สุภาว์ เทวกุลฯ ราชินีแห่งเรื่องสั้น

        จันทร์ 23 ธันวาคม พ.ศ.2567
ระหว่างกากับหงส์

สุภาว์ เทวกุลฯ

supa : 0000-00-00

reader:839
reply:0

คืนนั้น   ในงานราตรีสโมสรอันหรูหราซึ่งใหญ่โตโอฬาริกที่สุดในรอบปีนี้   ซึ่งสมาคมหนังสือพิมพ์แห่งหนึ่งจัดให้มีขึ้น   ข้าพเจ้าได้พบหล่อนทั้งสองคน...  เนื้อทิพย์ และนิ่มนวล!

ถ้าจะนับย้อนหลังขึ้นไปยังครั้งสุดท้ายที่ข้าพเจ้าได้พบหล่อนก็เห็นจะร่วมสี่ปีเข้าไปได้แล้ว ขณะนั้นเนื้อทิพย์ยังคงอยู่เรียงเคียงคู่กับธานินทร์   และนิ่มนวลก็ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาของภพ   แต่มาในคืนนั้น คืนที่ข้าพเจ้ากล่าวถึงอยู่นี้   หล่อนเป็นหม้ายแล้วทั้งคู่!   เนื้อทิพย์สามปี  และนิ่มนวลถึงแม้จะทีหลัง แต่ก็ในเวลาไล่เลี่ยกันนั่นเอง  เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์พอใช้สำหรับเพื่อนที่รักกันยิ่งอย่างธานินทร์และภพ  จะมาเสียชีวิตลงในเวลากระชั้นชิดกันเช่นนั้น

เคราะห์กรรมที่ภรรยาหม้ายของเขาทั้งสองได้รับก็น่าจะหนักพอกัน   แม้กระนั้นหล่อนก็ยังหันหลังให้กันอยู่  ก็เหตุใดจะไม่เป็นเช่นนั้นเล่า   ในเมื่อเนื้อทิพย์และนิ่มนวลเป็นผู้หญิงคนละแบบ  เกิดจากสกุลคนละชั้น  การศึกษาอบรมที่ได้รับมาก็ต่างกัน   แต่เหตุผลสำคัญที่ทำให้หญิงทั้งสองเป็นไม้เบื่อไม้เบาซึ่งกันและกัน มิได้อยู่ที่ความแตกต่างเหล่านั้น   มันอยู่ที่ว่า  ภพมิได้รักนิ่มนวล   เขารักเนื้อทิพย์ต่างหาก

ใครๆ ก็รู้กันดีทั้งนั้น เรื่องที่ ภพ รักเนื้อทิพย์   คลั่งไคล้หลงใหลหล่อนจนเจียนจะเป็นบ้า แต่ใครเล่าจะตำหนิเขาได้ในข้อนั้น  ในเมื่อผู้หญิงอย่างเนื้อทิพย์   ใครได้เห็นได้อยู่ใกล้ชิดสักสองสามครั้งก็เกิดนึกอยากจะขอหล่อนแต่งงานด้วยทั้งนั้น  ยิ้มหวานๆ เย็นๆ แต่บาดจิตบาดใจ และคำพูดที่รื่นเริงคมคาย ฉลาดเฉลียว จูงใจให้อยากอยู่ใกล้หล่อนไปตลอดชาติ   อ๋อ  ไม่ปฏิเสธหรอก   ข้าพเจ้าก็เป็นคนหนึ่งซึ่งเคยมีความคิดความรู้สึกอย่างที่ว่านี้เหมือนกัน   ส่วนนิ่มนวลน่ะหรือ  ไม่มีผู้ชายดีๆ คนใดอยากจะสูสีใกล้ชิดกับหล่อนอย่างโจ่งแจ้งนักหรอก   แต่ถ้าลับหลังคนละก็ว่าไม่ได้   เพราะจะว่าไปหล่อนก็มีใจนักเลงกล้าได้กล้าเสียพอตัวอยู่   ถ้าหล่อนอยากได้สิ่งใดแล้ว  หล่อนจะยอมลงทุนจนหมดเนื้อหมดตัวอย่างไม่คิดเสียดาย เลยทีเดียว   อย่างเมื่อคราวที่หล่อนอยากได้ภพเป็นต้น   หล่อนต่างกันไกลกับเนื้อทิพย์ราวฟ้ากับดิน บางคนก็เปรียบให้เหมือนหงส์กับกา  บางคนเรียกหล่อนว่า  “แม่ค้า”

ก็ดูซี ความแตกต่างของหญิงทั้งสองเห็นได้ง่ายๆ แม้แต่ในคืนวันงานที่ข้าพเจ้า กล่าวถึงนี้ ข้าพเจ้าได้พบกับนิ่มนวลก่อน หล่อนเดินควงคู่มากับผู้ชายคนหนึ่งซึ่งรูปร่างหน้าตาและลักษณะท่าทางบอกยี่ห้อว่าน่าจะเป็นระดับ   “อาเสี่ย”   ผิวค่อนข้างขาว ตาชั้นเดียว หัวหลิมค่อนข้างเถิก และรูปร่างสมบูรณ์ยิ่งด้วยก้อนเนื้อ   และกระเป๋าก็คงจะหนักมิใช่เล่น   เพราะใครต่อใครทักกันเกรียวกราว   พี่แกเองก็เสียงดังใช่เล่นเมื่อไหร่

นิ่มนวลควงแขนมากับนายคนที่ว่านี้แหละ   หน้าบานแปดกลีบหัวเราะต่อกระซิกระรื่นชื่นบานมาทีเดียว   แต่งเนื้อแต่งตัวฟู่แฟ่เต็มที่   ผิวคล้ำๆ และรูปร่างอวบอัดนั้น ปกคลุมด้วยเสื้อผ้า สีเกสรชมพู่แปร๊ดทั้งชุด   ตัวเสื้อรัดปึ๋งไม่มีคอไม่มีแขน  มีแต่แถบเพชรเป็นสายโยงไหล่อยู่ข้างหนึ่ง   กระโปรงบานสล้างปัดไป ข้างโน้นที ข้างนี้ที ตามจังหวะ   สะบัดสะโพกในเวลาที่หล่อนเดิน   ต่างหูพวงเต่ารั้งฝังเพชรเป็นสายห้อยระลงมาเกือบถึงบ่ากวัดแกว่งไปมาอย่างน่ารำคาญแทน  ไม่รู้ว่าหล่อนจะขนบรรทุกมันเข้าไว้ทำไม   เจ้าเพชรพลอยเก๊ๆ พวกนั้น เท่านั้นยังไม่พอ   ยังบนเรือนผมที่เกล้าไว้เป็นมวยสูงเกือบจะถึง กลางกระหม่อม นั้นอีกเล่า หล่อนขนเอาตาข่ายฝังเพชรแพรวพราวอันเบ้อเริ่มขึ้นไปครอบไว้อีกทั้งอัน   พอมองมาเห็นข้าพเจ้า หล่อนก็ทำตาโตปากห่ออย่างน่าเอ็นดูปราดเข้ามาหา   ใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางคีบแขนเสื้อข้าพเจ้าสั่นไปมาอย่างดีอกดีใจ   ส่งเสียงแจ๋วๆ   ออกมาว่า

