   กระแอมในคอครั้งหนึ่งตามเคย ก่อนจะพูดว่า   “เอาละ ทีนี้เราจะได้พูดกันถึงรายละเอียดของเรื่องนี้กันเสียที”

“ผมไม่คิดว่าจะมีอะไรที่น่าฟังอีกแล้ว   รายละเอียดหรือไม่ละเอียดมันก็คงจะไม่ทำให้ผมดีขึ้นกว่าที่รู้สึกอยู่เดี๋ยวนี้”   ชายหนุ่มขัด

“แต่ถ้าคุณเชี่ยวมีความเห็นว่าผมควรจะรับฟังไว้ก็พูดไปเถอะครับ   ผมยินดีจะรับฟังทุกอย่าง ทั้งที่จำเป็นและไม่จำเป็น”

ทนายความยิ้มอย่างอารมณ์เย็นเหมือนไม่รู้ทันในคำพูดแกมประชดนั้น   เขาเคาะนิ้วลงกับโต๊ะช้าๆ   ดวงตาที่ยังแจ่มใสเกือบเหมือนดวงตาของหนุ่มๆ   จับจ้องอยู่เฉพาะดวงหน้าของชายผู้อ่อนวัยกว่า ขณะที่พูดว่า

“เป็นอันว่าคุณตกลง ที่จะปฏิบัติตามเงื่อนไขในพินัยกรรมของคุณพ่อ ใช่ไหมครับ”

เนติแบมือทั้งสองข้างออก   “ยังมีทางอื่นที่ผมจะเลือกได้อีกหรือครับ ถ้าผมไม่อยากเหลือแต่ตัว”

ทนายความยิ้มเจื่อนๆ   “รู้สึกว่าจะไม่มีอีกแล้ว   นอกเสียจากว่าคุณผู้หญิงคนที่คุณจะแต่งงานด้วยนั้น ใจร้อนอยากจะมีสิทธิในตัวคุณให้เร็วที่สุด   จนกระทั่งไม่แยแสว่าคุณจะยังเป็นมหาเศรษฐีหรือจะกลายไปเป็นยาจก”

เนตินิ่งอึ้ง ตาจับอยู่ที่ขอบโต๊ะ   ทนายความสูงอายุรู้สึกว่ามีความอับอายเจือปนอยู่ในน้ำเสียงเมื่อเขาตอบว่า

“ผม... ผมไม่แน่ใจว่างามโฉมจะคิดยังไง   แต่ว่า...”   เขายกสายตาขึ้นสบตาทนายความ   พูดต่อไปด้วยลักษณะที่คล้ายเด็กเกเรว่า   “แต่ผมไม่เห็นว่าจำเป็น ยังไง ที่เราจะต้องมาพูดกันถึงเรื่องนี้   ในเมื่องามโฉมยังไม่เคยรู้ว่าผมกำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบากใจแบบนี้   ใครจะล่วงรู้ได้ว่าหล่อนจะตัดสินใจอย่างไร   กรุณาพูดถึงแต่สิ่งที่จำเป็นจะต้องพูดดีกว่าครับ   ถ้าหากว่ามันไม่เหลือกำลังความสามารถ ของมนุษย์ธรรมดาอย่างผมแล้ว   ผมก็รู้สึกว่าไม่น่ารังเกียจอะไร ที่เราจะเลื่อนกำหนดแต่งงานออกไปอีกสักครึ่งปี   หรือหนึ่งปีเพื่อแลกกับหลักฐานมั่นคงในอนาคต”

“คุณฉลาดดีมากที่คิดได้เช่นนี้”   ทนายความชม   “อันที่จริงนั้น ผมอยากจะบอกว่าถ้าคุณเป็นคนที่ฉลาดจริงๆ แล้ว   คุณจะเสียเวลาเพียงไม่นานนักหรอกที่จะค้นพบกำไลอีกข้างหนึ่งนั่น”

“จริงครับ   ถ้าผมจะฉลาดถึงขนาดหยั่งรู้ดินฟ้ามหาสมุทรได้อย่างขงเบ้ง”   ชายหนุ่มประชด   “ฮึ คุณคงคิดว่ามันง่ายดายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากเทียวนะครับ   ในการที่เราจะไปเดาสุ่มงมหากำไลข้างหนึ่ง ให้มาเข้าคู่กับกำไลอีกข้างหนึ่ง   ทั้งๆ ที่ไม่รู้เลยว่า ไอ้เจ้ากำไลมหาวิบากคู่นี้ รูปร่างหน้าตามันเป็นยังไง   แล้วก็จะต้องตระเวนไปหามันถึงขั้วโลกไหน”

“ใจเย็นๆ น่า ใจเย็นๆ”   ทนายความปลอบ   “มีอย่างหรือ   อยู่ๆ ใครเขาจะให้คุณเดาสุ่มไปแบบคนตาบอดยังงั้น   คุณคิดว่าคุณพ่อของคุณท่านจะทำอะไรไม่มีเหตุผลเป็นเด็กเล่นได้ถึงขนาดนี้เทียวหรือครับ   คุณเนติ”

เขาไม่ตอบคำถามที่ต้อนให้ตัวเขาเข้าสู่มุมประโยคนั้น   แต่กลับพูดเลี่ยงไปเสีย   “เอาเถอะครับ   ถ้าคุณมีอะไรพอที่จะเอื้อเฟื้อ ช่วยสงเคราะห์ให้ผมพอจะทำงานประหลาดชิ้นนี้ได้ลุล่วงไปละก็   ขอได้โปรดกรุณา พูดออกมาเร็วๆ เถอะ   จะเป็นกุศลอันล้ำเลิศทีเดียว”

ทนายความหัวเราะหึๆ   “คุณช่างเป็นคนใจร้อนเสียจริงๆ นะครับ คุณเนติ   ช่างผิดกับคุณพ่อของคุณอย่างเหลือเกิน”

“อ๋อ ไม่ต้องสงสัยละครับข้อนั้น   ถ้าพ่อท่านใจคอเหมือนผม   ท่านก็คงจะไม่ตั้งเงื่อนไขพินัยกรรมฉบับล่า   ฉบับหลัง   ฉบับ...อะไรต่ออะไร ต่อเนื่องกันมายืดยาวเป็นปีๆ อย่างนี้หรอก”

“ฮื่อ แต่ผมอยากจะขอให้คุณมั่นใจว่าเรื่องที่ท่านทำไว้นี้   ถึงแม้ว่าบางอย่างออกจะดูแปลกๆ ไปสักหน่อย   แต่ท่านทำเพราะความหวังดีต่อคุณจริงๆ”

“ครับ ๆ ผมเชื่อ”   เนติบอก   “กรุณาเริ่มเรื่องเสียทีจะดีไหมครับ   ขอประทานโทษ”

ทนายความทำตาปริบๆ   รำๆ จะนึกโกรธในวาจาและน้ำเสียงนั้น   แต่เมื่อมองดูใบหน้าอันคมสันซึ่งขณะนั้นมีลักษณะเหมือนเด็กที่กำลังถูกบังคับให้ต้องกระทำในสิ่งที่ไม่ถูกแก่อารมณ์   ความนึกคิดได้พาเขาหวนกลับไปสู่ภาพต่างๆ ในอดีต ครั้งที่ชายหนุ่มผู้นี้ยังอยู่ในวัยเยาว์   พลันความอยากโกรธก็ค่อยคลายลง กลายเป็นความเอ็นดูนิดๆ และขวางหน่อยๆ   นายเชี่ยว พิทักษ์ราชกำหนด   กระแอมให้ลำคอโล่งตามธรรมเนียมเสียก่อนที่จะเริ่มเรื่องด้วยคำถามที่ว่า

“ก่อนอื่น ผมอยากจะถามคุณเนติว่าคุณเคยได้ยินชื่อ “ทับเหนือทะเล” บ้างหรือไม่”

“ทับเหนือทะเล”   เนติทวนคำ ขมวดคิ้วอย่างทบทวนความทรงจำ   “ดูเหมือนจะเป็นบ้านพักตากอากาศอยู่แถวเขาตะเกียบ   หรืออะไรโน้นไม่ใช่หรือครับ”

“ถูกทีเดียว”   ทนายความก้มศีรษะรับอย่างพึงพอใจ   “อยู่ติดๆ กันกับเขาตะเกียบนั่นแหละ   ตัวบ้านพักปลูกด้วยปีกไม้แน่นหนาทำแบบบ้านพักตากอากาศของฝรั่งเลยทีเดียว   ตั้งอยู่บนเนินเหนือหาด   มองลงไปเห็นทะเลและโขดหินสวยงามมาก   และทับเหนือทะเลนี่แหละที่คุณพ่อของคุณติดอกติดใจนักหนา   เมื่อหนุ่มๆ ท่านต้องไปพักร้อนที่นั่นเป็นประจำ”

“แล้วมันมาเกี่ยวกับกำไลข้อมือที่ผมจะต้องไปควานหานี่ยังไงกันครับ ผมไม่เห็นเข้าใจเลย”   เนติถาม คิ้วขมวดเข้าหากัน   ทนายความมองหน้าเขาอย่างนึกขัน แล้ววางหน้าเฉยเมื่อบอกว่า

“คุณจะต้องไปค้นหากำไลอีกข้างหนึ่งที่ทับเหนือทะเลนี่แหละ”