“ต๊าย ตาย  คุณกลม  นี่กลับจากนอกเมื่อไหร่กันคะนี่   แหม  ใจจืดจริงไม่เห็นแวะไปเยี่ยมเยียนบ้างเลย   ควงแหม่มกลับมาด้วยหรือเปล่า”

เสียงของหล่อนไม่ใช่เบา   เรียกเอาสายตาไม่น้อยกว่าสิบคู่แถวๆ  นั้น  หันมาจับจ้อง   เล่นเอาข้าพเจ้าออกอาย

“จุ๊ จุ๊ ค่อยๆ ก็ได้น่า”   ข้าพเจ้าบอกกับหล่อนพลางบุ้ยปากไปยังคู่ควงของหล่อน  ซึ่งกำลังหยุดยืนทักทายกับใครที่โต๊ะห่างออกไปหน่อยหนึ่งนั้น   “ทักกันกรีดกราดยังงี้ ไม่กลัวองครักษ์เขาหึงเอาหรือ   นั่นแฟนใหม่ใช่ไหม  กำลังจะเข้ารับหน้าที่แทนภพหรือว่าแทนเข้าให้แล้ว”

ได้ผล  นิ่มนวลซึ่งไม่เคยนิ่มนวลเหมือนชื่อ  ปล่อยมือจากแขนเสื้อข้าพเจ้าทันที คิ้วที่เขียนไว้เสียดำเป็นรูปเดือนครึ่งดวงของหล่อนขมวดเข้าหากัน  ตาเขียวปัด เมื่อหล่อนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดว่า

“หยาบคาย  คุณนะคุณ  พวกคุณน่ะเหมือนกันหมด   ไม่ว่าคนไหนก็คนนั้น ฮึ อย่าให้พูดดีกว่า นี่ถ้าไม่นึกถึงคนตายละก็ จะเล่นงานเสียให้เจ็บแสบไม่ไว้หน้าทีเดียว”

แล้วหล่อนก็สะบัดพรืด เดินสะโพกปัดไปหาองครักษ์ของหล่อนทันที   ข้าพเจ้าหัวเราะกลับเพื่อนที่ไปในงานด้วยกัน  ดี..  ต้องเอาให้เข็ดเสียบ้าง อยากมาทักทายกรีดกราด ให้เป็นเป้าสายตาของคนอื่นทำไมเล่า

เราเดินหาที่นั่งซึ่งอยู่รอบใน   ใกล้กับวงดนตรีและชิดฟลอร์   พอนั่งลงเรียบร้อย ข้าพเจ้าก็มองไปพบเนื้อทิพย์   หล่อนนั่งอยู่ที่โต๊ะถัดไปหันข้างมาให้ข้าพเจ้า  คืนนี้เนื้อทิพย์แต่งกายด้วยแพรสีขาวทั้งชุด   รัดรูปทรงแนบเนียนดูระหง อ้อนแอ้นไปทั้งเนื้อทั้งตัว   ท่อนบนมีแพรบางๆ คลุมขึ้นมาถึงคอ   ผมเกล้ามวยเรียบๆ ตกแต่งด้วยมุกสายเดี่ยวที่พันรอบ แล้วเสียบแคทลียาขาวคู่หนึ่ง  หล่อนนั่งตัวตรงหลังตรง ท่าที่เอียงคอน้อยๆ ฟังเพื่อนพูดอยู่นั้นมองดูสงบและงดงาม พอดีกับที่เพลงขึ้น ใครคนหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ   ลุกขึ้นขอให้หล่อนออกไปเต้นรำด้วย ข้าพเจ้ามองตามชายแพรบางๆ ที่ ปลิวไหวๆ   หายเข้าไปในหมู่คู่เต้นรำ ที่ออกไปแออัดกันอยู่บนฟลอร์ แล้วถอนใจ   ได้ยินเสียงเพื่อนบอกว่า

“หมอคนที่พาเนื้อทิพย์ออกไปเต้นรำนั่นไงที่เพิ่งกลับมาจากฝรั่งเศส   เขาว่าหมอหลงเนื้อทิพย์จนแทบจะคลั่งตาย  พากเพียรขอให้หล่อนแต่งงานด้วยยังไม่สำเร็จ   ลื้อรู้ไหมว่าเนื้อทิพย์ยังไม่ออกทุกข์   น่ากลัวหล่อนจะยังไม่ลืมธานินทร์”

เมื่อได้มาพบเนื้อทิพย์กับนิ่มนวล  ข้าพเจ้าก็อดที่จะคิดเรื่อยเปื่อยไปถึงธานินทร์และภพมิได้

เราสามคน ธานินทร์ ภพ และข้าพเจ้า   เป็นเพื่อนเกลอที่ออกจะสนิทสนมชิดชอบกันเป็นพิเศษ เพราะเราเรียนและเล่นหัวคลุกคลีกันมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กประถม  จนกระทั่งเข้ามหาวิทยาลัยด้วยกัน  แต่แน่ละ  ธานินทร์และภพย่อมจะมีความสนิทสัมพันธ์ซึ่งกันและกันมากยิ่งกว่าที่ข้าพเจ้าจะมีต่อเขาทั้งสอง  ทั้งนี้ก็เพราะว่าข้าพเจ้าเป็นนักเรียนไปมา   ผิดกับเขาซึ่งเป็นนักเรียนประจำเหมือนกัน  ร่วมกิน  ร่วมนอน  ร่วมเที่ยวร่วมเล่น  และกอดคอปรับทุกข์ ได้สุขร่วมกันเสมอมา   ธานินทร์มีผิวขาวสะอาด  รูปร่างระหงโปร่งบางมาตั้งแต่เด็กๆ   ภพล่ำสันแข็งแรงกว่า   จึงมักจะได้ตำแหน่งพระเอก   แต่ไหนแต่ไรมา  เราสามคนด้วยกัน  ถ้าถูกเด็กอื่นรังแก  ภพมักจะออกรับหน้าเสมอตั้งแต่เด็กมาจนโต