เนติมีอาการคล้ายสำลัก   เขาลุกพรวดพราดจากท่าที่นั่งทอดหลังพิงพนัก   ชะโงกหน้าเข้าไปเกือบจะชิดหน้าทนายความ   ทวนถามด้วยเสียงดังเกือบเหมือนตะโกนว่า

“ฮะ ว่าอะไรนะครับ   ให้ผมไปค้นหากำไลที่นั่นงั้นหรือ”

ทนายความเขยิบเก้าอี้ถอยออกไปนิดหนึ่ง   “ค่อยๆ หน่อยก็ได้ครับ คุณเนติ   อายุของผมมันเข้าปูนนี้แล้ว   เส้นประสาทชักจะไม่ค่อยมั่นคงเหมือนเมื่อยังหนุ่มๆ สมัยที่คุณชอบเอาปืนแก๊ปมาแอบยิงใกล้ๆ หูผมบ่อยๆ”

เนติ ถอยออกมา   พูดด้วยเสียงกระแทกนิดๆ ว่า   “ออกจะเป็นคำสั่งที่น่าขันดี   คุณทราบได้อย่างไร นะครับ คุณเชี่ยว   ว่าเจ้ากำไลอีกข้างหนึ่งมันอยู่ที่บ้านหลังนั้น”

“ผมไม่ทราบหรอกครับ ว่ามันจะอยู่ที่นั่นจริงหรือไม่”   ทนายตอบหน้าตาเฉย   และเมื่อเห็นเนติมองตาค้าง เขาก็รีบพูดต่อไปโดยเร็วว่า   “แต่คุณพ่อของคุณน่ะซิ ท่านทราบดี   เพราะท่านระบุเอาไว้เลย ทีเดียวว่าคุณจะหากำไลอีกข้างหนึ่งได้ที่นั่น”

“ท่านเอาไปซ่อนไว้ที่นั่นยังงั้นหรือครับ”

“อย่างไรก็ไม่ทราบ”   ทนายตอบด้วยประโยคที่เนติ ฟังแล้วคันหัวใจ ขึ้นมาตงิดๆ

“แต่ว่าท่านสั่งให้คุณไปค้นที่นั้น คุณก็น่าจะไป   อย่าลืมว่ากำไลข้างนั้นมีความหมายสำหรับคุณมากเพียงไร   ประการที่หนึ่ง   มันเป็นสมบัติประจำตระกูลของคุณ   เป็นหน้าที่ของคุณที่จะต้องรวบรวมมาให้ได้คู่ของมัน   ส่วนประการที่สองนั้น คุณก็ทราบดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือครับว่าเป็นเช่นไร”

“ผมรู้ซึ้งอยู่แก่ใจดีทีเดียวครับ”   เนติพูดอย่างหงุดหงิด   “ว่าแต่เรื่องนี้มันนานสักเท่าไรมาแล้ว   ผมหมายความว่า คุณพอจะทราบบ้างไหมว่าคุณพ่อท่านเอาเจ้ากำไลข้างนั้นไปซุกไว้ตั้งแต่เมื่อไรกัน”

ทนายความส่ายหน้า   “ไอ้เรื่องนั้นน่ะ ผมหมดปัญญาที่จะบอกคุณได้   ก็ถ้าหาก ว่าท่านตั้งใจจะซุกไว้มิให้ใครค้นพบละก็ ท่านจะมาบอกผมเรื่องอะไรกันล่ะ   ที่ผมพอจะรู้ก็คือ   ท่านไม่ได้ย่างเหยียบไปที่นั่นอีกเลยเป็นเวลาประมาณยี่สิบสองหรือยี่สิบสามปีมาแล้ว”

“ยี่สิบสอง ยี่สิบสามปีมาแล้ว”   เนติอุทาน ผุดลุกขึ้นยืน อ้าปากค้าง   จ้องตะลึงดูทนายความเหมือนไม่เชื่อหูตนเอง   ครู่เดียวต่อมาหน้าของเขาก็แดงเรื่อขึ้นด้วยความโกรธ   เขาผลักเก้าอี้ออก ก้าวเดินออกไปห่างโต๊ะ   “นี่เกิดมาทำตลกอะไรกันละนี่   จะให้ผมไปหาของที่ถูกทิ้งเอาไว้ตั้งยี่สิบกว่าปี   ซึ่งตลอดเวลานี้ ผมพอจะทราบดีว่าบ้านหลังนั้นไม่เคยว่างคนมาพักอยู่เลยทุกปีตลอดฤดูกาลตากอากาศ   ถ้าหากว่าคุณพ่อจะเอาซ่อนไว้จริง ป่านนี้ก็อาจจะถูกใครค้นพบและฉกฉวยเอาไปเสียแล้วก็ได้”

ทนายความถอนใจใหญ่   “ถ้าคุณพ่อของคุณไม่แน่ใจว่าของสิ่งนี้จะอยู่รอดปลอดภัยจากคนตาสอดส่ายชอบค้น ชอบรื้อและพวกมือไวใจเร็วละก็   ท่านก็คงจะไม่เอาไปซ่อนไว้ที่นั้นหรอก   แต่ก็... สุดแท้แต่คุณจะตัดสินใจเอาเองครับว่าจะไปหรือไม่ไป”

เนติยืนหน้าบึ้งอยู่อึดใจใหญ่ แล้วจึงเลื่อนเข้ามาทิ้งตัวลงบนเก้าอี้อย่างเดิม   พูดด้วยเสียงขุ่นมัวว่า

“ผมไม่มีทางเลือก   ถึงแม้จะรู้ว่ามันออกจะเป็นการกระทำที่โง่ๆ น่าขันสิ้นดี ผมก็ต้องยอมทำ   แต่ว่าถ้ากำไลข้างหนึ่งอยู่ที่บ้านหลังนั้นจริงแล้ว   อีกข้างหนึ่งจะอยู่ที่ไหนเล่าครับ มันถึงจะมาเข้าคู่กันได้”

“อีกข้างหนึ่งอยู่ที่นี่”   นายเชี่ยว พิทักษ์ราชกำหนด บอกพลางหยิบกระเป๋าเอกสารที่เขาเอาวางไว้บนโต๊ะใกล้ๆ ตัว มาวางบนตัก   รูดซิปออกแล้วหยิบเอากล่องหนังแบนๆ สี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดกว้างยาวไม่เกิน ด้านละสามนิ้วออกมาวางบนโต๊ะ   กดสปริงให้ฝาเปิดออก

เนติชะโงกเข้าไปมองดูของสิ่งนั้นอย่างสนใจ   บนพื้นกำมะหยี่สีแดงเข้มที่บุกล่องนั้น มีกำไลแขนของสตรีวางอยู่   ตัวกำไลทำด้วยทองคำสุกปลั่งเป็นรูปนาคขด ฝังมรกตเม็ดเล็กๆ เป็นเกล็ดงามระยับทั่วทั้งตัว จากคอลงไปจนถึงปลายหาง   ดวงตาของนาคฝังด้วยทับทิมน้ำดี   มีเพชรลูกเม็ดเล็กๆ ส่งประกายแวววับอยู่ในปากของพญานาคตัวนั้น   ที่ด้านในมีรอยสลักเป็นอักษร น. ลึกลงไปในเนื้อทองจนมองเห็นได้ชัด

“อื้อฮือ ฝีมือช่างเมืองไหนทำนะครับนี่”   เนติอดที่จะอุทานออกมาไม่ได้   เขาหยิบกำไลขึ้นพิจารณาดูอย่างสนใจ   “ทำได้วิจิตรอย่างน่าทึ่งทีเดียว   ฝังมรกตเสียละเอียดยิบอย่างกับเกล็ดพญานาคจริงๆ”

“ช่างเมืองไทยเรานี่แหละ   อีกข้างหนึ่งก็เหมือนกันอย่างนี้ไม่มีผิด”   ทนายความบอก มองดูเนติยิ้มๆ   “ว่าไงครับ คุณเนติ เห็นอย่างนี้แล้ว รู้สึกว่ามันมีค่าพอที่จะลองเสี่ยงค้นหาดูไหม”

เนติหัวเราะหึๆ วางกำไลคืนลงในที่ บอกว่า   “ถึงแม้ว่ามันจะดีไม่ถึงครึ่งหนึ่งของนี่ ผมก็จำเป็นต้องค้นมันให้พบอยู่ดี   ผมไม่มีทางเลือก   คุณเชี่ยวก็ทราบอยู่แก่ใจแล้วนี่ครับ”

“เป็นอันว่าคุณจะไปที่ ทับเหนือทะเล”   ทนายสรุป   “คุณจะบอกให้ผมทราบได้ไหมครับคุณเนติ ว่าคุณคิดจะไปเมื่อไร”

“ยิ่งเร็วเท่าไรยิ่งดี”   เขาตอบตามแบบของคนใจร้อนทั้งหลาย   นายเชี่ยวอมยิ้มส่ายศีรษะไปมา

“สักต้นเดือนหน้านี่เป็นยังไงครับ”   เขาขอความเห็น   เมื่อเนติขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ เขาก็รีบให้คำอธิบายว่า   “อีกสิบวันเท่านั้นก็จะสิ้นเดือนอยู่แล้ว   ผมจะได้มีเวลาติดต่อกับเจ้าของเขา ขอเช่าทับเหนือทะเลสักเดือนหนึ่ง   ตกลงกันเสร็จสรรพแล้วก็จะได้เอาใบสัญญากับกุญแจบ้านมาให้คุณ   ว่าแต่เดือนหนึ่งจะพอไหมครับสำหรับงานค้นคว้าของคุณ”