เมื่อเข้ามหาวิทยาลัย   ธานินทร์เลือกเรียนสถาปัตย์ฯ   ภพเรียนวิศวฯ   และข้าพเจ้ารัฐศาสตร์   ผู้ใหญ่ของธานินทร์เป็นเศรษฐี   แต่ของภพเพียงแต่เป็นผู้มีอันจะกินเท่านั้น  แม้กระนั้นทั้งสองฝ่ายต่างก็มีความมุ่งหวังอย่างเดียวกันในการที่จะปลูกฝังให้ลูกได้เป็นหลักเป็นฐานให้มั่นคง   เมื่อเล่าเรียนสำเร็จออกมาทำงานการแล้วทั้งคู่ ทั้งสองคนคือธานินทร์และภพต่างก็สมัครอยู่ทำงานในกรุงเทพฯ มากกว่าที่จะกลับไปสู่ภูมิลำเนาเดิมของตน ซึ่งท่านผู้ใหญ่ก็ตามใจ   ดังนั้นด้วยเงินที่ทางบ้านส่งมาให้ ก่อนที่จะสำเร็จออกจากมหาวิทยาลัย   ทั้งคู่ต่างก็ได้มีชื่อเป็นเจ้าของที่ดินคนละแปลง ซึ่งอยู่ติดกัน   ผู้ใหญ่ของธานินทร์   ซึ่งมีลูกชายเพียงคนเดียว ดูออกจะตื่นเต้นมาก  เมื่อลูกชายใกล้จะสำเร็จได้ปริญญา   ถึงกับเตรียมสร้างตึกหลังใหญ่ไว้รับขวัญ   ธานินทร์เคยพาเพื่อนๆ  ไปดูตึกของเขาขณะที่ยังทำการก่อสร้างอยู่   พลางหัวเราะพูดว่า

“อั๊วจะอยู่เข้าไปไงไหววะ   ตึกหลังออกเบ้อเริ่มเบ้อร่ายังงี้ ผีได้หลอกตายโหง”

“เฮ่ย จะยากเย็นอะไร”  ภพว่า   “ลื้อก็มาอยู่กับอั๊วเสียก็แล้วกัน เอาตึกให้ฝรั่งเช่าหวดค่าเช่าเสียทุกเดือนสบายแฮไปเลย”

ภพก็เริ่มสร้างบ้านแล้วเหมือนกัน   เป็นเรือนไม้เล็กๆ ชั้นเดียวกะจ้อยร่อยน่าเอ็นดูซึ่งธานินทร์ช่วยออกแบบให้   บ้านของภพ เมื่อเปรียบกับบ้านของธานินทร์แล้วดูราวกับรังนกกระจอกซึ่งห้อยอยู่ที่ชายคาบ้าน  ทั้งภพและธานินทร์ต่างก็เป็นดาราดวงเด่นของมหาวิทยาลัย   ธานินทร์ในฐานะหนุ่มรูปทอง   ส่วนภพนั้นเป็นดาวกีฬา และในปีสุดท้ายที่จะสำเร็จนั้นเอง  เนื้อทิพย์ก็ก้าวจากโรงเรียนเตรียมฯ เข้ามาสู่รั้วมหาวิทยาลัย และสู่ชีวิตของธานินทร์และภพในเวลาเดียวกันนั้นด้วย

มองดูปราดเดียว ข้าพเจ้าก็รู้ว่าเนื้อทิพย์สนใจในภพมากกว่าธานินทร์   มันมิใช่เป็นของที่น่าแปลกอะไรเลย  เพราะภพเป็นนักกีฬาชื่อเสียงโด่งดังหอมฟุ้ง   และผู้หญิงส่วนมากมักจะนิยมเลื่อมใสผู้ชายเช่นนี้   แต่การเอาอกเอาใจนั้น เนื้อทิพย์กลับได้จากธานินทร์ หาใช่ภพไม่ จะว่าภพไม่ชอบหล่อนก็ไม่ถูก  แม้ว่าเขาจะไม่เคยแสดงความสนใจหรือเอาใจใส่กับหล่อนอย่างออกหน้าผิดจากผู้หญิงอื่นก็ตาม   แต่ในยามที่ภพเผลอตัว  ข้าพเจ้าเคยจับได้หลายต่อหลายครั้งว่าดวงตาของภพมักจะจับอยู่เฉพาะร่างของเนื้อทิพย์   ไม่ว่าหล่อนจะเดิน จะนั่ง จะกิน จะเล่น หรือพูดคุยหัวเราะต่อกระซิกกับเพื่อนฝูง   แต่เมื่อน้ำทิพย์เข้ามาอยู่ใกล้  เท่าที่ภพทำก็คือ พูดคุยกับหล่อนอย่างเสียไม่ได้ และทำราวกับหล่อนเป็นเด็กตัวกะเปี๊ยกเท่านั้น   เพื่อนๆ พากันวิจารณ์ว่า

“เจ้าภพมันกลัวใครเขาจะว่าเป็นซีเนียร์ แล้วไปเกาะแกะเฟรชชี่เสียชื่อหมด”

แต่ธานินทร์ไม่เกรงกลัวในข้อนี้ เขาแสดงออกมาอย่างโจ่งแจ้งว่าเขาติดเนื้อพึงใจในเนื้อทิพย์ และคอยติดตามพะเน้าพะนอเอาอกเอาใจหล่อนโดยเปิดเผย   ไม่หวั่นเกรงต่อสายตา หรือคำวิจารณ์ของใครทั้งสิ้น

ในที่สุดธานินทร์  ภพและข้าพเจ้า ก็สำเร็จออกมาพร้อมๆ กัน   ข้าพเจ้าเข้ารับราชการในกระทรวงหนึ่ง   ส่วนธานินทร์และภพเข้าทำงานในบริษัทของชาวต่างประเทศแห่งหนึ่งด้วยกัน

ตอนนี้การติดต่อของเราค่อยห่างเหินไป  ข้าพเจ้าจึงมิค่อยทราบละเอียดนักว่าเรื่องราวระหว่างหญิงชายทั้งสามคือ  เนื้อทิพย์  ธานินทร์ และภพ   ไปยังไงมายังไงกัน   รู้แต่ว่าในตอนเย็นเมื่อเลิกงานแล้ว   ธานินทร์ ต้องขับรถไปที่มหาวิทยาลัยทุกวัน  แล้วต่อมา   ข่าวแต่งงานระหว่างเขากับเนื้อทิพย์ก็ถูกประกาศออกมาอย่างครึกโครม