“เดือนหนึ่ง”   เนติทวนคำแล้วหัวเราะ   “ผมขอเวลาเพียงสามวันเท่านั้นแหละ สำหรับจะสับบ้านหลังนั้นออกเป็นเศษไม้ เพื่อจะค้นหาเจ้ากำไลมหาวิบากอันนี้”

ทนายความ หัวเราะตามแล้วก็ลุกขึ้นยืน   เลื่อนหีบกำไลไปตรงหน้าชายหนุ่ม บอกว่า   “กำไลข้างนี้ คุณเก็บเอาไว้เปรียบเทียบกัน   อย่าทำใจอ่อนให้ใครไปเสียนะครับ คุณเนติ   สวัสดีครับ ขอให้คุณโชคดี   ผมจะจัดการเรื่องบ้านให้โดยเร็วที่สุด   อ้อ ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะขอร้องคุณ   คือขอให้เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับอย่างที่สุด   อย่าบอกให้ใครรู้เป็นอันขาดเทียวนาครับ”

พอได้รับกุญแจประจำบ้าน “ทับเหนือทะเล” พร้อมทั้งเอกสารสัญญาเช่าจากทนายความ   เนติก็ขนเสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็น ใส่รถบึ่งไปหัวหินทันที   ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาย่างเหยียบเข้ามาที่ทับเหนือทะเลนี้ และรู้สึกติดใจในความน่าอยู่ของบ้านและภูมิภาพ ทิวทัศน์โดยรอบนั้นทันที   ตัวบ้านชั้นเดียวสร้างด้วยปีกไม้แข็งแรงกว้างขวาง   มีห้องนอนใหญ่ถึงสองห้องอยู่คนละปีก   ห้องกลางยื่นออกไปเกือบถึงชายเนิน กรุด้วยกระจกหนาสำหรับจะให้มองเห็นทิวทัศน์ได้ทั้งสามด้าน   มีม่านหนาและหนักพื้นสีน้ำเงินยกดอกสีเงินๆ ห้อยจากเพดานลงมาตรงพื้นตลอดทั้งสามด้าน   เครื่องเรือนก็เป็นไปตามแบบชาวตะวันตกตั้งแต่พรมปูห้องจนกระทั่งแจกันปักดอกไม้ และรูปถ่ายบนฝาผนัง   ทุกสิ่งยังดูคล้ายของใหม่   สะอาดสะอ้านปราศจากฝุ่นละออง   แสดงว่าคนเฝ้าบ้านสองคนผัวเมียที่พักอาศัยอยู่ในกระท่อมถัดลึกจากด้านทะเลเข้าไปจนเกือบถึงถนนใหญ่นั้น ไม่ละเลยเกียจคร้านต่อหน้าที่ของแกเลย   แกช่วยเนติขนของขึ้นบ้าน   เปิดประตูหน้าต่างให้แล้วก็กลับไป พร้อมกับสั่งว่าถ้าต้องการจะใช้สอยไหว้วานอะไรแกละก็   ให้ร้องเรียกแกได้ทันที

“เฮ้อ บ้านออกกว้างขวางใหญ่โต อยู่คนเดียวมันอ้างว้างพิลึก”   เนติบ่นกับตัวเองดังๆ ขณะที่เดินสำรวจดูห้องต่างๆ   “เห็นจะต้องเริ่มตรวจค้นหาเจ้ากำไลข้างนั้นที่ห้องนอนก่อน”   เขาบอกกับตัวเองพลางก็เที่ยวดึงโน่น เลิกนี่ไปพลางๆ เป็นการตรวจอย่างหยาบๆ ไว้ขั้นหนึ่งก่อน   เวลายังมีอีกตั้งหนึ่งเดือนเต็มๆ   นานพอที่เขาอาจจะตรวจแผ่นไม้ได้ทั่วทุกแผ่น ทุกซอกทุกมุมทีเดียว

ห้องที่ยากแก่การตรวจค้น น่าจะได้แก่ห้องหนังสือ   เนติไม่ชอบใจที่ปรากฏว่ามีตู้หนังสือสูงแค่ศีรษะของเขา   ครึ่งหนึ่งทึบและอีกครึ่งหนึ่งบุกระจก ตั้งอยู่ตลอดชิดผนังด้านหนึ่ง   ที่ฝาตรงข้ามกับตู้หนังสือนั้นมีรูปภาพเกี่ยวกับการล่าสัตว์แขวนไว้สามภาพ ลดหลั่นกัน   สลับด้วยอาวุธต่างชนิดที่จัดไว้อย่างมีศิลป์   เก้าอี้ที่ตั้งอยู่ในห้องนั้นเป็นเก้าอี้นวมแบบเก่า ตัวใหญ่ทั้งหนาและหนัก สีแดงเข้ม   เข้าชุดกับพรมที่ปูพื้นและม่านที่แขวนอยู่ที่หน้าต่าง ซึ่งมีติดกันตลอดฝาห้องด้านหนึ่งแต่เพียงด้านเดียว

“ห้องนี้เอาไว้เป็นห้องสุดท้าย”   เนติตกลงใจ แล้วก็กลับมายังห้องนอนที่เขาเลือกได้   ทิ้งตัวลงนอน หลับตา   ตั้งใจว่าจะต้องหลับเอาแรงสักงีบหนึ่ง และฝันถึงโรบินสัน ครูโซ

อาหารเย็นวันนั้น   โรบินสัน ครูโซ จำเป็น ขับรถไปกินที่โรงแรมรถไฟ   หมดเรื่องยุ่งยากกระดักกระเดิดไปมื้อหนึ่ง

อาหารเช้าวันต่อมาทำเอง   ไข่ต้มแข็งสองฟอง   กาแฟผงกับนมข้นหวานเตรียมมาจากกรุงเทพฯเยอะแยะ   เปิดขนมปังเนยแข็งเข้าอีกกระป๋องหนึ่ง เท่านั้นก็อร่อยเหาะไปแล้ว   จานชามทิ้งเข้าไว้ก่อน   ยังไม่ต้องต้องล้างก็ได้   ในไซด์บอร์ดยังเห็นมีอีกเยอะแยะ

ออกจากครัวก็มาเรียกเมียคนเฝ้าบ้านมาเก็บเสื้อผ้าไปซัก   หมดปัญหายุ่งยากไปอีกอย่างหนึ่งแล้ว   เอาละ คราวนี้จะได้ลงมือแปลงตัวเป็นนักสืบกับเขาสักที

การสำรวจตรวจค้นห้องนอนกินเวลาตั้งแต่เช้าถึงบ่ายโดยไม่ปรากฏผลอะไรเลย   ห้าโมงเย็นขณะที่เนติอยู่ในครัว กำลังจัดการกับไข่ต้มขนมปังและกาแฟ   รวมอาหารว่างและเย็นไปในมื้อเดียวกันนั้นเสร็จ   เขาได้ยินเสียงรถยนต์ จึงละจากโต๊ะลุกเดินไปทางหน้าบ้าน   ทันใดนั้น ชายหนุ่มก็ต้องลืมตาโพลง เมื่อเห็นรถสปอร์ตคันเล็กๆ สีขาวนวลจอดเทียบอยู่   ผู้หญิงสองคน คนหนึ่งยังสาวแต่งกายด้วยเสื้อและกระโปรงติดกันแบบเรียบๆ สีเทา อมฟ้าอ่อนๆ   สวมแว่นกันแดดทันสมัย   โพกผมด้วยแพรสีน้ำเงินสดดอกขาวๆ   ส่วนอีกคนหนึ่งนั้นเป็นผู้ใหญ่กว่า   จากการแต่งเนื้อแต่งตัวและลักษณะท่าทาง บอกว่าน่าจะเป็นคนรับใช้     ทั้งสองกำลังช่วยกันขนสัมภาระจากรถลำเลียงขึ้นมาไว้ที่เชิงบันได   กระเป๋าเดินทางสามสี่ใบและเข่งค่อนข้างใหญ่อีกหนึ่งใบที่เห็น ทำให้ชายหนุ่มรู้ว่าแม่หญิงสองคนนี้ตั้งใจจะมาพักอยู่เป็นเวลาค่อนข้างนาน   เขาเดินเข้าไปหา เมื่อหญิงสาวถือกระติกน้ำแข็งขนาดใหญ่ออกมาจากรถ   หล่อนก้าวขึ้นบันไดมา   ยิ้มให้เขา แล้วถามว่า

“คุณเป็นคนดูแลบ้านหรือคะ”

เขาตะลึงลานไปกับรอยยิ้มเหมือนบัวแย้มตรงหน้าไปครู่หนึ่งจึงรู้สึกตัว

“เปล่าครับ   ผม... ผมเกรงว่าท่าจะเกิดการเข้าใจผิดอะไรสักอย่างหนึ่งแล้ว”

“เอ๊ะ เข้าใจผิดเรื่องอะไรกันคะ”   หญิงสาวถามเสียงสูง   หล่อนย่อตัวลงวางกระติกลงกับพื้น แล้วดึงแว่นกันแดดที่สวมอยู่ออก   เนติรู้สึกเหมือนกำลังจ้องมองลงไปในบ่อน้ำที่ใสซึ้งขณะที่เขาตอบหล่อนว่า

“ผมคิดว่าคุณคงจะเข้าผิดบ้าน”