และในตอนนี้เอง  ที่เพื่อนๆ ชักจะเริ่มสงสัยว่าภพคงรู้สึกยังไงๆ กับเนื้อทิพย์อยู่บ้างไม่น้อย   เพราะเขาเริ่มดื่มสุรา   ในตอนเย็นเลิกงานแล้ว ธานินทร์จะรีบขับรถกลับบ้านแต่วัน เพราะกลัวแม่บ้านสาวสวยจะคอยอยู่ แต่ภพกลับเตร็ดเตร่ไปไหนต่อไหน   ขณะที่ตึกใหญ่ของธานินทร์เปิดไฟสว่างไสวและมีเสียงเพลงก้องกังวานออกมาอย่างสำเริงสำราญนั้น  บ้านหลังน้อยของภพจะมืดมิดเงียบเชียบคอยการกลับของผู้เป็นเจ้าของอยู่อย่างละห้อยสร้อยเศร้าจนกว่าจะสองยามล่วงแล้วนั่นแหละ  เจ้าของของมันจึงจะโซซัดโซเซกลับมา   ข้าพเจ้าเคยถามภพว่า มีเรื่องอะไรอยู่ในใจหรือจึงได้ดื่มเหล้าราวกับดื่มน้ำเช่นนี้   เหตุใดจึงไม่กลับไปบ้านเสียแต่วี่แต่วัน   เขาก็หัวเราะเหมือนคำรามอยู่ในลำคอ   บอกว่า

“บ้านอั๊วมันร้อนเหมือนอยู่ในนรกว่ะ   อยู่ไม่ได้   กลับไปถึงก็มุดหัวนอนหลับเลยทีเดียวรู้แล้วรู้รอดไป”

ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าไปพบเขาเมาจนเดินเกือบไม่ไหวอยู่ที่บาร์แห่งหนึ่ง จึงพาไปส่งที่บ้าน  เมื่อไปถึงบ้านของภพนั้น   มองไปทางตึกของธานินทร์ก็เห็นว่าไฟข้างบนยังเปิดอยู่ แต่ชั่วคู่เดียวต่อมาไฟก็ดับวูบลง   เสียงเท้าของภพปะทะกับเก้าอี้หน้าเรือนปังใหญ่   ไม่รู้ว่าเขาจงใจเตะมันหรือเดินไปสะดุดมันเข้า

ภพเมาอยู่อีกไม่นานนัก เขาก็ได้นิ่มนวลมาอยู่ที่บ้านด้วย

นิ่มนวลมิใช่คนแปลกหน้าสำหรับพวกเราเลย  หล่อนไม่เคยเป็นเพื่อนฝูงของเรามาก่อนแต่ก็เป็นคนที่เรารู้จักกันดี  จากหน้ากระดาษหนังสือพิมพ์บ้าง และจากวงงานที่หล่อนเคยวิ่งเต้น ติดต่อเกี่ยวกับการค้าขายของหล่อนบ้าง   หล่อนเป็นคนปากโป้งโฉงเฉงไม่สู้จะประหยัดถ้อยคำนัก และชอบทำตีสนิทกับใครต่อใครไม่เลือกหน้า เพียงแต่มาร่วมวงศ์ไพบูลย์กับภพได้ไม่นานเท่าไรก็ดูเหมือนกับว่าหล่อนจะคุ้นเคย กับเพื่อนของสามีไปเสียทุกคน   ก่อนที่จะมาอยู่กับภพ หล่อนก็เที่ยวควงกับใครมาเสียนักแล้ว  ใครๆ พากันคิดว่าหล่อนคงมุ่งหวังที่จะจับอาเสี่ยกระเป๋าหนักๆ หรือนายพลหนุ่มๆ สักคนหนึ่งให้ได้   ไม่มีใครคาดคิดแม้แต่น้อยว่าหล่อนจะพอใจเพียงแต่นายภพซึ่งไม่มีแม้แต่รถยนต์เก่าๆ จะขี่สักคันหนึ่งคนนี้

แม้เมื่อมาอยู่กับภพแล้ว นิ่มนวลก็ยังไม่ยอมวางมือจากธุรกิจของหล่อน  แต่แรกๆ หล่อนก็ขออาศัยเกาะหลังจักรยานยนต์ของสามีไปจากบ้าน  แต่แล้วหล่อนก็ร้องอู้ว่ากลัวตายเพราะภพช่างขับ เร็วราวกับจะท้ามฤตยูชวนหวาดเสียวยิ่งนัก บ้านของภพนั้นอยู่ห่างจากกลางใจเมืองมิใช่น้อย แต่นิ่มนวลก็แก้ปัญหาตก หล่อนทำอย่างไรน่ะหรือ ง่ายนิดเดียวแหละคือขออาศัยติดรถธานินทร์เข้ามาด้วยในเวลาที่เขาจะเข้ามาทำงาน และในตอนเย็น ถ้าธุรกิจของหล่อนแล้วเสร็จแต่วัน หล่อนก็มักจะไปดักคอยกลับพร้อมกับเขาที่บริษัทเป็นนิจศีลมา หล่อนทำราวกับว่าหล่อนเป็นภรรยาของเขาเสียเองอย่างงั้นแหละ  ไม่มีใครรู้ว่าภพรู้สึกอย่างไรในเรื่องนี้ แต่สำหรับเนื้อทิพย์นั้น แน่ล่ะ  หล่อนไม่ชอบนิ่มนวลจนเห็นได้ชัด

ครั้งหนึ่งเมื่ออยู่ต่อหน้าข้าพเจ้า  ธานินทร์  ได้เรียกหล่อนอย่างสัพยอกว่า

“เนื้อนวลจ๋า”

เนื้อทิพย์หน้าตึงขึ้นมาในทันทีทันใด   “อย่าเรียกดิฉันอย่างนั้นต่อไปอีกเป็นอันขาด” หล่อนพูดเสียงห้วนอย่างไม่พยายามซ่อนความไม่พอใจไว้   “ดิฉันไม่ชอบ”

ต่อมาข้าพเจ้ามีโอกาสได้ทุนจากรัฐบาลให้ไปฝึกงานและศึกษาต่อยังต่างประเทศ  การติดต่ออย่างใกล้ชิดกับสองครอบครัวนี้จึงเป็นอันสะดุดยุติลง   แต่เมื่อวันที่ข้าพเจ้าจากไป และพวกพ้องเพื่อนฝูงพากันไปส่งที่ท่าอากาศยานนั้น  ข้าพเจ้ารู้สึกสังหรณ์ใจอย่างไรพิกลว่าเรื่องราวของครอบครัวทั้งสองซึ่งเป็นบ้านใกล้เรือนเคียงกันนี้ท่าจะไม่สงบราบเรียบต่อไปเป็นแน่   ดูมีอะไรบางสิ่งบางอย่างที่เร้นลับดูไม่ออกแฝงอยู่ในอากัปกิริยาของแต่ละคน   ข้าพเจ้าเพียงแต่คาดคิดว่ามันอาจจะเกิดเรื่องยุ่งๆ ขึ้น   แต่หาได้นึกไม่ว่า ครั้งนั้นเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้เห็นหน้าสหายสนิททั้งสอง ซึ่งได้กอดคอกันร่วมเรียนมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย   คิดขึ้นมาครั้งใดแล้วก็ยังอดเศร้าใจอย่างสุดซึ้งมิได้