“ผิดบ้าน”   หล่อนทวนคำแล้วหัวเราะ   “ถ้าบ้านนี้ไม่ได้ชื่อทับเหนือทะเลละก็ ดิฉันเป็นเข้าบ้านผิดบ้านแน่ละค่ะ”

“ถ้างั้นก็ต้องเข้าใจผิดในเรื่องอื่น   คุณคงจะมาเพราะคิดว่าบ้านพักหลังนี้คงจะว่างอยู่กระมังครับ”

หญิงสาวเลิกคิ้วน้อยๆ มองดูเขาอย่างประหลาดใจแกมขัน   “ดิฉันไม่ได้คิดอย่างนั้นหรอกค่ะ”   หล่อนตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ   “แต่ดิฉันแน่ใจเลยทีเดียวแหละว่ามันจะต้องว่าง   เพราะถ้าไม่ว่างแล้ว เจ้าของเขาจะให้ดิฉันเช่าพักหรือ”

“เช่า?” เนติร้องเสียงดังอย่างลืมตัว   “ไหน คุณว่าไงนะ   คุณน่ะหรือครับเป็นคนเช่าบ้านหลังนี้”

“ก็ยังงั้นนะซีคะ   เอ๊ะ นี่มันเรื่องอะไรกัน   ดิฉันเป็นผู้เช่าบ้านพักหลังนี้จริงๆ   ทำสัญญาเช่ากันเป็นเวลาหนึ่งเดือน   แต่ เอ คุณล่ะเป็นใครกัน ถ้าไม่ใช่คนดูแลบ้าน”

“ผมนะหรือ”   เนติพูดอย่างอ่อนอกอ่อนใจ “ผมก็เป็นคนเช่าบ้านหลังนี้เหมือนกัน”

“หือ ว่าอะไรนะ”   คราวนี้ถึงคราวที่หล่อนจะต้องแปลกใจบ้างแล้ว   “นี่คุณนึกอยากจะทำตลกอะไรขึ้นมาไม่ทราบ   อย่ามาหลอกกันหน่อยเลยคุณ   ไม่สำเร็จหรอก   ฉันมีหลักฐานมีใบสัญญาและลูกกุญแจบ้านพร้อมสรรพ   ฉันจะให้คุณดูก็ได้”   หล่อนเปิดกระเป๋าถือ หยิบเอาสิ่งของที่ว่านั้นออกมาส่งให้เขา   เนติรับมาดู   จริงเสียด้วย   ในสัญญานั้นระบุวันเดือนปีไว้อย่างชัดแจ้งว่า   นางสาว มณทิรา พงศ์นัดดา   เป็นผู้เช่าถือสิทธิ์ในบ้าน “ทับเหนือทะเล” เป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม ในช่วงระยะเวลาเดียวกันกับเขา

“ของผมก็มีเหมือนกัน ผมจะไปเอามาให้ดู”   เขาบอกกับหล่อนแล้วเดินเข้าไปในห้องนอน   อึดใจเดียวก็กลับออกมาพร้อมกับกระดาษสัญญาและพวงกุญแจ   หล่อนรับไปดู   ลักษณะของสัญญาทั้งสองแผ่นนั้นเหมือนกันทุกประการ นอกจากนามของผู้ให้เช่าซึ่งเป็นคนละคนกับของเขา   มีหมายเหตุไว้ใต้ลายเซ็นนั้นว่า “ผู้จัดการผลประโยชน์”   และพวงกุญแจสองพวงนั้นก็มีเหมือนกันทุกดอก

“ผมสงสัยจริง ว่านี่จะมีใครอื่นถือสัญญาและพวงกุญแจมาที่นี่อีกไหม   น่าขันจริง”

“ดิฉันไม่เห็นขันสักหน่อยเลย”   หญิงสาวทำหน้าบึ้ง   “ไม่น่าจะมีการพลั้งเผลอกันถึงขนาดนี้   ดิฉันเช่าจากเจ้าของบ้าน   และตาผู้จัดการผลประโยชน์ก็กลับเอามาให้คุณเช่าอีก   ทำไมเขาไม่ไต่ถามกันดูเสียให้รู้เรื่องเสียก่อนนะ   แต่ยังไงก็ตาม ดิฉันจ่ายเงินค่าเช่าล่วงหน้าไปแล้ว   ดิฉันไม่ยอมออกไปหรอก”

“ผมก็เสียค่าเช่าล่วงหน้าไปแล้ว   ผมก็ไม่ยอมออกไปเหมือนกัน

หญิงสาวตาขุ่น มองดูเขา   “แต่คุณเป็นผู้ชาย   คุณคงไม่เดือนร้อนเลยที่จะโยกย้ายไปอยู่เสียที่อื่น อย่างเช่นที่โรงแรม   เอาเถอะค่ะ   ดิฉันสัญญาว่าจะช่วยพูดกับเจ้าของบ้านและผู้จัดการผลประโยชน์ให้เขาคืนเงินให้คุณ”

“ขอบคุณเป็นอย่างมากครับ ที่จะเอื้อเฟื้อถึงเพียงนั้น”   เขาบอกหล่อนแล้วก็ส่ายหน้าช้าๆ   “แต่ผมไม่ขอรับหรอก เพราะผมต้องการจะใช้สิทธิของผมตามที่สัญญาเช่าบอกไว้   พูดตรงๆ ก็คือว่า ผมไม่ยอมออกจากบ้านหลังนี้ไปพักอยู่ที่อื่นเป็นอันขาด”

“ตายจริง”   หญิงสาวร้อง   สีหน้าบอกความยุ่งยากใจเต็มที่   “ทีนี้จะทำยังไงกันดี”

“เมื่อคุณคิดว่าจะเจรจาเรียกค่าเช่าคืนมาให้ผมได้ ทำไมคุณไม่ทำสำหรับตัวคุณเองล่ะ”   ชายหนุ่มแนะ   “ความจริงเดือนนี้ก็ยังไม่ถึงฤดูตากอากาศ   เลื่อนไปเดือนหน้าซีครับ”

หญิงสาวสั่นศีรษะ   “ดิฉันจำเป็นจะต้อง...”   ใบหน้าของหล่อนแดงเรื่อขึ้นเล็กน้อย รีบพูดต่อโดยเร็ว   “บางทีเดือนหน้าบ้านหลังนี้อาจไม่ว่างเพราะมันจะถูกจองล่วงหน้าไว้เต็มๆ เสมอ   โธ่นี่เราจะตกลงกันไม่ได้จริงๆ ละหรือคะ”

“ได้ซีครับ ผมคิดว่าเราพอจะตกลงกันได้”   ชายหนุ่มบอก   “มีอยู่วิธีหนึ่งที่ยุติธรรมที่สุดคือมาแบ่งกันพักก็แล้วกัน   บ้านนี้ออกใหญ่โตกว้างขวาง มีห้องนอนแยกกันอยู่คนละซีก   คุณอยู่ห้องหนึ่ง   ผมอยู่ห้องหนึ่ง   มีวิธีเดียวนี้เท่านั้น   เพราะผมขอยืนยันความตั้งใจของผมว่าผมจะอยู่ที่นี่ต่อไปตามที่ได้ทำสัญญาไว้   จะไม่โยกย้ายไปพักที่อื่นเป็นอันขาด”

หญิงสาวถอนใจใหญ่ หันไปมองดูสาวใช้ผู้ติดตาม   แต่แม่สาวใช้ได้ลงนั่งแปะอยู่กับพื้นริมบันไดใกล้กับกองสัมภาระ ทำท่าคล้ายจะฟุบหลับมิหลับแหล่ลงตรงนั้นอยู่แล้ว   หล่อนจึงหันกลับมาบอกกับเขาอย่างตัดสินใจว่า

“เมื่อมีทางเดียวยังงั้นดิฉันก็ต้องตกลง”

เขายิ้มออกมาได้ บอกว่า   “ผมดีใจที่เราตกลงกันได้ด้วยสันติวิธี”   แล้วก็ก้มลงหิ้วกระเป๋าเดินทางสองใบขึ้นมา   “มาทางนี้ซีครับผมจะพาไปที่ห้องของคุณ”

หญิงสาวเดินตามเขาไปโดยดี   เมื่อเนติเปิดประตูห้องที่หล่อนจะพักเข้าไปและวางกระเป๋าลงที่ข้างประตู หล่อนก็เดินเลยเข้าไปกลางห้องดึงผ้าคลุมผมออก   หมุนร่างกวาดสายตาดูรอบห้องอย่างยินดี   ร้องว่า

“ช่างน่าสบายอะไรเช่นนี้”

เนติจ้องมองดูหล่อนด้วยรู้สึกประหลาด   คล้ายกับว่า เขาและหล่อนมิได้เป็นคนแปลกหน้าซึ่งกันและกัน   มีอะไรอย่างหนึ่งซึ่งเป็นกันเองและอบอุ่นเกิดขึ้นในดวงใจของเขา   เป็นความรู้สึกที่ใหม่เอี่ยมจนเขาออกจะรำคาญนิดๆ เพราะไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร   แต่ก็ตื่นเต้นอย่างไรพิกลที่มันเกิดขึ้น

“ห้องสำหรับคนใช้อยู่ติดกับห้องครัว”   เขาบอกหลังจากที่ได้เฝ้ามองหล่อนอยู่ครู่หนึ่ง   แต่ถ้าคุณคิดว่าจะไม่ปลอดภัยถ้าจะนอนในห้องคนเดียว ห้องนี้ก็กว้างขวางพอที่คุณจะให้สาวใช้เข้ามากางมุ้งนอนด้วยได้โดยไม่อึดอัดนัก”