เพื่อนๆ ต่างผลัดกันส่งจดหมายถึงข้าพเจ้าถ้วนทั่วทุกตัวคน   แต่จะหาใครที่เขียนเปะปะเท่าภพเห็นจะไม่มี

แต่ละฉบับ สั้นและถ้อยคำดูขาดๆ วิ่นๆ อ่านไม่ค่อยรู้เรื่องคล้ายกับว่าคนเขียนเมาไม่สร่าง หรือมิเช่นนั้นก็มีอารมณ์พุ่งพล่านเต็มที่   ข้าพเจ้ายังจำได้ว่าในฉบับหนึ่งเขาเขียนไปว่า  ไอ้คนที่ความจริงรักเขาอยู่แน่นหัวอก แล้วยังแกล้งทำเป็นไม่รักนั่นน่ะ  บ้าฉิบหาย   กล่าวขึ้นมาลอยๆ เช่นนี้ โดยไม่ระบุบ่งออกมาว่าหมายถึงใคร   อีกฉบับหนึ่งก็อย่างนี้แหละ   ตอนจะลงท้าย นายภพมิได้ลงอย่างเขาอื่น   แกเล่นเขียนว่า นี่นายวิกรม  ไอ้การที่คนเราจะรักเมียคนอื่นเขานี่น่ะมันผิดร้ายมากนักเทียวเรอะ ทำเอา ข้าพเจ้ากลุ้มใจไปหลายวัน   รีบเขียนจดหมายมาถามโดยด่วนว่าใครไปรักเอาเมียใครเขาเข้า   หรือว่าตัวเขาเอง  แต่นายภพมิได้ตอบจดหมายเสียเฉยๆ   เป็นนานจึงได้มีจดหมายไปอีกฉบับหนึ่ง   แต่มิได้เอ่ยข้อความใดที่เกี่ยวข้องกับฉบับก่อนเลยแม้แต่น้อย นอกจากจะลงท้ายเป็นพิเศษว่า อั๊วกำลังจะเป็นบ้าอยู่ แล้วโว้ยวิกรม

พร้อมๆ  กับจดหมายฉบับนั้นของภพ   เพื่อนอีกคนหนึ่ง ก็เขียนเล่ามา ว่าอาการของธานินทร์กับนิ่มนวลดูจะหนักข้อขึ้น

...มันพากันไปถึงบางแสนแน่ะวิกรม   เขาเขียนมาว่าอย่างนี้   ใครๆ เขาเห็นกันทั้งนั้นว่ามันขับรถมาส่งเมียเจ้าภพ   เจ้าธานินทร์ไม่พูดอะไรสักคำเมื่อถูกเพื่อนด่า  แต่นิ่มนวลแก้ว่าหล่อนมีธุระจะต้องไปติดต่อกับคนใหญ่คนโตคนหนึ่งซึ่งขณะนั้นไปพักผ่อนอยู่ที่บางแสน ธานินทร์กลัวว่าหล่อนจะไปเสียท่าเขาเลยไปเป็นเพื่อน เพราะเจ้าภพเมาแอ๋ทั้งวันไม่เคยเอาใจใส่กับเมียเลย พุทโธ!  ก็อั๊วยังพบเจ้าภพนี่นา  ไม่เห็นมันเมามายอะไรสักหน่อย   นายนั่นพูดไปยังงั้นแหละ  ผ่าว่ะ  อยากเตะเจ้าธานินทร์นัก สงสารเนื้อทิพย์

ต่อจากนั้นไม่นานนัก   ข่าวที่ชวนให้ตกใจและสลดใจเป็นอย่างยิ่งก็ไปถึงข้าพเจ้า ธานินทร์ตายเสียแล้ว!   เพื่อนผู้นั้นเขียนเล่าไปว่าธานินทร์และภพถูกทางบริษัทส่งไปคุมการก่อสร้างโรงงานและติดตั้งเครื่องจักรซึ่งรับเหมาไว้ทางภาคเหนือ  วันหนึ่งธานินทร์ขับรถจากบ้านพักซึ่งอยู่บนภูเขานอกเมืองจะเข้าไปซื้อของในเมือง  ขณะที่รถกำลังวิ่งลงมาจากทางลาดบนเขานั้น เมื่อถึงตอนเลี้ยวโค้ง มีรถโดยสารคันหนึ่งแล่นสวนมา   ธานินทร์ซึ่งขณะนั้นได้ขับรถมาด้วยความเร็วสูงมากตามคำให้การของคนขับรถโดยสาร ได้พยายามหักหลบรถและเบรก   แต่รถไม่ยอมหยุดกลับพุ่งเลยตกป่าไป  จากการตรวจค้นในเวลาต่อมา ปรากฏว่ารถคันที่เขาขับมานั้นเบรคหลุด   ธานินทร์คงจะไม่ได้ตรวจดูเสียก่อนจึงต้องเสียชีวิตไปด้วยประการฉะนี้

เพื่อนๆ นั้นได้เล่าถึงเนื้อทิพย์ว่าพอได้ข่าวหล่อนก็ตกใจจนแทบสิ้นสติพึมพำอยู่แต่ว่า   “ไม่น่าเลย ไม่ควรเลย”   ส่วนนิ่มนวลนั้นนั่งตะลึงไป แล้วจึงพูดออกมาว่า   “นึกสังหรณ์ใจอยู่แล้ว”  แล้วก็น้ำตาร่วง   แต่คนที่น่าจะส่งข่าวนี้มามากกว่าและก่อนใครอื่น  คือภพ ที่กลับนิ่งอุบ ไม่เขียนจดหมายไปเล่าอะไรถึงอุบัติเหตุที่เกิดแก่ธานินทร์ให้ข้าพเจ้าอ่านแม้แต่ตัวเดียว

จากจดหมายที่เพื่อนๆ ส่งไปถึงข้าพเจ้าที่เมืองนอกนั้น หยั่งเสียงดูก็รู้ว่าธานินทร์ได้ตายไปอย่างชนิดที่ไม่ได้ทำให้เพื่อนฝูงเสียดายอาลัยอาวรณ์ และเศร้าเสียใจเท่าที่ควรเลย   ใครๆ ต่างก็ลงความเห็นว่าเท่าที่เขาตายเสียนั่นก็สมควรแล้ว  ทุกคนเชื่อว่าเขาเป็นชู้กับเมียเพื่อน และสมควรตายเสียก่อนที่เรื่องจะฉาวโฉ่ขึ้นมา ให้เป็นที่ขายหน้าแก่เนื้อทิพย์และภพ