หล่อนปรายตาดูเขาแวบหนึ่ง   ยกคอขึ้นพูดด้วยเสียงเคร่งขรึมว่า   “ดิฉันไม่ตาขาวถึงขนาดนั้น   ดิฉันเชื่อว่าดิฉันป้องกันตัวเองได้ และหวังว่าห้องคนใช้ ก็คงจะอยู่ไม่ไกลเกินไปนักจนกระทั่งหล่อนจะไม่ได้ยินเสียงของดิฉันถ้าจะเกิดอะไรขึ้น”   หล่อนพูดแล้วก็สาวเท้าผ่านเขาออกไป   พูดขณะที่เดินผ่านโดยไม่หันมามองดูหน้าว่า   “กรุณาบอกดิฉันทีว่าครัวอยู่ที่ไหน”

เขาพาหล่อนไป   เอื้อมไปจับลูกบิดประตูครัวผลักให้เปิดออก   ปากก็พูดว่า   “นี่คือครัว   เป็นครัวที่สะอาดสะอ้านพอดูทีเดียว   แต่ผมเกรงว่า...”   คำพูดหยุดชะงักไปโดยกะทันหันเมื่อเขามองเลยเข้าไปที่โต๊ะริมฝา   ถ้วยชาที่เขากินเอาไว้ทั้ง 2-3 มื้อ ยังคงวางเรียงรายอยู่เต็มโต๊ะ   เนติขยับมือจะเอื้อมไปดึงประตูปิดเสีย แต่ก็ช้าเกินการ   หญิงสาวเดินเลยเข้าประตูไปเสียแล้ว   หล่อนมองรอบห้องแล้วก็ไปหยุดอยู่ที่โต๊ะตัวนั้น แล้วจึงหันมามองหน้าเขา

“ผมกำลังจะลองคำนวณดูว่าถ้วยชามที่เขาทิ้งไว้ในตู้นั้น จะพอใช้กินอาหารไปได้สักกี่มื้อ”

เนติบอกกับหล่อนหน้าตาเฉย   เขาเห็นประกายขบขันฉายขึ้นในดวงตาของหล่อนแวบหนึ่ง แล้วหล่อนก็หันหน้าไปเสีย   จากเสี้ยวหนึ่งของใบหน้าที่เขามองเห็น ดูเหมือนหล่อนจะกำลังยิ้ม   น่าเสียดาย   อยากจะเห็นดวงหน้าของหล่อนในเวลายิ้ม โดยไม่มีแว่นดำและผ้าคลุมผม ว่าจะสดใสน่าดูสักเพียงไหน

เมื่อหญิงสาวหันกลับมาอีกครั้งหนึ่งนั้น ทั้งดวงหน้าและดวงตาของหล่อนก็ราบเรียบเป็นปรกติ   แล้วหล่อนก็พูดกับเขาด้วยเสียงที่เคร่งขรึมเกือบจะเย็นชาอย่างระมัดระวังตัวว่า

“ถ้าคุณลำบาก ดิฉันคิดว่าคุณจะมารับประทานอาหารรวมกับดิฉันก็ได้   นอกเสียจากว่า...”

“แหม ขอบคุณเป็นที่สุดทีเดียว”   เขารีบพูดโดยเร็วก่อนที่หล่อนจะพูดจบ   “ผมเต็มใจรับความอื้อเฟื้อของคุณ   และขออาสาเป็นคนขับรถไปซื้อกับข้าวหรือสิ่งของอะไรก็ตามแต่ สุดแต่คุณต้องการจะใช้”

เมื่อตกลงกันได้โดยง่ายเช่นนั้น สถานการณ์ที่ดูเหมือนจะยุ่งยากก็เป็นอันเรียบร้อยไป   อาหารค่ำมื้อนั้น เนติไม่ต้องขับรถไปกินที่โฮเต็ล   แม่พันสาวใช้ของมณทิราทำกับข้าวรสมือมิใช่ชั่ว   แต่ที่เนติรู้สึกว่าโอชะที่สุด ก็คือกาแฟหลังอาหารซึ่งหญิงสาวเป็นผู้ชงเอง

“ดิฉันต้องชงกาแฟรับประทานเองเสมอ”   หล่อนบอกกับเขา   “ให้คนอื่นชงให้ไม่เคยถูกใจเลย”

คืนนั้นเนติกินข้าวเสียอิ่มแปล้ แล้วกลับไปนอนฝัน   แปลกเหลือเกินที่ไม่ยักฝันถึงงามโฉม   แต่กลับไปฝันถึงหญิงสาวผู้สวมแว่นดำและมีผ้าคลุมผมเหมือนตัวลึกลับในนิยายนั้นทีเทียว

รุ่งขึ้นในตอนเช้า   เนติออกจากห้องมาพบหญิงสาวกำลังวุ่นวายอยู่กับการทำอาหารมื้อเช้าในชุดกางเกงขายาวสีน้ำตาลไหม้ และเสวตเต้อร์สีอิฐ   หล่อนช่างสดชื่นแจ่มใสน่ารักน่าเอ็นดูเสียนี่กระไร

“ดิฉันจะตั้งโต๊ะอาหารที่ระเบียงหินติดกับห้องนั่งเล่นนะคะ”   หญิงสาวหันมาบอก เมื่อเขาก้าวเข้าไปในครัว   “ตอนเช้าอากาศสบาย   ทะเลสีสวย   เราไม่น่าจะมาอบตัวเงียบอยู่ในห้องอาหาร”

“เป็นความคิดที่คมคายทีเดียว”   เนติชม   “นี่ถ้าไม่มีคุณ ผมก็คงจะกินมันอยู่ในครัวนี่ทั้งเก้าสิบมื้อ คือตลอดเดือนเลย”   เขาหยุดพูด สูดลมหายใจแรงๆ   “ทำอะไรครับหอมจริงๆ   ทำเอาผมชักจะหิวขึ้นมาเสียแล้วล่ะซี”

“เสร็จเดี๋ยวนี้แหละค่ะ”   หญิงสาวบอก   ใช้ตะหลิวช้อนไข่เจียวสีเหลืองอร่ามจากกะทะออกใส่จาน   แล้วหล่อนก็ถือจานไข่นั้นไว้ในมือหนึ่ง   อีกมือหนึ่งถือจานเปลใส่ขนมปังปิ้ง   หันไปสั่งคนใช้ว่า   “พันช่วยยกชามข้าวต้มกับถาดนั่นออกไปให้ด้วยนะจ๊ะ”

“ผมยกไปเองก็ได้”   เนติอาสา   ยกถาดโครเมี่ยมซึ่งบรรจุกา กาแฟและชามแก้วใส่เนยเดินตามหญิงสาวออกไป

“แม่พันของดิฉันเขาถนัดแต่ทางกับข้าวแบบไทยๆ ค่ะ”   หญิงสาวบอกขณะที่รินกาแฟเติมให้เขา เป็นถ้วยที่สอง   “ขึ้นชื่อว่าอาหารฝรั่งแม้แต่ของง่ายๆ แบบออมเล็ต แกก็ต้องให้ดิฉันทำเอง”

“เป็นบุญปากของผม” เขาพูด   ฟังดูมันก็เหมือนกับว่าเป็นคำพูดเล่นแบบกันเองตามธรรมดา   แต่เนติเองรู้สึกว่าเขามีความจริงใจในคำพูดนั้นผิดจากที่เขาเคยพูดเล่นทำนองนี้กับสหายหญิงคนอื่นๆ   ดูราวกับความฝันในการที่จู่ๆ เขาก็ต้องมาอยู่ร่วมบ้านกับหญิงสาวที่มิได้เคยรู้จักมักจี่มาก่อนเลย   นั่งโต๊ะอาหารด้วยกัน   และในตอนเช้าก็มีหล่อนวุ่นวายจัดโต๊ะอาหาร   ปรุงอาหารเช้าให้เขา   รินกาแฟให้เขา   พูดคุยและหัวเราะกับเขาราวกับว่า... ราวกับว่า... เนติ กลั้นหายใจ   เขาไม่ควรที่จะคิดฟุ้งซ่านไปถึงขนาดนั้น ในเมื่อเขามีงามโฉมอยู่แล้ว   งามโฉมที่เขารักและตั้งใจไว้ว่าจะแต่งงานกับหล่อน   เขาไม่ควรจะปล่อยตัวปล่อยใจให้สนิทสนมกับผู้หญิงคนนี้จน... จน...   เขารู้ตัวดีว่าไม่ควรจริงๆ

แต่แล้ว จะด้วยเหตุผลกลใดก็ไม่ทราบ   อีกเพียงครู่เดียวต่อมา เขาก็ลืมตัว   เอ่ยปากชวนหล่อนไปปีนเขาไกรลาส

หญิงสาวเม้มริมฝีปากอย่างตรึกตรอง   “แต่ดิฉันมีงานที่จะต้องทำ” หล่อนว่า

“เราก็มีงานที่จะต้องทำเหมือนกัน”   เขาเตือนตัวเองในใจ แต่ปากกลับพูดว่า   “โธ่ เก็บเอาไว้ทำวันหลังเถอะครับ งานน่ะ   ยังมีเวลาเหลืออยู่อีกตั้งยี่สิบแปดวันกว่าจะครบเดือน   วันนี้อากาศดี แดดก็ไม่มี   จะได้ไม่เหนื่อย”

ในใจของเขาร้องอีกว่า “งามโฉม งามโฉม”   แต่ปากของเขากลับพูดว่า   “นะครับ ไปนะครับ”

ตกลงวันนั้นสองคนไปเที่ยวเขาไกรลาสกัน

วันต่อมา ปิกนิกที่สวนสน   วันต่อมาเก็บต้นกัลปังหาที่เขานิล   วันต่อมาไปเที่ยว....   ต่อมา และต่อมา   จนกระทั่งเวลาล่วงไปแล้วกว่าสองสัปดาห์   การค้นหากำไลข้างสำคัญของเนติก็ยังไม่คืบหน้าไปไกลเกินกว่าในห้องนอนของเขา

“เอาละ วันนี้เห็นจะต้องลงมือค้นหากันอย่างจริงจังเสียที”   เนติบอกกับตัวเอง อย่างแข็งขันขณะที่ยืนโกนหนวดอยู่หน้ากระจกในเช้าวันที่สิบเจ็ด   เวลาล่วงผ่านไปรวดเร็วอย่างกับมีปีกบินไม่ผิดกับที่เขาพูดกันเลย   ถ้าหากว่าเขาทำงานชิ้นนี้ไม่สำเร็จละก็ เขาจะมองดูหน้านายเชี่ยวได้ยังไง   ยิ่งกว่านั้นก็คือ เขามิต้องอยู่เป็นโสดไปจนแก่ตายหรือ

แต่ทั้งๆ ที่ได้ตั้งใจไว้อย่างแข็งขันเช่นนั้น แต่เมื่อพบกับหญิงสาวที่โต๊ะอาหารเขาก็กลับถามหล่อนว่า   “วันนี้เราจะไปเที่ยวที่ไหนกันดี”

หล่อนเม้มริมฝีปากแล้วสั่นศีรษะ บอกว่า   “หยุดกันทีเถอะค่ะ   ดิฉันมีธุระจะต้องทำให้เสร็จ ก่อนที่จะหมดกำหนดเช่า   ถึงคุณเองก็เช่นกันใช่ไหมคะ”

หล่อนเลิกคิ้วมองดูเขา   เนติจ้องมองดวงตาคู่ใสซึ้งนั้น พูดคล้ายรำพึงกับตัวเองว่า   “ธุระอะไรกันหนอที่คุณต้องทำ   มันเกี่ยวแก่บ้านหลังนี้ด้วยหรือเปล่า ผมสงสัยจริง”

ดวงหน้าของหญิงสาวแดงเรื่อขึ้น แต่ก็มิได้หลบสายตาเขาเมื่อตอบว่า   “ก็คุณละคะ   ธุระของคุณน่ะมันเกี่ยวกับบ้านหลังนี้ด้วยหรือ   คุณจะบอกดิฉันได้บ้างไหมล่ะ”

“ผมอยากบอกคุณ แต่ทว่ามันยังไม่ถึงเวลา”   ไม่รู้ว่าเหตุใดเขาจึงได้พูดออกไปเช่นนั้น     เมื่อพูดแล้วจึงรู้สึกตัว เสหัวเราะกลบเกลื่อน “ตกลงเป็นอันว่าวันนี้เราจะไม่ไปไหน   จะอยู่บ้านและทำงาน”

“ไม่ใช่เฉพาะวันนี้หรอกค่ะ”   หญิงสาวพูด หน้าตาเคร่งขรึม   “วันต่อๆ ไปด้วย จนกว่างานจะเสร็จ   นี่ถ้าคุณแม่รู้ว่าดิฉันเหลวไหล ไม่ได้เรื่องถึงขนาดนี้ละก็ท่านคง...”

“แต่คุณคงจะไม่รักษาเวลาเกินไปจนกระทั่งไม่ยอมเล่นน้ำทะเลนะครับ”   เขาถาม   หญิงสาวทำท่าคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ยิ้ม บอกว่า

“เล่นน้ำทะเลตอนเย็นๆ วันละสักสองชั่วโมงคงไม่เปลืองเวลาอะไรนักหนา”

เช้าวันนั้น เนติเริ่มสำรวจห้องนอนของเขาอีกครั้งหนึ่งอย่างละเอียดลออ   ชักลิ้นชักทุกลิ้นชักดู   เปิดตู้ทุกตู้   เลิกตามพรม เคาะดูตามฝาผนัง   ปลดรูปภาพที่แขวนอยู่บนผนังลงมาดู   ตรวจแม้กระทั่งเบาะเก้าอี้ ทุกซอกทุกมุม จนกระทั่งแน่ใจว่าไม่มีกำไลข้างที่ว่าซุกซ่อนอยู่ที่ใดเลย

เขาตกลงที่จะเข้าไปค้นดูในห้องหนังสือ   ห้องนั้นดูลึกลับน่าค้นหน่อย   บางทีมันอาจจะซุกแทรกอยู่ในหนังสือเล่มหนึ่งเล่มใดก็ได้   เฮ้อ คิดไปคิดมามันก็ไม่ได้เป็นงานที่ง่ายๆ เลย   ที่จะต้องพลิกหนังสือทีละเล่มๆ จนกว่าหนังสือจะหมดตู้ที่ยาวตลอดผนังนั้น   จะกินเวลานานสักกี่ชั่วโมงยังไม่รู้   แต่ถึงยังไงก็ต้องลองดูทีละ

แต่พอเอื้อมมือไปดึงบานประตูห้องหนังสือเปิดออก เนติก็ชะงักแล้วรีบงับประตูเสียดังเดิมโดยเร็ว   แง้มไว้เพียงเล็กน้อยพอที่สายตาจะลอดเข้าไปมองภาพในห้องนั้นได้

ภาพที่เขามองเห็นนั้นคือ มณทิรา   หล่อนกำลังกระทำกิริยา ซึ่งเป็นที่น่าสนใจ   กล่าวคือ กำลังก้มลงหมอบคลานอยู่ตามเก้าอี้รอบๆ ห้อง และเลิกดูพรมปูห้องอย่างละเอียดถี่ถ้วน   ครู่หนึ่งหล่อนก็ลุกขึ้น หยิบพวงกุญแจออกมา   เขาเห็นหล่อนเดินไปที่ตู้หนังสือและเริ่มทดลองใช้ลูกกุญแจไขตู้ ทีละลูก ทีละลูก

เนติงับประตูให้ปิดสนิทดังเดิม ยืนพิงผนังห้องตรงนั้นอยู่ครู่หนึ่ง   รู้สึกมึนงงไปหมดทั้งหัวในภาพที่ได้พบ   มณทิรากำลังค้นหาอะไร ที่บ้านหลังนี้   จะเป็นไปได้หรือไม่ ว่าหล่อนมาเพราะมีจุดประสงค์เช่นเดียวกันกับเขา   แต่ว่าจะเป็นไปได้อย่างไร   กำไลข้างนั้นเป็นมรดกประจำตระกูลของเขา   ในพินัยกรรมระบุเอาไว้อย่างชัดแจ้ง   คู่ของมันก็ยังอยู่ในกระเป๋าเดินทางของเขาในขณะนี้   หล่อนมีสิทธิ์อะไรที่จะมาค้นหามัน นอกเสียจากว่าจะมาด้วยเจตนาที่ไม่สุจริต

เขารู้สึกปวดแปลบขึ้นมาที่หัวใจ วูบหนึ่ง   ผลุนผลันจะเปิดประตูกลับเข้าไปในห้องนั้น   อยากจะจับตัวหล่อนเขย่า   ถามให้บอกความจริงออกมาว่าหล่อนคือใคร   มาค้นหาอะไรในบ้านหลังนี้   แต่แล้วก็กลับชะงักอยู่แค่หน้าประตูนั้นเอง   ยืนงงงันอยู่ ตรงนั้นครู่หนึ่งแล้วจึงเดินกลับห้องเหมือนคนที่ใจไม่อยู่กับตัว

เก็บตัวอยู่ในห้องทั้งวัน   ซึมอยู่ในเก้าอี้และสูบบุหรี่มวนต่อมวน   เนติรู้สึกว่านี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขารู้สึกว่าทั้งสมองและทั้งใจมันหนังอึ้งไปหมด   ความสนุกสนานรื่นเริงบันเทิงใจที่รู้สึกอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลยตลอดเวลาสองอาทิตย์ที่แล้วมานั้นไม่รู้ว่ามันหายไปไหนกันหมด   เขาไม่เคยรู้สึกว่าถูกกด ถูกอัด แบบนี้มาก่อนเลย   แม้เมื่อถูกขัดจังหวะเรื่องการแต่งงานกับงามโฉม เขาก็ยังไม่เป็นเหมือนอย่างนี้

มณทิรามาเคาะประตูเรียกเขาออกไปกินอาหารกลางวัน แต่เนตินั่งเฉยเสีย   เขายังไม่อยากออกไปเผชิญหน้าหล่อนในยามที่อารมณ์ยังไม่เป็นปรกติเช่นนี้   ไม่รู้ว่าเป็นอะไร แต่ก็รู้ว่ายังออกไปพบกับหล่อนไม่ได้   เสียงมณทิราเรียกอยู่ครู่หนึ่งก็เงียบไป   หล่อนคงจะนึกว่าเขาหลับ

เขาได้ยินเสียงเคาะประตูอีกครั้งหนึ่งในตอนเย็น   เนติลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงเดินไปเปิด   มณทิรายืนอยู่หน้าประตู   หล่อนสวมเสื้อคลุมเตรียมตัวจะลงอาบน้ำทะเล