ข่าวต่อมาก็คือ   “เจ้าภพแทนที่จะหายคลั่งกลับคลั่งใหญ่  คราวนี้มันคลั่งรักเนื้อทิพย์   อันที่จริงจะว่ามันก็ไม่ถูก  เพราะมันรักของมันมาพร้อมๆ กับธานินทร์   แต่มันคนรวยผู้หญิงเสียจนเคยตัว   จะแสดงว่าข้ารักใครก็กลัวจะเสียเหลี่ยม   เลยต้องอกหักหน้าแห้งไปคว้ายายนิ่มนวลมา   สมน้ำหน้า   เดี๋ยวนี้พอเจ้าธานินทร์ตายจะหันกลับไปหาผู้หญิงที่ตัวเคยรักก็ไปเจอเอาผู้หญิงใจเดียวเข้า   ยายนิ่มนวลแกก็ยังไม่ยอมปล่อย   เจ้านี่ก็เลยคลั่ง”

ถัดจากที่ธานินทร์ตายราวสี่เดือน   ข้าพเจ้าจึงได้รับจดหมายจากภพอีกฉบับหนึ่ง   ไม่มีข่าวคราวเกี่ยวกับตัวตามเคย นอกจากจะลงท้ายลอยๆ แบบเก่าว่า   อั๊วอ่านผู้หญิงไม่ออกเลยจริงๆ   วิกรม   กับคนที่รักกันและหน้าของเขา  ไม่รู้ว่าเขารักอะไรมากกว่ากัน   อั๊วกำลังอยากเป็นบ้า  อยากตาย

นั่นเป็นจดหมายฉบับสุดท้ายที่ข้าพเจ้าได้รับจากภพ เพราะต่อจากนั้นไม่นานนัก ข้าพเจ้าก็ได้รับข่าวการตายของเขาอีกครั้งหนึ่งถัดจากข่าวของธานินทร์ ภพตายขณะที่ขี่จักรยานยนตร์กลับบ้านในตอนดึกคืนหนึ่งหลังกลับจากการกินเลี้ยงเล็กๆ น้อยๆ ในระหว่างเพื่อนฝูง

ไม่มีใครนึกเลยว่าขณะที่ร่ำลากันเมื่อคืนนี้จะเป็นการลาตายของเจ้าภพ   เพื่อนผู้ส่งข่าวเขียนเล่าไป   มันก็ไม่ได้ดื่มเหล้าเมามายอะไรมากนัก   แต่ต่อมาอีกชั่วโมงเดียวเท่านั้น  อั๊วก็ต้องถูกปลุกขึ้นมาจากที่นอนใหม่  หมอชัยเรียกมาจากโรงพยาบาลตำรวจ  บอกว่าเจ้าภพขี่รถไปเสยกับต้นไม้อาการหนัก   สันนิษฐานว่าคงจะหลบรถที่แล่นสวนมา

เมื่ออั๊วไปถึงโรงพยาบาลนั้นอาการเจ้าภพเพียบเสียแล้ว   หัวฟาดกับถนนไม่ได้สติจนสิ้นลม   ยายนิ่มนวลร้องไห้โฮ ลั่นโรงพยาบาล   เนื้อทิพย์อยู่ที่บ้าน   พอรู้ข่าวเข้าก็เป็นลม   น่าสงสารเจ้าภพมัน   เสียแรงเคยเป็นดาราดวงเด่น   ครั้นมีความรักเข้ากับเขาก็ไม่สมหวัง   ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่ามันจะจบชีวิตลงในทำนองนี้

จากไปแล้ว...   ทั้งสองคนซึ่งเคยเป็นมิตรสนิทของข้าพเจ้า...  แต่กระนั้นก็ยังทิ้งเรื่องราวเอาไว้เป็นปริศนาให้ข้าพเจ้าขบคิด   รู้สึกว่ามันมีเรื่องยุ่งๆ อยู่อย่างไรชอบกล   แต่ก็พอจะสรุปได้ว่าข้าพเจ้าก็เหมือนกับคนอื่นๆ นั่นแหละ  คือสงสารเนื้อทิพย์  เวทนาภพ   เศร้าใจกับธานินทร์ แต่ไม่มีความรู้สึกอย่างใดสำหรับนิ่มนวลเลย

เนื้อทิพย์เดินกลับมายังโต๊ะเมื่อเพลงจบ  หล่อนมองมาพบข้าพเจ้าเข้าก็เลิกคิ้วพลางยิ้มอย่างแปลกใจ   ไม่ได้พบกันเพียงสี่ปีเท่านั้น ดูหล่อนแปลกไปมาก   เมื่อก่อนนี้แม้จะสวยก็ดูบริสุทธิ์น่ารักเป็นเด็กๆ   แต่มาบัดนี้   อายุที่เพิ่มขึ้นและการได้เรียนรู้โลกและชีวิต  ได้ช่วยเพิ่มความมีเสน่ห์ลึกซึ้งให้ความงามนั้นกลายเป็นความงามที่สมบูรณ์  ข้าพเจ้าลุกเดินขึ้นไปหาหล่อนที่โต๊ะ   เนื้อทิพย์ทักว่า

“เกือบจำคุณวิกรมไม่ได้  กลับมาถึงนานแล้วหรือคะ”

“เดือนกว่าแล้ว”  ข้าพเจ้าตอบ  “คุณเนื้อทิพย์สวยขึ้นมากจนทำให้ผมใจหาย”

“ทำไมคะ  ทำไมต้องใจหายด้วย”  หล่อนเลิกคิ้วพลางยิ้มน้อยๆ อย่างขัน

“เพราะนึกถึงธานินทร์น่ะซีครับ”

รอยยิ้มบนริมฝีปากของเนื้อทิพย์จางหายไปในฉับพลัน   หน้าของหล่อนเผือดลง หล่อนคลี่พัดออก   ริมฝีปากคล้ายจะกลบเกลื่อนอะไรบางอย่าง   เสียงของหล่อนสั่นเล็กน้อยเมื่อพูดว่า   “ขอโทษค่ะคุณวิกรม   ทิพย์ไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้”

ข้าพเจ้ารีบขอโทษหล่อน   ในใจเต็มตื้นไปด้วยความสงสาร   หล่อนคงจะยังไม่ลืมธานินทร์เป็นแน่   เนื้อทิพย์ช่างมีใจเดียวน่าบูชาเหลือเกิน

คนที่รู้จักกันอีกคนหนึ่งเรียกข้าพเจ้าไปยังโต๊ะอื่น   ข้าพเจ้าลุกไปหาเขาแล้วก็เลยทักทายคนนั้นคนนี้เรื่อยเปื่อยไป  จนถึงโต๊ะที่นิ่มนวลนั่งอยู่   หล่อนปรายหางตามองดูข้าพเจ้าอย่างมีจริต ถามว่า

“จะไม่นั่งคุยกันก่อนรึคะ  คุณกลม”

ข้าพเจ้ามองดูองครักษ์ของหล่อนซึ่งขณะนั้นได้ลุกไปนั่งคุยที่โต๊ะถัดไปอย่างสนุกสนานออกรสออกชาติแล้ว   ย้อนถามว่ารับรองหรือว่าแฟนของเธอจะไม่มาหึงเอาฉันเข้า  ดูท่าทางแล้วเขาจะไม่ใจกว้างอย่างนายภพ เพื่อนฉันหรอกนะ   นิ่มนวลทำคอแข็งขึ้นมาทันที  คุณอยู่ถึงเมืองนอกเมืองนา  จะมารู้เรื่องอะไรกับเขาด้วยเล่า   หล่อนพูดสะบัดๆ

“ก็พอรู้บ้างเหมือนกันแหละ ว่าแต่นี่เธอลืมภพได้สนิทใจจริงๆ หรือ ถึงได้แต่งสีสดจ้าอย่างนี้”

“อ้อ นี่คุณเอาฉันไปเปรียบเทียบกับแม่คนที่ใครๆ  ก็เห็นว่าหล่อนเป็นคนพิเศษน่ะสิซิ   เชอะ หล่อนกล้าประจันหน้ากับฉันก็ดีน่ะซิ   ไปให้พ้นเถอะ  อย่าให้ดิฉันพูดมากกว่านี้เลย

“ฟังหล่อนเข้าสิ   ทำราวกับว่าหล่อนดีวิเศษกว่าเนื้อทิพย์เช่นนั้นแหละ   สงสัยว่าหล่อนถือดีอย่างไร   ดังนั้นเมื่อมีโอกาสได้เต้นรำ กับเนื้อทิพย์ในเวลาต่อมา   ข้าพเจ้าจึงยอมเสี่ยงกับความโกรธของหล่อน   เลียบเคียงขึ้นมาว่า

“นิ่มนวลก็มาในงานนี้ด้วย   คุณพบเขาแล้วหรือยัง”

เนื้อทิพย์เม้มริมฝีปากนิ่งขึ้นไปอึดใจ หนึ่งก็ตอบว่า   “พบแล้ว”

“คุณไม่ได้พูดกับเขาดอกหรือ”

“เปล่า”   หล่อนตอบอย่างเสียไม่ได้เชิดหน้ามองข้ามไหล่ข้าพเจ้าไป   ข้าพเจ้าแกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้เสีย   พูดต่อไปว่า

“คุณก็รู้ดีอยู่แล้วนะ   เนื้อทิพย์   ว่าเราสามคน   ธานินทร์ ภพและผม  เป็นเพื่อนรักเพื่อนใคร่กันมานาน   การที่ต้องมาสูญเสียเพื่อนทั้งสองคนในเวลาใกล้เคียงกันเช่นนี้จะทำให้ผมรู้สึกอย่างไรบ้าง   พอกลับมาถึงเมืองไทย ผมก็รู้สึกทันทีทีเดียวว่ากรุงเทพฯ สำหรับผมเดี๋ยวนี้มันขาดๆ อะไรไป ไม่เหมือนเมื่อก่อนเสียแล้ว   และจะไม่มีวันเหมือนเก่าได้อีกเป็นอันขาด   ตราบใดที่เราไม่สามารถเรียกร้องกาลเวลาและทุกสิ่งที่ล่วงแล้วไปให้กลับคืนมาได้”

“โธ่ คุณวิกรมคะ   กรุณาหยุดที ได้ไหม   ทิพย์ทนฟังจะไม่ไหวอยู่แล้ว”  เนื้อทิพย์ขัดขึ้นเสียงสะท้าน  หยาดน้ำใสๆ ออกมาคลอครองดวงตา   ผมมองดูหล่อนแล้วถามอย่างอ่อนโยนว่า

“คุณยังคงคิดถึงธานินทร์อยู่ ใช่ไหม เนื้อทิพย์   และเพราะเหตุนี้เองหรือ คุณจึงยังไม่ยอมออกทุกข์อย่างที่ใครๆ  เขาบอกกัน”

เนื้อทิพย์ไม่ตอบ ดวงตาของหล่อนแดงช้ำ  เหมือนตกอยู่ในอารมณ์อันโศกสลด ข้าพเจ้าพูดต่อไปว่า

“ผมรู้เรื่องของธานินทร์และนิ่มนวลดีเนื้อทิพย์   ไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดธานินทร์จึงเห็นผู้หญิงอย่างนั้นดีกว่าคุณไปได้”

เนื้อทิพย์มองสบตาข้าพเจ้า   แต่ดวงตาของหล่อนเลื่อนลอยคล้ายฝัน   หล่อนถามว่า   “เรื่องของธานินทร์กับนิ่มนวล   เรื่องอะไรกันคะ”

“อะไร  เนื้อทิพย์ นี่คุณไม่รู้จริงๆ หรือว่าธานินทร์กับนิ่มนวลเกี่ยวข้องกันยังไง   แม้กระทั่งเรื่องที่ธานินทร์พานิ่มนวลไปบางแสน”

“ธานินทร์พานิ่มนวลไปบางแสนจริงค่ะ   แต่ทิพย์ไปด้วย   นอกจากขากลับทิพย์กลับมากับรถของเพื่อนๆ   ที่ใครๆ พูดกันนั้นไม่เป็นความจริง   ธานินทร์รักทิพย์คนเดียวตั้งแต่ต้นจนวินาทีสุดท้าย  ทิพย์เองเสียอีก   ยัง... ยัง...”

หล่อนถอนสะอื้นพลางปล่อยมือซึ่งเกาะแขนข้าพเจ้ายกขึ้นปิดหน้า  คร่ำครวญว่า  “โธ่ นี่ทิพย์พูดอะไรออกไป   แต่มันก็อัดอยู่ในอกมานานนักหนาจนทิพย์จะทนไม่ไหวอยู่แล้ว”

ข้าพเจ้ารู้สึก งวยงงไปหมดจนเกือบจะลืมก้าวเท้าไปตามจังหวะเพลง   ชักสังหรณ์ใจว่าชะรอยเรื่องจริงน่าจะลึกลับซับซ้อนกว่าที่เคยได้รู้มาละกระมัง

“มีเรื่องอะไรอีกหรือทิพย์  คุณไว้ใจผมไหม   มีเรื่องอะไรนอกเหนือจากที่เขาพูดกัน และทำไมนิ่มนวลจึงพูดว่าคุณไม่กล้าเผชิญหน้ากับหล่อน”

“นิ่มนวลพูดถูกค่ะ   ทิพย์ไม่กล้าเผชิญหน้ากับหล่อน   ทิพย์อายเหลือเกิน  นิ่มนวลรู้ดีทุกอย่างแม้กระทั่งการตายของธานินทร์”