“คุณเนติ นอนหลับเพลินหรือคะ   ดิฉันมาเรียกให้ออกไปรับประทานอาหารกลางวันก็เงียบ   ไม่หิวแย่หรือคะ”

“หิวบ้างเหมือนกัน”   เขาพึมพำ ไม่มองสบตาหล่อน   รู้สึกแปลบใจขึ้นมาอีกแล้วเมื่อเห็นว่าหล่อนช่างสดชื่นรื่นเริงและทำหน้าซื่อบริสุทธิ์เสียอย่างเหลือเกิน

“เอ๊ะ คุณเป็นอะไรไปหรือเปล่า”   หล่อนถาม เนติชำเลืองดูหล่อนแวบหนึ่ง แต่ก็ทันเห็นความวิตกกังวลที่ประจักษ์ชัดอยู่บนดวงหน้านั้น   ใจของเขาชุ่มชื่นขึ้นมาวูบหนึ่งแล้วก็กลับยุบลงไปอีก

“หน้าตาเหมือนคนไม่สบาย”   หล่อนพูดต่อไป   “ไม่สบายหรือคะ”

“ปวด เอ้อ ปวดหัวนิดหน่อย”   เขาโมเมขอไปที   ความจริงเขาก็ปวดจริงๆ เสียด้วย   ปวดทั้งหัวและหัวใจทีเดียว

“ขอโทษนะคะ”   หล่อนว่า แล้วก็ยื่นมือมาแตะที่แขนเขา   เนติสะดุ้งราวกับว่าที่ปลายมือของหล่อนนั้นมีประจุไฟฟ้าอย่างแรง   แต่หญิงสาวไม่ทันสังเกต   หล่อนพูดต่อไปอย่างเป็นห่วงว่า   “ประเดี๋ยวดิฉันจะเอายากับของว่างมาให้นะคะ   รับแล้วก็นอนพักเสียให้สบายดีกว่า”

การเอาอกเอาใจยิ่งทำให้น้ำหนักที่ถ่วงอยู่ในใจของเขาเพิ่มมากขึ้น   โอ้ มณทิรา มณทิรา   ไม่น่าเลย ที่ภายใต้ความสดชื่น ผ่องใส บริสุทธิ์ดุจน้ำค้างในยามอรุณรุ่งนั้น จะซ่อนซุกเอาเจตนาสุจริตไว้ได้อย่างสนิทแนบเนียนเช่นนี้

แม้จะไม่ต้องแกล้งทำเป็นไม่สบาย   ค่ำวันนั้น เนติก็รับประทานอาหารได้ไม่ลงคอ   เขารีบอิ่มแล้วขอตัวกลับเข้าห้องแต่หัวค่ำ   หมกตัวอยู่กับบุหรี่และความคิดที่ทรมานใจต่อไป

เลยยี่สิบสี่นาฬิกาคืนนั้นที่เนติค่อยๆ ลุกขึ้นจากเตียง   ย่องกริบออกจากห้องตรงไปยังห้องหนังสือ   เขาเปิดและปิดประตูด้วยความระวังอย่างที่สุดเพื่อมิให้บังเกิดเสียงดังที่จะปลุกคนอื่นให้ลุกขึ้นมา   เขาคลำทางไปเปิดสวิทช์ไฟ

สภาพของห้องยังคงเป็นปรกติเช่นเดิมทุกอย่าง   เขาสงสัยจริงว่าหล่อนได้ค้นพบมันแล้วหรือยัง   แต่บางทีอาจจะยัง   เพราะถ้าพบแล้วหล่อนก็คงจะไม่รีรอชักช้าอยู่อีก   คงจะรีบเปิดไปจากที่นี่โดยเร็ว   อย่างไรก็ตาม เขาจะต้องลองค้นดูอีกครั้งหนึ่งเพื่อความแน่ใจ

ขณะที่เนติกำลังใช้กุญแจลองไขบานตู้หนังสืออยู่นั้น เขาก็ได้ยินเสียงร้องกรีดก้องขึ้นมา   เสียงนั้นดังมาจากห้องของมณทิรา

โดยไม่รู้สึกตัว เขาเผ่นพรวดออกมาจากห้องนั้น   และอีกชั่วอึดใจเดียวก็หัวทิ่มหลุนๆ เข้าไปในห้องของหญิงสาวเพราะกระโดดกระแทกประตูอย่างสุดแรง   ทั่วทั้งห้องมืดสนิทในตอนแรก   คงมีแต่แสงจันทร์ สลัวๆ ที่สาดเข้ามาทางช่องหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้

“มณทิรา มณทิรา”   เขาร้องเรียกหล่อน   “คุณอยู่ที่ไหน เป็นอะไรไปหรือเปล่า”

ครู่หนึ่งเขาจึงได้ยินเสียงหล่อนตอบรับค่อยๆ มาจากความมืดที่ใดที่หนึ่งว่า   “ดิฉันอยู่นี่ค่ะ สวิทช์ไฟอยู่ข้างประตู”

เนติคลำไปเปิดไฟ   เมื่อไฟฟ้าสว่างขึ้นเขาจึงได้เห็นหล่อนลุกขึ้นนั่งอยู่ในเตียง   ชายหนุ่มแหวกมุ้งขึ้นใช้ขอรวบไว้ข้างหนึ่ง   ชะโงกเข้าไปถามหล่อนอย่างเป็นห่วงว่า   “เกิดอะไรขึ้น คุณมณทิรา   คุณใช่ไหมที่ร้องเมื่อตะกี้นี้”

หล่อนเขยิบกายออกมา ฉวยเสื้อคลุมที่ถอดพาดไว้ปลายเตียงขึ้นมาสวมแล้วจึงหย่อนขาลงนั่งห้อยเท้า เล่าให้เขาฟังว่า

“ขโมยค่ะ   ดิฉันรู้สึกคล้ายกับว่ามีใครเข้ามาอยู่ห้อง   พอลืมตาขึ้นก็เห็นคนยืนทาบอยู่ตรงช่องหน้าต่างพอดี   ดิฉันตกใจเลยร้องกรีดขึ้น มันก็เลยผลุนผลันกระโดดข้ามหน้าต่างออกไป”

เนติเดินไปชะโงกดูที่หน้าต่าง แต่ก็มิได้เห็นสิ่งใดผิดปรกติ   แสงจันทร์อ่อนๆ ทำให้บริเวณนอกนั้นดูสลับสลัวเป็นเงาตะคุ่มๆ ไปหมด   เขาเดินกลับมาหาหล่อน พูดอย่างเคร่งขรึมว่า   “ต่อไปนี้คุณไม่ควรจะนอนเปิดหน้าต่าง   เคราะห์ดีที่มันไม่ทำร้ายเอา   นี่มันเอาอะไรไปได้บ้างหรือเปล่า”

หญิงสาวสั่นศีรษะ   “ยังไงก็ไม่ทราบค่ะ ฉันยังไม่ได้ตรวจดูเลย โอ”   ตาของหล่อนลืมโพลงขึ้นอย่างตกใจ   หล่อนลุกถลาไปจากเตียงตรงไปที่ตู้เสื้อผ้า   ดึงบานตู้ออก หยิบกระเป๋าถือลงมาจากชั้นบน   คุกเข่าลงบนพื้น จับปากกระเป๋าคว่ำลง เททุกสิ่งทุกอย่างออกมากองไว้บนพื้น   แล้วหล่อนก็ฉวยสิ่งหนึ่งชูขึ้น   ร้องอย่างลิงโลดด้วยความโล่งใจว่า

“โอย ขอบคุณคุณพระ ที่มันไม่ทันเอาอะไรไปได้เลย”

ดวงตาของเนติที่จับจ้องอยู่ที่วัตถุในมือของมณทิรา นั้น   เพ่งเขม็งเกือบจะออกมานอกเบ้า   คุณพระ   นั่นมันกำไลนาคขดที่เขารับมาจากทนายความแท้ๆ   หรือมิฉะนั้นมันก็ต้องเป็น.....

เหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ที่คอนานเหลือเกินกว่าเขาจะพูดออกมาได้ว่า

“ถ้างั้นก็แปลว่าคุณหามันพบแล้ว”   เสียงของเขาขมขื่นเหลือเกินเมื่อพูดประโยคนั้น   หญิงสาวหันมาจ้องมองดูเขา   หัวคิ้วของหล่อนขมวดอย่างแปลกใจ

“คุณว่าดิฉันหาอะไรนะคะ”

“ยังจะต้องให้ผมบอกอีกรึว่าคุณหาอะไร....”   คราวนี้ความรู้นึกเยาะหยันของเขาปรากฏชัดออกมาในน้ำเสียงอย่างเปิดเผย   “บอกมาซีว่าที่คุณเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ คุณไม่ได้ต้องการจะมาหากำไลข้างนี้”

หญิงสาวค่อยๆ ลุกขึ้นยืน   สีที่ดวงหน้าของหล่อนดูผิดไป และเสียงของหล่อนก็เยียบเย็นยิ่งนักเมื่อหล่อนพูดว่า   “ดิฉันไม่ทราบว่าคุณไปรู้เรื่องนี้มาจากไหน   แต่ดิฉันก็ยอมรับว่าเป็นความจริงที่ดิฉันมาอยู่ที่นี่เพื่อจะค้นหากำไล   แต่ทว่ามันเป็นกำไลอีกข้างหนึ่ง ไม่ใช่ข้างนี้   เข้าใจไหมคะ คุณเนติ”