“ทำไม   มีอะไรเกี่ยวข้องกับการตายของธานินทร์”   ข้าพเจ้าถามหล่อน  แทบจะลืมหายใจ   มือที่เกาะกุมมือหล่อนอยู่นั้นบีบแน่นเข้าอย่างไม่รู้ตัวจนเนื้อทิพย์ครางเบาๆ เพราะความเจ็บ   แต่ความเจ็บดูเหมือนจะทำให้หล่อนรู้สึกตัวขึ้น  อาการสงบค่อยๆ กลับคืนมาสู่หล่อนอีก   เมื่อข้าพเจ้าถามหล่อนซ้ำอีกครั้งหนึ่ง   หล่อนก็มองสบตาข้าพเจ้า  ตอบอย่างเย็นชาว่า

“คุณวิกรมควรจะไปถามหล่อนดูมากกว่า”

“ถ้านิ่มนวลไม่เคยบอกเรื่องนี้กับใคร   หล่อนก็คงจะไม่ยอมบอกผมเช่นเดียวกัน”

“ฮึ”   หล่อนทำเสียงเหมือนหัวเราะในลำคอ   ขณะนี้ดูเนื้อทิพย์เปลี่ยนไปเป็นคนละคน   ดวงตาและสีหน้าเต็มไปด้วยการเยาะเย้ยอย่างมีชัยจนแทบไม่น่ามอง   “น่าสงสารที่หล่อนมัวแต่จงรักภักดีคนที่ไม่เคยรักหล่อนเลยแม้ชั่วอึดใจ   หวงแหน ป้องกัน   แม้กระทั่งเขาจะได้ตายไปนานแล้ว”

“เนื้อทิพย์  นี่คุณพูดเรื่องอะไรกัน  ผมไม่เข้าใจ”

“ไม่เข้าใจ”  หล่อนทำเสียงเยาะอีก   “ก็นี่เรากำลังพูดกันเรื่องการตายของธานินทร์อยู่ไม่ใช่รึคะ”

“ใช่ซิ  ธานินทร์ตายเพราะอุบัติเหตุ   ขับรถเร็วเกินไปจนเบรคขาด”

“ใครบอกคุณวิกรมเล่าว่า เบรคขาดเพราะอุบัติเหตุ”   เนื้อทิพย์กลับตั้งคำถามแสนประหลาดเอากับข้าพเจ้า   “คุณรู้ความจริงอะไรบ้างเทียว  เกี่ยวกับเรื่องธานินทร์และนิ่มนวล   แม้กระทั่งเรื่องการไว้ทุกข์ของดิฉัน”

“ทำไม เนื้อทิพย์”  ข้าพเจ้าถาม   รู้สึกยุ่งยากใจเกินกว่าที่จะพาหล่อนก้าวเดินไปตามทำนองเพลงอีกได้   เคราะห์ดีที่เราหยุดยืนกันอยู่ริมฟลอร์จึงไม่เป็นที่กีดขวาง คู่เต้นรำอื่นๆ มือข้างหนึ่งของข้าพเจ้ายังคงจับข้อศอกของหล่อนไว้   “เขาพูดกันว่าภพหลงรักคุณ แต่คุณมิได้รักตอบเขามิใช่รึ   นี่มันเรื่องเป็นยังไงมายังไงกันแน่”

“มันเป็นเรื่องของดิฉันและภพมิใช่หรือคะ  คุณวิกรม   ดิฉันพูดมามากพอดูแล้ว กรุณาอย่าซักถามดิฉันต่อไปอีกเลย  นิ่มนวลไม่พูดก็เพราะหล่อนมีเหตุผลของหล่อน   และดิฉันจะไม่พูดก็ด้วยเหตุผลของดิฉันเอง  ดิฉันยังจะต้องใช้ชีวิตอยู่ต่อไปในสังคมอีกนาน   ขอโทษค่ะคุณวิกรม ดิฉันจะกลับไปที่โต๊ะละ”

หล่อนยิ้มให้ข้าพเจ้า   เบี่ยงข้อศอกให้หลุดจากการเกาะกุมแล้วก็หันกลับเดินผ่านผู้คนกลับไปยังโต๊ะของหล่อนด้วยอาการเยื้องยาตร  งามสง่าปานนางพญาหงส์   ทิ้งให้ข้าพเจ้ายืนอยู่แต่ลำพัง มองตามหลังหล่อนไปอย่างงงงวยราวกับถูกทุบหัว   ทิ้งเรื่องลึกลับซับซ้อนที่เชื่อมโยงระหว่างหล่อน ธานินทร์ ภพ และนิ่มนวล ไว้ด้วยกันนั้น ให้เป็นปริศนาสำหรับขบคิด   เนื้อทิพย์พูดคล้ายกับว่าสามีของหล่อนมิได้ตายเพราะอุบัติเหตุ   ก็ถ้าเช่นนั้นเขาตายเพราะน้ำมือของใคร?  ถ้าหล่อนมิได้ไว้ทุกข์ให้แก่ธานินทร์แล้ว   ใครเล่าที่หล่อนมีความอาลัยอาวรณ์เป็นพิเศษยิ่งกว่าสามี?   ทำไมเนื้อทิพย์จึงพูดว่านิ่มนวลป้องกันคนที่ตายไปแล้ว   คนๆ นั้นคือใคร   ภพหรือธานินทร์?   สาเหตุใดนิ่มนวลจึงกล้าพูดออกมาอย่างเต็มปากเต็มคำว่าเนื้อทิพย์ไม่กล้าเผชิญหน้าหล่อน   ซึ่งเนื้อที่เองก็ยอมรับข้อกล่าวหานั้น?  และข้อสุดท้ายก็คือ  พวกเรารู้กันดีอยู่   ว่าภพนั้นหลงรักเนื้อทิพย์จนแทบคลั่ง  ก็เนื้อทิพย์เล่า  หล่อนมีความรู้สึกตอบต่อเขาในสถานใด?

ปัญหาเหล่านี้ยังคงเป็นปริศนาที่ติดค้างอยู่ในใจของข้าพเจ้า   มิใช่ว่าข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่าจะสางมันไม่ออก   หากเป็นเพราะว่าข้าพเจ้ารู้สึกหวั่นกลัวเกินกว่าที่จะกล้าสะสางมันต่างหากเล่า  ฉะนั้น ถ้าหากท่านต้องการจะรู้เรื่องให้แจ่มแจ้ง ข้าพเจ้าก็ยินดีทิ้งปริศนาเหล่านั้นไว้ให้ขบคิดกันเอง   ขออย่างเดียวคืออย่าให้ข้าพเจ้าต้องแถลงความคิดเห็นของข้าพเจ้าเป็นตัวอักษรไว้ ณ ที่นี้เลย


จากนิตยสาร ศรีสัปดาห์ ฉบับที่ 398 พ.ศ.2502