“กำไลอีกข้างหนึ่ง”   เนติทวนคำ   “หมายความว่ายังไงกันนี่   กำไลอย่างนี้มันมีกี่ข้างกันแน่”

“มันก็มีอยู่สองข้างด้วยกันเท่านี้แหละครับ”   นายเชี่ยว พิทักษ์ราชกำหนด เป็นผู้ตอบคำถามประโยคนี้ เมื่อเขาได้รับโทรเลขด่วนเรียกตัวมาในวันรุ่งขึ้น   ทั้งสามคนนั่งรวมกันอยู่ที่ห้องกลาง   ลมทะเลโกรกเข้ามาเรื่อยเฉื่อยอยู่ไม่ขาดระยะ แต่จะมีใครสนใจกับความงามธรรมชาติก็หาไม่   ความสนใจของเขารวมกันอยู่ที่วัตถุบนโต๊ะ คือกำไลรูปนาคขดสองข้างที่วางเคียงกันอยู่   มันเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วแม้กระทั่งตัวอักษร น ที่สลักอยู่ด้านในของก้านกำไล

“มีอยู่สองข้างด้วยกันเท่านี้”   เนติทวนคำอย่างไม่เข้าใจ   “เอ๊ะ ไหนคุณเชี่ยวว่ามีกำไลซ่อนอยู่ในบ้านนี้อีกข้างหนึ่งไงล่ะ”

“ช้าก่อนครับ คุณเนติ”   ทนายความพูดอย่างใจเย็น   “ถ้าคุณลองคิดทบทวนดูให้ดีละก็คุณจะจำได้ว่าผมไม่เคยพูดเลยว่ามีกำไลซ่อนอยู่ในบ้านหลังนี้   ในพินัยกรรมก็ไม่ได้บ่งไว้   พินัยกรรมบอกไว้แต่เพียงว่า คุณจะหากำไลอีกข้างหนึ่งพบที่บ้านหลังนี้”

“กำไลข้างนั้น คือข้างที่อยู่กับดิฉันใช่ไหมคะ”   มณทิราถามขึ้น   และทนายความก็ก้มศีรษะรับ   ให้คำอธิบายว่า

“มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นนมนานมาแล้วครับ   คุณพ่อของคุณเนติ กับคุณแม่ของคุณมณทิรา ได้มาพบกันที่บ้านนี้โดยต่างก็เป็นแขกที่ได้รับเชิญมาพัก   ทั้งสองต่างมาชอบพอถูกอกถูกใจกันขึ้นที่นี่   แต่ทว่าไม่มีทางที่จะร่วมชีวิตกันได้เพราะคุณพ่อของคุณเนติก็แต่งงานไปจนกระทั่งมีคุณเนติแล้ว   และคุณแม่ของคุณมณทิราก็กำลังหมั้นอยู่กับคนอื่น”

“คือคุณพ่อของดิฉัน”   มณทิรากล่าวด้วยเสียงเศร้า ๆ

“ถูกแล้วครับ” ทนายความรับ   “ทั้งสองจึงทำความตกลงกันว่าถ้าหากว่าคุณแม่ของคุณมณทิรามีธิดา ก็จะพยายามจัดการให้ .... เอ้อ... ให้ได้แต่งงานกับคุณเนติ”   ถึงตอนนี้ทนายอมยิ้มเมื่อเห็นชายหนุ่มขยับตัวหยุกหยิก และหญิงสาวเบือนหน้าไปทางอื่น   ปากแก้มคอคางแดงเปล่งปลั่งขึ้นมาทันที   เขากระแอมแล้วพูดต่อไปว่า   “คุณผู้ชายจึงมอบกำไลข้างหนึ่งให้แก่คนรักของท่านไว้แล้วต่างคนต่างก็จากกันไปทำหน้าที่ของตน”

เงียบกันไปสักครู่หนึ่งแล้วหญิงสาวจึงเอ่ยขึ้นว่า   “โธ่ น่าสงสารคุณแม่   มิน่าเล่า ดิฉันจึงรู้สึกว่าท่านเศร้าๆ อยู่เสมอ”

“ถ้าเช่นนั้นก็แปลว่าการที่คุณมณทิราและผมเกิดมาเช่าบ้านในเวลาตรงกันอย่างนี้นี่ ก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญน่ะซีครับ”   เนติพูดขึ้น   “ที่แท้ก็คงเป็นเพราะคุณเชี่ยวนี่เองที่จัดการหมดทั้งเพ”

“ผมเพียงแต่ทำหน้าที่ของผมตามคำสั่งของคุณพ่อของคุณเท่านั้นเอง”   ทนายความหัวเราะในคอ แล้วก็ลุกขึ้นยืน   “แต่ทั้งนี้ด้วยความเห็นชอบของคุณแม่ของคุณมณทิราด้วย   ที่ว่าถึงเวลาแล้วที่เราควรจะทำตามความประสงค์ของท่านผู้ล่วงลับไปแล้วเสียที   ต่อไปก็เป็นเรื่องที่คุณทั้งสองจะตกลงกันเอง หมดหน้าที่ของทนายเพียงแค่นี้   ผมเห็นจะต้องขอลาไปพักผ่อนเสียสักหน่อยก่อน   ไม่ไหวครับ   ถูกรถเหวี่ยงไปมาตั้ง 4-5 ชั่วโมงนี่ เล่นเอาแย่   สังขารของผมมันปาเข้าไปตั้งห้าสิบแล้ว ไม่ใช่หนุ่มๆ”   พูดจบแล้วเขาก็ก้มศีรษะ แล้วเดินหลีกไปยังห้องพักเล็กๆ ที่มีสำรองไว้เผื่อแขก

เกือบจะทันทีที่ทนายลุกไป หญิงสาวก็ลุกขึ้นโดยเร็วและเดินออกไปที่ลานหิน   เนติลังเลใจอยู่ครู่เดียวก็ลุกขึ้น   หยิบกำไลติดมือเดินตามไปหยุดอยู่เบื้องหลังหล่อน

“คุณมณทิราครับ”   เขาเรียกหล่อนเบาๆ   มณทิรายืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเหลียวมาทางเขาช้าๆ   แม้ว่าหล่อนจะพยายามระวังท่าทางให้สงบเคร่งขรึม แต่ดวงตาและสีหน้าของหล่อนก็ช่างเก็บกิริยาท่าทางยิ่งนัก

“ดิฉันไม่สบายใจเลยเมื่อได้รู้เรื่องนี้”   หล่อนก้มศีรษะต่ำลง   “ดิฉันสงสารคุณพ่อคุณแม่ของเรา   โถ   ท่านคงจะไม่มีความสุขด้วยกันทั้งสี่คนทีเดียวนะคะ”

“เป็นเครื่องเตือนใจให้รู้ว่าเมื่อหัวใจและร่างกายต้องแยกกันอยู่คนละทาง   มันก็ก่อให้เกิดความทุกข์ไปจนกว่าชีวิตจะสิ้นอย่างนี้แหละ   มณทิรา   เดี่ยวนี้คุณก็ทราบถึงเจตนาของผู้ใหญ่ทั้งสองของเราดีอยู่แล้ว   ผมอยากทราบว่าคุณจะตัดสินใจอย่างไร”

หญิงสาวก้มหน้านิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองดูเขา บอกว่า   “ดิฉันเป็นผู้หญิง   เป็นหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติตามความเห็นชอบของผู้ใหญ่   เรื่องนี้จึงต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคุณแต่ผู้เดียว   โปรดอย่างถือเอาความประสงค์ของผู้ใหญ่มาเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าหากว่าคุณมีคนอื่นที่คุณเลือกไว้เพื่อเป็นคู่ชีวิตของคุณอยู่แล้ว”

ขณะที่พูด   แสงแดดอ่อนๆ ในยามเย็นทอทาบลงบนผิวหน้าของหล่อนเปล่งปลั่งเป็นสีมะยงสุกไปทั่วทั้งดวงหน้า   ดวงตาของหล่อนทอประกายวาววับสะกดให้เนติต้องมองดูอย่างตะลึงลาน

“ผู้หญิงอื่น”   เขาพึมพำคล้ายละเมอ   “เมื่อผมได้มาอยู่ใกล้ชิดคุณเช่นนี้   ได้เห็นคุณในเวลาอาหารทุกเช้าและทุกเย็น   มีคุณคอยพูดคุย เล่นหัวอยู่ด้วยตลอดเวลา   อย่างนี้แล้วคุณยังคิดว่าผมจะยังมีผู้หญิงอื่นเหลืออยู่ในใจของผมอีกหรือ   มณทิรา   ผมแน่ใจทีเดียวว่าผมต้องการจะได้อยู่ใกล้ชิดกับคุณเช่นนี้ตลอดไป”

เขาจับมือหล่อนขึ้นมา   สวมกำไลคู่นั้นลงในมือของหล่อนทั้งสองข้าง   ยังคงยึดมือของหล่อนไว้เมื่อจ้องมองลงไปในดวงตาที่งามซึ้งคู่นั้นแล้ว พูดด้วยเสียงหัวเราะ   “ยิ่งกว่านั้น   ผมถือว่าเป็นหน้าที่ของผมที่จะต้องทำตามความประสงค์ของคุณพ่ออย่างเด็ดขาดไม่มีข้อแม้เลยทีเดียว”


เคยลงพิมพ์ในนิตยสารศรีสัปดาห์ เล่มที่ 485 ปีพ.ศ.2503